 |
|
|
|
 |
|
พุทธศาสนาเป็นแหล่งของดีมีค่า ที่ชนชาติไทยมอบให้แก่อารยธรรมของโลก |
|
- ๑๐ -
- พระพุทธศาสนาเป็นแหล่งของดีมีค่า ที่ชนชาติไทยมอบให้แก่อารยธรรมของโลก
ชนชาติหนึ่งๆ นอกจากมีหน้าที่ต้องพัฒนาประเทศชาติของตนเองแล้ว ก็พึงมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และส่งเสริมอารยธรรมของโลกด้วย ตามประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่า ชนชาติบางชนชาติ มีส่วนร่วมอย่างมากมายในการทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าแห่งอารยธรรมของมนุษย์ บางชนชาติก็มีส่วนร่วมเล็กน้อย บางชนชาติก็ไม่ปรากฏว่าได้มีบทบาทใดๆ ที่ชัดแจ้งในเรื่องนี้เลย
ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่เก่าแก่มากชนชาติหนึ่ง มีวัฒนธรรมที่เจริญก้าวหน้าอย่างสูงมาตลอดเวลายาวนาน จึงได้มีส่วนร่วมในการสร้างเสริมอารยธรรมของโลกด้วย แม้ว่าจะอยู่ในขอบเขตที่ไม่กว้างนัก ส่วนร่วมที่ว่านี้ก็คือ ศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจนมีแบบแผนเป็นของตนเองอย่างที่เรียกว่ามีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยเด่นชัด ศิลปวัฒนธรรมไทยเหล่านี้มีพระพุทธศาสนาเป็นแหล่งกำเนิดใหญ่ ดังได้กล่าวมาแล้ว
ศิลปวัฒนธรรมไทย ที่ว่าได้พัฒนามาจนมีเอกลักษณ์ของตนเองนั้น เป็นเรื่องของอดีตแทบทั้งสิ้น ส่วนที่เป็นปัจจุบันมีน้อยอย่างยิ่ง เพราะศิลปวัฒนธรรมไทยที่สืบมาแต่เดิมนั้น ถึงปัจจุบัน ต้องนับว่าอยู่ในสภาพที่เรียวมาก ในช่วง ๑ ศตวรรษเศษๆ ที่ผ่านมา สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก คนไทยหันไปสนใจสิ่งแปลกใหม่ที่ยอมรับกันว่าเป็นความเจริญจากตะวันตก และรับเอาวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาอย่างไม่อั้นไม่ยั้ง โดยเฉพาะในส่วนของระบบการต่างๆ และเทคโนโลยีพร้อมทั้งสิ่งเสพบริโภคทั้งหลาย
ในช่วงเวลานี้ศิลปวัฒนธรรมไทยที่สืบกันมา ก็ถูกเมินเฉยละเลย และแม้กระทั่งทอดทิ้ง จนบางส่วนบางอย่างเลือนลางหดหาย หรือถูกตัด ขาดตอน หมดไปเลยก็มี ส่วนวัฒนธรรมใหม่ หรือของใหม่ที่เรารับเข้ามาจากภายนอกนั้น ก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจากแหล่งอื่นหรือแหล่งเดิมของมัน ทำให้มีส่วนเพิ่มพูนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างนองเนืองจนแม้แต่เพียงรับเอาก็แทบไม่ทัน ภาพของสังคมไทยที่ปรากฏเด่นชัดในปัจจุบัน ได้แก่ความมีค่านิยมตามอย่างวัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะการตกอยู่ในภาวะเป็นผู้ตาม ด้วยการคอยรอรับความเจริญใหม่ๆจากภายนอก
ในเมื่อมีท่าทีแห่งการรับเอา และไม่ได้ตั้งตัวคิดเตรียมว่า ตนควรจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างเป็นตัวของตัวเองอย่างไร อาการของคนไทยต่อวัฒนธรรมภายนอกในสมัยใหม่นี้ จึงเป็นไปในลักษณะของผู้เสพหรือผู้บริโภคแทบทั้งสิ้น ในเมื่ออยู่ในฐานะของผู้เสพหรือบริโภค ก็ไม่ได้ช่วยพัฒนาแม้แต่วัฒนธรรมหรือของใหม่ที่รับเข้ามา สังคมไทยในสภาพเช่นนี้จึงแทบไม่มีอะไรเป็นของตัวเองและแทบไม่มีส่วนร่วมในการสร้างเสริมอารยธรรมของโลก เพราะไม่มีอะไรที่ตนสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เอง ที่จะเอาไปเพิ่มให้เขา
สิ่งทั้งหลายที่ถือว่าเป็นความเจริญใหม่ๆ ทันสมัย ซึ่งมองเห็นหรูหราโอ่อ่าอยู่ในเมืองใหญ่และในกรุง ก็ล้วนเป็นของรับเอามาจากเขา หรือทำตามอย่างเขา ซึ่งเขาเองก็มีอยู่แล้ว หรือมีดีเหนือกว่าด้วยซ้ำ เมื่อจะแสดงอะไรที่เป็นของตนเองแก่คนพวกอื่น ก็จึงต้องหันไปหยิบยกเอาศิลปวัฒนธรรมสมัยเก่าๆ ออกมาอวด แม้ถึงคนพวกอื่นจากภายนอกที่เข้ามาเยี่ยมเยือน ศึกษามองหาความเป็นไทย หรือของดีของไทย ก็ชื่นชมเห็นคุณค่าแต่เฉพาะศิลปวัฒนธรรมไทยที่สืบมาหรือหลงเหลือจากอดีต พากันนำไปเผยแพร่หรือกล่าวขวัญ มิได้เห็นความสำคัญหรือชื่นชมตึกระฟ้า รถยนต์โอ่อ่ารุ่นล่าสุด เครื่องบินยักษ์จัมโบ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งพวกเขาก็มีหรือเห็นได้ในที่อื่น แม้แต่ชนิดที่ดีกว่า ก้าวหน้ายิ่งกว่า
การมีวัตถุอุปกรณ์และระบบการต่างๆ ที่ทันสมัย มีคุณค่า มีประโยชน์ทั้งหลายนั้น ก็เป็นสิ่งที่ดี มิใช่ข้อเสียหาย เข้าหลักที่ว่า มีดีที่เขามี แต่ที่จะให้เขาเห็นคุณค่าเคารพนับถือจริง และได้ชื่อว่ามีส่วนร่วมสร้างเสริมอารยธรรมของโลกด้วยนั้น นอกจากมีดีที่เขามีแล้ว จะต้องมีดีที่เขาไม่มี หรือทำให้ดีเหนือกว่า ในสิ่งที่เขามีด้วย โดยเหตุนี้คนไทยจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันพิจารณาว่า จะพัฒนาประเทศชาติอย่างไร ให้เรามีสิ่งที่ดีมีคุณค่า ซึ่งเกิดขึ้นหรือพัฒนาขึ้นจากภูมิธรรมภูมิปัญญาของเราเอง อันจะทำให้เราเป็นผู้ที่ได้มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างอารยธรรมของโลก ช่วยให้มนุษยชาติเจริญก้าวหน้า มีโอกาสบรรลุสันติสุขได้ดียิ่งขึ้น
พระพุทธศาสนา นอกจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ชนชาติไทยมีศิลปวัฒนธรรมที่เจริญก้าวหน้ามาในอดีตแล้ว ก็ยังคงเป็นสถาบันหลักของประเทศ และเป็นองค์ประกอบสำคัญของสังคมไทยอยู่แม้ในปัจจุบัน เพียงแต่รอเวลา และรอความสามารถของคนไทย ที่จะนำศักยภาพของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่อย่างสูง เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการร่วมพัฒนาภูมิธรรมภูมิปัญญาของมนุษยชาติ ให้อารยธรรมของโลกเจริญประณีตยิ่งขึ้น
ปัจจุบันนี้ ถ้ามองกว้างออกไปในโลก ก็จะเห็นว่า คนจำนวนมากมาย โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษา ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสูง พากันหันมาสนใจศึกษามองเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนามากขึ้นๆ (น่าสังเกตอย่างชวนแปลกใจด้วยว่า ในทางกลับกัน พระพุทธศาสนาดูเหมือนว่าจะเรียวรีและกำลังเสื่อมโทรมหรือสูญหายเหลือน้อยลงไปทุกทีจากประเทศที่ด้อยพัฒนา หรือล้าหลังทั้งหลาย) ทั้งนี้ เพราะพระพุทธศาสนามีสิ่งที่ชนชาติเหล่านั้นไม่มี ซึ่งสามารถนำไปเสริมเติมส่วนที่บกพร่องขาดแคลนในภูมิธรรมภูมิปัญญาของเขาให้บริบูรณ์ขึ้นมาได้
ประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายนั้น รู้ตระหนักแล้วว่า แม้ประเทศชาติของเขาจะเจริญก้าวหน้าในด้านวัตถุและระบบการต่างๆ แล้วอย่างมากมาย แต่ก็ยังเกลื่อนกล่นไปด้วยปัญหานานัปการทั้งที่ยังแก้ไม่ได้ และที่เกิดประดังขึ้นมาใหม่ ไม่สามารถบรรลุสันติสุขที่แท้จริง ด้วยเหตุนั้น เขาจึงคิดว่า วัฒนธรรมและอารยธรรมของเขาได้เดินทางผิดพลาด หรือมิฉะนั้นก็คงขาดปัจจัยหรือองค์ประกอบสำคัญบางอย่างไป และจึงพากันแสวงหาวิถีทางที่ถูกต้อง หรือปัจจัยสำคัญที่ขาดไปนั้น
ในที่สุด หลายคนก็ได้มาพบคำตอบในพระพุทธศาสนาและมองเห็นว่า พระพุทธศาสนาสามารถชี้ และชักจูงพวกเขาเข้าสู่วิถีทางแห่งการพัฒนาที่ถูกต้อง พร้อมทั้งสามารถอำนวยองค์ประกอบหรือปัจจัยสำคัญที่ขาดไปในอารยธรรมของเขา ซึ่งจะทำให้เขาแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอยู่ เข้าถึงชีวิตที่มีความหมาย และความสุขที่แท้จริงได้
สิ่งที่ขาดไปในอารยธรรมของชนชาติที่พัฒนาแล้วเหล่านี้ ก็คือ การพัฒนาด้านจิตปัญญา หรือ การพัฒนาจิตใจ และการพัฒนาปัญญา ที่เรียกว่า สัมมาปัญญา ซึ่งเป็นการพัฒนาสองด้านหรือสองระดับ ที่เป็นแดนถนัดเป็นพิเศษของพระพุทธศาสนา ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงอำนวยประโยชน์มีคุณค่าอย่างยิ่ง ต่ออารยธรรมของมนุษยชาติเพราะสามารถชี้นำบอกทาง ที่จะทำให้การพัฒนาอารยธรรมดำเนินไปอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ส่งผลให้มวลมนุษย์ประสบสันติสุขและอิสรภาพได้ตามความมุ่งหมาย
ในทางตรงข้าม ประเทศด้อยพัฒนา หรือล้าหลังบางประเทศ กลับปล่อยให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรมหรือสูญหายไปจากประเทศของตน ที่ถึงกับตั้งเจตนาตัดรอน หรือทำลายล้างเสียก็มี
การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่า ประเทศเหล่านี้ได้เริ่มนับถือพระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งที่ตนยังมีความเจริญน้อย การยอมรับนับถือในครั้งนั้น ก็คือ การตกลงที่จะปฏิบัติจากจุดที่ตนยังอยู่ห่างไกลหลักการของพระพุทธศาสนา ให้ก้าวหน้าไปในทิศทางที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนามากขึ้นๆ ตามลำดับ และรับเอาได้เฉพาะแต่หลักการและคุณค่าบางส่วนที่ตนจะรู้เข้าใจและใช้ประโยชน์ได้ในเวลานั้นๆ หรือเท่าที่ผู้เผยแพร่หลักธรรมในยุคสมัยนั้นจะสามารถนำเสนอได้
ต่อมา เมื่อปฏิบัติเจริญก้าวหน้าไปบ้างระยะหนึ่ง ก็กลับเสื่อมถอยลง เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเมือง มีศึกสงครามภายนอกบ้างภายในบ้าง ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมในทางที่ไม่เอื้ออำนวยบ้าง ศาสนศึกษาและสถาบันศาสนาเสื่อมโทรมเสียเองบ้าง ความเชื่อถือหรือลัทธิศาสนาอื่นเข้ามาปะปนบ้าง เป็นต้น รวมทั้งภูมิหลัง ซึ่งไม่มีพื้นฐานที่หนักแน่นเพียงพอที่จะต่อรับกับคุณค่าใหม่ได้ดี ต่อมาแม้จะมีการปรับปรุงและกลับเจริญขึ้นอีก แล้วก็กลับเสื่อมลงอีก เจริญและเสื่อมสลับกันมาตลอดเวลายาวนาน และระหว่างนั้น รูปแบบต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมาทีละน้อยๆ ก็ค่อยๆ สะสมพอกพูนมากขึ้น จนทำให้เนื้อหาสาระของพระพุทธศาสนาถูกจํากัดปกคลุมอยู่ภายในเครื่องห่อหุ้มแห่งรูปแบบที่จับตัวแข็งทื่อ
จากภาวการณ์ที่เป็นมาอย่างนี้ เมื่อใกล้จะถึงยุคปัจจุบัน ก็อยู่ในสภาพที่เฉื่อยชา ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ข้างเสื่อม ศาสนิกชนส่วนใหญ่ยังอยู่ห่างไกลจากหลักการของพระศาสนา หรือมิฉะนั้น ก็ดึงหลักการของพระศาสนาลงมาปรับให้เข้ากับสภาพของตน ความรู้ความเข้าใจแท้จริงในพระศาสนามีน้อย พระพุทธศาสนาถูกพอกด้วยความเชื่อถือและข้อปฏิบัติที่เข้ามาปะปนจากภายนอกเป็นอันมาก ในสภาพที่ว่านี้ พอดีวัฒนธรรมจากประเทศตะวันตกหลั่งไหลเข้ามา ประชาชนเห็นสิ่งดีแปลกใหม่ที่ตนไม่มีโดยเฉพาะความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุทั้งหลาย ก็ตื่นเต้น หันมาระดมให้ความสนใจ ต้อนรับเอาเข้ามาๆ และเพลินชื่นชม ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น ก็เป็นเหตุให้ละเลยไม่ได้เอาใจใส่ศาสนา ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของตน
ศาสนา และศิลปวัฒนธรรมนั้น เมื่อยิ่งถูกปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ก็ยิ่งเฉื่อยยิ่งเสื่อมลงไปอีก ชนชาตินั้นก็มัวเพลิดเพลินกับสิ่งดีที่ตนไม่มี ซึ่งระดมรับเอาเข้ามา พร้อมกับที่ไม่ใส่ใจและไม่รู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา เพราะตนเองก็ไม่มีความรู้ และไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ เป็นอันไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งดีที่ตนมี ในที่สุดก็มองไม่เห็นคุณค่า พระพุทธศาสนาจึงค่อยๆเสื่อมโทรม หรือสูญหาย หรือถึงกับถูกตัดรอนทำลายด้วยเจตนา พูดสั้นๆ ว่า ประเทศเหล่านี้มัวสนใจแต่สิ่งดีที่ตนไม่มี ไม่ใส่ใจสิ่งดีที่ตนมี ยิ่งกว่านั้น ยังไม่เพียรพยายามทำสิ่งดีที่ตนไม่มีให้มีขึ้นเป็นของตนเอง โดยไม่ต้องคอยรับเอาจากพวกอื่น และสิ่งดีที่ตนมี ก็กลับทอดทิ้ง หรือคิดทำลาย แทนที่จะพยายามขุดค้นคุณค่าหาทางนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ อันเป็นสภาพอย่างหนึ่งของประเทศที่ล้าหลัง หรือด้อยพัฒนาทั้งหลาย
สภาพที่เป็นไปในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสูง และประเทศด้อยพัฒนา ที่ได้กล่าวมาตามลำดับนี้ ทั้งสองฝ่าย เป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับชนชาติไทย
ฝ่ายแรก มีสิ่งดีที่ตัวทำได้ เป็นของตนเอง คือมีความเจริญด้านวัตถุและระบบการต่างๆ และแสวงหาสิ่งดีที่ตนไม่มี (หรือมีไม่พอ) คือรับเอาคุณค่าทางจิตปัญญาจากพระพุทธศาสนา เป็นต้น เพื่อเติมส่วนที่ตนยังขาดอยู่ให้บริบูรณ์
ฝ่ายหลัง สิ่งดีที่ตนไม่มี ตนอยากจะได้ คืออยากได้และคอยรับเอาซึ่งความเจริญทางวัตถุที่ตนไม่มี และที่ตนทำไม่ได้ ส่วนสิ่งดีที่ตนมี ก็ไม่อยากจะได้ หรือไม่ใส่ใจ ได้แก่ ละเลยหรือทอดทิ้งคุณค่าทางจิตปัญญาในพระพุทธศาสนาที่ตนมีอยู่แล้ว ไม่รู้จักศึกษานำมาใช้ให้เป็นประโยชน์
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ายแรกกำลังจะมี หรือทำให้มีครบทั้งสองอย่าง ส่วนฝ่ายหลัง กำลังจะหมด หรือทำให้ไม่มีทั้งสองอย่าง จะเห็นว่า ฝ่ายแรกปฏิบัติถูก และกำลังจะก้าวไปสู่ความสมบูรณ์ ฝ่ายหลังปฏิบัติผิด และกำลังจะไม่มีอะไรเหลือเป็นของตนเองเลยแม้แต่อย่างเดียว
ว่าที่จริง ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีคนละอย่าง และขาดคนละอย่าง สิ่งที่ฝ่ายแรกมีฝ่ายหลังไม่มี สิ่งที่ฝ่ายหลังมีฝ่ายแรกไม่มี วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็คือการทำอย่างเสมือนแลกเปลี่ยนกัน หมายความว่า แต่ละฝ่ายต่างก็รักษาและฟื้นฟูหรือขัดเกลาสิ่งดีที่ตนมีอยู่แล้วให้ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่และต่างก็ทำสิ่งดีที่ตนยังไม่มี ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งมีให้มีขึ้นเป็นของตนเองบ้าง โดยทำขึ้นมาให้มีอย่างเขา กล่าวคือ
ฝ่ายแรก (ประเทศที่พัฒนาอย่างสูงแล้ว) รักษาความเจริญทางวัตถุที่ตนมี ให้อยู่ในขอบเขตที่พอดี และศึกษาเสาะหาคุณค่าทางจิตปัญญา (ในกรณีนี้คือ พระพุทธศาสนา) ที่ตนไม่มีหรือบกพร่อง มาเสริมระบบชีวิตของพวกตนให้สมบูรณ์
ฝ่ายหลัง (ประเทศที่ล้าหลัง หรือกำลังพัฒนา) ศึกษาพระพุทธศาสนาที่ตนมีอยู่แล้ว นำเอาคุณค่าทางจิตปัญญามาใช้นำทางการจัดระบบชีวิตให้ได้ผลดี และเพียรพยายามสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ วิทยาการ และระบบการต่างๆ ที่ตนไม่มีหรือยังล้าหลัง ให้มีขึ้นอย่างเพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานรองรับคุณค่าทางจิตปัญญาในระบบชีวิตที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์
บทเรียนโดยสรุปคือ รักษาสิ่งดีที่ตนมีอยู่แล้ว ให้มีคุณค่าอำนวยผลดีอย่างแท้จริง และสร้างสรรค์สิ่งดีที่ตนยังไม่มีให้มีขึ้นเป็นของตนเอง ทำให้มีขึ้นครบถ้วน ๒ อย่าง ทั้งความเจริญทางวัตถุให้เป็นพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการมีชีวิตที่ดี และคุณค่าทางจิตปัญญาจากพระพุทธศาสนาพอสำหรับนำทางการดำเนินชีวิตที่ดี
ความที่กล่าวมานี้ ชี้ให้เห็นว่า การที่ชนชาติไทยในปัจจุบันจะมีความเป็นตัวของตัวเอง และมีอะไรที่จะช่วยเป็นส่วนเสริมให้แก่อารยธรรมของมนุษยชาติได้นั้น จะต้องปฏิบัติ ดังนี้
ก. รักษาและสืบทอดศิลปวัฒนธรรมไทยในส่วนที่ดีงาม ซึ่งมีมาแต่อดีต สามารถพัฒนาต่อให้เติบขยาย งอกงาม มีคุณค่าสบสมัย คือให้ผลดีสอดคล้องเข้ากันกับสภาพทั้งปัจจุบันและที่จะเป็นต่อไป (ต่ออดีตกับปัจจุบัน และโยงถึงอนาคต)
ข. นอกจากสืบต่อ พัฒนา และถ่ายทอดสิ่งดีที่ตนมีตามข้อ ก. แล้ว จะต้องเพียรพยายามสร้างสรรค์สิ่งดีที่ตนยังไม่มีให้เป็นของทำได้ด้วยตนเอง และให้มีเป็นของตนเอง จนมีครบทั้งสองอย่าง ทั้งสิ่งดีที่ตนมีก็ยังคงมีอยู่ และสิ่งดีที่ตนไม่มีก็ทำให้มีขึ้น โดยเฉพาะคุณค่าทางจิตปัญญา ที่เคยมีมาในพระพุทธศาสนาของตนก็ดำรงรักษา และสืบค้นเอาขึ้นมาใช้ได้ ความเจริญทางวัตถุของคนอื่นที่ตนต้องการและควรจะมีก็เพียรพยายามให้มีขึ้นโดยให้เป็นของที่ทำได้ด้วยตน ไม่ใช่เป็นอยู่เพียงในฐานะผู้เสพหรือบริโภคของที่รอรับจากคนอื่น
ค. ชนชาติไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นสมบัติล้ำค่า อันแสดงหลักการพัฒนาทางจิตใจและสัมมาปัญญาที่จะใช้แก้ปัญหาของโลกปัจจุบันนี้ได้ดี หลักการนี้เป็นสิ่งที่ขาดไปหรือพร่องอยู่ในอารยธรรมของมนุษยชาติ ซึ่งชนชาติที่เรียกว่าพัฒนาแล้วก็ยอมรับกันมากขึ้น
ชนชาติไทยนั้น นอกจากจะพึงศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และจับเอาเนื้อหาสาระของหลักการนี้มาใช้พัฒนาระเทศชาติของตนแล้ว ก็พึงเห็นเป็นโอกาสที่จะช่วยแก้ปัญหาของมวลมนุษย์ และพัฒนาอารยธรรมของโลกให้สมบูรณ์ด้วยการนำเสนอพุทธธรรมแก่ชาวโลก เฉพาะอย่างยิ่งแก่ชาวประเทศพัฒนาแล้วที่กำลังต้องการอยู่นั้น โดยวิธีฉลาดเฟ้น ฉลาดแสดง อย่างสบสมัยสบสถานการณ์
ข้อพึงปฏิบัติ ๓ อย่างที่กล่าวมานี้ สัมพันธ์ต่อเนื่องกันแต่ข้อ ซึ่งเป็นที่รวมแห่งคุณค่าอันสูงสุด ก็คือ ลำดับสุดท้าย ได้แก่ การที่ชนชาติไทยสามารถมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างอารยธรรมของโลก ด้วยการเจียดแจกสมบัติอันล้ำค่าของตน กล่าวคือ พุทธธรรม ให้แก่ชนทุกชาติที่กำลังต้องการ ในฐานะที่พระพุทธศาสนานั้น เป็นส่วนเติมเต็มแห่งอารยธรรมของมวลมนุษย์

Create Date : 08 ธันวาคม 2567 |
|
0 comments |
Last Update : 9 ธันวาคม 2567 12:08:57 น. |
Counter : 181 Pageviews. |
|
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|