 |
|
|
|
 |
|
คำสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนามีศูนย์รวมอยู่ที่การพัฒนาคน |
|
- ๙ –
- พระพุทธศาสนาเป็นหลักนำทางในการพัฒนาชาติไทย ปัจจุบันนี้ ได้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า การที่จะพัฒนาประเทศให้สำเร็จผลดีบรรลุจุดหมายที่ต้องการได้อย่างแท้จริงนั้น จะพัฒนาเพียงด้านวัตถุอย่างเดียวเท่านั้นไม่เพียงพอ ประสบการณ์ในการพัฒนาตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมา ได้สอนให้เห็นตระหนักว่า การมุ่งพัฒนาวัตถุภายนอกอย่างเดียวนั้น แม้จะระดมทุนระดมแรงลงไปแล้วอย่างมากมาย ก็ไม่ทำให้สังคมบรรลุความมั่งคั่งรุ่งเรืองและสันติสุขที่แท้จริงได้ตามวัตถุประสงค์ แม้ว่าเมื่อมองดูผ่าน ๆ เผิน ๆ จะเห็นเหมือนว่าบ้านเมืองได้เจริญเฟื้องฟูแปลกหูแปลกตาไปมากมาย แต่เมื่อตรวจสอบดูกับเกณฑ์เป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ก็เห็นชัดเจนว่าการพัฒนายังห่างจากผลสำเร็จที่ต้องการ แม้แต่จะเอาแค่ด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองก็ตาม หนำซ้ำปัญหาบางอย่างที่ไม่เคยมีก็เกิดมีขึ้น หรือที่มีน้อยก็ระบาดแพร่หลายมากขึ้น ดังปรากฎอยู่ว่า ความยากจนแร้นแค้นยังแผ่ขยายทั่วไปทั้งในกลางเมืองและในชนบท การกระจายรายได้ของประชากรไม่ดำเนินไปด้วยดี ฐานะทางเศรษฐกิจของคนกลับห่างไกลกันมากขึ้น ในด้านสุขภาพ แม้แต่สาธารณสุขมูลฐานก็ยังขาดแคลน และไม่เฉพาะสุขภาพกายเท่านั้น สุขภาพจิตก็เสื่อมโทรมลง ชีวิตคนในถิ่นที่เรียกว่าเจริญ มีลักษณะสับสนวุ่นวาย คนมีทุกข์ใจมากขึ้น เป็นโรคจิตโรคประสาทมากขึ้น ความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาก็ยังอยู่ในภาวะสัมฤทธิ์ผลได้ยาก สถิติคนว่างงานก็มีแต่เพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ การพัฒนาประชาธิปไตยก้าวหน้าไปได้ไม่มากกว่าที่ถอยหลัง มีความไม่สะอาดและความไม่ซื่อตรงท่วมท้นในกระบวนการ แม้ว่าถนนหนทางจะมีเพิ่มขึ้นมากมาย แต่การจราจรก็ไม่เรียบร้อย ผู้คนไม่มีระเบียบวินัยในการใช้ถนน อุบัติเหตุมีสถิติสูง ความไม่ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินเป็นปัญหาหนักยิ่งขึ้น จนคนจำนวนมากมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว อาชญากรรมยังแพร่หลาย คดีปล้น ฆ่า ข่มขืน ที่ร้ายแรงปรากฏขึ้นบ่อยๆ การฉ้อราษฎร์บังหลวงกลายเป็นของชินชา ความเสื่อมโทรมทางวัฒนธรรมมีกระแสแรง จนกลายเป็นของสามัญ ค่านิยมที่ไม่พึงปรารถนาและไม่เอื้อต่อการพัฒนา เช่น ค่านิยมบริโภค และความนิยมฟุ้งเฟื้อ แผ่กระจายไปทั่ว ปัญหาทางเพศเพิ่มสูง อบายมุขระบาดทั่วไปทั้งในกรุงและชนบท ชาวบ้านฝากความหวังในชีวิตไว้กับการพนันในรูปแบบต่างๆ และหมกมุ่นจนยากที่จะแก้ไข เยาวชนมากมายทำลายอนาคตของตนเอง และก่อปัญหาแก่สังคมโดยเป็นผลสืบเนื่องจากการติดสิ่งเสพติด ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทวีสูงขึ้น ป่าไม้ถูกทำลายไปมาก ต้นน้ำลำธารร่อยหรอลง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินแห้งแล้ง ทำให้เกษตรกรรมยากลำบากมากขึ้น ส่งผลต่อความยากจนแร้นแค้นยิ่งขึ้นไปอีก แม้ถึงจะผลิตพืชผลได้มาก ก็ประสบปัญหาทางการตลาด มีการเอารัดเอาเปรียบกันมาก กลายเป็นว่า ขายข้าวได้มาก กลับยิ่งยากจนลง ในขณะเดียวกัน มลภาวะก็แพร่กระจายกว้างขวางออกไป ทั้งในดิน ในน้ำ และในท้องฟ้า คุกคามต่อชีวิตและสุขภาพของประชากรทั่วทุกคนการพัฒนาประเทศยังไม่สามารถก้าวข้ามพ้นภาวะเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ไม่เฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนาเท่านั้น แม้ในประเทศที่เรียกว่าพัฒนาแล้วทั้งหลาย สภาพที่พัฒนาแล้วก็เป็นไปในด้านรูปธรรม คือ จำพวกวัตถุและระบบการทั้งหลายเป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านจิตใจก็พัฒนาเฉพาะที่เกี่ยวกับรูปธรรมนั้นเป็นสำคัญ เช่น นิสัยการทำงาน และการเคารพกฎเกณฑ์ เป็นต้น แต่ปัญหาด้านจิตใจแท้ๆ กลับเพิ่มมากขึ้น เช่น ความทุกข์ใจ ความเครียด ความกระวนกระวาย ความรู้สึกแปลกแยก ความเร่าร้อนเพราะกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ซึ่งเมื่อแก้ไข และหาทางออกไม่ถูกต้อง ก็ผลักดันย้อนกลับออกมาเป็นพฤติกรรมที่ก่อปัญหาแก่สังคม เช่น เป็นโรคจิตกันมาก เยาวชนมั่วยาเสพติดอย่างแพร่หลาย มีพฤติกรรมวิปริตทางเพศแบบต่างๆ การละทิ้งสังคมและกฎเกณฑ์ของสังคม การแข่งขัน และหวาดระแวงกันระหว่างชาติใหญ่ที่พัฒนาแล้ว ความหวาดกลัวสงครามนิวเคลียร์และปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะมลภาวะที่เพิ่มขีดอันตรายสูงขึ้นๆ ทุกที บทเรียนจากการพัฒนานั้น สอนให้รู้ว่า การพัฒนาจะต้องดำเนินไปอย่างรอบด้านทั่วถึง ไม่ใช่มุ่งพัฒนาแต่เพียงด้านวัตถุอย่างเดียว โดยเฉพาะตัวคนซึ่งเป็นผู้ร่วมในกระบวนการพัฒนาและเสวยผลของการพัฒนา จะต้องได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี มิฉะนั้น จะทำให้กระบวนการพัฒนาระส่ำระสายไปหมด แนวการพัฒนาจึงต้องหันมาเน้นด้านการพัฒนาคน และในการพัฒนาคนนั้น ส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ จิตใจ ดังนั้น ในยุคปัจจุบัน งานพัฒนาจึงหันมาให้ความสนใจแก่การพัฒนาจิตใจมากขึ้น การพัฒนาจิตใจนั้น รวมถึงการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจิตโดยทั่วไป การพัฒนาจิตใจ ตลอดจนการพัฒนาคนทั้งคนนั้น เป็นงานหลักของพระพุทธศาสนา พูดอีกอย่างหนึ่งว่า คำสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนามีศูนย์รวมอยู่ที่การพัฒนาคน ความจริง พระพุทธศาสนา ทั้งส่วนหลักธรรมคำสอนที่เป็นนามธรรม และส่วนสถาบันคือพระสงฆ์และวัดวาอาราม เป็นต้น ได้มีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด โดยเฉพาะในอดีต (และแม้ปัจจุบันในชนบทหลายแห่ง) พระสงฆ์ได้เป็นผู้นำในการพัฒนา และวัดได้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตใจ และทางปัญญาของชุมชน และวัดก็เป็นศูนย์กลางของชุมชน เริ่มแต่บทบาทสำคัญที่สุด คือ วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาของประชาชน โดยมีพระสงฆ์เป็นครูอาจารย์ ศิลปวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ พัฒนาขึ้นในวัดหรือออกไปจากวัด คนมีการศึกษาทั้งหลายล้วนเป็นผู้เล่าเรียนไปจากวัด เมื่อไปอยู่ในชุมชน ก็ใช้ความรู้หลักธรรมวินัยและความรู้วิชาการอื่นที่ได้ศึกษาจากวัดนั้น เป็นเครื่องนำครอบครัวและชุมชน ในการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพการงานให้เจริญก้าวหน้าและอยู่ร่วมกันด้วยดีมีความร่มเย็นเป็นสุขตามควรแก่ความประพฤติปฏิบัติ ต่อมา เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมจากประเทศตะวันตกแพร่หลายเข้ามา และระบบการต่างๆ แบบตะวันตกได้รับการสถาปนาเป็นหลักของบ้านเมือง แนวทางการพัฒนาก็เปลี่ยนแปลงไป วัดก็เหินห่างออกไปจากกระบวนการพัฒนาตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อการพัฒนามุ่งเน้นด้านวัตถุ บทบาทของวัด พระสงฆ์ และพระศาสนาก็ยิ่งลางเลือนลง จนโดยมากเหลือแต่บทบาทในด้านการเอื้อต่องานพัฒนา เช่น อำนวยสถานที่ และอุปกรณ์ของวัด การให้กำลังใจ และคำกล่าวสอนสนับสนุนในคราวชุมนุมอย่างมีพิธีกรรม เป็นต้น ซึ่งไม่สู้มีความหมายเป็นแก่นสารอะไรนัก ครั้นถึงบัดนี้ เมื่อแนวโน้มของการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอีก โดยหันมาเน้นการพัฒนาจิตใจ และการพัฒนาตัวคนมากขึ้น ก็เป็นโอกาสที่วัด และพระสงฆ์หรือพระพุทธศาสนาทั้งหมด จะได้รื้อฟื้นบทบาทในการพัฒนาและบทบาทของผู้นำการพัฒนาขึ้นใหม่ โดยปรับตัว ปรับวิธีการ และปรับบทบาทนั้น ให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน การที่จะนำทางการพัฒนาและสวมรับบทบาทต่างๆในการพัฒนาให้ได้ผลดีนั้น นอกจากจะต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทที่เหมาะสม และขอบเขตของการดำเนินบทบาทของวัดและพระสงฆ์แล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่ง ก็คือ จะต้องมีหลักธรรมนำทาง สำหรับชี้แนวทางของการพัฒนาอย่างชัดเจน ไม่ใช่ทำกันอย่างพร่าๆ กระจัดกระจาย แบบจับปะติดปะต่อ คนละทางสองทาง ไม่ประสานสอดคล้อง ไม่รวมกำลังแล่นแน่วไปด้วยกัน ซึ่งจะทำให้การพัฒนาไม่สำเร็จผลดีหรือถึงกับล้มเหลวซ้ำรอยเดิมอีก
ขอยกตัวอย่าง เบื้องแรกควรจะมีหลักธรรมหมวดใหญ่ที่ชี้นำแนวทางการพัฒนาเป็นพื้นฐานก่อน หลักธรรมใหญ่เหล่านี้ จะแสดงหลักการทั่วไปของการพัฒนา ซึ่งมีลักษณะสำคัญ ๒ ประการ คือ ครบรอบ และครอบคลุม หรือรอบด้าน และตลอดวงจร (ครบรอบ ตลอดวงจร, ครอบคลุม รอบด้าน) ในแง่ รอบด้าน หรือครอบคลุม ถ้าเป็นการพัฒนาคน พระพุทธศาสนาสอนให้พัฒนาให้ครบ ครอบคลุมทั้ง ๔ ด้าน เรียกว่า ภาวนา (การฝึกอบรม เจริญ หรือ พัฒนา) ๔ คือ ๑) กายภาวนา แปลว่า พัฒนากาย ข้อนี้มิใช่เฉพาะการพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง ไร้โรค มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ท่านเน้นการพัฒนากาย ในความหมายว่าเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เริ่มแต่ปัจจัย ๔ เป็นต้นไป อย่างถูกต้องดีงาม ในทางที่เป็นคุณประโยชน์ ตัวอย่าง เช่น สัมพันธ์กับอาหาร โดยกิน เพื่อช่วยให้ร่างกายมีกำลัง มีสุขภาพดี ไม่ใช่มุ่งเอร็ดอร่อย อวดโก้ แสดงฐานะ สัมพันธ์กับโทรทัศน์ โดยดูเพื่อติดตามข่าวสาร แสวงหาความรู้ ส่งเสริมปัญญา มิใช่เพื่อหมกมุ่น ในความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือเอาเป็นเครื่องมือเล่นการพนัน เป็นต้น ๒) ศีลภาวนา แปลว่า พัฒนาศีล หมายถึง การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมให้เป็นไปด้วยดี เริ่มแต่ไม่ก่อการเบียดเบียน ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ต่อสังคม มีระเบียบวินัย ประกอบสัมมาชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร ฝึกฝนอบรมกายวาจาของตนให้ประณีต ปราศจากโทษ ก่อคุณประโยชน์ และเป็นเครื่องสนับสนุนการฝึกอบรมจิตใจยิ่งๆ ขึ้นไป ๓) จิตภาวนา แปลว่า พัฒนาจิต คือ พัฒนาจิตใจให้มีคุณสมบัติดีงามพรั่งพร้อม ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ ด้าน ดังนี้ ก. คุณภาพจิต คือ ให้มีคุณธรรมต่างๆ ที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม เป็นจิตใจที่สูง ประณีต เช่น มีเมตตา มีความรัก ความเป็นมิตร มีกรุณา อยากช่วยเหลือ ปลดเปลื้องทุกข์ของผู้อื่น มีจาคะ คือมีน้ำใจเผื่อแผ่ มีคารวะ มีความกตัญญู เป็นต้น ข. สมรรถภาพจิต คือ ให้เป็นจิตที่มีความสามารถ เช่น มีสติดี มีวิริยะ คือความเพียร มีขันติคืออดทน มีสมาธิคือจิตตั้งมั่นแน่วแน่ มีสัจจะ คือจริงจัง มีอธิษฐาน คือเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ต่อจุดหมาย เป็นจิตใจที่พร้อมและเหมาะที่จะใช้งาน โดยเฉพาะงานทางปัญญา คือการคิดพิจารณาให้เห็นความจริงแจ่มแจ้งชัดเจน ค. สุขภาพจิต คือ ให้เป็นจิตที่มีสุขภาพดี มีความสุขสดชื่น ร่าเริงเบิกบาน ปลอดโปร่ง สงบ ผ่องใส พร้อมที่จะยิ้มแย้มได้ มีปีติ ปราโมทย์ ไม่เครียด ไม่กระวนกระวาย ไม่คับข้อง ไม่ขุ่นมัวเศร้าหมอง ไม่หดหู่โศกเศร้า เป็นต้น ๔) ปัญญาภาวนา แปลว่า พัฒนาปัญญา คือ พัฒนาความรู้ ความเข้าใจให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง และใช้ความรู้แก้ปัญหา ทำให้เกิดประโยชน์สุขได้ ทั้งนี้เริ่มแต่รู้เข้าใจศิลปวิทยา เรียนรู้ถูกต้องตามเป็นจริง ไม่บิดเบือน หรือเอนเอียงด้วยอคติ คิดวินิจฉัยใช้ปัญญาโดยบริสุทธิ์ใจ รู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามเหตุปัจจัย รู้จักแก้ไขปัญหา และทำการให้สำเร็จตามแนวทางของเหตุปัจจัย ตลอดจนรู้เท่าทันธรรมดาของสังขาร ถึงขั้นที่ทำให้มีจิตใจเป็นอิสระ หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์โดยสิ้นเชิง ในแง่ ครบรอบ หรือตลอดวงจร การพัฒนาทุกด้านหรือทุกอย่าง ควรตรวจสอบให้เป็นการปฏิบัติที่ครบวงจร ไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งจะทำให้ได้ผลครึ่งๆ กลางๆ หรือได้ผลดีไม่สมบูรณ์ อาจจะดีครึ่งหนึ่ง เสียครึ่งหนึ่ง หรือดีด้านหนึ่ง แต่ไปเสียอีกด้านหนึ่ง ขอยกตัวอย่างการปฏิบัติธรรมสักข้อหนึ่ง ซึ่งใช้ได้ในการพัฒนาทุกอย่าง ดังเช่น การปฏิบัติตามหลักอนิจจัง อนิจจัง หมายถึง ความไม่เที่ยง มีหลักการในทางปฏิบัติ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงที่ ๑ ทำจิต หรือ ปรับใน เป็นช่วงรู้เท่าทันคติธรรมดาของสิ่งทั้งหลายที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของใคร เกิดขึ้นแล้วก็จะต้องดับสลายไป ทำให้ปลงใจได้ หายทุกข์โศก สบายใจ ไม่หวั่นไหวไปตามโลกธรรม ช่วงที่ ๒ ทำกิจ หรือ ปรับนอก เป็นช่วงสืบค้นเหตุปัจจัยของความไม่เที่ยง ที่ปรากฏออกมาเป็นอาการอย่างนั้น ๆ (เช่นว่า เสื่อม หรือเจริญ) ว่าทำไมจึงเสื่อม ทำไมจึงเจริญ ทำอย่างไรจึงจะไม่เสื่อม ทำอย่างไรจึงจะเจริญ แล้วลงมือแก้ไข หรือสร้างเสริมด้วยความไม่ประมาท ให้เป็นไปในแนวทางที่ต้องการ (เช่นว่า ให้เจริญ ไม่ให้เสื่อม) ด้วยการทำการที่ตัวเหตุตัวปัจจัยนั้นๆ ทำให้ทำการได้สำเร็จผลดีตามต้องการ หรือตามที่ควรจะเป็น ถ้าปฏิบัติครบทั้ง ๒ ช่วง ก็เรียกว่า เป็นการปฏิบัติที่ครบรอบ หรือตลอดวงจร ได้ผลสมบูรณ์ ทั้งสบายใจหายทุกข์ และทำงาน หรือแก้ปัญหาสำเร็จ แต่ถ้าปฏิบัติไม่ตลอดวงจร ก็ได้ผลครึ่งเดียว และอาจตามมาด้วยผลเสียหลายอย่าง เช่น เมื่อประสบความเสื่อม หรือความสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว รู้เท่าทันธรรมดาที่เกิดดับตามเหตุปัจจัย ก็สบายใจหายเศร้า เป็นอันจบช่วงที่ ๑ แต่ไม่ต่อช่วงที่ ๒ คือ ไม่คิดสืบสาวเหตุปัจจัย และไม่จัดการกับเหตุปัจจัยนั้น ก็เกิดผลเสีย คือ ตกอยู่ในความประมาท ไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ได้ทำการสร้างสรรค์ นานเข้าบ่อยเข้าอาจกลายเป็นคนเฉื่อยชาเกียจคร้านไป ตรงข้าม ถ้าข้ามช่วงที่ ๑ เสีย ปฏิบัติแต่ช่วงที่ ๒ ก็อาจทำการสำเร็จ แต่ทำด้วยความเร้าร้อนกระวนกระวาย จิตใจไม่สบาย ไร้ความสุข ถ้าศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจชัดเจน รู้จักเลือกรู้จักจับธรรมให้ถูกหลัก นำมาใช้อย่างฉลาด ปฏิบัติให้รอบด้าน และตลอดวงจร การพัฒนาก็มีทางที่จะสัมฤทธิ์ผลดีโดยสมบูรณ์ เป็นการพัฒนาทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ เป็นการพัฒนาทั้งตัวคน และสิ่งที่คนไปพัฒนา แก้ไขข้อผิดพลาดที่สืบมาจากอดีต และเสริมส่วนที่ขาดไปของปัจจุบัน อย่างน้อย เมื่อดำรงในอัปปมาทธรรม เอาใจใส่ขวนขวายที่จะแก้ไขและสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา การพัฒนาก็ยากที่จะล้มเหลวหรือผิดพลาด ถ้าจะกล่าวสรุปในแง่หนึ่ง พระพุทธศาสนาก็เป็นทั้งแกนนำ และเป็นส่วนเติมเต็มของการพัฒนา ช่วยให้การพัฒนาประเทศชาติดำเนินไปอย่างถูกทิศทางและครบถ้วนสมบูรณ์ นำมาซึ่งความเจริญมั่นคงและสันติสุขแก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง
Create Date : 07 ธันวาคม 2567 |
Last Update : 7 ธันวาคม 2567 18:33:28 น. |
|
0 comments
|
Counter : 97 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|