กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
ธันวาคม 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
space
space
6 ธันวาคม 2567
space
space
space

พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันคู่ชาติไทย
 
 
 
- ๕ –
 
- พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันคู่ชาติไทย
 
     ได้กล่าวแล้วในเบื้องต้นว่า  นับแต่ประเทศไทยได้มีประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องชัดเจนเป็นของตน ชนชาติไทยก็ได้นับถือพระพุทธศาสนาสืบต่อกันมาโดยตลอด   กิจการและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ  มากมายในบ้านเมือง   เป็นเรื่องราวของพระพุทธศาสนา   เกี่ยวข้องกับวัดวาอาราม หรือมิฉะนั้น  ก็ผสมผสานกับคติทางพระพุทธศาสนา  จนกล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเป็นประวัติศาสตร์ของชนชาติที่นับถือพระพุทธศาสนา หรือประวัติศาสตร์ของชาติไทย  ก็เป็นประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาด้วย
 
     แม้ในยุคปัจจุบัน   ก็ยังมีคำขวัญที่ถือกันต่อๆ มาว่า  ชาติ  ศาสน์  กษัตริย์  อันเป็นความหมายที่แสดงโดยสีทั้งสามของธงไตรรงค์  ซึ่งเป็นธงชาติของไทย และเป็นเครื่องยืนยันถึงการที่ได้ถือว่า ชาติ  ศาสนา และพระมหากษัตริย์ทั้งสามนั้น  เป็นสถาบันหลักของประเทศที่ดำรงอยู่คู่เคียงกัน  โดยเฉพาะ ศาสน์ หรือ ศาสนานั้น   ย่อมหมายถึงพระพุทธศาสนา   ดังหลักฐานจากบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ผู้ทรงออกแบบธงไตรรงค์นั้นเอง คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งได้ทรงกำหนดไว้ให้สีธงแต่ละสีเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันทั้งสามที่กล่าวแล้วนั้น  ดังปรากฏในหนังสือ  ดุสิตสมิต  ฉบับพิเศษ ๒๔๖๑ หน้า ๔๒ ว่า
 
        ขอร่ำรำพันบรรยาย
        ความคิดเครื่องหมาย
        แห่งสีทั้งสามงามถนัด
        ขาว  คือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์
        หมายพระไตรรัตน์
        และธรรมะคุ้มจิตไทย
        แดง  คือโลหิตเราไซร้
        ซึ่งยอมสละได้
        เพื่อรักษ์ชาติศาสนา
        น้ำเงิน  คือสีโสภา
        อันจอมประชา
        ธ โปรดเป็นของส่วนองค์
        จัดริ้วเป็นทิวไตรรงค์
        จึ่งเป็นสีธง
        ที่รักแห่งเราชาวไทย
 
     ตามหลักการแห่งสถาบันหลัก และสัญลักษณ์ของธงไตรรงค์นี้   เมื่อขยายความออกไป  ย่อมได้ความหมายในส่วนของพระพุทธศาสนาว่า   พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำพระมหากษัตริย์ไทย
 
     การที่ถือว่า พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักคู่ชาติบ้านเมืองนี้  ได้เป็นมาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน  จะเห็นได้จากหลักฐานที่สำคัญยิ่ง คือ พระราชดำรัสขององค์พระมหากษัตริย์ในทุกยุคทุกสมัย  ดังตัวอย่างที่จะยกมาอ้าง
 
     ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช   พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓  แห่งกรุงสุโขทัย ได้บรรยายตอนหนึ่ง ปรากฏในหนังสือศิลาจารึกสุโขทัย  หลักที่ ๑  (กรมศิลปากร, ๒๕๑๙) หน้า ๑๗ ว่า
 
        “...พ่อขุนรามคำแหง  เจ้าเมืองสุโขทัยนี้  ทั้งชาวแม่ชาวเจ้าท่วยปั่วท่วยนาง  ลูกเจ้าลูกขุน  ทั้งสิ้นทั้งหลาย  ทั้งผู้ชายผู้หญิงฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน  เมื่อออกพรรษากรานกฐินเดือนหนึ่งจึงแล้ว...”
 
     ในคราวที่คณะทูตพิเศษของพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส   เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาแจ้งการที่พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสอัญเชิญพระองค์ให้เข้ารีตเป็นคาทอลิก   พระองค์ได้ตรัสตอบผ่านมองซิเออร์ ฟอลคอน  พระราชดำรัสครั้งนี้  แสดงถึงความที่ทรงมั่นคงในพระพุทธศาสนา  โดยที่พร้อมกันนั้น  ก็ทรงมีพระทัยกว้างขวางตามหลักการของพระพุทธศาสนา  ที่เอื้ออำนวยเสรีภาพทางศาสนา และทรงมีพระปรีชาญาณในการนำเอาหลักการของศาสนามาใช้สื่อสารรักษาพระราชไมตรี   โดยไม่ต้องทรงตอบปฏิเสธโดยตรง   พระราชดำรัสนี้ปรากฏในหนังสือ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒๔ ภาคที่ ๔๑   (คุรุสภา, ๒๕๑๑)  หน้า ๑๔๑–๑๔๒ ตอนหนึ่งว่า
 
        “…เราก็มีความประหลาดใจมากว่า พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเพื่อนรักของเรา ได้มาเป็นพระธุระในการอันเป็นกิจของพระเป็นเจ้า เพราะเราก็เห็นว่าพระเป็นเจ้าเองก็หาได้ฝักใฝ่ในเรื่องนี้ไม่  เพราะการที่มนุษย์เรามีร่างกายมีวิญญาณ  มีธรรมชาติอย่างเดียวกัน  ไม่ใช่พระเป็นเจ้าเป็นผู้ทำให้เป็นเช่นนั้นดอกหรือ ถ้าพระเป็นเจ้าจะโปรดให้มนุษย์ทั้งปวง  ได้มีความนับถือศาสนาอันเดียวกันแล้ว  พระเป็นเจ้ามิทำให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาร่วมศาสนาเดียวกันหรือ   แต่นี่พระเป็นเจ้าก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น  กลับปล่อยให้มีศาสนาต่างๆ กันทั่วโลก  ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว   เมื่อเป็นเช่นนี้  เราจะไม่ควรเชื่อหรือว่าพระเป็นเจ้ามีความประสงค์จะให้มนุษย์เราได้นับถือและบูชาพระองค์ด้วยวิธีและลัทธิต่างๆ กัน … แต่อย่างไรก็ดีเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าการทั้งปวงจะเป็นอย่างไร  ก็สุดแล้วแต่พระเป็นเจ้าจะสั่งให้เป็น…”
 
     ความที่ได้ตรัสนี้  ได้ทำเป็นเอกสารราชการ คือคำตอบจดหมายที่ เชวาลิเอร์  เดอ  โชมองต์  เอกอัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ถวายสมเด็จพระนารายณ์พระเจ้ากรุงสยาม  เมื่อวันที่ ๒๘ เดือนตุลาคม ค.ศ. 1685 (พ.ศ.๒๒๒๘) หนังสือตอบนั้น   ปรากฏในประชุมพงศาวดาร  เล่ม ๒๔ ภาคที่ ๔๑ นั้นเอง หน้า ๖๙ ดังนี้
 
        “…และขอให้พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทรงดำริด้วยว่า  ถ้าพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสร้างดิน และสร้างสิงสาราสัตว์  อันมีรูปพรรณสัณฐาน และนิสัยต่างๆ กัน  จะประสงค์ให้มนุษย์ทั้งหลาย   ได้นับถือศาสนาอย่างเดียวกันทุกคน และให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในกฎหมายอันเดียวกันหมดแล้ว  พระเจ้าก็คงจะทำให้เป็นเช่นนั้นได้ง่ายที่สุด   แต่สิงสาราสัตว์ต้นหมากรากไม้ และของทั้งปวง   พระเจ้าก็ได้สร้างให้มีรูปพรรณ และลักษณะต่างกันทั้งสิ้น  จึงเป็นพยานให้เห็นได้ว่า   การที่เกี่ยวด้วยศาสนานั้น  พระเจ้าก็คงต้องการให้ถือต่างกันเหมือนกัน   เพราะเหตุฉะนั้น   พระเจ้ากรุงสยามนายของข้าพเจ้า  ทรงยอมให้พระเจ้าได้ตัดสินในเรื่องนี้…”
 
     ในศาลพระเจ้าตากสินมหาราช   พระเจ้ากรุงธนบุรี  ณ วัดอรุณราชวราราม  มีคำจารึกว่า
 
        อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
        ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
        ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
        แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
        ให้ยืนยง  คงถ้วน  ห้าพันปี
        สมณะพราหมณ์ชี  ปฏิบัติ  ให้พอสม
        เจริญสมถะ  วิปัสสนา  พ่อชื่นชม
        ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
        คิดถึงพ่อ  พ่ออยู่  คู่กับเจ้า
        ชาติของเรา  คงอยู่  คู่พระศาสนา
        พุทธศาสนา  อยู่ยง  คู่องค์กษัตรา
        พระศาสดา  ฝากไว้  ให้คู่กัน
 
     เมื่อขึ้นต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงประกาศพระราชปณิธาน   ในการเสด็จขึ้นครองราชย์  (พระราชนิพนธ์นิราศท่าดินแดง) ว่า
 
        ตั้งใจจะอุปถัมภก         ยอยกพระพุทธศาสนา
        ป้องกันขอบขัณฑสีมา   รักษาประชาชนและมนตรี
 
     ความข้างต้นนี้   ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑  (กรมศิลปากร, ๒๕๒๖) หน้า ๖๑ ว่า
 
        “แล้วมีพระราชโองการปฏิสันถาร   แก่เจ้าพระยาและพระยาทั้งปวงว่า  ‘สิ่งของทั้งนี้  จงจัดทำนุบำรุงไว้ให้จงดี    จะได้ป้องกันรักษาแผ่นดิน   ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และพระราชอาณาเขตสืบไป’…”
 
     และอีกตอนหนึ่ง หน้า ๑๑๓ ว่า
 
        “ครั้งนี้ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง   จงมีอุตสาหะในฝ่ายพระพุทธจักรให้พระไตรปิฎกบริบูรณ์ขึ้นให้จงได้   ฝ่ายข้างอาณาจักรที่จะเป็นศาสนูปถัมภกนั้นเป็นพนักงานโยม  โยมจะสู้เสียสละละชีวิตบูชาพระรัตนตรัย สุดแต่จะให้พระปริยัติบริบูรณ์   เป็นมูลที่จะตั้งพระพุทธศาสนาจงได้”
 
     ในเอกสาร  “ชุมนุมพระบรมราชาธิบายในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”  ก็มีพระบรมราชาธิบาย ตอนหนึ่ง ซึ่งแสดงน้ำพระทัยต่อพระพุทธศาสนา  พร้อมทั้งสถานะของพระพุทธศาสนาในแผ่นดินไทย ว่าดังนี้
 
        “อนึ่ง  ในพระเจ้าแผ่นดินก็ตรัสสรรเสริญว่า  ศาสนาใดๆ ไม่ประเสริฐกว่าพระพุทธศาสนา  รับสั่งดังนี้ทุกพระเจ้าแผ่นดินมาจนทุกวันนี้  ก็ซึ่งรับสั่งดังนี้   ก็ดูเหมือนจะเอาใจพระสงฆ์  ซึ่งเป็นเจ้าของศาสนา  โตอยู่ในแผ่นดิน  ก็ที่แท้พระสงฆ์ราชาคณะที่เป็นประธานในศาสนา  ก็ยังโง่งมงาย  ไม่รู้แผ่นดินแผ่นฟ้า ... แต่พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ ... ทรงทายสูรย์จันทร์ถูกต้องแน่นอน ... ก็เมื่อเป็นดังนี้  ท่านยังสรรเสริญว่าพุทธศาสนาดีกว่าศาสนาทั้งปวง  แลทรงอุตสาหะประพฤติตามพุทธศาสนาอยู่  ก็เห็นชัดว่าเป็นเพราะพึ่งพาอาศัยพุทธศาสนาอยู่...”
 
     ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระปิยะมหาราช  ก็ได้ทรงแสดงน้ำพระทัยของพระองค์ต่อพระพุทธศาสนา  ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาถึง เซอร์ เอดวิน อาร์โนลด์  ผู้แต่งหนังสือประทีปแห่งทวีปอาเซีย ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ความตอนหนึ่งว่า
 
        “พระราชบิดาของฉัน ได้ทรงสละเวลาเป็นส่วนใหญ่ในการศึกษาและคุ้มครองศาสนาของชาติ ส่วนฉันได้ขึ้นครองราชย์ในขณะอายุยังน้อย  จึงไม่มีเวลาที่จะเป็นนักศึกษาอย่างพ่อ  ฉันเองมีความสนใจในการศึกษาหนังสือหลักธรรมต่างๆ สนใจที่จะคุ้มครองศาสนาของเรา  และต้องการให้มหาชนทั่วไปมีความเข้าใจถูกต้อง”
 
     แม้แต่การศึกษาของพระภิกษุสามเณร ก็ถือว่าเป็นภารกิจของรัฐ ซึ่งรัฐบาลจะต้องเอาใจใส่ดูแล เพราะวัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาของสังคมไทยสืบมาแต่โบราณ  ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงเล่าไว้ใน  “อธิบายเรื่องการสอบพระปริยัติธรรม”  ว่า
 
        “การสอบพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร  นับเป็นราชการแผ่นดินอย่างหนึ่งด้วย  อยู่ในพระราชกิจของพระเจ้าแผ่นดิน  ผู้เป็นพุทธศาสนูปถัมภก”
 
     พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระราชดำรัสมากมายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ดังตัวอย่างที่ปรากฏในพระบรมราโชวาทเรื่องเทศนาเสือป่า  ตอนหนึ่งว่า
 
        “พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาสำหรับชาติเรา ... ศาสนาในสมัยนี้  เป็นของที่แยกจากชาติไม่ได้ ... เป็นความจำเป็นที่เราทั้งหลายผู้เป็นไทย  จะต้องมั่นอยู่ในศาสนาพระพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาสำหรับชาติเรา”
 
        “...เพราะฉะนั้น  เป็นหน้าที่ของเราทั้งหลาย   ที่จะช่วยกันบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา อย่าให้เสื่อมศูนย์์ไป  การที่จะบำรุงพระพุทธศาสนา  เราต้องรู้สึกก่อนว่า  หลักของพระพุทธศาสนาคืออะไร?”
 
        “...เราจะถือว่า  เราเป็นไทยด้วยกันหมด  เราจะต้องรักษาความเป็นไทยของเราให้ยั่งยืน  เราจะต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ถาวรวัฒนาการอย่างที่เป็นมาแล้วหลายชั่วโคตรของเราทั้งหลาย”
 
     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลปัจจุบัน  ก็ได้ทรงมีพระราชดำรัสประกาศไว้ในการพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรว่า
 
        “ข้าพเจ้าถือว่า  พระพุทธนวราชบพิตรเป็นที่ตั้งแห่งคุณพระรัตนตรัย  อันเป็นที่เคารพสูงสุด และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศไทย และของคนไทย...”
 
     พระราชดำรัสทั้งหลาย   ที่ได้ยกมาอ้างนี้หากเป็นของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว  ก็อาจมีผู้แย้งได้ว่า เป็นพระราชมติส่วนพระองค์   แต่เมื่อปรากฏชัดตามที่แสดงไว้นี้ว่า   พระมหากษัตริย์ที่ทรงความสำคัญยิ่งหลายพระองค์  และในทุกยุคสมัย ได้ตรัสไว้ทำนองเดียวกัน  จึงย่อมเป็นหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน ซึ่งต้องถือว่า  เป็นระบบการและแบบแผนของประเทศไทย
 
     เฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องมองเห็นและเข้าใจด้วยว่า การที่องค์พระประมุขของชาติมีพระราชดำรัสดังนี้ มิใช่เป็นเพียงแนวทางพระราชดำริขององค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่เป็นการตรัสในฐานะผู้นำของประเทศ แทนเสียงประชานิกรของพระองค์ เป็นเครื่องสะท้อนภาพรวมของสังคมไทย อันเป็นประมวลแห่งประเพณีคตินิยม และพฤติกรรมของประชาราษฎร์ทั่วไปในแผ่นดิน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่รองรับการปกครองของประเทศ จึงกล่าวได้โดยชอบธรรมว่า พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันคู่ชาติของประเทศไทย


ส่งมอบ ‘พระเจ้าตอง’ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คืนชาวพะเยา หลังถูกโจรกรรมไปกว่า 36 ปี




 

 



Create Date : 06 ธันวาคม 2567
Last Update : 6 ธันวาคม 2567 19:08:41 น. 0 comments
Counter : 124 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space