|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
ชีวิตชาวบ้านหาดใหญ่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปฐมบท)
ชีวิตชาวบ้านหาดใหญ่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง(ปฐมบท)
เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้จากการปะติดปะต่อ ของผู้สูงวัยหลายท่านที่เล่าสู่กันฟังมานานแล้ว และจากความทรงจำอันเลือนลางของผู้เขียนส่วนหนึ่ง หากผู้ใดมีข้อมูลเพิ่มเติมก็ช่วยชี้แนะด้วย จักขอบคุณยิ่ง เกี่ยวกับชีวิตของชาวหาดใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาเป็นสัมพันธมิตรกับไทย และขอเส้นทางรบผ่านไปประเทศพม่าเพื่อไปรบกับอินเดียและจีน พร้อมกับขอผ่านทางไปประเทศมาเลเซียเพื่อไปยึดเกาะสิงคโปร์
ขอเริ่มจากญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่สงขลา ปรากฎว่ามีการต่อต้านและสู้รบส่วนหนึ่งจาก ยุวชนทหารที่สงขลา ทหารตำรวจส่วนหนึ่ง จนทำให้ทหารญี่ปุ่นตายเกลื่อนหาดทรายจำนวนหนึ่ง บางรายก็ฝังร่างในทะเลก่อนที่จะถูกคลื่นซัดพาเข้าเหลือแต่โครงกระดูก เพราะนักเรียนมหาวชิราวุธรุ่นเก่า ๆ มักจะเล่ากันให้ฟังว่า เคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งนานแล้วเช่นกันว่า ของเล่นสนุกสนานอย่างหนึ่งก็คือ การเก็บหัวกะโหลกหรือเศษกระดูกที่เจอตามชายหาด แล้วแอบใส่เข้าไปในกระเป๋าย่ามเด็กนักเรียนที่ขี้กลัว หรือซุกไว้ในโต๊ะนักเรียนของเพื่อนนักเรียน เป็นที่ขบขันหรือหัวเราะสนุกสนานสำหรับคนกลัวผี และมีป้ายหลุมศพนายทหารญี่ปุ่นสลักเป็นภาษาญี่ปุ่นไว้ แต่ถูกเทศบาลเมืองสงขลาขนย้ายไปแห่งหนตำบลใดไม่ทราบแล้วในตอนนี้
เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่สงขลา ทางจังหวัดก็ได้โทรศัพท์มาบอกที่ค่ายเสนาณรงค์(ค่ายคอหงษ์) หาดใหญ่ และโทรศัพท์บอกคนที่หาดใหญ่ที่รู้จักว่า ให้ช่วยบอกต่อ ๆ กันว่า ญี่ปุ่นบุกแล้ว สมัยนั้นอำเภอหาดใหญ่ก็มีโทรศัพท์แล้ว แต่ไม่น่าจะเกินกว่าหนึ่งร้อยเลขหมาย ของขุนนิพัทธิ์จีนนคร ถ้าจำไม่ผิดในหนังสือแจ้งว่าหมายเลข 53 (สมัยเด็ก ๆ ผู้เขียนยังทันยุคที่โทรศัพท์ร้านพ่อ ถ้าจำไม่ผิดสี่เบอร์ ไม่มีหมายเลข 074 นำหน้า พี่สาวเล่าให้ฟังว่าเวลาจะโทรศัพท์ทางไกลไปกรุงเทพฯ ต้องไปรอที่ชุมสายโทรศัพท์หาดใหญ่ให้ช่วยต่อสายให้ ต่อมาก็รอที่บ้านได้ถ้าจะโทรศัพท์ทางไกล แต่ต้องให้ทางชุมสายโทรศัพท์หาดใหญ่ต่อสายให้ก่อนเช่นกัน ไม่เหมือนกับปัจจุบันนี้แล้วที่สามารถโทรศัพท์ได้โดยตรงเลย)
ทางค่ายคอหงษ์ก็ไปตั้งรับทหารญี่ปุ่นที่โคกสูง(ใกล้วัดโคกสูง) เป็นเนินสูงชันที่ต้องไต่ระดับขึ้นมา ทหารญี่ปุ่นส่วนหนึ่งจะขับรถจักรยาน บางส่วนก็เดินทัพมาหลังจากขึ้นฝั่งที่สงขลาได้แล้ว มีน้อยรายมากที่ขี่ม้าศึกที่สงวนเฉพาะนายทหารระดับสูงเท่านั้น ทางฝ่ายไทยที่สงขลาสู้รบตบมือกับทหารญี่ปุ่นไม่ได้ ต้องพ่ายแพ้ล่าถอยไป ทั้งนี้เพราะมีจราชนญี่ปุ่นที่สงขลา มาฝังรากรกเป็นหมอญี่ปุ่นให้ความร่วมมือในการชี้เป้า หรือจุดที่เรือรบสะเทินน้ำสะเทินบกสามารถขึ้นฝั่งได้ส่วนหนึ่ง
ตรงจุดที่โคกสูงมีการปะทะกันอีกรอบหนึ่ง ปรากฎว่ามีฝ่ายทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตไปส่วนหนึ่ง มีการฝังที่ข้างทางที่เป็นสวนยางพาราและป่ามะพร้าว ปัจจุบันสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่แถว ๆ โรงงาน ที่เจ้าของชอบหมอฮวงจุ๊ยและผลิตอาหารให้สัตว์ปีกกิน ก่อนที่จะมีการล้างป่าช้านำศพไปทำพิธีกลับประเทศญี่ปุ่น หรืออาจจะเผากระดูกไปทั้งหมดแล้วก็ได้ เพราะสมัยเด็ก ๆ จำได้แต่ไม่แม่นยำว่า ที่สงขลามีสถานกงสุลญี่ปุ่นอยู่หรือไง ยังจำไม่แม่นนักแต่ถ้ามีผู้ใดทราบก็โปรดแจ้งด้วย จักขอบคุณยิ่ง
ส่วนหนึ่งที่จำได้ดีเพราะตอนสร้างตึกคุณหญิงหรั่ง หรือตึกแปด(จำไม่แม่น) ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ อาจารย์ผู้หญิงที่สอนภาษาฝรั่งเศสที่สนิทกัน เล่าให้ฟังว่ามีการขุดพบกระดูกจำนวนหนึ่ง เลยต้องทำพิธีสงฆ์ไทยเพื่อสวดส่งวิญญาณ ถ้าจำไม่ผิดมีการเล่ากันสืบต่อ ๆ กันมาว่า มีเจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่นมาร่วมงานด้วยจำนวนหนึ่ง เพราะคาดว่าน่าจะเป็นศพทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิต หรืออาจจะเป็นเชลยศึกของทหารญี่ปุ่นที่ถูกซ้อมจนตาย แล้วแอบฝังไว้ในที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เคยเป็นที่ตั้งกองทัพทหารญี่ปุ่นสมัยหนึ่ง
มีตำนานเล่าสู่กันฟังในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาว่า ที่อาคารอรชร ช่วงรับน้องมีรุ่นพี่นอนหลับในห้องเรียน เพราะรอจัดข้าวของเตรียมรับน้องวันรุ่งขึ้นจำนวนหนึ่ง ช่วงกลางดึกได้ยินเสียงวิ่งของทหารและเสียงร้องอึกกะทึก ทำให้หวาดกลัวไม่กล้านอนหลับจนรุ่งเช้า
หรือตรงห้องประชุมตึกหนึ่งชั้นสองของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มีนักเรียนไปแอบนอนตอนหลังเที่ยง เวลาประมาณสามโมงเย็นเศษ ก็ได้ยินเสียงรองเท้าทอปบู๊ตวิ่งกันสนั่นหวั่นไหว เลยตกใจตื่นวิ่งออกมาดูก็ไม่เห็นมีใคร เพราะโรงเรียนเลิกเรียนแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ใครกล้าแอบเข้าไปนอนในห้องนั้นอีก
ส่วนฝ่ายไทยที่รบกับทหารญี่ปุ่นแล้วเสียชีวิต ก็ไม่ยอมระบุจำนวนที่ตายแน่นอนนัก หรือแอบไปตายที่บ้านพักเป็นจำนวนไม่แน่ชัดมากนัก เพราะอาจเกรงกลัวว่าทหารญี่ปุ่นจะไปแก้แค้นในภายหลัง เมื่อทหารญี่ปุ่นสู้รบมาได้โดยสามารถตีฝ่าฝ่ายไทย ฝ่ายไทยต้องถอยร่นมาตั้งรับอีกแนวสุดท้ายคือที่ น้ำน้อย ใกล้กับสะพานดำรางรถไฟและเขาบันไดนาง (ใกล้กับศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11) ก็เป็นจุดที่ปะทะกันดุเดือดมากอีกจุดหนึ่ง เพราะถ้าหลุดจากจุดนี้ได้ก็จะเข้าใกล้ค่ายคอหงษ์แล้ว ทำให้บริเวณนี้ที่สมัยก่อนมีอุบัติเหตุและผีตายโหงมาก ชาวบ้านเลยเชื่อว่าผีฝ่ายไทยฝ่ายญี่ปุ่นหาคนมาเฝ้าพื้นที่แทน
การสู้รบอยู่ไม่เกินเที่ยงวัน ก็มีวิทยุจากกรุงเทพฯ สั่งการว่า ให้ฝ่ายไทยยุติการสู้รบกับทหารญี่ปุ่น เพราะไทยกับญี่ปุ่นเป็นเพื่อนร่วมวงศ์บูรพา แม้ว่าก่อนหน้านั้น นายมั่น นายคง และหลวงวิจิตรวาทการ จะมีวาทกรรม โฆษณาชวนเชื่อโดยตลอดเวลา อวดอ้างความรักชาติรักแผ่นดินมากมาย จะสู้จนสุดฤิทธิ์แม้ชีวิตจะดับสูญ แผ่นดินไทยไม่ให้ใครมาครอบครอง
แต่พิธีกรรมสุดท้ายของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็คือการยอมรับการเดินข้ามดินแดนของทหารญี่ปุ่น มีเรื่องเล่ากันในหมู่คนจีนรุ่นเก่า ๆ จริงเท็จไม่ยืนยันต้องใช้วิจารณญาณว่า คนงานในบ้านจอมพล ป. มีการตั้งชื่อหมาตัวหนึ่งว่า เจ๊ก เพื่อการแสดงวาทกรรมหรือพิธีกรรมเอาใจทหารญี่ปุ่นว่า ไม่ชอบหรือรังเกียจคนจีนเป็นอย่างมาก ทำให้คนจีนรุ่นก่อน ๆ จะโกรธมากถ้าถูกเรียกว่า เจ๊ก (ขอลำดับความทรงจำก่อนเขียนทวิบทครับ)
เขียนรวบรวมจากความทรงจำของคนรุ่นเก่า ๆ ก่อนจะเลือนหายไปเหมือนเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่หมดยุคหมดสมัย
Create Date : 08 กรกฎาคม 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 2 สิงหาคม 2563 1:07:14 น. |
Counter : 2013 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 8 กรกฎาคม 2553 20:16:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 8 กรกฎาคม 2553 20:35:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: ravio 8 กรกฎาคม 2553 23:08:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: ktantrar@gmail.com IP: 58.10.140.13 15 มกราคม 2563 11:21:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: ktantrar@gmail.com IP: 27.145.130.30 16 มกราคม 2563 16:39:00 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
สงขลา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]
|
เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา
เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง
ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้
ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน
|
|
|
|
|
|
|
|
คุณพ่อก็เล่าให้ฟังแค่นิด ๆ หน่อย ๆ