ความอยากอยู่รอดเป็นเรื่องของธรรมชาติ
ความอยากอยู่รอดเป็นเรื่องของธรรมชาติ

    สัญชาตญาณของมนุษย์หลักใหญ่ๆ ได้แก่อะไรบ้าง

    ๑. สัญชาตญาณแห่งการเกิด อยากให้มีขึ้นมา

    ๒. สัญชาตญาณแห่งการดำรง ยิ่งดำรงให้อยู่ อยู่แล้วต้องอยู่รอด

    ๓. สัญชาตญาณไม่อยากเปลี่ยนแปลง ไม่อยากตาย ไม่อยากสูญเสีย

    มารก็เหมือนกัน มารก็มีสัญชาตญาณเหมือนกัน เพราะมารหลงผิด 

    คนเยอะแยะหลงผิด เช่น ถ้ากินยาม้าจะขยัน คนจึงหลงผิดกัน อยากจะกินกัน เพราะอวิชชาไง จึงทำให้หลงผิดกัน หลงอยู่ในภาวะภูมินั้น

    เราไปทำศัยกรรมจมูกทำไม? บางคนมีเรื่องมีปัญหา เพราะไปฝืนธรรมชาติ เพราะความหลงผิด เพราะความอยากได้ เพราะความอยากอยู่รอด พออยากอยู่รอดแล้วเผลอหลงผิด หลงผิดยังไง เราจะต้องไปแย่งเอาของเขา แทนที่จะช่วยกันทำแล้วแบ่งปัน แต่ไปทางผิดกัน ว่าเป็นของฉัน ของฉันๆ นี่เป็นวิธีการที่ผิด เพราะว่ามรรคในทางที่ผิด 

    ทุกคนต้องมี แต่คุณใช้มรรคตัวไหน วิธีตัวไหน

    ถ้าเราใช้วิธีที่ผิด เราก็เป็น “มาร” ถ้าใช้วิธีที่ถูกจึงเรียกว่าเป็น “มนุษย์” อยู่ที่ว่าวิธีในการปฏิบัติ  นี่แหละเขาเรียกว่า “กรรม พฤติกรรม” หลังจากตัวนั้นออกมาแล้วจึงจะไปก่อกรรม

    เพราะ ๓ ตัวนี้เป็นตัวบงการให้ก่อกรรม ละเอียดไหม? ละเอียดมากนะ เราไม่เคยได้ยินที่ไหน เพราะอะไรทำไมเขาจึงต้องก่อกรรม 

    สัญชาตญาณ ๓ ตัวนี้เขาออกมาก่อกรรม แต่วิธีการเราเลือกถูกมั้ย? อยู่ตรงนี้ อยู่ที่วิธีการ เป็นขั้น “มรรค” เช่น เราอยากอยู่รอด นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เราไปเข่นฆ่าเขา เพื่อเอาให้ตัวเองอยู่รอด อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง

    แล้วพระอรหันต์ มีสัญชาตญาณ ๓ ตัวนี้ไหม?

    พระอรหันต์ก็มี ๓ ตัวนี้ ใครไม่สามารถหนีพ้นได้ นอกจากถึงจุดนิพพาน นิพพานแล้วเขาจึงจะไม่ถูกครอบงำ ถ้าเข้าสู่นิพพานแล้ว ๓ ตัวนี้ถึงจะดับ ๓ ตัวนี้คืนสู่ธรรม ไม่เอามาถูกเหนี่ยวรั้ง 

    แต่ส่วนที่พระอรหันต์ถูกเหนี่ยวรั้ง เช่น อรหันต์ยังกลับมาช่วยเหลือคนอีก เพราะว่าถูกเหนี่ยวรั้ง เพราะอยากช่วยเหลือคนให้พ้นจาก ๓ ตัวนี้ไง และตัวเองก็มี ๓ ตัวนี้ จึงต้องออกมาช่วยให้คนเขาอยู่รอดได้

    เมื่อเข้าสู่นิพพาน นิพพานเขาจะไม่มายุ่งสู่ทางนี้ล่ะ 

    คำว่า “นิพพาน” นะ อย่าไปเข้าใจผิดว่า กิเลสไม่มี ไม่ใช่นะ เขาไม่เอากิเลส กิเลสครอบงำเขาไม่ได้ เข้าใจมั้ย เราต้องจำคำนี้ให้ดีๆนะ 

    “พระอรหันต์ยังมีกิเลส แต่กิเลสจะมาครอบงำเราไม่ได้ จะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ เป็นอิสระ เป็นเอกเทศ “

    ฉะนั้น กิเลสมีหลายชั้น    อย่างคนธรรมดาสามารถเข้าถึงธรรมได้มั้ย?

    คนทั่วไปมีสิทธิ์ทั้งนั้น ถ้าเราบอกว่าเราจะต้องบวช จะต้องเป็นชาวพุทธ ในโลกนี้ชาวพุทธมีแค่กี่คน แล้วนอกชาวพุทธเขาไม่มีสิทธิ์เหรอ เราก็เป็นหนึ่งในธรรม ไม่มีสิทธิ์ได้อย่างไร

    แล้วสมัยก่อนพุทธกาลที่ยังไม่มีพุทธศาสนา แล้วเอายังไง? ไม่มีนิพพานหรือยังไง?

    มีนิพพาน แต่เขาไม่ได้เน้นตรงนั้น ไม่ได้บอก หรือเขาบอก แต่ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ อย่าไปเข้าใจว่านิพพานคือตรงนี้นะ นิพพานต้องเข้าใจถึงภาวะ ภาวะนั้นเขาจะเรียกอะไรก็ได้นะ สุดแล้วแต่ข้างนอกไปเรียกกัน ทางโลกเขาเรียกกัน

    ภาวะธรรมต่างๆ ไม่มีชื่อ พอมีชื่อออกมาอีกขั้นหนึ่ง เขาเรียกว่า “มารยา” หมายความว่า สร้างให้เข้าใจ ปรุงแต่งอธิบายให้เข้าใจได้ 

    อย่างเช่น เราเรียกว่า พระนิพพาน (Nirvana; Nibbana; enlightenment) ทางจีนเขาจะเรียก “เต๋า (道)” ก็ได้ เต๋าหรือนิพพานก็อาจจะเหมือนกันก็ได้ อยู่ในภาวะเดียวกัน อย่างทางคริสต์ก็มี คำว่า “พระเจ้า (god)” เขา อาจเป็นภาวะนี้ก็ได้ ชื่อไม่จำกัด ตราบใดถูกชื่อจำกัด ตราบนั้นก็ออกมาอีกขั้นหนึ่ง ไม่ใช่ขั้นปรมัตถ์ในสุด ปรมัตถ์หาคำยากไม่มี ถึงเรียกกันว่า คัมภีร์ไร้อักษร เขาไม่มีคำพูด ไม่มีอักษร มีแต่มีจิตวิญญาณ ข้างในที่จะสัมผัส นี่สายลึกสุด สายปรมัตถ์ เข้าไปในธรรม สัมผัสในธรรม 

 



Create Date : 06 ธันวาคม 2565
Last Update : 6 ธันวาคม 2565 11:26:22 น.
Counter : 218 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรหมสิทธิ์
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต

ศึกษาเรียนรู้ธรรมะโดยธรรม นำมาปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะนั้น ให้คนรู้จักบริหารกรรม แก้กรรม พัฒนากรรม ให้เกิดสันติสุข
New Comments
Group Blog
ธันวาคม 2565

 
 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31