จงทำสิ่งที่คุณทำได้...ด้วยสิ่งที่คุณมี...ณ จุดที่คุณยืนอยู่ - ธีโอดอร์ รูสเวลท์
Uploaded with ImageShack.us
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
2 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
ภิกษุสันดานกา (ว่าจะไม่แล้วเชียวนา)




ชื่อภาพ : ภิกษุสันดานกา โดย อนุพงษ์ จันทร

รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง

ศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 53





เพลงพุทธคุณ

ขับร้องโดย โยธิน พรหมดี

ประพันธ์โดย ศรันย์ ไมตรีเวช (ดังตฤณ)



งามรุ่งเรืองบรรเจิดจับตาลึกซึ้งแปลก
เพียงแรกแลบันดาลปีติเอ่อพ้นพรรณนา
เห็นลีลาพาใจให้เย็นระงับนิ่ง
ทุกทุกสิ่งรอบรายกลับกลายภิรมย์สิ้น
ความไร้มลทินอันยากเปรียบปาน
ความสราญวิมลแห่งผู้รู้
สุดแห่งยอดครู องค์สัพพัญญูเอก


ความซับซ้อนโอฬารที่มีที่เป็นอยู่
ครวญคิดดูเหมือนไร้ผู้อาจหยั่งรู้สิ้นแล้ว
แม้พบปราชญ์ผู้แพรวปัญญาแสนเรืองรอง
ได้เรียนลองไตร่ตรองนานช้ารู้จำพ่าย
เพียงผู้ได้เป็นนายแห่งปัญญา
จึงกาจกล้าท่วงทันสัจจะนั้น
เลิศยิ่งสามัญ ปัญญาพระพุทธส่อง


กลางหนทางวิบากยังมีศาลาร่ม
ให้ชื่นชมธาราแห่งความการุณย์อันแท้
ซาบซึมแผ่ผ่านใจอันร้อนด้วยไฟใหญ่
ดับเชื้อไฟให้สิ้นสุดลงสิ้นทางต่อ
แบกรับกรรมเพียงพอแค่ชาตินี้
ได้จบทีเพราะมีเส้นทางไว้
ให้ได้โพล่งพลันสู่การรับรู้ใหม่
พระผู้จอมธรรมตถาคตพระองค์นั้น…

------------------------


ผมได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกขณะที่อยู่เพียงลำพังที่ต่างจังหวัด
ได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกว่าไพเราะจับใจ
ทั้งที่ฟังไม่ค่อยค่อยออกว่ามีถ้อยคำและเนื้อหาอะไรบ้าง
แต่เสียงผู้ร้องและเสียงดนตรีร่มรื่นสงบเย็น
ผมมารู้ทีหลังว่าคุณดังตฤณเป็นผู้ประพันธ์เพลงนี้
นานกว่าจะได้รู้เนื้อเพลงทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง
และถึงวันนี้ผมก็ยังร้องเพลงนี้ไม่ได้
แต่ทุกครั้งที่ได้ฟังก็ยังรู้สึกไพเราะจับใจทุกครั้งไป






"อาจเป็นเพราะเหตุบังเอิญ" นิยายเล่มล่าสุดของจักษณ์ จันทร



ภิกษุสันดานกา



ศิลปินบางท่านอาจจะเลือกเขียนภาพพระสงฆ์ที่มีสง่าราศีสวยงามน่าศรัทธาน่ากราบไหว้ แต่ศิลปินท่านนี้ (ฝีมือเหลือร้าย – ผมชอบ) เขาเลือกที่จะเขียนภาพพระสงฆ์ที่เรียกว่า “ภิกษุสันดานกา” เพื่อสะท้อนความจริงในมุมมืดออกมา

ภิกษุสันดานกานี้มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณกาลแล้ว ปัจจุบันอาจจะพัฒนายิ่งๆขึ้นไปอีกก็ได้ ซึ่งใครจะกล้าปฏิเสธว่าไม่มีพระสงฆ์แบบนี้อาศัยอยู่บ้างในวัดของประเทศไทย ที่เห็นเป็นข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็ไม่น้อย ความจริงบางอย่างชั่วร้ายยิ่งกว่าภาพนี้ก็มี ศิลปินก็มีหน้าที่ถ่ายทอดความจริงออกมาในมุมมองของตน

จะว่าไปแล้วต้องขอยกย่องและปรบมือให้คณะกรรมการคัดเลือกและตัดสินซึ่งนำโดยศิลปินแห่งชาติลงมติให้ภาพนี้ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองประเภทจิตรกรรม

ผมจำได้ว่าผมมีหนังสือ "ตำราดูพระภิกษุ"อยู่พอดี (บังเอิญอยู่ใกล้มือผมเสียด้วย) ซึ่งเป็นคำแปลจากหนังสือชุดขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งเป็นพุทธทำนายเกี่ยวกับอนาคตภัยของพระพุทธศาสนา ผมจึงคัดลอกเอามาฝากันแล้วให้พิจารณาดูว่า ภิกษุสันดานกา มีลักษณะอย่างไรบ้าง

ภิกษุทั้งหลาย! กา เป็นสัตว์ที่ประกอบไปด้วยความเลว ๑๐ ประการ ๑๐ ประการอะไรกันเล่า? ๑๐ ประการ คือ

๑. กา เป็นสัตว์ทำลายความดี

๒. กา เป็นสัตว์คะนอง

๓. กา เป็นสัตว์ทะเยอะทะยาน

๔. กา เป็นสัตว์กินจุ

๕. กา เป็นสัตว์หยาบคาย

๖.กา เป็นสัตว์ไม่กรุณาปรานี

๗.กา เป็นสัตว์ต่ำช้า

๘.กา เป็นสัตว์ร้องเสียงอึง

๙.กา เป็นสัตว์ปล่อยสติ

๑๐.กา เป็นสัตว์สะสมของกิน



ภิกษุทั้งหลาย! กาเป็นสัตว์ที่ประกอบด้วยความเลว ๑๐ ประการเหล่านี้

ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกก็เช่นเดียวกับกานี้แหละ เป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรม ๑๐ ประการ ๑๐ ประการอะไรกันเล่า? ๑๐ ประการ คือ



๑. ภิกษุลามก เป็นคนทำลายความดี

๒. ภิกษุลามก เป็นคนคะนอง

๓. ภิกษุลามก เป็นคนทะเยอทะยาน

๔. ภิกษุลามก เป็นคนกินจุ

๕. ภิกษุลามก เป็นคนหยาบคาย

๖. ภิกษุลามก เป็นคนไม่กรุณาปราณี

๗. ภิกษุลากมก เป็นคนต่ำช้า

๘. ภิกษุลากมก เป็นคนพูดเสียงอึง

๙. ภิกษุลามก เป็นคนปล่อยสติ

๑๐. ภิกษุลามก เป็นคนสะสมของกิน


ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุลามกเป็นคนประกอบด้วยอสัทธรรมสิบประการเหล่านี้ แล.

(คัดจากบาลีพระพุทธภาษิต ทสก.องฺ ๔/๑๕๙/๗๗ ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ถ้าใครจะเรียกภิกษุรูปใดว่าเป็นภิกษุลามก ภิกษุนั้นคงโกรธมาก เพราะถือเป็นการประณามที่หนักแต่พระพุทธเจ้าจำแนกลักษณะของภิกษุลามกไว้ถึง ๑๐ อย่าง ภิกษุหรือฆราวาสทั่วไปน่าจะจำลักษณะเหล่านี้ไว้เป็นสูตรวัด ความเป็นภิกษุไม่ว่าเถระหรือลูกวัด เพื่อจะได้รู้ว่าเรากราบไหว้ภิกษุดี หรือภิกษุลามก)


ซึ่งผมมองจากภาพนี้แล้วต้องขอชมว่าศิลปินได้ถ่ายทอดลักษณะต่างๆซึ่งเป็นนามธรรมออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจนหมดจด ภาพเพียงภาพเดียวสามารถแทนคำได้นับพันจริงๆ เพราะ อาการปล่อยสติ ,ต่ำช้า,ทำลายความดี, หยาบคาย ฯลฯ เมื่อเขียนเป็นรูปจะต้องเขียนออกมาอย่างไรจึงจะสื่อความหมายสิ่งเหล่านั้นออกมาให้แจ่มแจ้งชัดเจนได้

ผมว่าฝีมือเขาถึงจึงเขียนออกมาเป็นภาพที่สร้างความรู้สึกเช่นนี้ได้ เพราะมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่พระดีแน่ๆ (หรือว่าพระที่ห่มผ้าเหลืองและโกนหัวนั้นต้องเป็นพระดีหมดทุกรูป -ผมไม่เชื่อหรอก) เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าภิกษุสันดานกา เพราะฉะนั้นพวกภิกษุที่ไม่ใช่สันดานกาก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไรนี่ครับ ! ผมเชื่อว่าประชาชนเขามีสติปัญญามองออกเองว่าภาพนี้แสดงถึงพระสงฆ์แบบไหน และมีเจตนาเพื่ออะไร ?

ในตำราดูพระภิกษุ - นอกจากภิกษุสันดานกายังมีอีกหลายหัวข้อนะครับ เช่นภิกษุอุจจาระ , ภิกษุมหาโจร, ภิกษุติดบ่วงกามคุณ , ภิกษุขี้เรื้อน, ภิกษุผู้นำเก๊ , ภิกษุทำศาสนาเสื่อม, ภิกษุหมกดาบในจีวร ฯลฯ แต่ละชื่อที่เอ่ยมานี้ถ้าให้คุณอนุพงษ์ จันทรวาดออกมาเป็นภาพแค่นึกก็รู้สึกสยองแล้วครับ


ผมขอส่งกำลังใจมาให้ครอบครัวจันทรและโดยเฉพาะคุณอนุพงษ์ ขออย่าได้หวั่นไหวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยครับ เพราะตัวเราเองย่อมรู้เจตนาของเราได้ดีว่าเราเขียนภาพนี้เพราะหรือเพื่ออะไร ใช่ไหมครับ ? ผมคนหนึ่งละที่ไม่เชื่อว่าคุณจะเขียนภาพนี้เพื่อการหมิ่นหรือเพื่อการย่ำยีศาสนาพุทธ คุณเขียนความจริงที่อยู่ในซอกมุมมืดต่างหาก

ผมขอสรุปสั้นๆแบบคนไม่มีความรู้ทางศิลปะว่าความจริงก็คือความงามชนิดหนึ่งครับ



ข้างล่างนี้คัดมาจากข่าวหนังสือพิมพ์คมชัดลึก


งานศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 53โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร กรมศิลปากร ร่วมกับ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดประกวดผลงานศิลปกรรม 4 ประเภท ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และสื่อประสม สำหรับครั้งนี้มีศิลปินสนใจส่งผลงานรวมทั้งสิ้น จำนวน 219 คน กับผลงานศิลปกรรม 352 ชิ้น

คณะกรรมการคัดเลือกและตัดสินนำโดยศิลปินแห่งชาติลงมติให้รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองประเภทจิตรกรรม ได้แก่ "ภิกษุสันดานกา" โดยอนุพงษ์ จันทร ส่วนประเภทประติมากรรม ประเภทภาพพิมพ์ และ ประเภทสื่อประสม ไม่มีผู้ได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 ทั้งนี้ รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง จะได้รับเงินรางวัล 120,000 บาท รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 2 เหรียญเงิน เงินรางวัล 70,000 บาท รางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 เหรียญทองแดง เงินรางวัล 50,000 บาท


อนุพงษ์ จันทร เจ้าของรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง ประเภทจิตรกรรมถึงสองสมัยซ้อน กล่าวว่า ผลงานของเขาทั้งสองปีที่ผ่านมา ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องบาปบุญคุณโทษ โดยผลงานล่าสุดนี้ มีแรงดลใจจากพฤติกรรมพระภิกษุสงฆ์ในยุคปัจจุบันที่พบเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ เปรียบเปรยกับอีกา ซึ่งเขาใช้เทคนิคสีอะคริลิกวาดลงบนเฟรมที่ขึงด้วยจีวรพระ

(26 ก.ย.) ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กทม. พระนิสิตจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) นำโดยพระมหาโชว์ ทัสสนีโย รอง ผอ.สำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ พร้อมด้วยพระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ประมาณ 100 คน เดินทางมายื่นหนังสือขอให้ระงับการแสดงภาพ “ภิกษุสันดานกา” ต่ออธิการบดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เนื่องจากเห็นว่าภาพดังกล่าวเป็นการลบหลู่พระสงฆ์


----------------------------------------------




ภาคสองของชีวิต แวง ชไม




งานแสดงศิลปะภาพถ่ายในอดีต ของแวง ชไม ( จำนวน60 ภาพ)

สถานที่ ร้าน โอลด์เล้ง R C A

วันที่ 6 ตุลาคม 2550 เวลา 5 โมงเย็นเป็นต้นไป


ขอเชิญทุกท่านไปชมได้ตามสบาย โดยไม่ต้องได้รับการ์ดเชิญ



Create Date : 02 ตุลาคม 2550
Last Update : 3 ตุลาคม 2550 15:20:44 น. 50 comments
Counter : 12190 Pageviews.

 
ท่านพี่โดม

เลือดขึ้นหน้าสันดานกาถูกหมิ่น
แหวกสายสิญจน์สำรวมมุ่งมาหา
ศิลปากรกำแพงกั้นมหาจุฬา
จึงด้นมากล่าวหาว่าดูแคลน
............
ทนไม่ได้ชายผ้าเหลืองมันร้อนผ่าว
เหตุใดเล่าจึงเสียดสีที่หวงแหน
มาปิดล้อมมหาลัยร้องให้แบน
แล้วเอาแผ่นโปสเตอร์มาห่มกาย
...........
นอนทุรนทุรายแหกปากร้อง
ให้ตากล้องรุมถ่ายภาพสื่อความหมาย
ป่าวประกาศศาสนาจะวอดวาย
จะเสียหายหากปล่อยให้ได้รางวัล
.............
"ภิกษุสันดานกา"ว่าหยามเหยียด
ยั่วยุยงคนให้เกลียดสงฆ์หรือนั่น
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนอะไรกัน
ทุกข์เหล่านั้นให้ไตร่ตรองด้วยปัญญา
.............
แล้วอย่าไปยึดมั่นมันเอาไว้
อย่าเอาใจจับที่ทุกข์นั่นเลยหนา
ให้ปล่อยวางว่างแล้วค่อยพิจรณา
ศิลปินว่ามาจริงหรือไม่
..............
อลัญชีมีเกลื่อนเมืองในยามนี้
เสพโลกีย์ปลุกเสกเลขโบ้ยใบ้
มารศาสนามาแฝงน่าเศร้าใจ
เป็นเหตุให้ศิลปินสะท้อนมา
...........
ว่า"ภิกษุสันดานกา"ยังมีอยู่
เมื่อรับรู้ให้สะสางสงฆ์เถิดหนา
เพียงตัวเดียวอย่าให้เหม็นทั้งเข่งปลา
ให้ศาสนาดำรงอยู่คู่โลกเอย.
สาธุ
*ท่านพี่โดมพิจรนาแล้วกันนะ หากว่าไม่เหมาะสม...เชิญตามสบาย


โดย: ตาพรานบุญ วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:3:24:20 น.  

 
ได้ติดตามอ่านข่าวเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน และประหลาดใจที่มีภิกษุออกมาประท้วงภาพนี้ ... ภาพออกมาแรง แต่ชัดเจนได้ใจความค่ะ


โดย: shin chan (alei ) วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:3:26:30 น.  

 
ก็กาในคราบภิกษุนี่แหละตัวดี
ที่ทำให้ศาสนาเศร้าหมอง

ยิ่งต้องพูด ยิ่งต้องเขียน
ยิ่งต้องบอกกล่าว
ยิ่งต้องชี้ตัว
ว่า..มันผู้ใดคือกา

นี่คือหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน

รู้แล้วไม่พูด เท่ากับร่วมมือ

พูดอย่างมีเมตตาธรรมสมกับที่เป็นชาวพุทธ...คารวะพี่โดม

กาออกมาเต้นผางๆ อวดความเป็นกา



งานของเขาดีจริงๆ ปรบมือให้ค่ะ


โดย: เงาศิลป์ IP: 203.146.63.189 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:8:56:38 น.  

 
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ทำไมจิตใจตรงกันเพียงนี้คะ
น้องหนูเพิ่งอัพบล็อกเสร็จตะกี้
เห็นเม้นท์พี่ที่บล็อกคุณภู เชียงดาว ถึงเรื่องนี้
เลยแว่บมา...เอ๋อเหรอเลย

ดีค่ะๆๆพี่โดมมีทัศนะในทางธรรมได้ละเอียดลออเลย
ส่วนบล็อกน้องเป็นแง่ศิลปะค่ะ
คราวหลังโทรจิตมาบอกก่อนเน้อ
ว่าจะใจตรงกันแบบนี้ คริคริ


โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:10:21:02 น.  

 
ศิลปะสะท้อนสังคม มองภาพแล้วจงวางอัตตา ย้อนดูตัวทำไมสังคมสะท้อนภาพออกมาเช่นนั้น

เพื่อนผมบอกว่าภาพวาดนี้ควรทำ copy แจกจ่ายไปติดในทุกวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติว่า มาบวชแล้วทำอะไรอยู่

พุทธบริษัทประกอบด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา
ทุกท่านใน 4 กลุ่มนี้ล้วนมีสิทธิ์
บริหารกิจการพุทธศาสนาเพื่อความสะอาดสดใส ไม่บังควรให้ใครผูกขาด

ขอให้กำลังใจศิลปิน

ปล. วานนี้เพิ่งได้คุยกับพระวัดป่าในบุรีรัมย์ คุยกันทางโทรศัพท์ ท่านกำลังรณรงค์ให้ชาวบ้านลดการใช้ถุงพลาสติก ทำปุ๋ยอีเอ็มใช้เอง เลยช่วยท่านจัดหาเอกสารประกอบความรู้เรื่องโลกร้อน การกำจัดขยะส่งไปให้ท่าน
พระที่ดี ประกอบกิจที่ดี ขออนุโมทนาสาธุ



โดย: J IP: 203.154.114.253 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:10:27:23 น.  

 


อาโดมคะ

ฝากให้กำลังใจ คุณอนุพงษ์ จันทร ด้วยอีกคน

ภาพดีมากๆ ค่ะ


โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:10:35:06 น.  

 
พี่โดม,ครับ...
เรื่อง "ภิกษุสันดานกา" นั้น
อยากจะบอกว่า...
"ศิลปะก็คือศิลปะ" แม่นก่อนิ...
ผมดูแล้ว มองแล้วทำให้จินตนาการไปไกลเลย
ว่า ทั้งงามและเป็นจริง...

และเราจำเป็นต้องยอมรับความจริง !!
จะให้ผมศรัทธาและนับถือพระอีกมั้ย....
เมื่อผมสัมผัสกับพระบางรูป เป็นทั้งเจ้าอาวาส ที่แอบชอบเล่นสีกา กระทั่งสามีของนางเสียใจ เลิกกับภรรยา เมามาย จนตรอมใจตาย

แเมื่อผมสัมผัสกับพระบางรูป เป็นทั้งเจ้าอาวาส เจ้าคณะอำเภอนั่งเลือกซื้อหวยกลางวิหาร ได้ข่าวว่าเป็นขาใหญ่ และถูกทุกงวด แต่ชาวบ้านก็ยังยกมือไหว้อยู่...

กระนั้น, ชาวบ้านบอกว่า ช่างเถอะ...ก็พระดีๆ ตอนนี้หายาก และเขาก็เป็นพระนักพัฒนาด้วยนิ ประมาณว่า ศีลธรรมพับเก็บเอาไว้ก่อน...

นี่ยังไม่ต้องนับถึงเรื่อง พระบ้าจตุคาม นะครับ...

อยากให้ทุกคนที่เป็นชาวพุทธ(จริงๆ ) ได้หาเวลาไปอ่านธรรมะของ ท่านพุทธทาส กันเยอะๆ เนอะ

และขอเป็นกำลังใจให้กับ จักษณ์ จันทร ด้วยครับ...
(เพิ่งรู้ว่าเป็นคนๆ เดียวกัน)



โดย: pu_chiangdao วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:11:29:37 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะพี่โดม
ที่นำภาพมาให้ชมพร้อมเนื้อหาในทางธรรม กำลังสนใจมากแต่ไม่ทราบรายละเอียด

ชื่นชมศิลปินค่ะ
ชัดเจน ตรงประเด็น


โดย: ภูเพยีย วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:11:33:05 น.  

 


ขอลัดคิวตะโกนบอกภู เชียงดาวก่อนว่า จักษณ์ จันทร ไม่ใช่คนเดียวกันกับ อนุพงษ์ จันทร แต่จักษณ์เป็นพี่ชายของอนุพงษ์

เดี๋ยวจำไปผิด แล้วพูดต่อผิดครับ !


โดย: พ่อพเยีย วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:11:51:29 น.  

 
ว่าแล้วต้องมีคนพลาด อิอิ...คุณภูเอ๋ย...

ภาพภิกษุสันดานกานี่
น้องหนูเห็นตั้งแต่สูจิบัตรงานเมื่อนานมาแล้ว
ยังสนใจภาพมากๆจริงๆภาพใหญ่มาก มีรายละเอียดน่าสนใจอีก
แต่เมื่อเช้าหาเล่มนั้นไม่เจอเฉยเลย
แล้วก็อ่านตำราดูพระมาเหมือนกันค่ะ
เห็นว่าภารสร้างสรรค์ของศิลปินมีที่มาที่ไป
และสะท้อนสังคมอย่างมีพลังด้วย
ติดตามตั้งแต่ต้นน่ะ แต่คิดว่าเลิกกันไปแล้ว

เมื่อเช้าเห็นอ.ประหยัด พงศ์ดำ ประธานกรรมการตัดสินรางวัล
มาให้สัมภาษณ์
ตามความเป็นตัวตนของศิลปินคนหนึ่งของท่าน
สิ่งที่ท่านพูด กระทบใจมาก

ทำนองว่าไม่ใช่แค่เพียงเห็นสีเหลืองเราก็กราบไหว้..
และต้นไม้มีหนอน แมลง มาเจาะไช
ก็เหมือนพระพุทธศาสนาที่มีคนไม่ดีมาแอบแฝง
ศิลปินคนนี้ก็สื่อถึงคนในผ้าเหลือง ไม่ใช่ "พระ"ด้วย
......
ก็เลยให้หดหู่ใจนัก...ถึงบางความเป็นไปของคนที่ไม่เข้าใจศิลปะ
และบางคนที่ไม่ลึกซึ้งในการนับถือศาสนาด้วย
รูปแบบการปกป้องไหนกันเล่า ที่มีส่วนช่วยจรรโลงศ่าสนาอย่างแท้จริง
"พระที่แท้"เป็นอย่างไร....

เป็นที่มาของการอัพบล็อก จบค่ะ


โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:12:16:56 น.  

 
ตอนนี้ผลงานของอนุพงษ์ คงเป็นที่ต้องการของนักสะสมศิลปะเป็นอย่างยิ่ง อย่าห่วงไปเลย ยิ้มรับได้เลย เพราะนี่มิใช่การโปรโมทภาพเขียนเฉกเช่นกรณีที่ผ่านมาสามสี่ปีก่อนหน้านี้...ที่กรมศิลปนาฎศิลป์ออกมาประท้วง ภาพยักษ์กับนางแ์บบเปลือย


โดย: ตาพรานบุญ วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:12:31:19 น.  

 
ภาพน่ากลัวจัง
ดูแล้วไม่สบายใจเลย

ไปดีกว่า



โดย: แพรจารุ วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:12:38:48 น.  

 
สวัสดีครับพี่โดม


วันก่อนผมนอนดูสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่อง "ภิกษุสันดานกา"
ทางรายการตาสว่าง....

แม้แต่ภรรยาของผมยังแสดงความคิดเห็นได้น่าสนใจ
เธอบอกว่า "ไม่เห็นน่าเกลียดตรงไหนเลย
ที่ศิลปินเค้าวาดก็เป็นเรื่องจริง"

เธอไม่มีความรู้ในเรื่องของศิลปะเลยนะครับ
แต่เธอแยกออกว่าอันไหนคือ "ศิลปะ" อันไหนคือ "ความจริง"

น่าแปลกที่วันนั้นเราเห็นภิกษุรูปหนึ่งมานอนประท้วงศิลปิน
นอนลงไปกับพื้น แล้วก็เอาโปสเตอร์รูปวาดของคุณอนุพงษ์มาปิดหน้าตัวเอง
ตั้งข้อหาฉกรรจ์ว่า...ศิลปินท่านนี้
ทำลายพุทธศาสนา

.......................


คืนนั้นท่าน ว .วชิรเมธี ได้ให้ทัศนะไว้ว่า
ไม่ว่าคนที่ชอบหรือไม่ชอบ
คนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้
ขอให้คิดว่า ทุกปัญหา สามารถเปลี่ยนให้เป็น ปัญญาได้....

สงฆ์เองก็ต้องย้อนมองตัวเองว่าได้ทำและเป็นอย่างที่ศิลปินสะท้อนออกมาหรือไม่

.............................


ผมนึกถึงคำพูดนึงครับพี่
สังคมเราชอบ "ความจริง" แบบที่ถูกใจตัวเองเท่านั้น
พอใครสักคนลุกขึ้นมาพูด "ความจริง" ที่เราไม่ชอบ เคืองใจ ขัดใจ ก็ไม่พอใจ แล้วก็ปฏิเสธ "ความจริง" ด้านที่ตัวเองไม่ชอบ

เราถามตัวเองก่อนดีมั้ยครับว่า พระอลัชชีแบบนี้มีจริงหรือไม่
พระเสก พระสร้างแต่พระเครื่อง พระที่ใบ้หวย พระดูหมอ พระทำเสน่ห์ ฯลฯ

พระแบบไหนที่ลากจูงฝูงชนให้ห่างไปจากหลักธรรมอันเป็นแก่นคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้เตลิดไปจากทางสายเดิมที่ควรจะเป็น

......................

เรายอมรับแต่ "ความจริง" ที่เราถูกใจ
ก่อนยัด "ความจริง" ที่ตัวเองรับตัวไม่ได้ไว้ใต้พรม
เหมือนหลายๆเรื่องในบ้านนี้เมืองนี้ที่เราทำกันมาอย่างยาวนาน
และด้วยความเคยชิน.



โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:12:43:22 น.  

 
กลับมาอีกทีหลังจากไปทำใจ พิจารณาโดยละเอียด ภาพนี้ถ้าออกไปแล้ว ไม่มีปฏิกริยาอะไรเลยก็แปลกล่ะ

มันต้องโดนอยู่แล้ว ภาพโดนใจขนาดนี้ อยากจะบอกว่าเป็นธรรมดานะศิลปิน เพราะเราไม่เลือกที่จะวาด ดอกไม้ข้างวัด

และเป็นธรรมดาอีกที่แม่จะกังวลกับพวกเราที่เลือกจะวาดและเขียนเรื่องที่ไม่งาม

ในมุมที่ไม่น่ามอง และน่ากลัวก็เป็นเช่นนี้แหละ มันอยู่ที่ว่า เราเลือกที่จะปืดหรือเปิดตา

ดีใจที่โดมเอาเรื่องและภาพมาลงถือว่า ดีกว่าให้กำลังกันเฉย ๆ คุณอนุพงษ์ คงไม่เป็นไรหรอก แต่เป็นห่วงคุณแม่จัง แม่เราก็เจอเรื่องแบบนี้ที่กังวลกับงานของลูกบ่อยเหมือนกัน


โดย: แพรจารุ วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:12:50:27 น.  

 
เหอๆๆ ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลย
ขอโทษคร้าบ...


โดย: pu_chiangdao วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:12:58:40 น.  

 
สิ่งที่ภิกษุท่านนั้นทำลงไปคือ การนอนบนถนนแล้วเอาโปสเตอร์มาห่มร่างนั้น ในทางศิลปะก็มีทำเหมือนกันเรียกว่า Performanceartจ้า...แต่ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาด้วย


โดย: ตาพรานบุญ วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:15:54:53 น.  

 
ตามมาจากบล็อกคุณ "ยิปซีฯ" ครับ


ไม่เข้าใจพระที่มาขอให้งดการแสดงภาพชุดนี้เพราะเห็นว่าเป็นการลบหลู่พระสงฆ์

ผมไม่คิดว่าจะเป็นการลบหลู่เลยสักนิด เป็นภาพวาดที่เกิดจากแรงบันดาลใจในทางลบจากพระสงฆ์กลุ่มที่ประพฤติตัวไม่ดี ก็เท่านั้นเอง

ผมว่าสิ่งที่พระสงฆ์กลุ่มที่ทำตัวไม่ดีเหล่านั้นทำ สมควรแก่การเดินทางไปประท้วงมากกว่าเสียอีก


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:16:53:57 น.  

 
สวัสดีค่ะพ่อพเยีย...
ถ้าในด้านศิลปะ หนูก็คิดว่าเป็นงานที่สวยค่ะ
ศิลปินฝีมือเฉียบน่าสนใจจัง...

ส่วนในด้านความเห็นอื่นๆหนูความรู้น้อย
ไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าค่ะ
แม้จะมีความกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

ปลายเดือนพ่อพเยียลงใต้หรือคะ
ไปนานเหมือนครั้งก่อนๆหรือเปล่า
ส่วนหนูวันศุกร์นี้จะไปเขาใหญ่
ก็ขออนุญาตหายกายไปสามวันนะคะ



โดย: ตะเบบูญ่า IP: 58.8.65.209 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:17:35:50 น.  

 
สมัชชาชาวพุทธระบุว่า ภาพภิกษุสันดานกา สร้างความเสียหายให้แก่พระสงฆ์ คือไม่มีพุทธศาสนบัญญติไว้ในที่ใดว่า สงฆ์มีลักษณะดังกล่าว เป็นการบิดเบือนคำสอนไม่เคารพศาสนวัตถุ คือ ใช้จีวรในทางไม่เหมาะสม...

มีคำอธิบายว่า "จีวรเป็นผ้าที่ใช้นุ่งห่มของพระในพุทธศาสนา เป็นศาสนวัตถุที่สำคัญที่ชาวพุทธเคารพอย่างสูงยิ่ง เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นศาสนทายาท ในพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ที่มีสิทธิครองจีวรได้ต้องได้รับการบรรพชาหรืออุปสมบทแล้วเท่านั้น ซึ่งในพุทธศาสนาจะบวชให้ได้เฉพาะแก่มนุษย์เท่านั้น ไม่บวชให้สัตว์นรก เดรัจฉาน เปรต เทวดาหรือพรหม"
ฉะนั้นภาพ ภิกษุสันดานกา จึงเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพระภิกษุและพุทธศาสนาลงบนจีวร เป็นการสื่อให้คนเข้าใจผิดว่า เปรตก็มีสิทธิห่มจีวรและใช้บาตรได้เป็นการบิดเบือนคำสอนของพุทธศาสนา....

...ต้องให้วาดพระสงฆ์ไทยที่มีข่าวกับสีกา หรือพระที่มาประชุมประท้วงเรียกร้องให้บัญญัติพุทธศาสนาในรัฐรรมนูญเป็นศาสนาประจำชาติ..หรือการอาศัยผ้าเหลืองร่วมกันสร้างกระแสจตุคามรามเทพ จึงถือว่ามีเกิดขึ้นจริงไม่บิดเบือนพุทธศาสนา...รึ

ผมว่าฝีมือเขาถึงจึงเขียนออกมาเป็นภาพที่สร้างความรู้สึกเช่นนี้ได้ เพราะมองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่พระดีแน่ๆ (หรือว่าพระที่ห่มผ้าเหลืองและโกนหัวนั้นต้องเป็นพระดีหมดทุกรูป -ผมไม่เชื่อหรอก) เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าภิกษุสันดานกา เพราะฉะนั้นพวกภิกษุที่ไม่ใช่สันดานกาก็ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไรนี่ครับ ! ผมเชื่อว่าประชาชนเขามีสติปัญญามองออกเองว่าภาพนี้แสดงถึงพระสงฆ์แบบไหน และมีเจตนาเพื่ออะไร ?

...เชื่อว่าในสายตาของพุทธศาสนิกชนและคนทั่วไปย่อมเข้าใจได้เอง..โดยไม่ต้องมีคำอธิบายใต้ภาพ หรือขอคำอธิบายจากผู้วาดเลยว่า ผู้วาดมิได้หมายถึงภิกษุทั่วไป แต่หมายถึงอลัชชีที่แฝงตัวมาหากินในพุทธศาสนา

...งานศิลปะคืองานศิลปะ...

หากภาพนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในพุทธศาสนาให้ เราท่านในสังคมได้รับรู้ จึงควรร่วมแก้ไขปัญหาและต้องแก้ที่เหตุ
การระงับการแสดงภาพจึงมิได้เป็นการเเก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะถามว่าช่วยให้ปัญหา การปลอมบวชเพื่อหากินกับพุทธศาสนาหมดไปหรือไม่........

ตอบว่า...ไม่...






...


โดย: ทะเล IP: 58.9.99.165 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:0:36:44 น.  

 
เมื่อวานได้ดูข่าวเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ..ทางASTV

ต่างคนต่างความคิดค่ะ สำหรับแม่น้องนิก ชอบภาพนี้ ที่สะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่าง เหมือนเหาที่ติดอยู่บนหัวนิกนั่นแหละค่ะ

ไปอยู่ถึงเมืองนอก นึกว่ามันสูญพันธุ์ที่แท้..ยังมีอยู่อีกแน่ะ


โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.141.244 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:2:44:58 น.  

 
เรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนาเนี่ยย ไม่ค่อยสันทัดเลย

วันนี้เขียนเรื่องการรุมประชาทัณฑ์ค่ะ อยากถามว่า ในความคิดของคุณพ่อพเยีย คิดว่าทำไม เขาต้องเปลือยท่อนล่างแล้ว เหยียบ..เจ้าโลกด้วย...
สบายดีกาน่าค่ะ


โดย: shin chan (alei ) วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:3:37:25 น.  

 


โดย: ป้าซ่าส์ วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:6:45:38 น.  

 
ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งด้านสงฆ์และศิลปิน

ทางศิลปินต้องการสะท้อนด้านมืดของพระสงฆ์ ถ้าเข้าใจไม่ผิดคิดว่าคงต้องการให้พระสงฆ์เลว ๆ หมดไป

พระสงฆ์แท้ ๆ ก็มีอยู่มาก คนเลวห่มผ้าเหลืองแอบอ้างเป็นสงฆ์แต่เพีงเครื่องแต่งกายก็มีไม่น้อย

แต่การที่ศิลปินเขียนภาพสะท้อนด้านมืดของสงฆ์นั้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบมิได้มีเพียงสงฆ์เลวเท่านั้น แต่เป็นศาสนาพุทธทั้งศาสนาทีเดียว ผมคิดว่ามุมมองของสงฆ์ที่มายื่นหนังสือคงเป็นแบบนี้ครับ


โดย: 9A วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:9:19:16 น.  

 
หากงานศิลปะได้สะท้อนถึงสภาพของสังคม หรือปัญหาของสังคม ก็เท่ากับ ศิลปนั้นได้รับใช้สังคมเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และช่วยให้สังคมดีขึ้น...

คุณอนุพงษ์ได้ทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีคนหนึ่ง ที่นำความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในพุทธศสนาและพรสวรรค์ในการเป็นจิตรกรของตนมารับใช้สังคมด้วยการตีแผ่พวกอลัชชีที่แฝงตัวหากินกับพุทธศาสนา

ขอให้กำลังใจคุณอนุพงษ์ให้ทำงานศิลปะต่อไปอย่าท้อถอย และขอให้สมัชชาชาวพุทธจงทำหน้าที่ดูแลพุทธศาสนา และกระทำการอันเป็นหน้าที่ และบทบาทซึ่งพึงแสดงต่อไป

ยังมีปัญหาอีกมากมายที่สมควรแก่การแก้ไขอย่างเร่งด่วน และควรทำอย่างเข้มข้น บทบาทของสงฆ์ไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตามหน้าหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ต่างๆ มิได้มีแต่ศิลปินเท่านั้นที่รู้สึก ชาวบ้านก็พูดกันเต็มไปหมด หนังสือพิมพ์ก็ทำหน้าที่ของสื่อฝ่ายฆราวาสตรวจสอบข้อเท็จจริงนำมาตีแผ่แก่สังคม

มหาเถรสมาคม หรือสมัชชาพุทธศาสนิกชน ก็ยังมิได้มีการปรับบทลงโทษ หรือการบริหารจัดการกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ ...หากปล่อยให้พูดกันไปเรื่อย ทำกันไปเรื่อย ก็คงจะมีแต่ทำให้พุทธศาสนาตกต่ำลง และทำให้สังคมแย่ลงไปทุกขณะ แล้วพุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไรในสังคมที่เสื่อมโทรม....

พุทธบริษัททั้งหลายมิควรนิ่งเฉย ต่อการกระทำที่หมิ่นต่อศาสนา ..แต่ควรอยู่บนพื้นฐานของสติ และ ปัญญา มากกว่า ศรัทธา



โดย: ทะเล IP: 58.9.99.165 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:10:40:05 น.  

 
แล้วถ้าเปลี่ยนจากด้านมืดของวงการสงฆ์
มาเป็นด้านมืดของวงการตำรวจ
ด้านมืดของวงการราชการ
ด้านมืดของวงการการเมือง
ด้านมืดของวงการนักศึกษา
ด้านมืดของวงการบันเทิง9ล9....จะมีคนออกมาประท้วงว่าดูหมิ่นรึป่าว? อันไหนไม่ดีก็แก้ ใช้โอกาศนี้แก้ซิ


โดย: ตาพรานบุญ วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:11:22:15 น.  

 
ส่งเมล์โค้ดเพลงไปให้แล้วนะคะ
เพิ่งจะเปิดเมล์ เมื่อเช้านี้เองค่ะ


โดย: สเลเต วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:11:34:24 น.  

 
สวัสดีครับทุกๆท่าน

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆความเห็น

ไม่ว่าจะเห็นเหมือนหรือเห็นต่าง

ผมก็ยินดีน้อมรับฟังทั้งนั้น

เพราะผมมีคาถาประจำใจไว้อันดับแรกก่อน

คือ "นานา จิตตัง"

ที่คิดหรือรู้สึกต่างกัน ก็เพราะสิ่งที่มีในจิตต่างกัน

หน้านี้ขอไม่ตอบเป็นรายบุคลลนะครับ

เพราะผมได้แสดงความคิดเห็นของผมไปแล้วในเรื่องที่ผมเขียน



เชิญครับ !

ใครมีความเห็นที่ต่างออกไปก็ใส่เข้ามาเลยครับ

ยินดีต้อนรับทุกความเห็น

ขอบคุณอีกครั้งครับ


โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.20.227 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:11:46:14 น.  

 
ร้อยตาพิศ.....ร้อยจิตจินตนา
ภาพแทนภาษา.....วาจาแก้ต่างใจ

พินิจภาพเช่นไร....
ใจอาจคิดอย่าง....
ปากอาจไปอย่าง.....
ข้างใน...ใครรู้....

งานนี้...ภือว่า.....เจ้าของงานประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้วค่ะ
เพราะคนชมภาพร้อยคน...ร้อยความคิด....
งานศิลปะ...อย่าดูแคลนความคิดผู้เสพ
อย่าดูหมิ่นจินตนาการผู้ชม....

ใครคิดเช่นไร....ดูเบื้องหลังความคิดได้
ที่การสำแดงวาจากับงานชิ้นนั้น

เป็นงานที่ทำให้เห็นคนค่ะ.....


ชอบ....ชอบ....ชอบ....
ชอบงานชิ้นนี้....เขาเปลือยความคิดและภูมิหลังคนได้

ไปบ้านยิปซีมา...แล้วก็เอามาแปะด้วย...รีบน่ะ
ว่ามาอัพบล๊อคแล้วรีบไป....อดไม่ได้
เอาแค่หอมปากหอมคอก่อนนะ....ถ้าพูดมันยาว เดี๋ยวไม่ได้ไปไหนกะเขา

มาถึงพะเยาแล้วค่ะ....ยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก
พอมาถึงก็ต้องมาช่วยๆเขาเตรียมงานเทศกาลกินข้าวสลาก
แม่อุปัฐากพระไว้ที่วัด....ก็ต้องเอาตานุไปช่วยตามที่พระอยากได้....
สงสัยจะเขียนอุปะฐากผิด...พิสูจน์อักษรให้ด้วยนะคะ...เดี๋ยวจะโทรไปคุยด้วยทีหลังค่ะ
ไปซื้อบัตรเติมเงินก่อน


โดย: ปลายแปรง วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:12:17:39 น.  

 
พี่โดม สายลม ไปนะคะ
วันที่6 ต.ค จะไปชมภาพเลสๆๆ
อะไรน่า หูผึ่งเจ้าค่ะ


โดย: ดอกดาญ่า IP: 210.86.146.198 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:12:44:49 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่โดมและทุกๆคน

หายไปนาน ทุกคนคงสบายดีนะคะ..

.



โดย: ยานา IP: 203.172.48.127 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:18:55:41 น.  

 
ไปบลอกยิบซีแล้วเข้ามาบลอกนี้
ทำเอางง
เรื่องเดียวกันเลยนะคะนี่


โดย: filmgus วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:19:55:18 น.  

 
ชอบความคิดเห็นของคุณพ่อพเยียมากๆเลยค่ะ คงเพราะด้วยประสบการณ์ชีวิตที่มีมากพอจะวิเคราะห์ออกมาได้น่าสนใจ โดยส่วนตัวใช้แนวคิดตามที่เรียนมาเท่านั้น ...
ตอนนี้พอมีเวลาก็หาข้อมูล เพราะเชื่อว่าแต่ละสังคมต้องมีเหตุผลในตัวมันเอง ... แต่ตอนนี้อยากกินไก่ย่างกับข้าวเหนียวมากค่ะ
......เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย..

ที่กาน่าคาดว่าคงมีคำพูดอะไรแน่ค่ะ คงไม่เถื่อนถึงกับไปซ้อม ต้องให้เวลาอีกนิดเพื่อเรียนรู้ สำหรับเรื่องพระพรหม ได้ข่าวเหมือนกัน ยังรู้สึกสลดใจกับการกระทำของทั้ง2 ฝ่าย ...


โดย: shin chan (alei ) วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:22:51:47 น.  

 
ครอบครัวศิลปินโดยแท้ พี่เขียนหนังสือ น้องเขียนภาพ สุดยอดครับสุดยอด

ข้าน้อยขอคารวะ


โดย: pc. IP: 125.26.156.241 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:15:05:02 น.  

 
ทุกวันนี้พระสงฆ์ ที่น่าเคารพก็มีน้อย ส่วนคนที่เคารพพระสงฆ์, พระพุทธศาสนา(อย่างแท้จริง)ก็มีลดน้อยถอยลงเช่นกัน หากคนพุทธไม่ปกป้องพุทธศาสนา ก็คงจะถึงกาลสิ้นพระพุทธศานาจริงๆ


โดย: หมูกระทะ IP: 58.8.116.5 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:16:37:58 น.  

 


ยังเข้ามาที่บล็อก............ของอา
ลงชื่อ..นก..ว่ามา............อ่านไว้
ความรู้ ความคิด พา........ก้าวย่าง ไกลเฮย
ผูกจิตผูกใจให้...............ตรึงแล้ว เยี่ยมเยือน

กำลังหัดเขียนโคลงค่ะ อาโดม



โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:12:27:02 น.  

 
อ่านขวัญเรือนเรื่องราวของพี่ชบาฉายน่าสนใจครับ
เดี๋ยวผมตามไปสวัสดีพี่เค้าดีกว่าครับ

สวัสดีนะครับพี่โดม



โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:15:45:29 น.  

 
เพื่อนโพ้มกะน้องเพื่อนโพ้มค้าบ

บทวิเคราะห์ของพี่โดม ซู้ดหยอดมากค่า


โดย: กฤติศิลป์คนเดิมเจ้า IP: 202.57.170.80 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:1:49:37 น.  

 
คุณอนุพงษ์ครับ ถึงอย่างไรผลงานชิ้นนี้ก็ได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการให้ได้รับรางวัลแล้ว ก็ลองมีผลงานสะท้อนสภาพสังคมผ่านศาสนาอื่นบ้างนะครับ โดยเฉพาะอิสลาม (ก็เห็นบอกว่าทุกสังคมมีปัญหาเหมือนกัน) หรือว่าทำได้เฉพาะกับพุทธศาสนาเท่านั้น


โดย: เพียงดิน IP: 61.90.165.235 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:13:08:13 น.  

 
ที่ศิลปินเค้าวาดนะ ไม่ใช่พระสงฆ์สักหน่อย นั้นมัน สมุติสงฆ์ เป็นเพียงคนในผ้าเหลือง เจตนา เค้าน่าจะดีต่อพระศาสนานะครับ เพียงแต่ถ่ายทอดและแสดงมาในมุมลบเท่านั้นเอง ไม่ได้ว่าพระพุทธศาสนานะครับ ผมเป็นคนวาดภาพและสนใจในพระศาสนาตลอด (ถ้าใครมาทำลายพระศาสนาก็ไม่ขอยอมเหมือนกัน) ได้ติดตามงานของอนุพงษ์มานาน3-4ปีแล้วครับ เค้าไม่ได้มีเจตนาทำลายพุทธศาสนา แต่การสร้างรูปเคารพ เครื่องรางของขลังต่างๆซิน่ากลัวเอาพระพุทธรูปมาบังพระพุทธเจ้าหมดเลย คนไม่นับถือในพระธรรมคำสอน มุ่งแต่สิ่งภายนอก น่าสงสารครับ ของให้กำลังใจอนุพงษ์ คนวาดภาพนี้ครับ


โดย: peace_life IP: 222.123.99.84 วันที่: 7 ตุลาคม 2550 เวลา:16:44:36 น.  

 
เต้นผางผางน่าขำทำพิธี
อวดฤทธีปลุกเสกให้เลขหวย
สะเดาะเคราะห์เสกสักทักดวงซวย
อ้างองค์ช่วยต่อชะตาแล้วว่าดี
**********
นี่ก็สันดานกาใช่มั๊ยท่าน เห็นบ่อย ๆ พระประเภทนี้ พระดีๆ ท่านคงไม่เดือดร้อน กินปูนร้อนท้องเหมือนพระบางองค์ที่ออกมาประท้วง ... ควรจะยอมรับความจริงกันเสียทีกับวิถีปฏิบัติของพระนอกรีตบางองค์ อ่านโพสต์นี้แล้วชอบมากครับ พ่อเพยีย...
***ด้วยระลึกถึง****


โดย: โฟล์คเหน่อ วันที่: 10 ตุลาคม 2550 เวลา:2:14:15 น.  

 
พระดีก็มาก
พระเลวก็เยอะ
นี่คือความจริง
นี่คือตรรกะ
ถ้ามนุยย์ไม่ยอมรับความจริง
ย่อมไม่มีทางไปสู่ความจริง
ตาสว่างแต่กลับมืดมน
มีสมองแต่กลับคิดเพียงอคติ

ประท้วงไปทำไม?


โดย: คนธรรมดา IP: 58.8.122.182 วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:10:15:08 น.  

 
ในกรณีที่จิตรกรนำเสนอภาพของพระและกา “ภิกษุสันดานกา” นั้น ผิดหรือไม่?
ในสังคมเรา จิตรกรนั้นก็มีสิทธิเสรีภาพที่จะทำได้ ไม่มีกฎหมายใดๆ ระบุโทษ เกี่ยวกับการกระทำเช่นนี้ แต่ในมุมมองของหน้าที่และจรรยาบรรณ(Duty and Ethic) ของจิตรกรนั้น เราคงจะต้องมาดูกันอีกที
ความหมายของจรรยาบรรณ นั้น หมายความถึง การยังกิจเพื่อประโยชน์ หรือความอยู่รอดอยู่ดีของส่วนรวม ดังนั้น ผู้ที่มีจรรยาบรรณ จึงจำต้องเสียสละบางสิ่ง เพื่อส่วนรวม และต้องตระหนักถึงหน้าที่ของตนที่พึงกระทำ อาทิ แพทย์ มีหน้าที่ ต้องดูและสุขภาพร่างกายให้กับคนไข้ ถึงแม้บางครั้งต้องอดหลับ อดนอน มีเวลาพักผ่อนน้อยลง แต่ก็เป็นหน้าที่และต้องเสียสละเวลานั้นๆ
ศิลปิน มีหน้าที่ ที่จะให้ความงามและความเบิกบานทางจิตใจ ต่อผู้คน หากลองจินตนาการว่า โลกนี้ไม่มี ดนตรี, ไม่มีสถาปัตยกรรม, ไม่มีการฟ้อนรำ, ไม่มีภาพเขียน ฯลฯ ก็คงไม่ต่างไปกับยุคหินหรือ เก่าก่อนกว่านั้น ที่ส่วนใหญ่ยังดิบด้าน อารยะธรรมยังไม่รุ่งเรื่อง ปราศจากสิ่งจรรโลงใจ
อารยะธรรม (Civilization) จะเลิศเลอได้ไม่เกินความฝันของผู้คน และมันเป็นความฝันของศิลปินเท่านั้น จะเห็นว่า ยุคที่รุ่งเรืองในอดีต ก็จะมีผลงานศิลปะที่งดงาม เป็นมรดกตกทอดไปยังยุคอื่นๆ ดังนั้น ศิลปิน ก็คือ มนุษย์ผู้สร้างสรรค์ มิใช่ทำลาย
การที่นำเสนอ “พระ” ซึ่งเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย หนึ่งในสามสิ่งสูงสุดของพระพุทธศาสนา ในเชิงนี้ ถูกหลักหน้าที่และจรรยาบรรณ ของศิลปินหรือไม่ เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องนำไปคิดต่อ
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ที่เกิดในสโมสร(Club) แห่งหนึ่งในอเมริกา “มีการแสดงตลกเดี่ยว (Standup Comedy) ซึ่งคนแสดงนั้น ก่อนที่จะขึ้นเวที เขาได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าภรรยา ซึ่งเป็นที่รักยิ่งของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ว่ามันก็ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นเวทีเพื่อจะทำให้คนหัวเราะ เขาจึงตัดสินใจว่าเขาจะต้องขึ้นเวทีและแสดงให้ดีที่สุดในชีวิตเพื่ออุทิศในแก่ภรรยาของเขา แล้วเขาก็ขึ้นเวที ผู้คนหัวเราะชอบใจกับมุขตลกของเขา เขาแสดงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ในเวลานั้นเขาไม่มีตัวตนของเขาเอง เขาให้ตัวตนทั้งหมดกับผู้ชม จนกระทั่งตอนจบ เขาขอให้ผู้ชมยืนสงบสักหนึ่งนาทีไว้อาลัยให้ภรรยาเขาทุกคนยืนสงบนิ่ง และหลังจากนั้น เขาก็เดินลงเวทีด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา ผู้ชมยืนปรบมือ(Standing Ovation) ให้กับเขาดังสนั่นและตัวเราเองก็มีความรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เสียงปรบมือดังแม้กระทั่งเขาได้ออกไปจากห้องแสดงแล้ว เป็นระยะเวลานานพอสมควร บรรยากาศทำให้ผู้ชมรู้สึกใกล้ชิดกัน ได้แบ่งปัน(Share)ประสบการณ์ที่ประทับใจและความรู้สึกนี้จะคงอยู่กับผู้ชมเหล่านั้นไปจนวันตาย ” นี่ล่ะคือ ศิลปิน ที่แท้จริง ที่มีจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม เราขอถามว่ารูปภาพที่เขียน ดังกล่าวมีคุณภาพเช่นนี้หรือไม่ หรือมันให้แค่ความสะใจกับคนบางกลุ่มเท่านั้น

ประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ผลงานนั้นเป็นผลงานศิลปะระดับเหรียญทองหรือไม่? หรือเป็นเพียงแค่ภาพประกอบความคิดหรือเรื่องราวที่จิตรกรนำเสนอ
เราต้องแยกแยะให้ออกระหว่างผลงานภาพประกอบ (Illustration) กับผลงานศิลปะ (Art Work) ผลงานภาพประกอบนั้น จะติดอยู่กับรูปลักษณ์, เทคนิค, ฝีมือ ฯลฯ แต่ไร้วิญญาณ ขณะที่ผลงานศิลปะมีพื้นฐานอยู่บนความจริงหรือธรรมชาติ ความงามคือความจริง และความจริงนั้นอยู่ที่การมอง การรู้จักใช้ระบบการมองที่ธรรมชาติให้มาให้เป็น ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ปรัชญา ทั้งสิ้น
“เรามีข้อกังขาว่าผลงานเหรียญทองนั้น มีคุณลักษณะและองค์ประกอบของอะไรกันแน่ แค่เพียงคุณสมบัติขั้นอนุบาลหรือประถมที่ต้องมีในรูปภาพ ซึ่งเกี่ยวกับ จังหวะ การเคลื่อนไหวและโครงสร้างของภาพ อันเปรียบได้กับ จังหวะ, ทำนองและคอร์ด ในทางดนตรี ภาพนี้ก็ยังมีปัญหา ทั้งนี้เราไม่ได้มา ด่า ว่า หรือวิจารณ์อะไร แต่เพียงแค่มีคำถามและข้อสงสัยเท่านั้น ดูๆแล้ว ผลงานดังกล่าวนั้น อยู่บนพื้นฐานของ เส้น, แรเงา และลงสี ถ้าเป็นเช่นนี้ มันก็ตื้นเกินไปที่จะเป็นผลงานศิลปะ
และขอถามว่า เรามีศิลปินระดับ Rembrandt, Valasquez, Monet, Renior, Piccasso ฯลฯ หรือไม่ ถ้าคำตอบคือไม่มี ก็แสดงว่าเราล้าหลังเขาอยู่ประมาณ 500ปี จะมาว่าอันนั้นของฝรั่ง อันนี้ของไทยมันก็ไม่ถูก เพราะธรรมชาติเป็นของมนุษย์ไม่ใช่ของชนชาติใดชาติหนึ่ง เราคิดว่าสถาบันและจิตกร ควรจะพิจารณาตัวเองในแง่นี้ และเริ่มตั้งหน้าตั้งตาศึกษา ค้นคว้าแนวทางไปสู่ความงามของความจริง ไม่ใช่งมงายอยู่กับความคิด(Idea) ลากเส้น, แรเงา, ลงสี, น้ำหนัก สัดส่วนและรูปลักษ์ ฯลฯ เหรียญทองหรือเหรียญเงิน ไม่มีประโยชน์ใดๆต่อส่วนรวม ความงามเท่านั้นที่เป็นประโยชน์ ทั้งหมดนี่คือความจริง ถ้าเราไม่หลอกตัวเอง ประเด็นมันก็ชัดเจน
ประชาชนทั่วไปไม่ให้ความสนใจกับผลงานศิลปะมากนัก เราไม่โทษประชาชนเลย เพราะเขาก็มึนงงสับสนกันไปหมดว่า ความงามนั้นคืออะไรกันแน่ เขาจึงไม่สนใจ ถ้าจิตรกรทำหน้าที่ค้นคว้า, พัฒนา, เผยแพร่ ความจริงของความงาม ประชาชนก็จะมีจิตใจที่งดงาม จิตรกรหรือศิลปินก็จะได้รับการยกย่องนับถือจากประชาคมโลก ตัวอย่างเช่น ผลงานของ Leonado da Vinci, รูป “The Last Supper” ที่ต้องจองตั๋วล่วงหน้าเข้าชมเป็นเดือน สองเดือน กว่าจะได้เข้าไปดู รูป “Mona Lisa” ใน Louvre คนแน่ขนัดห้องจนแทบจะมองรูปไม่เห็น ผลงานของ Monet หรือ Renior ก็เช่นกัน ขอถามว่าเรามีศิลปินระดับนั้นไหม? ถ้าไม่มีแล้ว สถาบันและจิตรกร ควรจะทำอย่างไร? จะหลอกตัวเองอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร?
ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องขออภัยที่พูดความจริง ขอให้จิตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบัน อันสูงส่งไปคิดกันเป็นการบ้าน
และขอโทษประชาชน พระ ศาสนา แทนจิตรกรส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้มีความคิดในแนวทางนี้ รูปดังกล่าวให้ความอัปยศมากกว่าความงาม”

Ra Ariyamitr


โดย: Ra Ariyamitr IP: 203.131.217.37 วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:11:58:39 น.  

 
แรงไม่จบ
โดยส่วนตัวไม่มีอคติกับภาพนี้
แต่ก็ไม่นึกต่อต้านกับผู้ทีต่อต้านภาพนี้เช่นกัน เพราะเข้าใจในเจตนาดี รักในพุทธศาสนาเหมือนกัน เพียงแต่มองและตีความต่างกัน


โดย: ก้อ IP: 124.121.122.234 วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:1:52:43 น.  

 
ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆค่ะ
วาดได้ตรงกับภิกษุ(ปลอม)บางคนในปัจจุบันจริงๆ บางครั้งเห็นคนเหล่านั้นแล้วยังนึกในใจเลยว่าอยากจะทำอะไรๆให้โลกรู้บ้างว่าคนที่อาศัยผ้าเหลืองห่มน่ะมีจริงๆ แล้วทำไมผู้ใหญ่ผู้โตในบ้านในเมืองยังปกป้องและทำเพิกเฉยอยู่ได้ บางครั้งยังนึกว่าประเทศไทยนี้มีกฎหมายไว้ปกป้องคนชั่ว ซำเติมคนดี พอมีคนออกโรงมาว่าก็หาว่าเขาไม่ดีเหมือนคุณ อนุพงษ์ จันทร ขอเป็นกำลังใจ และขอให้ช่วยขจัดคนชั่วๆออกไปจากสังคมไทยด้วยค่ะ (เพราะตัวเองทำไม่ได้จึงต้องอาศัยผู้กล้าช่วย)


โดย: สนต้องลม IP: 117.47.65.154 วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:19:20:03 น.  

 
พี่อนุพงษ์เค้าก็แค่ศิลปิน ศิลปินมีหน้าที่ถ่ายทอดอารมณ์จากความรู้สึก และจิตนการออกมาเป็นภาพ ก็แค่นั้น ไม่ได้หวังที่จะลบหลู่ศาสนา เพราะเราก็คือพุทธศาสนิกชนเหมือนกัน เพียงแต่บอกเป็นนัยว่า ทุกสังคมก็ย่อมมีทั้งคนดีและเลวปะปนกันไปรวมถึงสังคมของฆราวาส ไม่มีสังคมไหนที่ดีเลิศประเสริฐศรีหรอก ถ้ายังไม่ถึงขั้นบรรลุนิพาน
ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง เมื่อไหร่นะ ถึงจะหลุดพ้น ตอนนี้ทุกคนก็อยู่ในวังวนนี้กันหมด เป็นพระก็น่าจะมีสติมากกว่าคนธรรมดา น่าจะคิดไตร่ตรองให้สมเหตุสมผล ศิลปะก็แค่การแสดงออกทางความรุ้สึกให้คนชมรับรู้ถึงสุทรียภาพ ไม่ได้จะยุให้พระมาทะเลาะกับประชาชน พระน่าจะเป็นที่พึ่งทางใจให้มนุษย์ดไม่ใช่ให้ยุให้เค้าทะเลาะกัน พระย่อมเป็นที่เคารพบูชาทุกคนรู้ แต่ศิลปินแค่แสดงและถ่ายทอดอีกมุมหนึ่งของคนที่ฉวยโอกาสกอบโกยโดยอาศัยผ้าเหลือง
แต่ไม่ได้ว่าพระซักกะหน่อย พระคือพระ แต่มารศาสนาก็คือมาร ไม่เกี่ยวกัน เป็นกำลังใจให้ศิลปินนะคะ


โดย: นาธรรม์ IP: 58.9.130.165 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:21:38:01 น.  

 
ศิลปินไม่มีสมอง ไร้จรรยาบรรณในการนำเสนอ จะไปเป็นครูบาอาจารย์เขาได้อย่างไร ถ้ายังทำอะไรแบบไร้สติขาดสามัญสำนึกอยู่อย่างนี้ ทำลายพระศาสนาชัดๆยังจะมาทำเป็นพูดอีกว่าทำเพื่อพระศาสนา พระชั่วๆ(คนห่มผ้าเหลืองทำชั่ว)เขาไม่กระเทือนหรอกค่ะกับอีแค่ภาพคุณน่ะ แต่พระดีๆท่านก็ถูกผลกระทบค่ะ คือผลกระทบทางสังคมนะค่ะแน่นอนท่านต้องได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วล่ะค่ะ คิดหน่อยค่ะก่อนทำอะไร คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ประโยชน์ส่วนตนรองลงมา เพราะถ้าศิลปินวาดภาพแนวนี้ก็เท่ากับบั่นทอนความน่าเคารพศร้ทธาของพระสงฆ์ ทำให้ศาสนานั้นขาดความน่าเชื่อถือ เอาหล่ะค่ะถึงว่าแม้พระไม่ดีจะมีอยู่จริงแต่ว่าก็มีจำนวนน้อยมากถ้าหากเทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วน้อยมากค่ะ และเราไม่ได้มาปิดบังอำพรางอะไรค่ะ แต่เรื่องบางเรื่องถึงแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมได้เหมือนกันค่ะ บางเรื่องควรประจาน บางเรื่องควรทำเฉยๆ ต้องดูว่าเมื่อเราทำลงไปแล้วใครได้ ใครเสีย มีผลดีหรือผลร้ายมากกว่ากันนะค่ะ ถ้าหากว่าเราเป็นคนพุทธจริงนะ ไม่ควรจะมาหวั่นไหวกับเรื่องแค่นี้ค่ะ เพราะมันมีมาตั้งแต่ครั้งที่พระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู


โดย: เซล IP: 222.123.121.119 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:34:50 น.  

 
ในกรณีที่มีการประท้วงของพระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชน ไม่ให้มีการจัดแสดงภาพศิลปะที่ชื่อว่า “ภิกษุสันดานกา” ซึ่งทำให้ชาวพุทธไม่พอใจเนื่องจากเจ้าของภาพไม่มีความเข้าใจในหลักธรรมอย่างแท้จริง ได้นำเอาหลักพุทธพจน์ ปะติดปะต่อระหว่างภาพในหนังสือภาพไตรภูมิพระร่วง กับกากสูตรในพระไตรปิฎก มากล่าวอ้างเพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับตัวเองหรือกับภาพศิลปะที่ตนเองวาดขึ้นมานั้น หรือจะอะไรก็แล้วแต่ ภาพที่ว่านี้ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวางจากชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณรหรือแม้กระทั่งฆราวาสญาติโยมอีกบางกลุ่ม เพราะกระทบกระเทือนจิตใจของผู้ที่มีศรัทธาอย่างมั่นคงในหลักธรรมที่เป็นจริง
หากเรามอง ในแง่ศิลปะ อาจดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มันเป็นเรื่องของความงาม ความจริงบางอย่าง ที่สามารถสะท้อนความจริงของสังคมในแง่มุมหนึ่ง(ต้องบอกว่าสะท้อนได้เพียงเสี้ยวส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งเท่านั้น) หากแต่ศิลปินดึงสถาบันพระพุทธศาสนามาทั้งสถาบันลงมาเล่น และที่น่าช้ำใจและเสียใจไม่มีอะไรจะมาแทนที่เทียบเท่าได้ก็คือ ศิลปินได้นำเอาจีวรพระจริงๆนี่แหละซึ่งได้ชื่อว่าเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์มาใช้เป็นอุปกรณ์รองวาด ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร ใช้สมองเน่าๆส่วนไหนมาคิดทำเรื่องสัปดนเช่นนี้ได้ สำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ซึ่งส่งผลตามความคาดหมายของผู้บรรจงวาดภาพจนได้รับรางวัลเกียรติยศโด่งดังและได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่ว ได้รับความชื่นชม ชื่นชอบ และความเห็นชอบจากศิลปินมากหน้าหลายตาที่เราเรียกกันว่าล้วนแล้วแต่จบมาจากนอก (คอก) กันทั้งนั้น โดยที่ศิลปินคนที่อ้างตนเองว่าเป็นชาวพุทธแบบพันเปอร์เซ็นต์อย่างนายอนุพงษ์ จันทรนั้นไม่เคยรู้ตัว ไม่สำนึกตัว และไม่สนใจต่อศรัทธาของผู้คน เรียกว่า มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อสุนทรียศาสตร์ แต่ขาดความรับผิดชอบในทางจริยศาสตร์ คือ สนใจแต่ความงาม แต่ไม่ใส่ใจว่าสมควรหรือไม่ ไม่สนใจว่าความงามที่ตนเองบรรจงรังสรรค์ออกมาอวดสายตาประชาชีนั้นมันเป็นการสร้างสรรค์หรือว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาที่ตนเองพูดนักพูดหนาว่าเป็นชาวพุทธสนใจเรื่องพุทธมาตั้งแต่แบเบาะดังที่ให้สัมภาษณ์ไปในหลายๆครั้งนั้นกันแน่ ! ……
นายอนุพงษ์ พยายามเอาเรื่องราวหรือภาพเขียนที่มีปรากฏอยู่ในหนังสือภาพไตรภูมิพระร่วงที่มีรูปพระที่จีวรลุกไหม้ที่หมายถึงความชั่วหรือความไม่ดีต่างๆที่ทำลงไปนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สามารถหนีพ้นไปได้ แม้แต่พระภิกษุนักบวชต่างๆก็เช่นเดียวกัน ซึ่งว่าโดยความหมายก็คือเรื่องของกรรม ความดี ความชั่วที่ไม่ว่าใครทำก็ต้องได้รับผลของกรรมอยู่แล้ว เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ไม่มีเว้นไม่ว่าพระ หรือฆราวาสญาติโยม เป็นภาพที่ศิลปินรุ่นบรรพชนได้เขียนไว้ในหนังสือภาพไตรภูมิพระร่วงกับเรื่องของกากสูตรในพระไตรปิฎกมาผสมผสานให้เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กากสูตรพูดถึงเรื่องของธรรมชาติของกา ๑๐ ประการเปรียบเทียบกับภิกษุที่ไม่สำรวมอินทรีย์ ไม่เหมาะแก่การกราบไหว้ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนภิกษุ ไม่ใช่ว่าจะใช้เป็นมาตรฐานหรือเป็นตำราในการดูพระอย่างที่ศิลปินให้สัมภาษณ์ไปนั้นไม่ เพราะเราไม่สามารถที่จะให้คำนิยามหรือตราหน้าใครต่อใครว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้คนนี้เป็นอย่างนั้นได้โดยแค่เพียงการสังเกตสังกาด้วยนัยน์ตาเพียงอย่างเดียว คนที่ดูมีภูมิฐานน่าเคารพกราบไหว้เบื้องหลังก็ไม่ดีก็มากมาย คนที่ทำอะไรเซอะๆ เก้ๆกังๆ งุ่นง่านไม่เข้าท่า แต่ก็เป็นคนดีก็มีถมไป เคยดูบ้างไหม รายการ “คนค้นคน” น่ะ ตัวอย่างก็มีให้ดูถมไป ทำไมต้องเอามาเป็นเครื่องชี้วัดขนาดนั้น ตัวอย่างที่สำคัญที่ชาวพุทธควรรู้ เช่น มีครั้งหนึ่งสารีบุตร ซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธองค์ต้องเดินทางผ่านร่องน้ำขนาดเล็ก พระสาวกรูปอื่นก็ด้วยความสำรวมท่านเหล่านั้นก็พากันลงลุยเดินผ่านไป แต่ท่านพระสารีบุตรกลับกระโดดข้ามไปเสียอย่างนั้น พระภิกษุสงฆ์ปุถุชนทั้งหลายก็พากันโจษจันกันไปทั่วว่า “พระสารีบุตรเป็นถึงพระอัครสาวกเบื้องขวา กลับทำตนไม่สำรวม ไม่เหมาะกับฐานะของตน” พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า “นั่นเป็นวาสนาของพระสารีบุตรที่ยังตัดไม่ขาด เพราะเธอเคยเกิดเป็นลิงมานับชาติไม่ถ้วน ด้วยความเสพจนคุ้น เธอจึงไม่อาจละวาสนาอันนี้ไปได้” นี้ขนาดพระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ก็ยังมีความคะนองด้วยอำนาจแห่งวาสนาเก่าของตน เพราะฉะนั้นมันวัดกันไม่ได้เลยสำหรับตำราดูพระฉบับนี้อะน่ะ...
ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะคัดค้านพระพุทธพจน์ที่ปรากฏในกากสูตร หากแต่พยายามที่จะอธิบายให้เข้าใจตรงกันว่า พระพุทธองค์ตรัสกากสูตรไว้ก็เพื่อตรัสสอนพระสาวกของพระองค์ และเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายแม้แต่ตัวผู้เขียนบทความนี้เองก็ยอมรับ แต่เนื้อความในกากสูตรไม่ได้กล่าวถึงการเสพสังวาส คุณไสยน์ หรือของขลังอย่างที่ศิลปิน(ชอบ)วาด ออกมาซึ่งแสดงให้เห็นทัศนะของศิลปินว่าได้ทำการเหยียบหยามและดูหมิ่นสถาบันพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพระสงฆ์สักเพียงใด โดยศิลปินพยายามสื่อให้สังคมรับรู้ว่าในสังคมนั้น พระก็ไม่ใช่ผู้วิเศษ มีผีเปรต ผีห่าซาตานอะไรต่างๆนาๆที่มันสิงอยู่เหมือนกัน แต่ศิลปินกลับสื่อออกมาอย่างไม่ฉลาดสมกับรางวี่รางวัลที่ได้รับไป เพราะศิลปินนำเอาจีวรพระมาเป็นสื่อสำคัญในการละเลงอารมณ์ที่แคบๆ ต่ำๆของตนเองออกมาให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาได้ดู เป็นการเอาพระพุทธศาสนามากางออกแล้วใช้พู่กันและสีบวกกับความคิดที่ไม่อยากจะเรียกว่าสร้างสรรค์นั้นป้ายเปรอะให้แปดเปื้อนไปทั้งหมด ทำให้ใครๆมองพระพุทธศาสนาในแง่ลบไปเลยก็มี เพราะศิลปินยกเอาพระพุทธศาสนาทั้งหมดมาอธิบายผ่านรูปภาพเพียงรูปเดียว ไม่ใช่สิ หลายๆภาพ โดยเฉพาะภาพที่ศิลปินให้ชื่อว่า “หมา-มนุษย์” ถ้าหากว่าศิลปินต้องการสะท้อนให้สังคมมองเห็นในด้านมืดหรือความไม่ดีงามต่างๆของตัวพระสงฆ์บางกลุ่ม หรือบางรูป ศิลปินก็คงสื่อออกมาในลักษณะอื่น หรืออย่างอื่น นี่แสดงให้เห็นความไม่ชาญฉลาดของศิลปิน แต่นี่อะไร ชอบทำอะไรแบบเหมารวมไปซะหมด เอะอะก็จีวร , พระ , หมา , กา , องคชาต ที่มีพระเป็นองค์ประกอบสำคัญของภาพเสมอๆ มิได้ขาดหายตายตกบกพร่องแม้สักครั้งคราวที่นึกวาดกวัดแกว่งอาวุธอยู่ทุกคราครั้ง (สงสัยศิลปินคิดเรื่องอื่นไม่เป็นแล้ว จึงวนๆหากินอยู่แต่กับเรื่องพระ เพราะดังเร็ว เหมือนทีวีบางช่องก็ชอบออกเรื่องพระ และกรรมก็ตามทัน ไม่แน่นะ ศิลปินท่านนี้อาจจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันก็ได้ใครจะรู้ มันเป็นเรื่องของอนาคต )
หลายคนมองว่า “พระเรานั้นเรื่องมาก อะไรนิด อะไรหน่อยก็แตะไม่ได้ ถ้าหากว่าศาสนาพุทธมันบอบบางเปราะบางขนาดนั้นก็เลิกนับถือไปเถอะ ไปนับถือศาสนาอื่นดีกว่า” ว่าไปโน่น นี่ก็คือคำพูดของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธอีกท่านหนึ่งที่มีคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง
ไม่ว่าใครทุกคน โดยเฉพาะพระเราก็พยายามทำความเข้าใจและคิดเข้าข้างเจ้าของภาพว่าเขาสร้างศิลปะเพื่อให้เกิด”ความสะเทือนใจ”แก่ผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนิกชนซึ่งมีจำนวนมากในประเทศไทย เป็นที่ยอมรับกันว่าความจริงมีหลายด้าน หลายมิติ ในขณะที่ศิลปินรุ่นเก่าเลือกที่จะนำเสนอความจริงในเชิงสร้างสรรค์ แต่ภาพภิกษุสันดานกา นำเสนอความจริงในเชิงวิพากย์โต้แย้ง ศิลปินรุ่นเก่าเลือกที่จะนำเสนอความจริงที่ควรจะเป็นซึ่งเป็นอุดมคติ เข้าถึงได้ยาก แต่ภาพภิกษุสันดานกานำเสนอความจริงที่เป็นอยู่ มีอยู่จริง หากแต่เป็นความจริงที่น้อยนิดในสังคมบ้านเรา
นั่นเป็นเรื่องของศิลปะ เป็นเรื่องของความงาม ที่หลายคนแม้กระทั่งศิลปินเองผู้ดื่มด่ำอยู่กับศิลปะ อาการดื่มด่ำของศิลปินเช่นว่านี้ เมื่อดื่มด่ำจนขาดสติ ย่อมทำให้หลง เมื่อหลงมากเข้าก็ยึดมั่นถือมั่น เมื่อยึดมั่นมากเข้าทำให้พาล หาว่าผู้อื่นไม่มีความรู้เรื่องศิลปะไปเลยก็มี โดยที่สุด ก็มองไป ทึกทักไปกับคนที่เขาพยายามจะปกป้องสิ่งที่เขาศรัทธาว่าไม่มีความรู้ ไม่เข้าใจเรื่องศิลปะ สำคัญว่าตัวเองเป็นหรือคิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน ความเห็นของผู้อื่นผิดไปเสียหมด อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง
ศิลปะนั้น คืออะไร ? ใครๆก็อาจให้นิยามและความหมายที่ผิดเพี้ยนแตกต่างกันไป ถ้ากล่าวว่า ศิลปะคืออะไรก็ได้ที่ศิลปินต้องการนำเสนอและสื่อให้ผู้คนในสังคมได้รู้สึกสะเทือนอารมณ์หรือเข้าใจตามความหมายที่สื่อออกมาให้รู้ตามอารมณ์ขึ้นๆลงๆของศิลปินนั้น โดยที่มุ่งถึงความเป็นศิลปะ ความงาม สุนทรียภาพทางศิลปะอย่างเดียวโดยไม่ได้นึกคำนึงถึงความรับผิดชอบในแง่ของจริยธรรมในสังคมเลยอย่างนั้นหรือที่เราท่านทั้งหลายควรยอมรับ
ถ้าหากเป็นดังนั้นแล้วละก็ ศิลปินสามารถที่วาดภาพอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพนู้ด ภาพโป๊เปลือย ภาพเสพสังวาส หรืออะไรก็แล้วแต่ โดยอ้างว่าเป็นความงาม เป็นศิลปะชั้นสูงหรือใช้เพียงคำคำเดียวว่า “มันเป็นศิลปะ” ทุกอย่างก็จบ อย่างนั้นหรือ? แล้วความรับผิดชอบต่อสังคม ผลกระทบต่อสังคมล่ะใครจะรับผิดชอบ?
ศิลปินมักอ้างข้างๆคูๆว่า “มันเป็นศิลปะ” จริงอยู่ อะไรๆก็เป็นศิลปะไปเสียหมด แต่ขอบเขต ในการนำเสนอหรือจรรยาบรรณของศิลปินมีที่สิ้นสุดไหม หรือว่าคิดจะนำเสนออะไรก็ได้ ไม่สนใจว่าจะกระทบกระเทือนใคร ถ้าหากว่าขอบเขตหรือจรรยาบรรณของศิลปินไม่มี ถ้าอย่างนั้นใครจะวาดรูปลามกจกกะเปรตอะไรก็ได้ แล้วเอามานำเสนอตีพิมพ์เผยแพร่สู่สายตาของเด็กเยาวชนคนทั่วไป ตามป้ายโฆษณาใหญ่ๆ ตามทีวีช่องต่างๆ อย่างโจ๋งครึ่ม ก็น่าจะทำได้ อย่างงั้นซิ ? มันต้องมีขอบเขตของการนำเสนอ ไม่ใช่ว่าใครจะทำอะไรก็ได้อย่างนี้
บางท่านหาว่า พระไม่รู้ศิลปะ พระทำไมต้องออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา แทนที่ศาสนาจะปกป้องคน หาว่าศิลปินวาดภาพแทงใจดำพระ หรือกระตุกต่อมโกรธของพระล่ะซิ พระจึงได้ตะบะแตกอดรนทนอยู่ไม่ได้ อยากถามว่าคนที่ถามคำถามนี้ โง่หรือว่าแกล้งโง่กันแน่ เปรียบเหมือนกับคนที่ถามคำถามนี้มีพ่อมีแม่ผู้บังเกิดเกล้า วันดีคืนดีมีคนมาวาดรูปพ่อรูปแม่ของผู้ที่ถามคำถามนี้ให้มีหน้าตาเหมือนพ่อเหมือนแม่คนถามคำถามนี้ แต่ตัวเป็นหมูเป็นหมา ยื้อแย่งแยกเขี้ยวใส่กันอยู่ในท่าเปลือยอะไรทำนองนี้แล้วเอาไปตีพิมพ์ประกาศโฆษณาไปทั่ว แล้วถามว่าคนที่ถามคำถามนี้จะยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสมีหน้าตาเบิกบานเท่ากระด้งอยู่ได้ไหม? พระพุทธศาสนาก็เช่นกันเปรียบเสมือนพ่อแม่ของพระสงฆ์องค์เจ้า เมื่อมีใครมาดูหมิ่นเหยียดหยามและที่สำคัญมันไม่เป็นความจริง เราก็ต้องปกป้อง มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญอยู่แล้วทำไมต้องอธิบายให้คนโง่ๆอย่างนี้ฟังก็ไม่รู้ หลายท่านอาจแย้งว่า ศิลปินเขาก็วาดโดยไม่ได้ว่าใครนี่ ใครเดือดร้อนก็แสดงว่าเป็นดังภาพ พูดอย่างนั้นมันก็ถูก แต่ว่าถูกไม่หมด ศิลปะอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของคนเรา เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเสพศิลปะอะไร ชิ้นไหนก็ได้ที่เราประสงค์ ถ้าหากว่าศิลปินไร้จรรยาบรรณในการนำเสนออย่างนี้ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างนี้ โดยอ้างว่าเป็นศิลปะ ใครที่คัดค้านต่อต้านงานศิลปะของตนก็กลายเป็นพวกโง่เง่าไม่รู้เรื่องศิลปะไปทั้งหมด แต่อย่าลืมนะว่า “คน” นั่นแหละที่เป็นผู้เสพศิลปะ ไม่ใช่จะให้หมาให้แมว ให้เชื้อโรค วัวควาย หรือภูเขาเหล่ากาที่ไหนมาเสพศิลปะ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าผู้ที่เสพศิลปะนั้นคือ “คน” ศิลปินก็ควรระมัดระวังการนำเสนอให้ดีกว่านี้ ที่ผิดไปก็รู้จักขอโทษ รู้จักมั๊ยคำว่าขอโทษ มันสะกดยังไง ทำไมถึงไม่สามารถให้เกิดขึ้นในจิตใจด้านๆแข็งกร้าวของศิลปินท่านนี้ได้เลย เพราะการที่ศิลปินวาดภาพโดยใช้จีวรเป็นอุปกรณ์สำคัญในการวาด และได้วาดภาพจีวรของพระลงไปในภาพก็แสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เป็นการกระทำที่เกินเลยอย่างมาก และเป็นการกระทำที่บังอาจไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง ภาพและชื่อภาพสื่อให้เห็นว่าพระเณรทุกรูปในสังฆมณฑลล้วนแล้วแต่เหมือนในภาพทั้งหมด เพราะอะไร เพราะศิลปินไม่ได้ให้เงื่อนไขอะไรไว้ในภาพเลย การสื่อออกมาในแนวนี้ทำให้เกิดการเหมารวมอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ จะแก้ตัวว่า ผมวาดสะท้อนให้เห็นถึงปีศาจหรือเปรตที่แฝงตัวอยู่กับพระภิกษุบางกลุ่ม บางรูปก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะภาพของท่านไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น มันเป็นการเหมารวมเข้าใจมั๊ย สงสัยศิลปินไม่เคยเรียนตรรกศาสตร์ ว่าประพจน์ไหนเป็นประพจน์ A , E , I , O ส่วนมากจะเลือกใช้ประพจน์ A และ E คือพวกชอบเหมารวม ระวังนะวาดไปวาดมาจะกลายเป็นเปรตไปเสียเอง ในฐานะที่ได้ป้ายสีความมืดดำเปรอะเปื้อนให้พระพุทธศาสนาต้องมัวหมอง และไม่ต้องกลัวว่าพระสงฆ์องค์เจ้าจะด้อยในเรื่องศิลปะ ศิลปะอยู่ในวัดก่อนที่จะถูกคัดลอกออกไปดัดแปลงจนหมดค่าราคาคุณอย่างที่พวกท่านกำลังทำอยู่นี้เสียอีก เห็นมั๊ย พอใช้คำว่า “พวก” ก็แสดงว่าใช้ประพจน์ A เหมารวมอีกแล้ว นี่ก็คือตัวอย่างง่ายๆ การเลือกใช้คำว่า “ภิกษุ” นำหน้าคำว่า “สันดานกา” ของท่านก็เช่นกันเป็นการเหมาโดยใช้ประพจน์ A เช่นเดียวกัน.....
เกิดคำถามตามประสาคนปัญญาอ่อนว่า “ทำไมพระต้องปกป้องพระพุทธศาสนา” อยากตอบให้ได้ยินกันดังๆว่า “พระไม่ได้มีหน้าที่เพียงศึกษาพระธรรมวินัย ฉันแล้วก็นอนเอกเขนกอย่างเดียว ภารกิจหลักของพระนอกจากจะศึกษาหาความรู้ในเรื่องหลักธรรมและนำมาปฏิบัติแล้ว ภารกิจหรือหน้าที่ที่สำคัญอย่างที่สุดของพระเณร ก็คือการสืบทอดพระพุทธศาสนา และกระบวนการในการสืบทอดพระพุทธศาสนาก็ไม่ใช่มีแค่เพียงการศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่หลักธรรมอย่างเดียว หากแต่ยังต้องปกป้องและกำจัดมลทินที่มาทำร้ายทำลายพระพุทธศาสนาให้มัวหมองอีกด้วย”
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีมารมาทูลขอพระองค์ให้เสด็จปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ดูก่อนมารผู้มีบาป ตราบใดที่สาวกของเรายังไม่เข้าใจในหลักธรรมคำสอนของเรา เราจะยังไม่ปรินิพพาน”
“ดูก่อนมารผู้มีบาป ตราบใดที่สาวกของเรายังไม่บรรลุคุณวิเศษ เราจะยังไม่ปรินิพพาน”
“ดูก่อนมารผู้มีบาป ตราบใดที่สาวกของเรายังไม่เข้าใจสามารถแสดงธรรมสั่งสอนผู้อื่นได้ เราจะยังไม่ปรินิพพาน”
“ดูก่อนมารผู้มีบาป ตราบใดที่สาวกของเรายังไม่สามารถปรัมปรวาท คือโต้แย้งทำความเข้าใจ ชี้แจงความถูกผิด ควรไม่ควร ต่อลัทธิศาสนาอื่นได้ เราจะยังไม่ปรินิพพาน”
จึงเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสั่งสอนให้พระสงฆ์สาวกของพระองค์วางอุเบกขา หรือปลงอย่างไม่รู้อินังขังขอบ การปลงก็ต้องมีเหตุสมควร ไม่ใช่อะไรก็ปลงๆไปเรื่อย ถ้าอย่างนั้นก็ปลงทุกอย่างไม่ต้องสนใจอะไรถูกผิด ควรไม่ควร ชีวิตพระมันก็ไร้สาระไม่มีประโยชน์จะมีชีวิตอยู่กันไปทำไม หากว่าอยู่ก็เหมือนตายไปแล้ว เพราะไม่มีความคิด ไม่สามารถพูดจาปราศรัยได้ นี่คือตัวอย่างหนึ่งของคำว่า “ปลง”ที่เข้าใจกันผิดๆ ไปศึกษาเรื่องการปลงของพระพุทธศาสนาให้เข้าใจให้ถ่องแท้เสียก่อนนะว่ามีขอบข่ายหมายความว่าอย่างไร นี่แหละหนา เขาว่าพวกฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด เพราะพระพุทธองค์ทรงเปิดโอกาสไว้สำหรับให้สาวกของพระองค์ได้มีสิทธิ์แสดงความเห็นหรือโต้แย้งได้ถ้าเห็นว่าเขากล่าวหาหรือพาดพิงมาไม่ถูกไม่ต้องได้ จึงจะสามารถสืบทอดพระพุทธศาสนาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าใครจะว่า จะด่า จะพาดพิงเสียๆหายๆ อะไรก็ได้ จะให้แต่พระ ปลงๆ ไปเรื่อย ไม่คิดจะให้อธิบายอะไรเลย อย่างนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย ฟังความข้างเดียวนี่อันตรายนะ ผลสรุปก็คือเชื่อความข้างเดียวนั่นเอง
จากที่ได้ติดตามข่าวสาร ได้ทราบข้อมูลพอสมควร รายการทีวีรายการหนึ่งขอตั้งชื่อรายการว่า “ตาสว่างมา มืดไป” รายการนี้ได้เชิญมาแต่ศิลปิน มาช่วยกันพูดสนับสนุนรูปภาพภิกษุสันดานกา (แต่ในขณะนั้นภาพหมา-มนุษย์ยังไม่ปรากฏให้ประชาชีได้เห็น) ยิ่งดูไป ชมไปก็น่าเห็นใจอยู่ เพราะเป็นการนำเสนอฝ่ายเดียว ช่างเป็นการลำเอียงโดยแท้ แถมท้ายรายการโทรศัพท์ขอความคิดเห็นจากพระรูปหนึ่ง พระท่านก็แสดงความคิดเห็นแบบประนีประนอม แต่ไม่เท่าไหร่สายเกิดขัดข้องแถมหมดเวลาเสียอีก มันก็เป็นซะอย่างนี้ แหล่ะ
ในความเห็นของผู้เขียน สื่อได้แต่ช่วยกันนำเสนอฝ่ายเดียวตลอด เหมือนกับไม่ให้ความสนใจในจริยธรรมเอาเสียเลย เพิ่งจะเห็นว่าสื่อเริ่มแสดงทีท่ากลับลำก็เมื่อภาพที่มีนามว่า “หมา-มนุษย์” ปรากฏออกมาให้เห็น เป็นภาพสุนัขห่มจีวรหมอบนอนอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจีวรที่ชาวพุทธถือกันว่าเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์จะมีคนทำได้ถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของภาพเป็นศิลปิน ผู้วาดภาพนี้คือนายอนุพงษ์ จันทร คนเดียวกันกับเจ้าของภาพ'ภิกษุสันดานกา' ชาวพุทธเห็นภาพหมา-มนุษย์ที่ว่านี้แล้ว ทำให้รู้สึกว่ามันเกินเลยไปแล้ว เกินพอที่จะทนไหวกับพฤติกรรมย่ำยีของคนที่บอกว่าตัวเองนับถือพระพุทธศาสนา นับถือศาสนาแบบนักการเมืองก็เคยเห็นมาแล้ว วันนี้เพิ่งได้เห็นการนับถือศาสนาแบบศิลปิน บอกตรงๆคำเดียวว่า”รับไม่ได้”
นี่คือภาพ'หมา-มนุษย์' เป็นภาพสุนัขห่มจีวรหมอบนอนอยู่ ผู้วาดภาพนี้คือนายอนุพงษ์ จันทร คนเดียวกันกับเจ้าของภาพ'ภิกษุสันดานกา'
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ 24 ข้อ 77 หน้า176 กากสูตร ว่าด้วยอสัทธรรมของกา ไม่มีเรื่องเสพสังวาสแม้แต่น้อย มันเป็นภาพที่เกินเลยไปจริงๆ ข้อความในกากสูตร ว่าด้วยอสัทธรรม 10 ประการ พระพุทธเจ้าตรัสว่า”ดูกรภิกษุทั้งหลาย กาประกอบด้วยอสัทธรรม 10 ประการ 10 ประการเป็นไฉน คือ
1.เป็นผู้มักกำจัด 2.คะนอง 3.ทะเยอทะยาน 4.กินจุ 5.หยาบช้า 6.ไม่มีกรุณา 7.อ่อนแอ 8.มักร้อง 9.หลงลืมสติ 10.สั่งสม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กาประกอบด้วยอสัทธรรม 10 ประการนี้แล ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุชั่วก็ประกอบด้วย อสัทธรรม 10 ประการ ฉันนั้นเหมือนกันแล 10 ประการเป็นไฉน คือ 1.เป็นผู้มักกำจัด(หมายถึงกำจัดความดีของผู้อื่นชอบใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น) 2.คะนอง 3.ทะเยอทะยาน(อยากดัง) 4.ฉันจุ 5.หยาบช้า 6.ไม่มีกรุณา 7.อ่อนแอ 8.มักเรียกร้อง 9.หลงลืมสติ 10.สั่งสมดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชั่วประกอบด้วย อสัทธรรม 10 ประการนี้แลฯ”
ในกากสูตรนี้ไม่มีเรื่องภิกษุสันดานกา แต่เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าพระสงฆ์ที่ประพฤติตัวไม่ดี ว่าเหมือนกาเท่านั้น พระองค์ไม่ได้พูดถึงการผสมพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ ดังเช่นในภาพของนายอนุพงษ์ พระธีรวิทย์ ฉนฺทวิชโช ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์ พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า
“เมื่อถูกแย้งมาก เข้าเจ้าของภาพมีอาการสะเปะสะปะอย่างเห็นได้ชัด ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้นยังไม่พอ กลับแก้ตัวแบบด้านๆ ว่า”บุคคลในภาพไม่ใช่พระ แต่เป็นเปรต”(ว่าเข้าไปนั่น) ไม่เชื่อก็ย้อนหลังไปดูรายการตาสว่างมา มืดไปนั้นเองเถอะ (ผู้สนใจสามารถดูย้อนหลังได้ที่ //modernnine.mcot.net/) ไปๆมา ชักจะเป็นเรื่องตลกไปเสียนี่ ในขณะที่เจ้าของภาพบอกว่าบุคคลในภาพเป็นเปรต แต่ชื่อภาพก็ยังเป็นชื่อ “ภิกษุสันดานกา” เช่นเดิม เจ้าของภาพกับภาพ ขณะนี้กลับขัดแย้งกันเองเสียเล่า แล้วจะให้ชาวพุทธคิดอย่างไร”
คำว่า “ภิกษุสันดานกา” พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดเลย ถึงแม้พระองค์จะตรัสไว้ ก็ยังคงเป็นคำที่ยังยอมรับได้ แต่จะให้คนที่ไม่มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา เพียงแค่อ้างพระไตรปิฎกมั่วๆ ตีความมั่วๆ ทำพระสัทธรรมว่าด้วยกากสูตร ให้เป็นสัทธรรมปฏิรูป อันหมายจะให้เป็นสัทธรรมเทียมไม่เป็นเรื่องจริง ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎกถือเป็นการดูหมิ่นคนที่ร่ำเรียนมา เพราะผู้ที่ร่ำเรียนเรื่องพระไตรปิฎกได้ไม่ได้หมายความว่าผู้ท่องพระไตรปิฎกได้หมด หรือจำได้บางตอนก็เอาว่าพูดเป็นวรรคเป็นเวร แต่ต้องเป็นผู้เรียนภาษา เข้าถึงภาษา และต้องเรียนอย่างวิเคราะห์วิจัย เข้าใจไหม คำว่า “วิเคราะห์วิจัย”น่ะ ต้องตีความ ไม่ใช่มั่วๆ แต่ในกรณีนี้นอกจากจะไม่ตรงประเด็นที่ว่าแล้ว ยังเอาสิ่งที่สกปรกแปดเปื้อนมาเสริมเติมแต่งอีกต่างหาก เป็นการดูแคลนชาวพุทธที่ศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าเรายังนิ่งเฉยอยู่ไม่อินังขังขอบ กับการปกป้องภัยอันร้ายกาจนี้ ไม่ช่วยกันคุ้มภัยพระพุทธศาสนากันอย่างแข็งขันแล้ว ในที่สุดปริยัติอันเป็นพระสัทธรรมแท้จะค่อยๆหมดไป อยากทราบเหลือเกินว่า แม้มีชีวิตอยู่ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แม้ตายก็อย่าได้หมายว่าจะนอนตายตาหลับ เพราะฉะนั้น อย่าได้ยินยอมให้พระพุทธศาสนาตกอยู่ภายใต้ปลายพู่กันของศิลปิน(ศิลเปอะ) ที่ไม่รู้เรื่องราวเลย
ศาสนาไม่ได้มีไว้เพื่อให้คนปกป้องก็จริงอยู่ ศาสนาต้องปกป้องคนก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่าศาสนาประกอบไปด้วย ศาสดา ศาสนธรรม ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนสถาน ไม่ใช่ว่าเรายึดติดกับภาพวาด แต่ศาสนาจะดำรงอยู่ได้หากยังมีคนหรือบุคคลนับถืออยู่ และศาสนาจะตายไปได้เช่นเดียวกันถ้าหากปราศจากคนนับถือ แม้ว่าธรรมะในศาสนานั้นจะดีเลิศประเสริฐศรีสักเพียงใดก็ตามที ธรรมะที่ดีที่สุดนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าไม่มีคนปฏิบัติตาม แล้วใครล่ะคือผู้ปฏิบัติและผู้สืบทอดศาสนาหากไม่ใช่ตัวบุคคล ถ้าขาดศาสนบุคคลเสียแล้ว ศาสนาจะยังคงเป็นศาสนาอยู่ได้ไหม คิดดูให้ดี ถ้าชาวพุทธไม่คิดที่จะปกป้อง ใครจะปกป้อง ถ้าชาวพุทธไม่รักกัน ใครล่ะจะมารัก ถ้าชาวพุทธคอยทับถมซ้ำเติมกัน เราจะเอาความภาคภูมิใจที่ไหนมาพูดให้ลูกให้หลานฟัง ดังนั้นชาวพุทธอย่าได้หลงประเด็น แต่สำหรับหมา-มนุษย์ผู้ที่นำเอาสิ่งสกปรกมาแปดเปื้อนพระพุทธศาสนาโดยที่มีเจตนาอื่นแอบแฝง และนำเสนอสิ่งที่วิปริตคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทำให้พระสัทธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นอริยสัจประกอบด้วยความจริงตลอดกาลนั้นต้องมัวหมองด้วยเหตุอันไม่สมควรใดๆก็ดี ขอให้เขาผู้นั้นจงประสบแต่ความวิปริตคลาดเคลื่อนมัวหมองในทุกโอกาสชาติภพที่เกิดมีลมหายใจสาสมดุจเดียวกันกับที่ได้ทำให้พระสัทธรรมของพระพุทธองค์ให้ได้รับความมัวหมองจงทุกประการเทอญ ฯ......................


โดย: รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ IP: 222.123.121.119 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:39:11 น.  

 
ดูพระดีให้ดูงานอาจารย์เฉลิมชัย ดูพระไม่ดีให้ดูงานอาจารย์อนุพงษ์ เป๊ะเลย


โดย: ขอคิดด้วยคน IP: 203.113.17.149 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:07:26 น.  

 
ความเห็นที่47 เขียนจนไม่มีคนแย้งเลย เขียนได้ดีมาก


โดย: รุ่งครับ IP: 202.29.87.195 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:19:03 น.  

 
narutoooooooooooooo


โดย: sakuke IP: 122.155.47.16 วันที่: 19 มกราคม 2566 เวลา:20:38:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พ่อพเยีย
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]







ด้วยความยินดี...
หากมีผู้ใดละเมิด
โดยนำภาพถ่าย,บทความ
หรือข้อเขียนต่างๆ
ใน Blog นี้ไปใช้
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
สามารถทำได้เลยทันที
โดยไม่ต้องขออนุญาต
เป็นลายลักษณ์อักษร

เว้นเสียแต่ว่า…
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย
กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย

อ่านเรื่องของ "ปะการัง" ที่นี่



โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน


www.buzzidea.tv
Friends' blogs
[Add พ่อพเยีย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.