สวัสดี Thailand ภาค 1
เมื่อเกือบๆ เดือนมาแล้ว เราหายหน้าหายตาไปพักนึง ... ก็เนื่องจากว่า เราได้มีโอกาสกลับไปเที่ยวประเทศไทย ... หลักจากที่จากประเทศไทยมาหลายๆ ปี และไม่ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมแผ่นดินเกิดอีกเลย เป็นเวลาร่วม 7 ปี ... เมื่อเรียนจบ แล้ว (หลายคนคิดว่าเรายังเรียนไม่จบ ... ความจริงจบแล้วนะ ... ตอนนี้เป็นหมาเต็มตัวแล้ว) ... จบแล้วก็เริ่มทำงาน เลย ไม่มีโอกาสได้กลับไปเมืองไทยซักที ... จนแล้วจนรอด ก็ได้โอกาสเหมาะเจาะจนได้ เลยรีบกลับเมืองไทย ... ความจริงก็อยากจะกลับให้นานๆ กว่านี้ แต่ก็เนื่องจากติดงานอยู่ที่นี่ ... ถามทีไรก็บอกว่า 2 weeks! ... เชอะ ... แบบว่า 2 weeks เนี่ย ... เดินทางไป 2 วัน กลับ อีก 1 วัน (เวลาที่นี่มันช้ากว่าที่โน่น 13 ชม ... เดินทางไปเมืองไทย เลยเสียเวลา 2 วันเลย) แต่ขากลับได้กำไรมา 13 ชม ... ไหนจะ jet lag อีก ... อาทิตย์นึงเนี่ย ไม่ได้ทำไรเลย ... แต่ก็เอาเหอะ ... ค่าเครื่องบินที่ไม่ค่อยจะถูกนัก กับเวลา 2 weeks ... เอาก็เอาวะก่อนกลับ นอนฝันหวานถึงเมืองไทย ไว้ว่างี้ ...ฉันจะ shop แหลก เลย ... ก็แหม อะไรๆ มันก็ราคาถูกแสนถูก ... โม้ให้เพื่อนๆ ที่นี่ฟังด้วยนะ ว่าค่าครองชีพที่เมืองไทย แสนจะวิเศษสุด ... ต้องไปเที่ยวให้ได้นะ ... โฆษณาไว้ซะ
วันเดินทาง ... โอย เตรียม luggage ใบยักษ์ (จะเอาไปขนของ ขนเสื้อผ้าจากเมืองไทย รวมไปถึง อาหาร เครื่องสำอาง โอย ขนประเทศไทยมาเลย (ประมาณนั้น) ... แถมนะ กระเป๋าที่ carry on เนี่ย มีเสื้อ 3 ตัว กางเกง 1 ตัว กับยีนส์ที่ใส่ไปอีก 1 ตัว, ชุดชั้นใน 3 ชุด, ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ... พอค่ะ ... ไปซื้อเอาที่โน่น เตรียมตัวพร้อม ก็ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ไปสนามบิน check in แล้วก็ไปนั่งรอข้างใน (มันไม่มี duty free นะ เพราะสนามบินเป็น domestic เฉยๆ มีไม่กี่เที่ยว บินไป USA) ก็เลยนั่ง อ่าน magazine ไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ
ก็ดันไปเห็นหนุ่มใหญ่คนนึง แต่ตัวแบบเต็มยศมาก คือแบบ ใส่สูท เลย ... ก็นึกว่าเค้าจะไป meeting ที่ Vancouver รึว่าไร ... เป็นหนุ่มหน้าออกจึนๆ (ก็น่าจะคนจีน ไม่ก็ฮ่องกง) ... ก็ไม่ได้ใส่ใจหรอก ... พอเครื่องออก ก็ไปลง Vancouver มีเวลาตั้ง 3 ชม ก่อนเครื่องออก ... เราก็เดินเล่นใน duty free แบบเรื่อยๆ ... ประมาณ ชั้นไม่ซื้อหรอก ... duty free เมืองไทย ถูกสุด ... เก็บเงินไว้ shop ที่เมืองไทย ... เลยเดินโฉบนิดเดียว ไม่ได้ซื้อไรซักอย่าง เดินไปเรื่อยๆ ดันหิวน้ำ (เครื่องยังไม่ออก อีกตั้ง 2 ชม ... คือ เราได้ boarding passes มาครบหมดแล้ว เลยไม่ต้องเสียเวลา) ... ก็เลยแวะหาซื้อกาแฟกิน ... ก็ไปจ๊ะเอ๋ อีตาหนุ่มคนนั้น ... ก็แบบไม่อยากจะคุยอะนะ ... ก็เดินหลบๆ ... จ่ายเงินค่ากาแฟแล้วนิ ... ก็ต้องไปเอาพวก ทิชชู่ ใช่ป่ะ (เรากินกาแฟขม) ... ขณะที่กำลังเอาทิชชู่ ... ได้ยินมาเลย ... Hi there! เออ ... เอา (ยิ่งขึ้เกียจคุยอยู่) ... เฮ้อ ไม่น่าหาเรื่องเลย หันไป ... อ๋อ อีตาคนที่มาจากเมืองเดียวกันนั่นเอง ... คือ มันคงเหล่เราตั้งแต่ที่สนามบินโน้น (โคด หลงตัวเองเลยว่ะ) ... Wanna sit? ... เราก็ตอบไปได้ไงก็ไม่รู้ "ก็ได้วะ (sure)" ... พอนั่งปุ๊บ ... เอาล่ะ ... เริ่มบทสัมภาษณ์ดารา ... ถามจังเลย ... ถามเสร็จก็เล่าเรื่องของตัวเอง สารพัด ... ไหนๆ เค้าก็สัมภาษณ์เราแล้วนิ ... เราก็เอามั่งดิวะ ... เครื่องก็ไม่ออกซักที ... แถมมันสั่งอย่างอื่นมากินอีก ... สรุปเราก็สัมภาษณ์เค้าเหมือนกันนะ ... ได้ความมาว่า เค้ามาอยู่นี่ 15 ปีแล้ว ... อยู่เมืองที่ติดกับเมืองเราอ่ะนะ ... อพยพมานาน ทั้งครอบครัว ... เราว่าเค้าน่าจะซัก 30-35 มั๊ง (กำลังดีเลยว่ะ) ... หน้าตาใช้ได้ด้วยนะ (เราถึงคุยด้วยไง) ... มาจาก Hong Kong เค้าว่างั้น ... แต่จะไปทำธุระที่ ปักกิ่ง ... พอไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว ... เรากำลังจะชิ่ง ... ดันถามต่อ เครื่องออกกกี่โมง เราบอก ยัง (ปากนะปาก) ... เลยชวนเราไปเดิน shopping ... เราก็ เออ ก็ได้วะ (อีกแน่ะ) ... ก็เดิน shop ด้วยกัน ... เหอะๆๆ ... ประมาณ 30 นาที ... ไม่รู้จะซื้อไร ... ถ้าก็ถามอีก ... gate ไหน เนี่ย ... เราบอกไป ... เอ่อ ... คนละ gate (แอบดีใจ เพราะขี้เกียจคุยแล้ว) ... ดัน ... 2 gates นี้ ดันติดกันอีก (ที่นั่งบริเวณเดียวกันเลย) ... เฮ้อ ... เลยต้องนั่งคุยจนถึงเวลา board เลย ... แหม ถ้าเป็นปลากัดล่ะนะ ความจริงเราก็ไม่ใช่คนพูดมากอะไร บางทีก็อยากจะนั่งฟังเพลง อยู่ในโลกส่วนตัวคนเดียวบ้าง แต่บางอารมณ์ก็อยากคุยๆๆๆๆ แต่ถ้าไม่อยากคุย แล้วมีคนมาชวนคุย เนี่ย จะหงุดหงิดได้ ถึงแม้ว่าคนชวนคุยจะหล่อแค่ไหนก็ตาม ... เอือก
พอขึ้นไปบนเครื่อง ... ทีนี้ชั้นจะได้หลับล่ะ (เมื่อคืนนอนดึก ต้องตื่นเช้า ตี 4 ... มาขึ้นเครื่องตอน 7 โมงเช้า) ... ขึนไป ... ก็ลุ้น ... เพี้ยง หนุ่มหล่อๆ เหอะ ปรากฎว่าเป็นสาวญี่ปุ่น ... เออ ก็ดีว่า ดีกว่า คนอ้วนๆ นอนกรน แต่ดีนะ คนญี่ปุ่น เดาว่า เค้าคงจะไม่พูดภาษาอังกฤษซักเท่าไหร่ คงได้หลับแน่ๆ ... พอนั่งได้ซักพัก ... เริ่มอีกแล้วครับ ... สาวชั่งพูด ... เค้าเริ่มต้นพูดภาษาญี่ปุ่นกับเราซะเป็นคุ้งเป็นแคว ... เอาก็ ... เอ่อ ... ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ ... ก็ไม่เป็นไร เธอคงไม่พุดอะไรมาก เพราะท่างพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ที่นี้ เธอก็เล่าค่ะ ... ว่ามา Canada กับแฟน ที่เป็น Canadian ... แป่ว ... ภาษาอังกฤษเธอ พอใช้ได้ ... แต่หน้าตาเค้าน่ารักดีนะ ... มาจากทางเหนือของญี่ปุ่น ... เค้าชี้ map ให้ดู จำไม่ได้แล้วแหล่ะ ... เค้าบอกว่า เค้ามา เล่นสกีกับแฟน ที่นี่ ... จากนั้น แฟนเค้าก็บินกลับ ญี่ปุ่นไปก่อน ... ส่วนตัวเค้า บินต่อไป สวิส ไปแข่งสกี ... แถมเค้าบอกนะ ... ที่เล่นสกีที่โน่น สู้ที่แคนาดาไม่ได้ ... ปานนั้น ... แล้วขากลับ ... บินกลับมาแคนาดา แล้วต่อไปญี่ปุ่น มันถูกกว่า บินจาก สวิสไปญี่ปุ่น ก็เลย ต้องบินไกล แบบนี้ ... แล้วเราก็คุยกันจนเค้าเอาอาหารมาเสริฟ อิ่มแล้วยังคุยไม่หยุด คุยจนง่วง แล้วก็หลับไป ... ตื่นมาอีกที เค้าก็เสริฟอาหารรอบสอง ... ก็คุยกันต่อ จนถึง ญี่ปุ่นเลยพอถึงญี่ปุ่น ก็ said good bye แล้วก็แยกย้ายกันไป
พอมาถึงญี่ปุ่น ... ตาม plan ที่วางไว้ก็คือ ... จะ survey ก่อน ... ไม่ซื้อค่ะ ... เพราะเดี๋ยวขากลับก็มา transit ที่นี่อีก ... ก็เดินตะเวนดูของ ... แต่ gate เราดัน ... ไกลโคตร ... คือแบบ มันเป็ u-shape นึกออกป่ะคะ ... เราลงเครื่องที่ปลาย u ด้านนึง แล้วต้องเดินไปที่อีกปลายด้านนึง ... ไกลโคตร .... ไม่เป็นไร เราก็เดินไปก่อน ... พวก duty free ทั้งหลาย ไปดูแถวๆ ฝั่งโน้นก็ได้ .. แหม ของฝั่งนี้ มันชั่งเยอะแยะไปหมด พอเดินมาถึงกลางตัว U แลกตังค่ะ ... จะหาไรอร่อยๆ กิน แล้วก็ซื้อของฝากนิดหน่อย ... พอแลกตังปุ๊ป ... เดินมาอีกฝั่ง ... เอ้อ ... ไม่ค่อยมีร้านเลย ... ร้านค่อยๆ น้อยลงๆ ... เราก็เอ่อ ไม่เป็นไร เดินไปดู gate ก่อน แล้วค่อยเดินกลับมา shop ... พอเดินไปถึง ปลายอีกด้านนึง ... แป่ว แทบจะไม่มีร้านเลยค่ะ มีแต่ร้านเล็กๆ ขายของกระจุกกระจิก กับ กันแดด shiseido ... เซ็งเลย ... ไอ้จะเดินกลับไปฝั่งโน้น (กี่กิโลล่ะเนี่ย) ก็กะไรอยู่ ... ง่วงก็ง่วง ถ้าเป็นเวลาที่แคนาดาก็ตี 4 แล้วมั๊ง ... ง่วงสุดๆ ... เราก็เลย นั่งรอเครื่องออก (ก็แหม เดี๋ยวก็มา transit อีกนิ) พูดถึงแลกตัง ... ปกติ เราจะติดใช้ debit มากๆ ... ที่นี่เนี่ย ทุกร้านในนี่ มันจะใช้ debit ได้หมด ... รูดๆ กดๆ ตลอด ... ไม่ค่อยจะใช้ credit card ซักเท่าไหร่ ... คือติดตั้งแต่สมัยเรียน ... ก็ credit card ที่มันให้เราใช้ได้เนี่ย ... วงเงินแค่ $500 เอง ... เหอะๆๆ ... กลัวเราไม่มีตังจ่ายรึไง (ก็ไม่มีจริงๆ แหล่ะ) ... แหม เรียนมาตั้งหลายปีนะ ไม่เคยให้ pre-approve เลยนะ ... พอจบปุ๊บ เห็นชื่อเราไปอยู่ใน alumni นะ ... แบบ มาเลย you're pre-approved! แบบ platinum เลยนะ ... ไอ้พวกธนาคารพวกนี้ ช่างจมูกไวจริงๆ ... แถมวงเงินนะ $50,000 ครับท่าน ... เอ่อ ... จะมีปัญญาจ่ายมั๊ยเนี่ย ... ทำงานมาไม่กี่เดือน เงินติดบัญชีเนี่ย บินไปกลับเมืองไทย กับ shopping ก็เกือบเกลี้ยงแล้ว ... เฮ่อ ... แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็เอาเก็บไว้ทำเป็นเท่ห์กับเค้า ว่าเราก็มี platinum นะ ... นอกเรื่องไปซะแล้ว
ถึงไหนแล้ว ... อ้อ ... ง่วงค่ะ ... ร้านแถวๆ นั้นก็ไม่ค่อยมี ... เราก็ไปนั่งกินทาโกะยากิ ... โคตรไม่อร่อยเลย ... มีแต่แป้ง จะมองหาปลาหมึกเนี่ย ต้องใช้แว่นขยายค่ะ ... หวานก็หวาน ... แต่ก็ซื้อมาแล้วนิ ก็กินๆ ซะให้หมด ... กินเสร็จก็ตระเวนดูโน่นดูนี่ ... ไปลองเข้าห้องน้ำญี่ปุ่นที่เค้าพูดถึงกันซักหน่อย ... คือห้องน้ำธรรมดาก็มีนะ แต่ไม่เอา เราจะลองแบบครบชุด ... เข้าไปก็ ... สวิชอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลย (ภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้นเลยนะ) ... เราก็นั่งเลย ... แล้วก็จิ้มไปทีละอันเลยนะ (เดาสุ่ม) ... เหอะๆๆๆ ... นึกออกใช่ม้า ... ว่าอะไรๆ มันเกิดขึ้นข้างล่างบ้าง ... ทั้งฉีดน้ำ อุ่น เย็น แรง เบา หน้า หลัง ... ต่อด้วย เป่าลม แรง เบา ... โอย สารพัด ... เหอะๆๆ ... ไม่เล่าละ นึกภาพกันเอาเอง ... พอเสร็จกิจ ... ก็ออกมา นั่ง (เหนื่อย และง่วงมาก) ... ก็นั่งเล่น จะหลับก็แหม เป็นสาวเป็นนาง จะมาหลับแถวนี้ได้ไง ... ก็นั่งเล่นกล้องถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ... ถ่ายไปถ่ายมา ... มารู้ตัวอีกที มีหนุ่มอเมริกัน นั่งจ้องเราออยู่ แถมนั่งอมยิ้มอีกนะ ... ท่าจะบ้า ... เราบ้านนอกนักรึไง ... นั่งถ่ายรูปสนามบิน นั่งถ่ายรูปหน้าตัวเอง เนี่ยที่นั่งก็เยอะแยะ ... มานั่งหลังเราทำไมฟะ แหม เราก็เก็ก ถ่ายรูป เล่น อย่างสนุกสนาน ... มานั่งตรงนี้ทำไม ... พอเราหันมา เค้าก็ส่งยิ้มให้เรา ... เราก็ยิ้มตอบ ... ในใจก็ ... อย่านะ อย่าอ้าปากนะ ... เพราะพวกอเมริกัน ... เราว่าเค้า ... บลาาาาา มาก ... พูดมาก ขี้โม้เป็นที่สุด และแล้วเค้าก็อ้าปาก ... ถามว่าไปกรุงเทพเหรอ ... เราก็เออ ... เค้าก็ถามว่าเราเคยไปกรุงเทพรึเปล่า ... ถามแปลก ... หน้าตาเราออกจะเอเชีย ซะขนาดนั้น ... เราก็ตอบ ... แหงล่ะ ... เค้าถามว่าเรามาจากสหรัฐเหรอ ... รัฐไหน ... เค้ามาจาก DC นะ ... เราก็ ปล่าว มาจาก Canada (กระเป๋าเราออกจะมี Aircanada ติดหลาอยู่ ไม่รู้จักอ่าน) ... เค้าเค้าก็ถามโน่น ถามนี่ ... แล้วเค้าก็บอกว่า เนี่ย ... เพิ่งไป Singapore มาเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน กลับไป DC ได้แค่ 3 วัน แล้ว boss บอกให้มาไทยอีก แล้ว ... เค้าบอกว่า เค้าไปๆ มาเมืองไทยบ่อยมาก ... เคยไปประจำอยู่เชียงใหม่พักนึง ... อ้อ เค้าเป็นพวก คอเคเชียนนะ หน้าตา พื้นๆ อายุ ซัก ... 40 เห็นจะได้ ... เค้าบอกว่าทำงานอยู่ Armami ... เราก็เออๆๆๆ ... เค้ารู้จักเมืองไทยค่อน่ข้างเยอะเลย ... เราก็บอกเค้าว่า เนี่ย เราไม่ได้กลับเมืองไทยมานานแล้วหล่ะ ... เค้าก็ได้ทีเลย ... เล่าเลยว่าเมืองไทยตอนนี้เป็นไงบ้าง ... แน่ะ มาสั่งสอนเราเรื่องเมืองไทย ไม่รู้ซะแล้ว เราน่ะ update ข้อมูลตลอด ... เค้าก็บอกนะ you น่ะ จากเมืองไทยมานาน ... you คงจะติดนิสัย และระบบ กฎเกณฑ์ต่างๆ ในแคนาดา แล้วหล่ะ คงต้องปรับตัวน่าดู ... เมืองไทยเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะ ... เราก็เออ ... แอบนั่งดูนาฬิกา ... โอย คุยมาเป็น ชม แล้ว ... อีกตั้งครึ่ง ชม กว่าจะ board ... เราก็ แกล้งทำเป็นหาวๆ บ่อยๆ ... เค้าก็ชวนคุยจัง ... แล้วเค้าก็ถามว่า ไปถึงกรุงเทพแล้วมีใครมารับรึเปล่า ... พักที่ไหน ... เอาแล้วมั๊ยละ ... ยังไงมา share taxi กันมั๊ย ... เหอะๆๆ ... เราก็ มีคนมารับน่ะ ... เค้าก็บอกว่า ถ้าไม่เจอคนมารับ .... มา share taxi กันได้นะ ... เค้าชำนาญเมืองไทย (กว่าเรา) ... เหอะๆๆ ... เอาล่ะ ... เราก็ หาว ใหญ่เลย ... ซักพัก ก็เอ่อ ขอตัวดีกว่า จะไปห้องน้ำก็เลยขอตัวเดินออกมา ... ฟิ้วว ... เข้าห้องน้ำได้พักนึง ก็เดินออกมา ... ด้อมๆ มองๆ อีตานั่นไปไหนแล้วหว่า ... โล่งอก อีตานั่นยังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วมีคนมานั่งที่เราแทนไปแล้ว ... เราก็เลยไปนั่งที่อื่น ไกลๆ ... พอเค้าเรียกขึ้นเครือง ... เราก็ภาวนา อย่าให้ได้นั่งใกล้อีตานี่เลย ... เพี้ยง ... พอถึงเวลา board ... แหม นั่ง first class เลยเหรอ ตะเอง ... ชิ ... แต่ก็ดี เข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องเจอกันอีก
พอขึ้นเครื่อง ... รอบนี้โชคดี เครื่องไม่เต็ม ... ไม่มีคนนั่งกับเราเลย ... ดีจริง ... โหย แต่เครื่องของ Nippon Airways เนี่ย ... เราว่ามันดีจริงๆ ที่นั่งใหญ่ กว้าง มีทีวีส่วนตัวให้ดู ... สุดยอด ... เทียบกับ aircanada แบบว่า หน้ามือกับหลังตีน ... flight attendance ก็ หน้ามือกับหลังตีนเหมือนกัน ... แบบ aircanada เนี่ย ป้ามาก แถมพูดจาไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเลย ... ไม่เหมือนกัน Nippon Airways น่าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส ... แถมอาหารบนเครื่องนะ ... ดีกว่าหลายขุมเลย ... ขอบข้าวกล่องมาก ... จัดซะน่ารักเชียว ... แต่ flight attendance เนี่ย ถามเราที่ไร ถามเป็นภาษาญี่ปุ่นทุกที ... น่าจะรู้นะ นี่เป็น flight ไป bangkok คนไทยมันก็ต้องมีมั่งแหล่ะนะ ... แต่แปลก ... คนบนเครื่องส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และญี่ปุ่น ไม่ค่อยมีคนไทยเลยอ้อ เกือบลืม ... ที่สนามบินนาริตะเนี่ย ... เดินไปเดินมา ... ได้ยินแต่เสียงคนไทย ... คนไทยเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มากจนน่าตกใจ ... เออ คนไทยนี่รวยเนอะ เที่ยวญี่ปุ่นกันเยอะจัง ... ไม่รู้ว่าครึ่งสนามบินเป็นคนไทยทั้งหมดรึเปล่า ... (เราก็เว่อร์ไปนะ)
พอขึ้นเครื่อง ... ญี่ปุ่น เมืองไทย ใช้เวลา 6 ชม ... พอไปถึงเมืองไทย ... เราก็เดินผ่านด่านช่องเขียว ... พนักงานเห็นแล้วตกกะใจ ... โหย นี่น้องไม่ได้มาเมืองไทยนานขนาดนี้เลยเหรอ ... เราก็ ค่ะ ... แล้วจะมาอยู่นี่เลยมั๊ย ... ไม่ค่ะ ... มาเที่ยวเฉยๆ ... เค้าก็ถามโน่นนี่อีกนิดหน่อย ... กรอกอะไรนิดหน่อย ก็เสร็จ ... ที่นี้พอผ่านด่านปุ๊บ ... เอ่อ ที่นี้ก็ไปเอากระเป๋า ... ระหว่างที่เดินไปเอากระเป๋า เรารู้สึกว่า สนามบินใหม่เนี่ย ทำไมมันเหมือนกับศาลาวัดเลย ... คือ โล่งๆ มีแต่หลังคา ... ไม่มีห้องกั้น ไม่มีแบ่งเขต ไม่มีเก้าอี้ ไม่มีอะไรซักอย่าง นอกจากลานโล่งๆ ... ไม่เป็นไร ... เราก็เดินไปเอากระเป๋าก่อน ... เอากระเป๋าเสร็จ ... เดินออกไปข้างนอก ... โอวว ... กรูจะเดินไปไหนละเนี่ย ... เหรียญก็ไม่มี ... เค้าโทรศัพท์กันยังไงเนี่ย ... เครื่องโทรศัพท์มันหน้าตาไม่เห็นเหมือนตอนโน้นเลย ... เราก็มายืนอ่านๆ อยู่พัก ... แล้วไปเห็นโทรศัพท์หยอดเหรียญ ... ไม่มีเหรียญว่ะค่ะ ... ก็เลยต้องไปแลกซักกะหน่อย ... แลกมาเสร็จ ... (เมื่อก่อน โทร บาทเดียวก็ได้) ... เหอะๆๆ แต่ว่า เดี๋ยวนี้มันไม่ได้แล้ว ... เครื่องโทรศัพท์มีอยู่ 4 เครื่องได้มั๊ง พังไปซะ 1 ... คิวยาวเฟื้ย แถม ไม่เข้าคิวกันซักเท่าไหร่เลย ... แอบเซ็งนิดหน่อย ขอบ่นสนามบินนะ ... เราก็ระหว่างที่รอโทรศัพท์ ... สายตาก็กวาดมองไป ... ระบบที่สุวรรณภูมิเนี่ย แย่มากๆ ... เรารู้สึกว่า เป็นสนามบินที่หน้าขายหน้า ... สู้ดอนเมืองไม่ได้ .... คือ เป็นลานโล่งๆ ออกมา แล้วก็ให้คนที่มารอ เดินปนกันยังกับ จตุจักร ... ทั้งพวกขายโรงแรม รถแทกซี่ เดินกันให้ควัก ... เราว่าเค้าน่าจะจัดระบบให้ดีกว่านี้ ... เดินออกมา ... ก็ไม่รู้ว่าจะไปซ้าย ขวา หน้า หลัง ดี ... แถม มีทางออกตั้งหลาย gate คน รอ ก็ไปรออีก gate นึง เราก็ออกมาอีก gate นึง ป้ายๆ อะไรก็ไม่มี information ก็ไม่มีบอกว่า เที่ยวนี้ จะเดินออกตรงไหน ... วุ่นวาย สับสนมาก ... ไม่ professional เอาซะเลย ... ไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนเรารึเปล่า ... ซักพัก เราก็โทรได้ ระหว่างที่รอให้คนมารับเรานั้นเอง ... หนุ่มคนนั้นมาอีกแล้ว ... ถามว่า เจอคนที่มารับรึยัง ... ไปด้วยกันมั๊ย ... นี่มรึง ... ไปๆ ซะทีน่ะ ... ซักพัก คนมารับเราก็มา ... เย้ย! ... อีตาคนนั้นก็เลยเดินจากไป ... แล้วก็บอกว่า Have fun! ในที่สุด ... เราก็ถึงเมืองไทยด้วยความปลอดภัย ... ตื่นเต้นมากๆ เลยแหล่ะ ... แอบขนลุกด้วยนะ ตอนลงเครื่อง
พอเดินออกมาจากตึก จะไปที่ลานจอดรถ ... โอว ... ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ... เพิ่งจะรู้ว่า คำว่า อากาศร้อนชื้น เนี่ย มันมีที่มาที่ไป ... คือ เราเดินออกตึกมา ... ความรู้สึกร้อน วูบ ... แล้วก็รู้สึกว่าสูดเอาไอ้น้ำ ชื้นๆ เข้าไปเต็มปอด ... ความรู้สึกเหมือน จมน้ำ หายใจไม่ค่อยออก มันผลุดออก มา (โคตร กระแดะ เลยว่ะ) ... แต่มันจริงๆ นะ ... คืออากาศที่แคนาดามันแห้งมากๆ ... ทำให้เราเคยชินกันอากาศที่แห้งมากๆ ความรู้สึกคล้ายๆ กับ จมน้ำ ... อ้อ ไม่ซิ ... เหมือนกับตอนเข้าห้อง sauna น่ะ คือ ทั้งร้อน ทั้งชื้น สุดๆ หายใจไม่สะดวก ... ระยะทางที่เดินไปขึ้นรถเนี่ย รู้สึกว่ามันช่างเหนื่อยเหลือเกิน
ถึงเมืองไทยแล้ว ... เย้ย! แล้วจะมาเล่า สวัสดี Thailand ต่อ ภาค 2 นะคะ ... ชักเหนื่อย แล้ว ... มีอะไรจะบ่นๆๆๆ อีกเยอะแยะเลย
นี้ เจ็ดปี !!! ใจสลายพอดีค่ะ