คำถามเรื่องวิธีจัดการกับความฟุ่งซ่าน
มีข้อสงสัยมาจากนักปฏิบัติ ลองอ่านเรื่องของเขาดูครับ
จะจัดการอย่างไรดีครับถ้าฟุ้งซ่านมากๆ ผมใช้วิธีต่อไปนี้ไม่รู้จะถูกหรือเปล่า คือ 1.ช่วงที่ผมกำลังยกมืออยู่บางทีจะรู้สึกว่าฟุ้งมากๆ ก็เลยยกมือสร้างจังหวะไปแล้วรู้สึกการไหวของมือเฉยๆ ไปเรื่อยๆ จิตมันคิดก็ไม่ได้สนใจ แต่ก็รู้สึกว่าจิตมันคิดอยู่ ดังนั้นความรู้สึกตัวยังไม่สมบูรณ์พอ เพราะส่วนหนึ่งจะไปกับความคิด คือไม่สนใจที่จะดูความคิดเพราะสติยังไม่แข็งพอ ..ผมเข้าใจอย่างนี้นะ ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ส่วนวิธีหนึ่งคือ
2 .ถ้ามันฟุ้งมากๆผมก็ดูความคิดที่มันฟุ้งซะเลย แต่ดูปั๊บ ผมก็ตบขาตัวเองให้รู้สึกตัว พอคิดอีกผมก็ตบหน้าขาตัวเองอีกแรงๆ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ น่าแปลก หรือเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ตื่นเป็นช่วงๆ ตอนนี้ผมจะรู้สึกว่าความคิดถูกตัดออกเป็นช่วงๆ แต่ก็รู้สึกว่าต้องใช้กำลังของสติมากกว่าแบบแรก แต่ก็รู้สึกว่าใจมันปลอดโปร่งกว่าแบบแรก ..ผมรู้สึกว่าความคิดมันไหลตลอดเวลา ทุกๆเสี้ยววินาทีก็ว่าได้ ถ้าสังกตุดีๆแม้แต่การมองการได้ยิน ใจเราจะคิดตลอดเวลาจริงๆ แม้แต่มองต้นไม้ยังคิดเลย แต่รูสึกว่าหลายครั้งผมยังไปกับความคิดอยู่ และรู้สึกว่าอัตราส่วนความคิดกับรู้สึกตัว ความคิดยังมากกว่าเยอะ
คำถามที่ผมถามช่วยชี้แนะผมด้วยนะครับ ว่าจะเอาแบบ 1 หรือ 2 ดี หรือทำผิดตรงไหน ช่วยแนะนำผมด้วยครับ ผมยังโง่นัก
...............................
มาดูความเห็นของผมครับ
วิธีทั้งสองวิธีใช้ได้ทั้งคู่ครับ ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูกครับ แบบที 1 ก็ดีครับ ที่มุ่งรู้กายล้วน ๆ เพราะกำลังสติยังไม่มั่นคง การรู้กายล้วน ๆ ก็เป็นการเสริมสร้างกำลังของสติ
แบบที่ 2 ก็ดีครับ การที่คุณเห็นความคิดได้ที่ว่ามันคิดไม่หยุด นี่ก็คือการมีสติอยู่แล้วครับ แต่กำลังสติอาจจะยังไม่มั่นคงพอนั่นเอง
แต่ทั้ง 2 วิธีนี้ยังเป็นการจงใจกระทำอยู่ เนื่องด้วยกำลังแห่งสติที่ยังอ่อน ก็เลือกเอาตามถนัดจะเอา 1 หรือ 2 ก็ได้ครับ แล้วแต่จะชอบใจอย่างไร แต่ขอให้ฝึกไปเรื่อยๆ เมื่อกำลังสติกล้าขึ้น มันจะเป็นของมันเองครับ แล้วคุณจะรู้วิธีการของคุณเองต่อไป
คุณสังเกตใหมครับ ว่าเมื่อไรที่คุณฟุ่งซ่าน คุณจะไม่ง่วง ถ้าคุณไม่ฟุ่งซ่าน คุณจะง่วง เมื่อคุณฟุ่งซ่าน คุณจะตื่นตัวมากกว่าตอนไม่ฟุ่งซ่านเสียอีก
ผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่า ( อันนี้ค่อนข้างจะขัดแย้งกับคนหลาย ๆ คนในสายหลวงพ่อเทียน ) ความคิดเกิด นี่เป็นสิ่งดี เพียงแต่ว่า ผู้ปฏิบัติอย่าหลงเข้าไปในความคิดที่เกิดนั้น เมื่อไม่หลงเข้าไปในความคิด การเห็นความคิดเสมอ ๆ และเห็นไตรลักษณ์ของความคิด นี่คือหนทางแห่งการเกิดปัญญาเพื่อการพ้นทุกข์ต่อไปครับ
การปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นั้น การเห็นไตรลักษณ์ของความคิด จะเป็นการสร้างเหตุให้จิตเข้าใจถึงความไร้แก่นสารแห่งความคิด เมื่อจิตเข้าใจการไร้แก่นสารแห่งความคิด จิตจะไม่ยึดในความคิด เมื่อจิตไม่ยึดในความคิด ทุกข์ใจก็ไม่เกิดครับ
ผมขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของผมให้ฟัง เมื่อผมฝึกจนจิตรู้เขาแยกตัวออกมาได้แล้ว ใหม่ ๆ จิตรู้ จะเป็นก้อนพลังงานชัดเจน เมื่อจิตรู้เป็นก้อนพลังงาน เมื่อความคิดเกิด จิตรู้จะเห็นความคิด แล้วความคิดจะดับลงไปทันที ไม่ยอมคิดค่อ และผมยังเห็นต่อไปอีกว่า
เมื่อความคิดเกิด จิตรู้จะดับ เมื่อความคิดดับ จิตรู้จะเกิด
มันจะสลับไปมาแบบนี้เสมอ
ต่อเมื่อผมฝึกต่อไปอีกมากขึ้น จิตรู้ที่มันเป็นก้อนเป็นดวง มันจะแผ่กระจายออกแบบไร้ขอบเขต เป็นความว่างไป ( เหมือนลูกโป่งที่แตกออก แก๊สในลูกโป่งก็กระจายออกไปหมด จนไม่เห็นลูกโป่งนั้นเอง ) ในสภาวะแห่งจิตรู้ที่ไม่เป็นดวงนี้ ความคิดมันจะเกิดก็ได้ มันไม่เกิดก็ได้ บางทีมันเกิดแล้วก็ดับทันที บางทีมันเกิดแล้วก็ไม่ยอมดับ แต่เกิดติดต่อกันไปตลอดก็มี แต่ก็เห็นความคิดนี้ได้เสมอ และไม่หลงเข้าไปในความคิดอีก ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่มีความรังเกียจความคิดว่าเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดมันเหมือนคนหลาย ๆ คนในสายหลวงพ่อเทียน ที่มีความเห็นอีกอย่างหนึ่ง ผมเพียงเห็นความคิดเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มันแปรเปลียนไปมาได้เหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า ที่บางครั้งก็ไม่มีเมฆ บางครั้งก็มีเมฆที่ลอยนิ่ง บางครั้งก็มีเมฆที่ลอยไปลอยมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของความคิด เราก็จะไม่ทุกข์ไปกะมัน การปฏิบัติก็เพื่อการไม่เป็นทุกข์ครับ ไม่ใช่การไปหยุดความคิดไม่ให้เกิดขึ้น
Create Date : 30 กันยายน 2552 |
|
7 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:07:05 น. |
Counter : 1768 Pageviews. |
|
|
|