รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
3 กันยายน 2552
 
All Blogs
 

โดนหลอก

นักปฏิบัติส่วนมาก มักจะถูกหลอกจากความเข้าใจผิดของตนเองเสมอ
เมื่อได้ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

เมื่อใครก็ตามที่ได้ลงมือปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไปได้สักระยะหนึ่ง เขาจะมีกำลังจิตที่ดีขึ้นของ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และ กำลังจิตที่ดีขึ้นนี้ จะทำให้เขาไปรับรู้อะไรบางอย่างที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนในชีวิต พอมารับรู้สิ่งใดเข้า ก็มักจะเข้าใจเอาเองซึ่งเป็นความเคยชินจากทางโลกที่ว่า สิ่งที่รับรู้นี้ คือ บันไดขั้นต่อไปที่เขาต้องเขาไปแช่อยู่ในนั้น เพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นสูงขึ้นต่อไป

ผิดครับ ผิดครับ << ใครก็ตามที่คิดอย่างนี้ คือ ผิดครับ ผิดครับ ท่านโดนหลอกเข้าแล้ว

ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นั้น ถ้าท่านเข้าไปจมแช่ในรู้ที่เกิดขึ้น นั่นคือการยึดติดครับ ในการปฏิบัตินั้น เมื่อท่านรู้แล้ว ก็อย่าได้ใส่ใจมัน ทิ้งมันไปเลยครับ

สภาวะแห่งการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นั้นคือ ฝึกหัดจิตให้มีสติสัมปชัญญะ ซึ่งจิตท่านจะมีอาการปรกติ ครับ ก็คือ เฉย ๆ นั่นเองครับ เมื่อท่านฝึกฝนจิตแบบนี้ ให้เป็นปรกติเสมอ ๆ จิตที่ราบเรียบ ไม่หวีอหวา ไม่สุข ไม่ทุกข์ นั้นแหละครับ ฝึกให้จิตมันรู้อยู่อย่างนี้ เมื่อมีสภาวะอะไรเกิดที่นอกเหนือจากนี้ รู้แล้ว ก็ทิ้งมันไปเลยครับ อย่าไปใส่ใจมัน แล้วให้มีสติสัมปชัญญะ เฉยๆ ราบเรียบ อย่างเดิม แต่ก็ไม่ใช่ไปกดให้มันนิ่งนะครับ

การยึดติดในสภาวะธรรมนั้น ทางตำราเขาจะเรียกว่า วิปัสสนูกิเลส ครับ

ผู้ที่ยิ่งฝึกสติปัฏฐาน4 มาอย่างมากและถูกทาง จิตใจของเขานั้น จะ ตื่นรู้และ อยู่ในสภาวะราบเรียบ เฉย ๆ อยู่เป็นนิสัย นี่คือสภาวะปรกติของผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน 4 มาดีแล้วครับ

มีบางท่าน ถึงกับเรียกสภาวะนี้ว่า นิพพานน้อย แต่จะใช่นิพพาน หรือ ไม่ ผมไม่กล้ายืนยัน แต่จะเรียกอย่างไรก็ช่างครับ จิตใจไม่มีทุกข์ ก็ดีที่สุดแล้ว

บทความนี้ ผมพยายามจะเน้นการเดินทางที่ควรเป็นไป ในการฝึกสติปัฏฐาน 4 ครับว่า บั้นปลายสุดท้าย จะออกมาในรูปแบบใด
จึงฝากท่านไว้พิจารณา ใคร่ครวญให้ดีด้วยครับ การยึดติด เป็นการเสียเวลาอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดท่านมองไม่ออกว่าไปยึดติด ทีนี้ก็ขึ้นรถเมล์ยาว ไม่ยอมลงสักที แล้ว เมื่อไร จะถึงบ้านท่านครับ

รถเมล์การปฏิบัติ ไม่มีคนมาคอยไล่ท่านลงจากรถเสียด้วยซิ


แนะนำอ่านเพิ่มเติม เรื่อง ปรกติ ที่
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2009&date=15&group=1&gblog=74




 

Create Date : 03 กันยายน 2552
13 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:08:46 น.
Counter : 1132 Pageviews.

 

เมื่อวาน ก็มีสภาวะอย่างนึงเกิดขึ้นกับผมเช่นกันคับ
คือ มันเหมือนมีอะไรนิ่งๆ อยุ่ที่นึง คือเหมือนรอบๆ มัน จะมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปตามปกติ คือร่างกายก็เคลื่อนไหว เสียงรอบข้างก็ดังปกติ มองเห็นปกติ ความคิดก็ผุดขึ้นปกติ แต่ไอ้ตัวนี้นิ่งๆ อยู่ตัวเดียว เคยลองไปอยู่พักนึงคับ มันรู้สึกโล่ง ว่างๆ สบายใจดี

แต่เคยได้ยินมาว่า การเจริญสติมันจะไม่มีการลงไปจมแช่ หรือนิ่งๆ ค้างไว้อย่างนั้น แต่จะเป็นการรู้สึกแบบเป็นขณะๆ ไป คือรู้แล้วจบตรงที่รู้ (แต่ที่ผมลงไปมันเหมือนเราทำอะไรสักอย่าง แล้วเพลิดเพลิน ยินดี กับมัน)
ผมก็เลยเริ่มรู้สึกตัวคับ ตอนนี้เวลามันเกิดสภาวะแบบนี้ขึ้น ก็สังเกตมันเฉยๆ ถ้ามีการทำอะไร หรือรู้สึกอะไรกับสภาวะนี้ก็ตามรู้ไปเรื่อยๆ น่ะคับ

 

โดย: บั๊กคุง 3 กันยายน 2552 19:44:33 น.  

 

ถ้าเกิดโล่ง ว่าง สบายใจดี ก็ดีซิครับ
อยู่เฉย ๆ ครับ ในสภาวะแบบนี้ แล้วลองดูซิว่า เวลาทำงาน ทำการ จิตใจยังคงโล่ง ว่าง สบายใจได้อยู่หรือเปล่า
หรือ ดูว่า อาการโล่ง ว่าง สบายใจ นี้ มันไม่แน่ เดียวมันก็หายไป กลายเป็นอีดอัด กลายเป็นคิดไปได้ ใช่ไหมครับ
ถ้า มันหายไป แล้ว เราเฉย ๆ อีก มันกลับมาได้หรือเปล่าครับ

เท่าที่ผมสังเกต ความโล่ง ว่าง สบายใจ มี 2 แยยครับ
แบบที่หนึ่ง มันโล่ง ว่าง สบายใจ แต่มันอยู่ข้างนอก เหมือน เรามองท้องฟ้าที่สดใส แล้ว จิตใจเราสบาย

อีกแบบหนึ่ง เราว่าง เราสบายใจ แต่มันไม่อยู่ข้างนอก ไม่อยู่ข้างใน อันนี้อธิบายยากครับ ว่าเป็นอย่างไร

แต่อาการทีโล่ง ว่าง สบายใจแบบข้างนอกนี้จะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่า แต่ก็ดีครับ ไม่ใช่ไม่ดี เป็นความสงบของจิตใจ ถ้าเห็นมันไม่เทียง ก็จะเห็นเป็นไตรลักษณ์ได้เช่นกัน ลองสังเกตดูเองครับ

 

โดย: นมสิการ 4 กันยายน 2552 7:25:39 น.  

 

ผมสังเกตอยู่เรื่อยๆ เลยคับ ไอ้นิ่งๆ นี่มันหายไปได้คับ แต่บางทีก็กลับมานิ่งๆ ได้อีก

มันรู้สึกนิ่งอยู่ข้างในคับ แต่สบายใจ

แล้วตอนนี้ มันจะมีอีกแบบมาด้วยคับ คือ สว่าง
เหมือนใจมันสว่างขึ้นมาเองซะยังงั้น (ปกติเมื่อก่อนจะสว่างตอนที่ไปรู้อะไรสักอย่างแบบจังๆ แบบไม่ได้จงใจจะรู้) แต่มันจะสว่างเป็นขณะๆ นะ เพียงแต่เมื่อวานมันสว่างบ่อยๆ ติดๆ กันมาก ตอนสว่างมันจะรู้สึกดีด้วยคับ บางทีเดินจงกรมอยู่ เหมือนตัวจะลอยเลย (แต่ความรู้สึกนิ่งๆ ยังมีนิดๆ คับ แต่ส่วนใหญ่จะสว่าง)

แต่ก็สังเกตมันไปเรื่อยๆ คับ จะสว่างหรือจะนิ่ง ตอนแรกมันไม่มี พอมันมี ตอนแรกก็รู้สึกเพลิดเพลิน ประหลาดใจกับมัน แล้วพอมันจากไป ก็อาลัยอาวร อยากให้เกิดอีก แต่พอเป็นบ่อยๆ เข้า มันจะมามันก็มาของมัน มันจะไป มันก็ไปคับ ก็เลยเริ่มเข้าใจ ^^

 

โดย: บั๊กคุง IP: 58.64.123.197 4 กันยายน 2552 10:58:27 น.  

 

สว่าง เป็นผลจากสมาธิที่เป็นสมถะที่ดีขึ้น

ทุกอย่างเกิดและแปรเปลี่ยนได้ ไม่ต้องไปติดใจ ปล่อยมันเกิด ปล่อยมันหายไป มันจะเหมือนก้อนเมฆ เดียวลอยมา เดียวลอยไป เดียวเกิดเป็นอย่างโน้น เดียวเกิดเป็นอย่างนี้

ที่สำคัญที่สุด คือ ใจสมควรจะเฉย ๆ สบาย ๆ เป็นอิสระ

สิ่งอื่นนอกจากนี้ ก็คือทางผ่าน ไม่ใช่สาระเลย อย่าไปหลงติดมันเข้าละ จะโดนหลอก แบบที่ผมเขียนไว้ในกระทู้นี้ไง
สิ่งที่ผมแนะนำนี้ อาจไม่เหมือนนักปฏิบัติบางคน ที่จะสอน จะบอกคนให้มาสนใจสิ่งที่เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วบอกว่านี่คือความรู้ ที่ต้องรู้ เพื่อผ่านไปขั้นสูง ความคิดนี้ ผมไม่โต้แย้งกับนักปฏิบัติเหล่านั้น แต่ผมไม่เคยใส่ใจ และไม่เคยสนใจแบบนั้นด้วย ผมสนใจแต่ใจที่ ปล่อยวาง เฉย ๆ เป็นอิสระเท่านั้น ดังนั้น จึงฝากไว้พิจารณาเอาเองว่า ท่านสมควรจะเดินแบบไหนต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องของท่านเอง

 

โดย: นมสิการ 4 กันยายน 2552 12:14:12 น.  

 

^
^
สิ่งที่ผมเขียนเล่าให้ฟัง เพื่อจะได้รู้ว่า ในสังคมนักปฏิบัติ เขามีวิธีการอย่างไรกันบ้าง เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น เผื่อไปเจอคำสอนเหล่านี้เข้าจะได้เข้าใจว่า มันก็มีหลายแบบ ซึ่งแบบผมก็เป็นเพียงแบบหนึ่งในหลาย ๆ แบบนั้น

 

โดย: นมสิการ 4 กันยายน 2552 12:17:03 น.  

 

พอมองไปที่เป้าหมาย (ขั้นแรก) คือ สักกายทิฐิ ที่เป็นเรื่องของความเห็นผิดว่ามีเรา นั้น

เวลาที่ไปติด หรือเพลิดเพลิน กับอะไรก็ตาม มันมี "เรา" อยู่ในนั้นอย่างเต็มเปี่ยมเลยครับ

มันคงเป็นธรรมชาติอย่างนึง ที่ยังโง่เง่าอยู่ (คือยังไม่เป็นกลางต่อทุกสภาวะ) เวลาไปเจอสภาวะอะไรที่ไม่เคยพบ แล้วดูดี มันก็ไปหลงติดอยู่ตรงนั้น (ทำนองเดียวกับความสุขแบบโลกๆ) หรือถ้าเป็นอะไรที่ไม่ดี ไม่ชอบ มันก็จะพยายามหนี พยายามผลักออก
แต่ถ้ายังสังเกตให้ดี ไม่นานก็คงหลุดออกจากตรงนั้นมาได้ครับ

 

โดย: บั๊กคุง IP: 58.8.87.46 4 กันยายน 2552 13:39:59 น.  

 

อนุโมทนาด้วยค่ะ

ช่วงนี้ค่อนข้างจะอืดๆ ไปสักนิด ได้เข้ามาอ่านบล๊อคแล้วก็กลับไปอ่านบทความที่ link กลับไป ทำให้เห็นว่า บางทีเก้าก็พลาดไปเยอะเหมือนกัน

แล้วก็เข้ามาอนุโมทนาในความเพียรของคุณบั๊กคุงด้วย โห..ทำให้เก้ามีกำลังจะขยันปฏิบัติขึ้นมากเลยค่ะ (จริงๆ เป็นคนขี้เกียจมากๆ )

 

โดย: kaoim IP: 58.10.90.152 4 กันยายน 2552 16:35:37 น.  

 

คุณบั๊กคุง อย่าไปตั้งเป้าหมายแบบนั้นครับ
การตั้งเป้าหมาย มันจะสร้างแรงกดดันภายในจิตใจที่เราไม่รู้ตัว มันเป็นความเครียดที่ลึก ๆ ซ่อนไว้อยู่

การปฏิบัตินั้น มันจะเดินตามขั้นของมันเอง โดยที่เราเพียงแต่มีความเพียรอยู่กับ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เท่าน้นเองครับ หน้าที่เรามีเพีบงเท่านี้ แล้วผลมันจะเกิดตามมาเอง
ซึ่งผลที่มันเกิดตามมานี้ เพราะพอเรามีความเพียร มีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ มันจะเป็นแบบค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิด ที่ช้า ๆ ใจร้อนไม่ได้ เมื่อมันเพิ่มมาถึงระดับ มันก็จะพบกับสภาวะแบบหนึ่ง แล้วเราจะเห็น จะเข้าใจได้เองว่ามันเป็นอย่างไร มันจะรู้ เข้าใจมากขึ้น ตามระดับแห่งความตั้งมั่นของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ไปเรื่อยๆ
ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น ไปเรื่อยๆ ครับ
เรื่องความเพียร นี้เกียจคร้านไม่ได้เลยครับ ต้องขยัน แต่ถ้าเรารู้หลัก เราขยันพร้อมกับทำอะไรไปด้วยในชีวิตประจำวันนี่สุดยอดที่สุด ถ้าเราไม่ขยันไม่ชีวิตประจำวันเลย เพียงแค่เดินจงกรมวันละ 1 ชั่วโมง นี่ก็แสดงว่า ยังมีความเพียรไม่พอครับ

 

โดย: นมสิการ 4 กันยายน 2552 16:58:32 น.  

 

ความทีมีเราอยู่นั้น มันเริ่มต้นครับ
เมื่อจิตรุ้ เกิดและแยกตัวออก มันจะเห็นเองว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา การมีความเพียร พร้อมสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็จะเป็นผลให้จิตรู้เกิดขึ้น
ส่วนขั้นต่อไปมันจะเป็นว่า ไม่มีเรา ครับ

อ่านเรื่องประกอบได้ที่เรื่อง ภาพเปรียบเทียบสภาวะจิต 3 แบบ ที่ link https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=07&group=1&gblog=31

เอาเป็นว่า ตอนนี้ ก็มีความเพียร จนจิตรู้ เขาเกิดได้ก่อนนะครับ ใจเย็น ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ครับ

 

โดย: นมสิการ 4 กันยายน 2552 17:03:07 น.  

 

คือว่า มองเป้าหมาย ที่ผมพูดถึงนั้น เป็นคนละแบบกับที่พี่กำลังบอกน่ะคับ แต่ในแง่ที่พี่บอกเมื่อก่อนผมก็ติดอยู่คับ มันจะไปเป็นแบบโลภอยากได้ผล ภาวนาไปด้วยความอยากล้วนๆ ทั้งที่ผลมันจะเกิดจากเหตุเท่านั้น
ตรงนี้เหมือนผมหลุดมาเพราะความเข้าใจด้วยล่ะมั้งคับที่ว่า เริ่มไปทำอะไรไม่ได้เลยกับสภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความคิด อะไรพวกนี้ มันจึงเริ่มรู้ไปเรื่อยๆ อย่างเดียวคับ รู้เร็ว รู้ช้า ก็ได้ แล้วความชอบ ไม่ชอบ มันก็เริ่มที่จะน้อยลงตามไป

เป้าหมายที่ผมพูดถึงคือผมหมายถึงเหมือนเป็นตัวช่วยเตือน ช่วยให้เอะใจ หรือสังเกตได้ละเอียดขึ้นน่ะคับพี่ เผื่อเวลาที่ไปติดอะไร เพลิดเพลินอะไรเข้า

ส่วนเรื่องเดินจงกรมเป็น ชมๆ แล้วไม่ได้รู้ตัวในชีวิตประจำวันเลยนี่ผมเห็นด้วยคับว่ายังไม่พอ
เพราะเวลาส่วนใหญ่เราอยู่กับชีวิตประจำวัน แล้วพวกอารมณ์ ผัสสะต่างๆ มันจะรุนแรงหลากหลาย ก็อยู่ในชีวิตประจำวันนี่แหล่ะคับ

 

โดย: บั๊กคุง 4 กันยายน 2552 21:15:38 น.  

 

โอ.. ดีจังเลยค่ะ เหมือนมีคนมาช่วยเตือนสติให้ทำความเพียรให้มากขึ้น อย่างน้อยในบล๊อคนี้ก็สองคนแระ แหะ แหะ...

สารภาพว่า แทบไม่ได้เดินจงกรมหรือว่าทำในรูปแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ อาศัยว่าทำขนมทุกวัน ก็รู้การเคลื่อนไหวไป ดูความคิดไป รู้สึกตัวไป ตอนนี้จะเห็นความคิดเกิดดับถี่ขึ้น

เก้ามีปัญหาค่ะ เวลาที่ทำงาน (ทำขนม) จะมีเปิดซีดีธรรมะไปด้วย ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ถ้าไปฟังธรรมะ มันจะรู้สึกว่าการรู้สึกตัว มันไม่ smooth เลย
มีความรู้สึกว่า อึดอัด อย่างนี้ก็คือว่า จิตไปเพ่งเพื่อที่จะฟังใช่ไหมคะ

เห็นแล้วที่คุณนมสิการบอกว่า ฟังซีดีธรรมะก็ดี แต่อย่าฟังมาก

 

โดย: kaoim IP: 58.10.90.183 4 กันยายน 2552 22:41:53 น.  

 

อาการอึดอัด ก็คงไปเพ่งอะไรสักอย่างครับ

เวลาทำงาน เปิดซีดีไปด้วยก็ได้ครับ และให้รู้ไปด้วยว่ามีเสียงมากระทบ ส่วนจะรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง ในเสียงที่ได้ยิน ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ครับ เพราะ เราใช้เสียงเป็นเครื่องรู้ ไม่สนใจความหมายในเสียง การใช้เสียงเป็นเครื่องรู้ นี่เป็นการเจริญสติครับ เวลาผมฝึกเองที่บ้าน ผมก็เปิดทีวี วิทยุ ซะเสียงดังเสมอ ไม่ปล่อยให้เงียบเลย ใหม่ ๆ จิตใจจะหงุดหงิดเพราะเราไม่เข้าใจว่า ความสงบคืออะไร แต่พอเราเข้าใจแล้วว่าเป็นอะไรแล้ว จะมีเสียง หรือ ไม่มีเสียง ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป และอีกประการหนึ่ง ในชีวิตจริงจะมีเสียงอยู่เสมอ ถ้าเราฝึกเจอเสียงเสมอ ๆ ได้ เป็นสิ่งทีใกล้เคียงของจริงในชีวิตมากกว่าที่ไม่มีเสียงรอบตัว

 

โดย: นมสิการ 5 กันยายน 2552 7:42:39 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:22:29 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.