รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
22 กันยายน 2552
 
All Blogs
 

รู้ขบวนการ (ปรมัตถ์) รู้เนื้อความ (สมมุติ)

บทความนี้ จะค่อนข้างยากต่อความเข้าใจสำหรับมือใหม่ ที่พึ่งเข้ามาภาวนา
ถ้าท่านอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ขอให้เพียงผ่านสายตาไปก็พอครับ เมิ่อท่านภาวนาไปมากเข้าและรู้เรื่องบ้างแล้ว ท่านก็ย้อนกลับมาอ่านได้อีกครับ

ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นั้น จะมีสิ่งหนึ่งที่ฝืนความรู้สึกของปุถุชนเป็นอันมาก และยากที่จะยอมรับและเข้าใจมัน อาทิเช่น ความพอใจ ก็คือ ความไม่พอใจ ความดี ก็คือ ความเลว เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างที่ยกมานี้ ปุถุชนจะเห็นว่า มันต่างกัน มันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

ที่ปุถุชนเห็นว่ามันต่างกัน เพราะปุถุชนเมื่อไปพบเห็นอะไรเข้า ไปได้ยินอะไรเข้า แล้วก็มีการ ตีความให้ค่าในสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน โดยนำเอาสามัญสำนึก หรือประสบการณ์ ของตนเอง หรือ จริยธรรม หรือ ประเพณีของชุมชน เป็นมาตรฐาน แล้วก็นำสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน มาเปรียบเทียบกับมาตรฐานนั้น ๆ ถ้าสิ่งใดที่ต่ำกว่ามาตราฐาน สิ่งนี้คือเลว สิ่งนี้คือไม่ดี สิ่งนี้ทำให้ไม่พอใจ ถ้าสิ่งใดที่สูงกว่ามาตราฐาน สิ่งนี้คือดี สิ่งนี้ทำให้พอใจ

สำหรับการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นั้น ผู้ปฏิบัติพึงเห็น พึงได้ยิน พึงรับรู้อาการความรู้สึกที่รับรู้ผ่านทางอายตนะเข้ามา
โดยไม่ใสนใจว่าจะมีการตีความให้ค่าในสิ่งที่รับรู้เข้ามาหรือไม่
และไม่มีการเปรียบเทียบกับสิ่งใด เพียงรับรู้เท่านั้น นี่คือการรับรู้ที่เรียกตามตำราว่า รู้ปรมัตถ์
การรับรู้ปรมัตถ์แบบนี้ เป็นการรับรู้ ที่ไม่มีการนำสัญญา (ความจำ ความคิด ) มาผสมโรงด้วย ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติที่ได้ผ่านการฝึกฝนมาแล้วจะเข้าใจได้ ถ้าถามว่า เป็นไปได้หรือ ก็ต้องตอบว่า เป็นไปได้แต่ต้องฝึกฝนอย่างถูกต้อง และมีความเพียร

สำหรับผู้ฝึกใหม่ ที่มีความคุ้นเคยแบบเดิมก็จะยังที่มีการนำ สัญญา มาผสมด้วย (ทางตำราเรียกว่า รู้สมมุติ) แต่เมื่อได้ฝึกสัมมาสติไปอย่างถูกต้องบ่อย ๆ ก็จะมีการพัฒนาการรับรู้แบบปรมัตถ์ขึ้นมาได้เอง

ท่านอาจสงสัยต่อไปว่า ทำไมต้องฝึกเพื่อให้เป็นแบบนี้ด้วยละ
ผมก็ขอตอบตามความเห็นส่วนตัวว่า การที่จะให้จิตรู้แจ้งในทางธรรม
เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงได้นั้น จิตต้องรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ได้ (มีแต่สภาวะธรรม ที่ไม่มีชื่อประกอบ) ที่ไม่มีการนำสัญญาเข้ามาผสมกับการรับรู้ด้วย การที่ท่านเห็นแมว แล้วรู้ว่า นี่คือแมว นี่เป็นการนำความจำที่ว่า เจ้าหน้าตาแบบนี้ชื่อแมว แต่การรับรู้ปรมัตถ์ จะเป็นการรับรู้ถึงความรู้สึกที่ได้สัมผัสโดยการเห็นเท่านั้น แต่เนื่องด้วยขบวนการทำงานของขันธ์ 5 จึงแปลสิ่งที่รับรู้มาและเข้าใจว่าสิ่งที่รับรู้มานี่คือคนเรียกว่าแมว

ผมจะบอกท่านเป็นภาษาอังกฤษว่า สิ่งที่ผมนำเสนอนี้คือ
See process , not content
แปลเป็นไทยว่า ให้ดูขบวนการ อย่าดูเนื้อความ

อะไรคือ ขบวนการ (process ) เนื้อความ (content )
ในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์นั้น สิ่งที่จะดูต้องเห็นด้วย จิตรู้ และให้ดูเฉพาะที่เป็นขบวนการที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น
เมื่อท่านจับสิ่งใด ก็เพียงรู้สึกถึงการสัมผัสเท่านั้น ( นี่คือ process ) ไม่ต้องไปสนใจรับรู้ว่า สิ่งที่สัมผัสนั้นเรียกว่าอะไร สัมผัสแล้วรู้สึกร้อน หรือ รู้สึกเย็น ( นี่คือ content ) เพียงแค่รู้สึกถึงก็พอแล้ว

เมื่อจิตใจท่านเกิดการไหวตัว ไม่ว่าอะไรก็ตาม เพียงแต่ให้จิตรู้ รับรู้อาการการไหวตัวนั้นก็พอ ( นี่คือ process ) ไม่ต้องไปสนใจรับรู้ให้ค่าว่า สิ่งที่ไหวตัวคือ ความโกรธนะ หรือ คือความปิตินะ ( นี่คือ content ) ให้รู้เพียงว่ามีการไหว ก็พอแล้ว

การรับรู้แล้วมีชื่อตามมา นั้นคือ เนื้อความ (content ) ครับ ซึ่งการปฏิบัติไม่ต้องไปใสใจ ถึงมันเลยว่ามันจะชื่ออะไรบ้าง เป็นอย่างไร เพราะรู้แล้วก็ไม่เกิดผลดีอะไรในการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์

ถ้าท่านฝึกถึงการรับรู้แบบนี้ได้ ก็คือ การรู้ ที่ไม่รู้อะไรเลย นั่นเอง

ผมขอย้ำให้ท่านนักปฏิบัติอีกครั้งว่า ก่อนที่ท่านจะเป็นแบบนี้ได้ ท่านต้องฝึกฝน สัมมาสติมาแล้วค่อนข้างมากและมีผลแล้วพอสมควร และจิตรู้ เกิดก่อน แล้วให้จิตรู้ รับรู้เฉพาะขบวนการที่เกิดขึ้นของขันธ์ 5
ท่านจึงจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียน และสิ่งที่ผมเขียนจะใช้เพื่อการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่สำหรับงานทางโลก

อย่าสับสนนะครับ สิ่งที่ผมเขียนนี้ใช้เพราะทางธรรมปฏิบัติเท่านั้น
อย่านำไปใช้ในทุกกรณี เดียวจะยุ่งไปกันใหญ่

แนะนำอ่านเพิ่มเติมเรื่อง
อะไรคือ "รู้แต่ไม่รู้อะไร."
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2009&date=11&group=1&gblog=73




 

Create Date : 22 กันยายน 2552
11 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:07:21 น.
Counter : 1251 Pageviews.

 

สงสัยผมจะฝึกมาค่อนข้างมากนะเนี่ย เพราะเข้าใจที่พี่เขียน และก็เป็นอย่างนั้นอยู่

มีบางอย่างที่ความเห็นต่างกันครับเสนอไว้

ในความเห็นตื้นๆของผม ถ้าคนเป็นแบบนี้หมดไม่มีทางที่โลกนี้จะไม่เจริญ มันจะเจริญขึ้นแต่ไม่ใช่ทิศทางแบบทุกวันนี้

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่แยแสตำรา ก็ยังไม่เห็นว่าจะเป็นภัยแก่ตัวตรงไหนนี่ครับ ธรรมไม่ใช่ของคนไทยนี่ครับ ถ้าเค้ารับไม่ได้ ผมจะเปิดประตูที่ยุโรปเอง

ขออภัยที่ไม่ได้ลา อาทิตย์สุดท้ายผมยุ่งมาก ตอนนี้เดินทางมาถึงแล้วอย่างปลอดภัย คงได้อ่านบทความที่มีคุณค่าไม่ขาดไม่เกินเช่นนี้อีก

ขอบคุณครับ

 

โดย: kok..kok IP: 92.248.101.153 22 กันยายน 2552 12:12:04 น.  

 

ที่เป็นอยู่ แม้จะรู้ได้เร็ว แต่ก็เข้าใจสิ่งที่รู้พร้อมกับสิ่งที่เห็น
ในเสี้ยววินาทีพร้อมๆกัน จึงไม่รู้จะให้รู้แต่ไม่รู้อะไรเลยได้ยังไง
ไม่ทราบวิธีจะฝึกตรงนั้นได้ยังไง

บ่อยครั้งที่ขับรถอยู่มองไปตามตัวอักษร ก็อ่านทันที
คือเห็นพร้อมอ่านเสร็จแล้ว บางครั้งยังเคยคิดว่า
ถ้าจะให้เห็นแต่ไม่รู้อะไรเลยได้ยังไง
ก็รู้หมดแล้วจะให้ไม่รู้ได้ยังไง

บางครั้งของตกหล่นลงมา ไม่ได้แปลความเหมือนกัน
แต่มือไปรับอย่างรวดเร็ว เร็วมากจนนักบาสที่บ้าน
ชอบชวนไปเล่นบาส บอกว่าความรู้สึกไวกว่านักบาส

แต่ก็บ่อยครั้งที่มองไปที่ถนน เห็นทุกอย่างแต่ไม่แปล
อะไรออกมาก็มี แล้วก็ไม่เห็นประโยชน์ของการรู้แต่ไม่รู้
อะไรเลยว่ามีประโยชน์อย่างไร

 

โดย: บัว IP: 118.174.7.103 22 กันยายน 2552 13:12:20 น.  

 

ตอบคุณบัว

จากความเข้าใจของผม

ผมมองจิตออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือ จิตที่ยังทำงานวนเวียนไปกับขันธ์ 5 และ จิตทีนอกเหนือไปจากขันธ์ 5

การรู้ที่รู้อะไร เป็นขบวนการทำงานของขันธ์ 5 เช่นรู้ว่า นี่คือ แมว นี่คือ อักษร ABC มันเป็นสัญญาของขันธ์ 5 เป็นต้น

แต่จิตที่ทำงานนอกเหนือขันธ์ 5 นั้น จะมีการทำงานที่ไม่ใช้ขันธ์ 5 เลย เมื่อไม่มีการใช้ขันธ์ 5 มันจึงไม่มีชื่ออันเป็นบัญญัติที่ทางโลกตั้งขึ้นมา การทำงานมันจะก้อยู่ตรงกับจิตส่วนนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้การเกิดสะสมทางปัญญา เพื่อการรู้แจ้ง

การรู้ที่ไม่รู้อะไร นี่จึงเป็นรู้แบบปรมัตถ์ล้วน ๆ ไร้ชื่อ มีเพียงการรู้ที่บริสุทธิจริง ๆ เหมือนการรู้แบบเด็กอ่อน เขาเห็นตุ๊กตาที่แขวนไว้ที่เปลของเขาแก่วงไปมา เขาเห็น แต่เขาไม่รู้ว่านี่คืออะไร ก็จะเป็น เห็นสักแต่ว่าเห็น เท่านั้น แต่ไม่มีการตีความ ให้ชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อผมเข้าใจการรู้แบบนี้ ผมจะรู้แบบนี้ก็ได้ จะรู้แบบโลก ๆ ที่เขารู้กันก็ได้ แล้วแต่ว่า ผมต้องการอย่างไรเท่านั้น

ส่วนการฝึก ผมใช้วิธีการฝึกที่ปล่อยจิตให้อิสระ ไม่บังคับจิตให้รับรู้สิ่งใด หรือ ไม่รับรู้สิ่งใด เมื่อผมเข้าใจ มันก็เป็นของมันเองแบบนี้ครับ

 

โดย: นมสิการ 22 กันยายน 2552 13:47:16 น.  

 

ยินดีที่ได้รับข่าว การเดินทางกลับโดยปลอดภัยครับ

 

โดย: นมสิการ 22 กันยายน 2552 13:48:23 น.  

 

สาธุ........อนุโมทามิ

ปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน..

การระลึกรู้ปรมัตถ์จะเป็นการรู้เพียงชั่วขณะ..แค่สภาวะนั้นตั้งอยู่(เพราะปรมัตถธรรมตั้งอยู่ไม่นาน..ต้องดับ)

การรู้ในขณะนั้นจะถึงพร้อมด้วย สติ สมาธิและปัญญา..

 

โดย: palmgang IP: 119.42.68.66 22 กันยายน 2552 18:26:44 น.  

 

การรู้ปรมัตถ์คือรู้ความเป็นจริงของสภาวะธรรม..

แต่เราก็ไม่ปฏิเสธบัญญัติ..ยอมรับบัญญัติ

เหมือนเราเล่นขายของกับเด็ก..ใช้เงินที่เป็นกระดาษซื้อขายกัน..

เราก็ยอมรับว่ากระดาษคือเงิน..แต่ในความจริงเรารู้ว่ามันคืออะไร..ถ้าเราไม่ยอมรับสมมุตินี้..ก็เล่นไม่สนุก

 

โดย: palmgang IP: 119.42.68.66 22 กันยายน 2552 18:39:28 น.  

 

แวะเข้ามาอ่านครับ
รู้จักบัญญัติตามความเป็นจริง
ย่อมเข้าถึงความจริงแท้แน่นอน(ปรมัตถ์)

ธรรมภูต

 

โดย: ในความฝันของใครสักคน 22 กันยายน 2552 22:29:12 น.  

 

ช่วงนี้อ่านบล๊อกพี่นี่ไปไกลจากที่ผมเจอมากมาย แค่อ่านคงไม่รู้เรืื่องจริงๆ

ช่วงนี้ โดนความคิดลากไปทั้งวันเลยพี่ ไม่รุ้จะตัดใจจากรักยังไงดี..

ตอนนี้เหมือนแทบไม่ต่างอะไรกับคนไม่เคยภาวนาเลย

 

โดย: บั๊กคุง IP: 202.176.137.135 23 กันยายน 2552 22:17:31 น.  

 

มารไม่มา บารมีไม่เกิด
ชีวิตคนภาวนา ต้องพบกับเรื่องที่ทำให้กลุ้มใจอยู่เสมอครับ
เมื่อก่อนผมก็เป็น ผมใช้วิธีการเดินจงกรมครับ รับรู้ความรู้สึกที่กายล้วน ๆ ไม่ให้ไปดูจิตใจที่กำลังกลุ้มอยู่ เดินอยู่ 7 วันอย่างหนัก มันก็หลุดออกมาได้ครับ พอหลุดออกมา เดียวมันก็เข้าไปกลุ้มอีก ผมก็เดินจงกรมอีก เป็นอยู่อย่างนี้สัก 3 รอบ มันก็หลุดออก ทีนี้พอไปคิดถึงมันอีก มันก็หลุดออกได้เร็ว ไม่กลุ้มใจเหมือนตอนแรก ๆ คุณบั๊กคุง ผมเข้าใจครับว่า ช่วงนี้คือช่วงทรมานครับ คนที่ไม่พากเพียร ก็จะมีความรู้สึกว่า ภาวนาแล้ว ไม่เห็นได้ดีอะไรเลย แล้วก็เลิกภาวนาไป เล่ห์กลมันมากครับ เจ้ากิเลสตัณหานี้
ลองดูซิครับ

 

โดย: นมสิการ 24 กันยายน 2552 6:26:48 น.  

 

สวัสดีค่ะอาจารย์
เมื่อกี้ ไปเม้นบล็อกเก่าเฉยเลย
มาตามอ่านต่อค่ะ แต่เมื่อกี้ไป ก็ได้คำตอบของตัวเองอีกค่ะ
แล้วก็รู้สึก ว่าตัวเอง เข้าใจเรื่อง การเกิด ดับ ของความคิดค่ะ
เพราะส่วนใหญ่ จะเผลอไปคิด

 

โดย: มือใหม่ ไม่ยอมล็อกอิน IP: 192.168.2.103, 119.42.95.164 24 กันยายน 2552 9:17:39 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:17:15 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.