รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
15 กันยายน 2552
 
All Blogs
 

ดูความคิดแล้วได้อะไร ทำไมต้องดูความคิด

ดูความคิดแล้วได้อะไร ทำไมต้องดูความคิด ผมเชื่อว่า คำถาม 2 ประโยคนี้จะมีในคนที่อ่านใน blog ของผมนี้

มาอ่านดูเหตุผลกันดูครับ

เมื่อท่านลงมือฝึกกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จนจิตรู้เกิดและตั้งมั่นพอสมควร ด้วยความเป็นปุถุชน ย่อมจะมีความคิดโผล่ออกมาเสมอ ซึ่งจิตรู้ จะเห็นความคิดที่โผล่มานั้น ๆได้ เมื่อจิตรู้เห็นความคิดทีโผล่มานั้นแล้ว โดยธรรมชาติ ความคิดนั้นจะหยุดลงทันที

ขบวนการเกิดกิเลสในจิตใจ (โลภ โกรธ หลง ) ทีมีพื้นฐานมาจากอวิชชา นั้น ก็เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากการที่ไม่เห็นความคิด ไม่เท่าทันความคิดทั้งสิ้น

เพียงเห็นความคิดเกิดอย่างรวดเร็ว และเท่าทันความคิดที่เกิดนั้น ทุกข์ใจ ก็จะลดลงไปได้เป็นอย่างมาก

ความคิดเป็นสิ่งที่เกิดได้เร็วมาก สัมมาสติที่ตั้งมั่นและพร้อมแล้วเท่านั้น จึงจะไล่มันทัน แล้วผลที่ไล่มันทัน ก็คือ การลดลงของทุกข์ทางใจ

เมื่อท่านฝึกเห็นความคิดจนชำนาญ และ กำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น การฝึกเห็นความคิด จะนำพาให้ท่านเห็นรากเง้าของความคิด ซึ่งก็คืออนุสัยที่ละเอียดมาก ๆ ที่ประกอบอยู่กับจิตที่นิ่งสงบอยู่

เมื่อท่านฝึกเห็นความคิดจนชำนาญ .จิตรู้. จะแยกออกจาก .ความคิด. อย่างสมบูรณ์ จิตรู้ ไม่รวมเข้ากับความคิดอีก ในสภาวะที่ท่านไม่คิดอะไร อันปัญญาต่าง ๆ ล้วนผุดออกมาในรูปแบบของความคิด
เมื่อจิตรู้ เห็นความคิด ซึ่งจะทำให้ จิตรู้ เกิดปัญญา
อันเป็นภวนามยปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการทำลายอัตตาตัวตน
ให้สลายลงไปได้






 

Create Date : 15 กันยายน 2552
10 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:08:03 น.
Counter : 1187 Pageviews.

 

พวกเวทนาทางใจต่างๆ เกิดจากความคิดด้วยไหมคับพี่

 

โดย: บั๊กคุง IP: 202.41.187.241 16 กันยายน 2552 19:11:07 น.  

 

ขบวนการเกิดเวทนาทางใจนั้น เป็นดังนี้

เมื่อประสาทรับรู้ เช่น ตาเห็นภาพแฟนเราไปเดินควงกับคนอื่น >>> เกิดความคิดว่า เอ เขาจะนอกใจเราหรือเปล่าหว่า >>> เกิดกลุ้มใจ ไม่พอใจ >> เกิดเวทนาทางใจ เป็นทุกข์ใจขึ้นมา

ถ้าเราปฏิบัติได้ดี ขบวนการจะเป็นดังนี้ จะเกิดขบวนการหยุดขึ้นในขบวนการข้างต้นที่เกล่าวมาแล้ว

คนที่ปฏิบัติได้ดีมาก ๆ พอเห็น ก็หยุดแค่นั้นเลย
คนที่ปฏิบัติได้ดี แต่รองลงมา พอเห็น ก็คิดว่า เขาจะนอกใจหรือเปล่า แล้วจิตรู้ ก็จะเห็นความคิด แล้ว ก็หยุดแค่นั้น

 

โดย: นมสิการ 17 กันยายน 2552 6:44:08 น.  

 

ปกติความคิดมี 2 แบบ
-เผลอไปคิด
-ตั้งใจคิด
ท่านมนสิการคงหมายถึงเฉพาะอันที่(1)
ใช่ไหมครับท่าน.??

ด้วยความเคารพ

 

โดย: เส้นรุ้ง เส้นแวง IP: 210.203.178.166 17 กันยายน 2552 8:44:55 น.  

 

ผมขอแบ่งความคิดเป็นแบบนี้ก่อนครับ

1 ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด
2 ความคิดที่ตั้งใจคิด แต่สืบเนื่องมาจากความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด
3 ความคิดทีตั้งใจคิด เพราะเป็นกิจการ เป็นหน้าที่การงาน ที่ต้องใช้ความคิด

การฝึกฝนเพื่อให้เห็นความคิดนั้น จะเป็นประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับความคิดแบบที่ 1 เพราะเมื่อความคิดแบบที่ 1 เกิดขึ้นมา จะมีทั้งแบบที่เป็นกุศล และ แบบที่ป็นอกุศล ซึ่งประโบชน์ของการเห็นความคิดก็คือการหยุดสิ่งที่เป็นอกุศล ไม่ให้มันขยายตัวเติบใหญ่เข้าไปครอบครองสภาวะของจิตใจได้ ซึ่งถ้าใครถูกครอบคิดแบบที่เป็นอกุศลเข้าครอบครองจิต เขาก็จะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ใจทันที

ส่วนความคิดแบบที่ 2 นั้น เมื่อเกิดแบบที่ 1 ขี้นมาแล้ว และผู้ปฏิบัติเห็นความคิดแบบที่ 1 ได้แล้ว เขาจะหยุดมัน หรือ ไม่หยุดมันก็ได้ครับ ซึ่ง ถ้าไม่เขาไม่ต้องการหยุดคิดอันเป็นความคิดแบบที่ 1 นั้น เขาก็คิดต่อไปได้ครับ ซึ่งการคิดต่อไปนี้ คนที่เขาฝึกมาเป็นอย่างดี เขาก็ยังเห็นความคิดต่อเนื่องได้อีกเช่นกัน แต่สำหรับคนที่เขาฝึกมาพอใช้ได้ เขาจะไม่เห็นความคิดต่อเนื่องนี้ เพราะความคิดแบบที 2 นี่จะมีความจงใจคิดเข้าไปประกอบ ทำให้กำลังของสัมมาสตินั้นลดลงไป
ปรกติ คนที่เขาฝึกฝนมาจนเห็นความคิดได้แล้ว เขาจะพบกับสภาวะแห่งการยึดติดอันเป็นความทุกข์เนื่องจากความคิดที่ทำให้ทุกข์ใจมาก่อนแล้ว เมื่อความคิดที่ทำให้ทุกข์ใจเกิดขึ้น และ เขาเห็นมันเข้า เขาก็จะหยุดมันไปทันที แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จะไม่มีความสามารถในการเลือกนี้ได้ เมื่อความคิดที่ทำให้ทุกข์เกิด เขาก็จะเข้าไปในความคิดนั้น และ ถูกความคิดครอบงำทันที และคิดต่อเนื่องกันไปอีก และเขาก็จะตกลงในความทุกข์ใจทันที

ส่วนความคิดแบบที่ 3 ก็จะเหมือนกับแบบที่ 2 คือ ผู้ปฏิบัติที่เขาปฏิบัติมาเป็นอย่างดี เขาก็จะเห็นความคิดได้ แต่คนที่ฝึกมาพอใช้ได้ ก็จะไม่เห็นความคิด

 

โดย: นมสิการ 17 กันยายน 2552 9:43:35 น.  

 

การเห็นความคิด จะเหมือนกับการเห็นภาพจากกล้องวงจรปิด เมื่อมีใครเข้ามา ยามที่เฝ้าดูอยู่ เขาจะเห็น ถ้ายามเห็นว่า ผู้ที่อยู่ในภาพนั้นเป็นบุคคลที่ไม่น่าวางใจ เขาก็จะแจ้งให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยเข้าไปจับกุม ตรวจสอบ แต่ถ้า ยามเห็นว่า บุคคลที่เขาเห็นในภาพ เป็นบุคคลที่วางใจได้ ยามที่เฝ้าดูอยู่ก็จะไม่ทำอะไรเพิ่มเติมจากที่เห็นนั้น ๆ

 

โดย: นมสิการ 17 กันยายน 2552 9:50:38 น.  

 

ตอนแรกอ่านแล้วงงๆ คับที่ว่า
ผู้ที่ฝึกมาดีมากๆ จะเห็นความคิดอยู่ แต่ไม่ได้เข้าไปในความคิด ถูกครอบงำ หรือรู้สึกว่าเราคิด

คือเมื่อก่อนนั้น ผมเ้ข้าใจว่า ทุกๆ ความคิดล้วนครอบงำหมดเลยคับ คือคิดเมื่อไหร่ จะเป็นเราคิดทั้งหมดเลย แต่ถ้าเวลาไหนจำต้องคิด ก็คิดไป (แต่ยังรู้สึกว่าเป็นเราคิด)

ซึ่งผมก็เกิดความสงสัยคับพี่ ว่าแล้วยังงี้ เหล่าพระอริยะ ก็ยังคิดอยู่ แต่เค้าน่าจะเห็นต่างจากนี้ คือไม่ได้รู้สึกว่าเราคิด หรือมีความรู้สึกตัวตนอยุ่ในนั้น

พอดูๆ ไป ผมไม่แน่ใจว่ามั่วหรือป่าว คือเริ่มเห็นความคิดเป็นแบบที่พี่บอก มันมีความคิดอยุ่ เหมือนดูอะไรๆ ที่อยู่ในน้ำ แต่เราอยู่บนบก ไม่ได้ลงไปในน้ำ แต่อีกใจนึงก็สงสัยคับ เหมือนมีความเชื่อจากเดิมว่า ถ้าเห็นความคิดมันน่าจะดับทันทีเลยสิ แต่นี่มันเหมือนความคิดยังไหลอยู่ แต่แยกออกไป หรือแตกต่างจากตอนที่เราเผลอไปคิดน่ะคับ

เออ แล้วทีพี่เคยบอกผมว่า อย่างเวลามอง ถ้ารู้ได้ไวๆ มันจะเห็นตั้้งแต่เหมือนมีพลังงานออกมาจากตา
ผมไม่แน่ใจว่าผมเริ่มเห็นอย่างนั้นแล้วหรือป่าวนะคับพี่ คือผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร คือเป็นอะไรบางอย่างมันพุ่งหรือส่งออกจากตาออกไปน่ะคับ แล้วจากนั้น ก็รู้สึกไหวๆ หรือเหมือนใจมันเคลื่อน มันเกิดการทำงานขึ้นมา

 

โดย: บั๊กคุง IP: 58.64.123.86 17 กันยายน 2552 14:15:39 น.  

 

พระอริยบุคคลในขั้รสูง ไม่มีจิตรู้แล้วครับ เพราะท่านทำลายอวิชชาทิ้งไปหมดแล้ว ที่ว่ายังมีจิต ก็เพราะมีอวิชชา อันนี้ไม่ต้องงงครับ ฝึกไปเรื่อย ๆ จะเข้าใจได้เอง

เมื่อท่านไม่มีจิต ความคิดจะเข้าครอบงำจิตไม่ได้
เมื่อท่านคิด ท่านจึงรู้ว่าคิดได้
เมื่อจิตไม่มีแล่ว ความมีตัวตนก็ไม่เหลืออีกแล้ว

ที่คุณเล่ามาใช่ครับ เริ่มเห็นความคิดได้แล้ว มันเริ่มแยกตัว แต่ยังไม่มีกำลังมาก ความคิดจึงยังไม่หยุดทันที ขอให้หมั่นฝึกกายานุปัสสนาต่อไป แล้วพลังจะมากขึ้นเอง

ที่เล่ามาเรื่องพลังงานพุ่งออก นี่คุณคงเริ่มเห็นได้เช่นกัน
การพุ่งออกของพลังงาน คือ จิตมันไหลออกจากฐานที่ตั้งมั่นครับ ต้องหมั่นฝึกกายานุปัสสนาต่อไป จิตจะตั้งมั่นมากขึ้นแล้ว การไหลออกก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ และหยุดไปในที่สุด

ยินดีด้วยครับ กับความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

 

โดย: นมสิการ 17 กันยายน 2552 22:23:28 น.  

 

1. เรื่องความคิดนั้น ทีแรกผมก็เข้าใจว่า ถ้ามีกำลังมาก มันก็จะเห็นไว แล้วดับไปรวดเร็วคับ หรืออาจจะเห็นตั้งแต่เป็นอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาเลย
แต่ในคอมเม้นด้านบนที่พี่ตอบคุณ เส้นรุ้ง เส้นแวง นั้น
พี่บอกว่า มันจะมีลักษณะ เห็นว่าความคิดนั้นเป็นกุศล อกุศล คือถ้าเป็นกุศลก็ปล่อยให้คิดได้ แต่ถึงจะเป็นกุศลหรืออกุศล พี่บอกว่า ยังไงถ้าเห็นแล้วมันก็ไม่ครอบงำ ผมเลยงงตรงนี้ครับ คือปกติ ถ้าเห็นจริงๆ เห็นแล้วมันต้องดับไปเลยสิ แต่มีการปล่อยให้คิดได้ แต่ก็ไม่ครอบงำ มันเป็นการเห็นอีกแบบนึงเหรอครับ ?

2. เรื่องการเห็นพลังงานพุ่งทางตา
ผมเข้าใจว่า ถ้าคนไม่ได้ฝึกเลย เค้าจะไม่เห็นสิ่งนี้เลยคือเค้าจะมองเห็นสิ่งนั้นเป็นบัญญัติ สมมติไปเลย คือแบบตาเค้ามองเห็นว่า เป็นหมา เป็นแมวไปเลย
พอคนที่เริ่มปฎิบัติไปเข้า เวลาเค้ามองเห็น(หมายถึงตามองเห็น) เค้าจะเริ่มเห็นว่ามีพลังงานออกมาจากตา ใช่ไหมคับ
ตอนแรกผมนึกว่า มันสุดแค่นี้ จากการปฎิบัติ
แต่พี่บอกเพิ่มมาอีกว่า ฝึกไปเรื่อยๆ ต่อไป พลังงานจะไม่พุ่งออกจากตาอีก เหรอครับ หรือพี่หมายถึง มันพุ่งแต่เราก็เห็นว่ามันพุ่ง หรือป่าว ?!

ขอบคุณมากครับ

 

โดย: บั๊กคุง IP: 58.64.123.86 18 กันยายน 2552 1:03:33 น.  

 

1. ถ้ากำลังของสัมมาสติตั้งมั่นอย่างมั่นคง พอจิตรู้เห็นความคิด ความคิดก็หยุดไป นี่เป็นธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ ในการเห็นความคิดหยุดลงนั้น จะมี 2 แบบ แบบหนึ่งก็คือเห็นว่าเป็นอะไรที่เริ่มไหว แล้วก็หยุดลงไปเพราะไปเห็นมันเข้า อย่างนี้จะไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไร เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลก็ไม่รู้ รู้เพียงว่ามันมีอะไรที่จะเริ่มไหวเท่านั้น
อีกแบบหนึ่ง เห็นความคิดแล้ว ความคิดหยุดลงไป แต่จะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในความคิดนี่คือเรื่องอะไร เป็นเรื่องกุศลหรือเรื่องอกุศล ถ้าเป็นเช่นนี้ก็อยู่ที่เราแล้วว่า เราจะคิดมันต่อหรือจะไม่คิดต่อ ถ้าคิดต่อ ก็จะมี 2 อย่างอีก ก็คือ ปล่อยจิตมันจะคิดของมันเองต่อไป เราจะเห็นความคิดนั้นต่อไป เราไม่หยุดมันปล่อยมันคิดไปเรื่อยๆ และอีกอย่างก็คือ การจงใจที่จะคิดเรื่องนั้นต่อไป ซึ่งการจงใจทีจะคิดคนส่วนใหญ่แล้วจะไม่เห็นความคิด แต่ผู้ที่เขาฝึกมาดีจริงๆ เขาก็ยังเห็นความคิดที่จงใจที่คิดได้อยู่

2 พลังงานที่พุ่งออกจากตา ก็จะพลังงานจิตที่ไหลออกจากฐาน คนที่ไม่มีกำลังจิตจะมองไม่เห็น แต่คนทีฝึกพอจิตเริ่มมีกำลังจะเห็นได้ ซึ่งคนเห็นได้แล้ว ก็จะเข้าใจได้เองว่า พลังงานมันพุ่งออกเป็นอย่างไร พลังงานที่พุ่งออก ก็คือ ความไม่ตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ เมื่อสัมมาสติตั้งมั่น มันจะไม่พุ่งออกไปอีก แต่มันจะรู้อยู่ที่ฐานของการรู้แทน
ถ้าจะเปรียบ ก็เหมือนทหารในเรื่อง 3 ก๊ก ทหารที่ทนไม่ได้ก็จะขี่ม้าออกจากค่ายมาสนามรบเพื่อสู่รบกับอีกฝ่าย ซึ่งหมายถึง จิตที่ไหลออกจากฐานเพราะทนการยั่วยวนของกิเลสไม่ได้ ทหารที่ทนกิเลสได้ ก็เพียงแต่อยู่บนเชิงเทินของป้อมทหารแล้วก็คอบดูทหารของอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่ออกไปรบกับเขา ถ้าเปรียบก็เหมือนจิตตั้งมั่น ไม่ออกไปจากฐานจิต ลองอ่านเรื่อง จิตใจและ 3 ก๊ก ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=30&group=1&gblog=48

 

โดย: นมสิการ 18 กันยายน 2552 6:35:26 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:19:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.