ข้อสงสัยเกี่ยวกับวิปัสสนากรรมฐาน
ผมผู้ถามมาทางห้องสนทนา ผมเห็นว่า น่าจะนำมาเขียนอธิบายเป็นเรื่องราว จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ผ่านมาอ่านด้วย ต้องขอบคุณเจ้าของคำถามที่ถามมาครับ เรื่องที่เจ้าของคำถามเขียนมาเป็นดังนี้ครับ ........................ ไม่เคยฝึกภาวนา หรือวิปัสนากรรมฐานกับผู้ใดมาก่อน ไม่เคยอ่านหรือศึกษาแบบจริงจัง เวลาใครพูดถึงศัพท์บาลีว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ก็ไม่เข้าใจ แต่ชอบอ่าน และ ฟังธรรม คำสอนของหลวงพ่อปัญญา ท่่านพุทธทาส หลวงปู่เหรียญ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ และหลายๆ ท่าน ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ปัจจุบันได้แต่ทำสมาธิก่อนนอน เพราะทำแล้วหลับสบาย ขณะทำสมาธิก็ใช้วิธีภาวนาพูทโธ แต่ส่วนมากจะตามดูลมหายใจตัวเองจากปลายจมูก แรกๆที่เริ่มทำก็ใช้วิธีกำหนดจิต(ไม่ทราบเรียกถูกหรือเปล่า) มองดูร่างกายตัวเอง บอกกับตัวเองว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่วัตถุอินทรีย์ มีเวลาตายดับ เสื่อมไป จิตที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่พลังงานมีเพื่อใช้จับอารมณ์และความรู้สึกของร่างกาย สิ่งที่คิดว่าเป็นตัวเราก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะเกิดจากการรวมกันของสองสิ่ง ถ้าไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ชีวิตนี้ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ขณะทำสมาธิก็แยกมองกาย มองจิต แล้วปล่อยให้ว่าง (จนคิดว่าตัวเองหลับ เพราะขณะนั้นไม่มีสติรับรู้) จนถึงเวลาก็จะตื่นรู้สึกตัว และเข้าที่นอนหลับได้ การทำสมาธิที่ปฏิบัติอยู่ ตัวเองคิดว่า เมื่อจิตว่าง ก็จะมีสติ ปัญญาก็จะเกิดได้ ปัญหาก็คือ เมื่อมาฟังคำบรรยายธรรมของพระอาจารย์บางท่านบอกว่า การทำจิตให้ว่าง ปัญญาไม่ได้เกิด ปัญญาเกิดจากการมีสติรู้อยู่ขณะปฏิบัติ ไม่ใช่หลับ (รู้สึกจะฟังมาจากท่านพระอาจารย์ปราโมทย์) คำถามก็คือ การวิปัสนากรรมฐาน เราทำเพื่ออะไร จุดประสงค์ที่แท้จริงและการปฏิบัติจริงๆ ควรทำอย่างไร จำเป็นแค่ไหน เพราะความเข้าใจเดิมคือ แค่ทำให้มีสมาธิ และสามารถเข้าใจและรู้ถึงความคิดได้ก็สงบได้ แต่ไม่เคยคิดถึงการมองเห็นหรือได้รับรู้ตามที่ได้ยินมาในระหว่างกรรมฐานถึง เทวดา สวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้าหรือชาติไหน เพราะไม่เห็นถึงประโยชน์ของการรู้หรือเห็นสิ่งเหล่านี้ และก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเห็นหรือรู้เพราะคิดว่าเป็นจิตอุปทาน สร้างภาพเอง ปัจจุบันอ่านมาก ฟังมากก็เลยสับสนตัวเองว่าตกลงต้องทำอะไร หรืออย่างไร เพราะชอบและต้องการปฏิบัติแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเวลาฟังคนที่ปฏิบัติแล้วคุยกัน บางคนบอกไม่ทำเองไม่รู้ไม่เข้าใจหรอก ต้องมีครูบาอาจารย์สอน ทำเองไม่ได้ จริงหรือเปล่าคะ ......................... จากข้อเขียน ผมพอจะสรุปออกมาได้ดังนี้ครับ 1 การวิปัสนากรรมฐาน เราทำเพื่ออะไร จุดประสงค์ที่แท้จริงและการปฏิบัติจริงๆ ควรทำอย่างไร จำเป็นแค่ไหน ทำสมาธิแล้วจิตสงบก็เพียงพอแล้วจริงไหม 2 สิ่งที่รับรู้มาในระหว่างกรรมฐานเป็นจิตอุปทาน สร้างภาพเอง จริงหรือไม่ แล้วมีประโบชน์อะไร 3 อ่านมามาก ฟังมามาก แล้วสับสนว่าตกลงต้องทำอะไร ทำอย่างไร เพราะต้องการปฏิบัติ 4 มีคนบอกว่า ไม่ทำเอง ไมมีทางรู้ด้หรอก ต้องมีครูสอน ทำเองไม่ได้ จริงหรือเปล่า ............................... มาอ่านดูความเห็นของผมครับ กรุณาอ่านด้วยวิจารณญาณด้วยครับ 1 ในขบวนการดับทุกข์ในพระพุทธศาสนานั้น จะมีอยู่กันที่แบ่งได้อย่างง่าย ๆ ได้ 3 ระดับด้วยครับ คือ AA) การรักษาศีล อันเป็นระดับแรกสุด เช่นศีล 5 ถ้าใครรักษาศีล 5 เป็นนิสัย ก็จะพบกับความสุขในระดับโลก ๆ ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับความทุกข์ทางใจได้เมื่อต้องมาพบกับความทุกข์ทางใจ ที่เกิดขึ้นเสมอที่คนยังมีชีวิตอยู่ ซึ่ง การจัดการกับความทุกข์ทางใจนั้น จะเป็นการดับทุกข์ที่ต้องมีหลักการ มีเทคนิค ซึ่งการดับทุกข์ทางใจนั้น ก็คือ สมถกรรมฐาน (การทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ) และ วิปัสสนากรรมฐาน BB) สมถกรรมฐาน (การทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบ ) เป็นระดับขั้นกลางแห่งการดับทุกข์ ที่การปฏิบัติต้องมีความรู้ทางเทคนิคในการปฏิบัติ อันความทุกข์ทางใจนั้น จะเกิดจากความวุ่นวายภายในจิตใจของคนนั้นเอง เมื่อมาปฏิบัติสมถกรรมฐาน ก็จะทำให้จิตใจที่วุ่นวายอยู่นั้นสงบขึ้นมา แต่การปฏิบัติสมถกรรมฐานถึงแม้ทำให้จิตสงบได้ แต่ก็ต้องมีการทำอยู่เพื่อให้จิตสงบ ถ้าไม่ทำ จิตที่วุ่นวายอยู่ก็จะไม่สงบ และในบางครั้ง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในความเป็นคน ก็วุ่นวายมาก จนไม่สามารถจะดับลงได้ง่าย ๆ ด้วยสมถกรรมฐาน ดังตัวอย่างเช่น เรื่องความรักของวัยรุ่น เรื่องสามีไปมีภรรยาน้อย เรื่องการถูกโกงทางธุรกิจ เรื่องลูกที่ต้องคดีอาญาทางบ้านเมือง เรื่องร่างกายตัวเองเกิดเจ็บป่วยมาก เป็นต้น สิ่งที่ท่านเจ้าของคำถามปฏิบัติอยู่ ก็คือ การทำจิตให้สงบนั้นเอง CC) วิปัสสนากรรมฐาน (การเจริญปัญญาให้เกิดขึ้น) เป็นการดับทุกข์ในขั้นสุดท้าย การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ และได้ทรงประกาศออกมาในวิชาของพุทธศาสนา การเจริญปัญญานี้ เมื่อผู้ปฏิบัติได้ลงมือปฏิบัติและได้ผลบ้างแล้ว จิตใจจะเข้าใจและมีการเปลี่ยนปลงทางจิตใจขึ้นเอง คือ การปล่อยวางเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้ทุกข์ทางใจเกิดขึ้นได้ ยิ่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและยิ่งได้ผลมากเท่าใด การปล่อยวางทางจิตใจที่ทำให้เกิดทุกข์ทางใจ ก็ยิ่งมากขึ้น มากขึ้น ไปเรื่อยๆ จนถ้าปล่อยวางได้หมด ทุกข์ทางใจก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย ดังตัวอย่างในข้อ BB) ถ้าผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและได้ผลแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นในตัวอย่าง ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าตัวเกิดทุกข์ทางใจได้เลย ข้อเด่นที่สำคัญของวิปัสสนากรรมฐาน ก็คือ การดับทุกข์ที่เป็นไปเองโดยทุกข์ไม่เกิดขึ้นในจิตใจ และเป็นแบบอัตโนมัติที่เจ้าตัวไม่ต้องทำอะไรอีกเลยในการดับทุกข์ แต่ในขณะที่สมถกรรมฐานนั้น เมื่อเกิดทุกข์ ก็ต้องทำให้ทุกข์ดับลง และบางครั้งจะดับได้ และบางครั้งก็ไม่อาจดับได้ ถ้าทุกข์ที่เกิดนั้นรุนแรงเกินกว่าจะรับมือได้ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีหลักการคร่าว ๆ ก็คือ ผู้ปฏิบัติต้องลงมือฝึกฝน สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนเกิดความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ เมื่อความตั้งมั่นเกิดขึ้น จะมีสภาวะหนึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งก็คือ เกิดการแยกตัวของ .จิตรู้ ออกจากสิ่งทีถูกรู้ เมื่อจิตรู้แยกตัวออกมาได้แล้ว จิตรู้ นี้จะมีความสามารถรับรู้ขบวนการทำงานของ ขันธ์ 5 (อันเป็นองค์ประกอบแห่งความเป็นคน ) เมื่อ.จิตรู้ นี้รับรู้ขบวนการทำงานของขันธ์ 5 ได้ จิตรู้ ก็จะรู้ความเป็นจริงแห่งขันธ์ 5 ได้ เมื่อมีการบ่มเพาะความรู้นี้ไปมาก ๆ เข้าด้วยจิตรู้ ก็จะมีขบวนการอีกขบวนการหนึ่งเกิดขึ้นในจิตใจ ที่จะทำการเปลี่ยนแปลงสัญชาติญาณดิบต่างๆ ในจิตใจตนเอง จนเกิดการปล่อยวางในทุกข์ทางใจได้ ซึ่งการปล่อยวางและเปลี่ยนแปลงสัญชาติญาณดิบนี้ จะเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ตามความรู้ที่ จิตรู้ ได้รับรู้จากขบวนการทำงานของขันธ์ 5 นั้นเอง แนะนำอ่านเพิ่มเติม วิปัสสนา ทำอย่างไร//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2009&date=02&group=1&gblog=51 ..................... 2 ในการปฏิบัติความสงบแบบสมถกรรมฐานนั้น จิตมันสร้างภาพขึ้นมาได้เอง ภาพต่าง ๆ ที่เป้นนิมิต หรือ เสียงต่าง ๆ ที่ได้ยิน เป็นต้น แต่ในวิปัสสนากรรมฐานนั้น จะมีขบวนการอีกแบบ ที่เกิดขึ้นเพราะการรู้ การเห็นด้วย.จิตรู้. ซึ่งเป็นการรับรู้ขบวนการทำงานของขันธ์ 5 ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้เป็นการสร้างภาพขึ้นของจิต .................... 3 คนที่อ่านมาก ฟังมาก ก็ต้องสับสนเป็นธรรมดาครับ ผมแนะนำว่า ถ้าศรัทธาใคร ก็ฟัง ก็อ่านของคน ๆ นั้นเพียงคนเดียว แล้วปฏิบัติตามนั้นไป ถ้ามีข้อสงสัย ก็เข้าไปถามคนที่เราไปเรียน ไปอ่าน ไปฟังเขาครับ ผมเข้าใจดีครับว่า การที่เรายังไม่รู้ เป็นการยากที่จะตัดสิ่นว่า ใครน่าจะเป็นครูอาจารย์ ที่นำทางที่ถูกต้องแห่งการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ได้ เรื่องนี้ ก็คงต้องใช้ปัญญา และคงต้องประกอบด้วยวาสนาของตนเองด้วยครับ ..................... 4. จริงครับ ไม่ทำเอง ไม่มีทางรู้ได้เลย เปรียบเหมือน ถ้าเรายังว่ายน้ำไม่เป็น เราไปดูเขาว่ายน้ำ ช่างง่ายดาย แต่เราไม่เคยลงสระเลย เราดูเขาอย่างไร เราก็ไม่มีทางว่านน้ำเป็นได้เลย การปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์นั้น ในประวัติ ก็มีเหมือนกันที่ท่านเหล่านั้นศึกษาจากพระไตรปิฏกและลงมือปฏิบัติตามในพระไตรปิฏกจนเกิดการรู้แจ้งในธรรมได้จริง และ ก็มีมากเหมือนกัน ที่ต้องอาศัยผู้รู้ ครูอาจารย์ในการนำทาง ชีแนะทางให้ ส่วนตัวเราจะเป็นแบบไหน ก็คงต้องพิจารณาจากปัญญาตนเองว่า แบบไหนจึงจะได้ดี การมีครูอาจารย์นี้ก็พูดยาก เพราะถ้าไปพบครูอาจารย์ที่ไม่รู้จริงเป็นผู้นำทาง เขาก็จะนำเราหลงทางไปเลย ถ้าไปพบครูอาจารย์ที่รู้จริง และมีใจ ที่จะสอนจะแนะนำ แต่สอนไม่เป็น นี่ก็ลำบากพอ ๆ กับการงมด้วยตัวเองทีเดียว ถ้าไปพบครูอาจารย์ที่รู้จริง และมีใจ ที่จะสอนจะแนะนำ และสอนเป็นด้วยภาษาที่เราเข้าใจได้ ก็นับว่าเป็นวาสนาของเราที่ได้พบครูที่ดีและมีความรู้จริง ถ้าเราขยันปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ ก็จะพ้นทุกข์ได้ ซึ่งจะเร็วกว่าการไปศีกษาหาความรู้เอง ยิ่งสมัยนี้ มีอินเตอร์เนท มีเวปบอร์ดธรรมมากมาย ยิ่งเป็นดาบ 2 คมที่ไปพบคำสอนจากผู้ไม่รู้จริงนำมาแสดงไว้ แล้วเราเกิดไปอ่านเข้าและหลงเชือ เราก็จะเข้าใจผิดไปทันทีครับ
Create Date : 11 กันยายน 2552
28 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 20:04:02 น.
Counter : 1409 Pageviews.
โดย: นายแจม 11 กันยายน 2552 17:52:00 น.
โดย: บั๊กคุง 11 กันยายน 2552 19:16:03 น.
โดย: kaoim IP: 119.31.16.79 11 กันยายน 2552 19:22:54 น.
โดย: บั๊กคุง 11 กันยายน 2552 20:30:08 น.
โดย: นมสิการ 12 กันยายน 2552 1:11:30 น.
โดย: นมสิการ 12 กันยายน 2552 1:30:02 น.
โดย: นมสิการ 12 กันยายน 2552 1:32:04 น.
โดย: นมสิการ 12 กันยายน 2552 1:34:54 น.
โดย: บั๊กคุง 12 กันยายน 2552 4:55:14 น.
โดย: นมสิการ 12 กันยายน 2552 7:44:33 น.
โดย: kaoim IP: 110.49.84.111 12 กันยายน 2552 7:54:29 น.
โดย: นมสิการ 12 กันยายน 2552 8:15:02 น.
โดย: kaoim IP: 119.31.51.144 12 กันยายน 2552 9:43:54 น.
โดย: นมสิการ 12 กันยายน 2552 16:49:21 น.
โดย: บั๊กคุง 13 กันยายน 2552 0:00:16 น.
โดย: นมสิการ 13 กันยายน 2552 6:32:56 น.
โดย: บั๊กคุง 13 กันยายน 2552 10:13:02 น.
โดย: นมสิการ 13 กันยายน 2552 17:38:01 น.
โดย: บั๊กคุง 13 กันยายน 2552 19:04:27 น.
โดย: kaoim IP: 119.31.5.161 13 กันยายน 2552 19:59:20 น.
โดย: บั๊กคุง 13 กันยายน 2552 21:20:18 น.
โดย: นมสิการ 14 กันยายน 2552 0:15:22 น.
โดย: บั๊กคุง 14 กันยายน 2552 0:40:57 น.
โดย: kaoim IP: 110.49.39.249 14 กันยายน 2552 8:05:39 น.
โดย: นมสิการ 15 กันยายน 2552 0:27:01 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 20:04:32 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
เมื่อคืนผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นจิตรู้หรือป่าว คือ รู้สึกร่างกายกับพวกความคิดมันอยุ่รวมกันเช่นเดิม (ก่อนหน้านี่เห็นมันขนานกัน) แต่เหมือนผมออกมาจากนั่นอ่ะคับ ไม่รุ้จะอธิบายไงดี เหมือนผมเห็นคนอีกคนนึง กำลังขยับตัว กำลังคิดอยู่ ไม่ได้รู้สึกแวปเดียว แต่ก็ไม่นานคับ ไม่กี่วินาที
หลังจากเมื่อคืน มันก็เป็นอีก แต่ไม่ชัดเจนและเป็นแค่แวปๆ จนตอนนี้บางทีก็รู้สึกว่า เหมือนเป็นคนสองคนเลย คือบางทีก็เป็นคนเดียว(แบบตอนก่อนภาวนา แต่เริ่มจะเป็นน้อยลงแล้ว) บางทีก็เป็นคนไปรู้อีกคนนึงอยู่คล้ายว่ามีสองคน แบบมันเริ่มสับสนดีใช้ได้เหมือนกับคับพี่ -*- (แล้วก็สังเกตได้อย่างนึงว่า ใจมันดิ้นน้อยลง)
ข้อนี้เนื่องจากบทความพี่น่ะคับ
ที่พี่บอกว่า จิตรู้จะเห็นการทำงานของขันธ์ห้าและเห็นความจริงของมัน ก็จะปล่อยวางได้ นี่คือมันจะเห็นครบทั้งขันธ์ห้าเลยไหมพี่ ผมรู้สึกว่า เคยเห็นเกือบครบหมดแล้วเว้นแต่ วิญญาณขันธ์หรือจิตน่ะคับ ผมเข้าใจว่า จิตนี้คือตัวรู้ คือตัวที่ไปรู้ขันธ์ต่างๆ ใช่ไหมคับ ตอนนี้เหมือนมันยังไม่เคยเห็นตัวเอง (แต่ก็ยังรู้สึกว่า จิตคือผม ผมคือคนไปรู้สิ่งต่างๆ)
รบกวนหน่อยนะครับ
ขอบคุณมากๆ ครับ