NaaNa พาไป ~ :: มัสยิดกรือเซะ ::
เมื่อตอนเด็กๆ มักได้ยินข่าว เผาโรงเรียนในสามจังหวัดภาคใต้ แต่ตอนนั้นอะไรๆมันไม่รุนแรงเหมือนสมัยนี้ ตอนเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่6 ในวันเด็กคุณครูพาไปเที่ยว เขื่อนบางลาง วัดถ้ำคูหาภิมุข สวนขวัญเมืองจังหวัดยะลา น้ำตกทรายขาว จ.ปัตตานี พวกเราก็ไปด้วยความสนุกสนาน ไม่มีความรู้สึกหวั่นกลัวอะไร เมื่อต้นปี 2547 ก็ยังนั่งรถไปสุไหงโกลก เดินเล่นในตลาด นั่งเล่นหน้าอำเภอแว้ง และขับจักรยานยนต์เล่นในตัวอำเภอสุคิริน แต่ตอนนี้หากใครถามว่า "ไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปไหม" เหมือนจะคิดหนัก ไม่ตอบตกลงทันที เพราะอะไรๆที่เกิดขึ้น เพราะความไม่ปลอดภัยในชีวิต แม้รู้ว่าความตายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่บางครั้งก็คิดว่า ตายอยู่กับบ้านดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหยียบไปยังสามจังหวัดภาคใต้อีกเลย ยามมีงานแต่งของญาติพี่น้อง งานศพก็ยังไปอยู่ เพียงแต่ไม่เที่ยวเล่น ไม่เริงร่า แวะตรงโน้นจอดตรงนี้เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว แต่กระนั้น บางครั้งก็ทำไม่ได้จริงๆที่จะไม่แวะชมอะไรบ้าง อย่างเช่นมัสยิดกรือเซะ หลายครั้งที่นั่งรถผ่านศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว และมัสยิดกรือเซะ ใจมันคอยเรียกร้องอยู่ร่ำไป อยากจะลงไปชมสถาปัตยกรรมสมัยโบราณของมัสยิดแห่งนี้ และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาก็สบโอกาส ไปงานศพคนรู้จักที่นราธิวาส พี่ๆขับรถไปกันเอง ก็เลยบอกขอแวะมัสยิดกรือเซะหน่อยนะ พี่ก็จอดให้เพราะพี่ๆเองก็อยากจะถ่ายรูปและแวะชมมัสยิดแห่งนี้เหมือนกัน
มัสยิดกรือเซะ ตั้งอยู่ที่บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโละ อำเภอเมือง ตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 7 กม. เป็นมัสยิดเก่าแก่ อายุกว่า 200 ปี สันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถาน ที่สร้างขึ้น ในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยอยุธยา กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2478ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบเสากลม รูปลักษณะแบบเสาโกธิกของยุโรป ช่องประตูหน้าต่างมีทั้งแบบโค้ง แหลมและโค้งมน ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ หลังคาโดม ซึ่งยังสร้างไม่แล้วเสร็จ
ตามตำนานบอกไว้ว่า มัสยิดแห่งนี้สร้างไม่เสร็จเพราะโดนคำสาปของลิ้มก่อเหนี่ยว ซึ่งไม่พอใจที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ชายไม่ยอมกลับเมืองจีนไปกับตน ทำให้ลิ้มก่อเหนี่ยวสาปแช่งไว้ว่ายังไงเสียก็ไม่ให้พี่ชายสร้างมัสยิดได้สำเร็จ แต่ในทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ไทยบางส่วนและประวัติศาสตร์ของชาวมลายู บันทึกว่าสาเหตุที่มัสยิดกรือเซ๊ะเสียหาย เพราะโดนกองทัพจากกรุงสยามเข้าตีในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2328 ครั้งที่กองทัพสยามเข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ทหารสยามได้ระดมยิงปืนใหญ่จนเมืองและพระราชวังเสียหายตลอดจนมัสยิดเสียหาย และเมื่อทหารสยามรบชนะก็ได้ทำการเผามัสยิด เพื่อลอกเอาเนื้อทองคำบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มบนโดมมัสยิดกรือเซ๊ะอันสวยงามแห่งนี้ และหลังจากกองทัพสยามได้ยกทัพมาปราบหัวเมืองปักษ์ใต้ กล่าวกันว่า ในสมัยที่กองทหารสยามกวาดและริบทรัพย์สินจากเชลยศึกในสงครามปัตตานี ในสมัยที่กองทัพถอยทัพกลับนั้นด้วยความที่ทรัพย์สินของปัตตานีมีมาก เรือลำหนึ่งที่บรรทุกปืนใหญ่ศรีนะฆะราจมล้มในอ่าวปัตตานี และทหารสยามต้องเท้ากลับกรุงเทพมหานครฯ เพราะเรือของกองทัพเรือทั้งต้องบรรทุกทรัพย์สินของเชลยศึกที่ยึดได้จากสงครามกลับกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ปัจจุบันนี้มัสยิดกรือเซะก็ยังอยู่ในสภาพเดิมที่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่มียอดโดมให้เห็น และคำถามเรื่องกรณีมัสยิดกรือเซะ 28 เมษายน 2547 ก็ยังคงอยู่ในความค้างคาใจของใครอีกหลายๆคน อะไรจริง ใครถูก ใครผิด ไม่รู้ รู้แต่เสียดายโอกาสดีๆที่เยาวชนไทยในถิ่นอื่นที่อดไปเยี่ยมชมดู ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม บ้านเรือนโบราณตามฉบับไทยมาลายูสมัยก่อน ซึ่งสามจังหวัดชายแดนแห่งนี้ยังคงมีให้พบเจอมากมาย
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2556 |
|
8 comments |
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2556 12:35:56 น. |
Counter : 4163 Pageviews. |
|
|
|
ไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นะครับ
สามจังหวัดที่ไปมา
ชอบปัตตานีเป็นที่สุดเลยครับ
อยากไปอยู่ครับ