เมื่อคุณหมอบอกว่าเป็นหลอดลมอักเสบ
โรคหลอดลมอักเสบเป็นอย่างไร
โรคหลอดลมอักเสบ หรือ bronchitis เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุหลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมบวม มีเสมหะในหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก อาจหายใจมีเสียงดังหวีดได้ อาจมีอาการเจ็บคอ แสบคอ หรือเจ็บหน้าอกได้ ผู้ป่วยอาจมีไข้ รู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัวได้
โรคหลอดลมอักเสบเกิดจากสาเหตุใด
1. โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน (มีอาการไม่เกิน 3 สัปดาห์) ส่วนใหญ่มักเป็นตามหลังไข้หวัด ซึ่งไม่ได้รับการรักษา หรือปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง ทำให้การติดเชื้อลามลงไปถึงหลอดลม ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นหวัด แล้วมีอาการไอ มีเสมหะเป็นระยะเวลามากกว่า 1 สัปดาห์ อาจเป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เมื่อผู้ป่วยมีการอักเสบของโพรงจมูก หรือเป็นหวัด ควรให้การรักษา หรือปฏิบัติตนให้ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหลอดลมอักเสบได้ ส่วนใหญ่หลอดลมอักเสบเฉียบพลันเกิดจากเชื้อไวรัส เหมือนไข้หวัด ในรายที่เป็นเรื้อรัง รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อนได้ อาจทำให้เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว
2. โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง อาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ (โรคหอบหืด หรือ asthma) หรือเกิดจากการสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานก็ได้ (อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือ Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง นี้ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น
การวินิจฉัยโรคทำอย่างไร
ทำได้โดย แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย โดยใช้ที่ฟังปอด ฟังหลอดลม ว่ามีการตีบแคบของหลอดลมหรือไม่ และให้การวินิจฉัยแยกโรคจากโรคอื่นๆ ที่ทำให้มีอาการไอ การส่งตรวจภาพรังสีทรวงอก อาจช่วยวินิจฉัยแยกโรคปอดอักเสบได้
การรักษา
โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน มักจะหายได้เอง ภายใน 7-10 วัน ถ้าปฏิบัติตนถูกต้อง (ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ) เช่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยง ควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่น, สารระคายเคืองต่างๆ ซึ่งจะทำให้การอักเสบในหลอดลมเป็นมากขึ้น
- ควรพยายามหลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง ซึ่งจะทำให้ไอมากขึ้น โดยเฉพาะแอร์ พัดลมเป่า การดื่มหรืออาบน้ำเย็น ถ้าต้องการเปิดแอร์ ควรตั้งอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส ในกรณีที่ใช้พัดลมไม่ควรเปิดเบอร์แรงสุด และควรให้พัดลมส่ายไปมา ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศจากเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมโดยตรง เนื่องจากอากาศที่เย็นสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง และยังสามารถกระตุ้นเยื่อบุหลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมอักเสบมากขึ้น ส่งผลให้มีอาการไอมากขึ้นได้
- ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายให้เพียงพอ เช่น นอนห่มผ้า ถ้าจะให้ดี ควรใส่ถุงเท้า หรือผ้าพันคอ เวลานอนด้วย ในกรณีที่ไม่ชอบห่มผ้าหรือห่มแล้วชอบสะบัดหลุดโดยไม่รู้ตัว ควรใส่เสื้อหนาๆ หรือใส่เสื้อ 2 ชั้น และกางเกงขายาวเข้านอน
- ควรหาสาเหตุที่ทำให้เป็นหลอดลมอักเสบด้วย เนื่องจาก ถ้าเรายังมีภูมิต้านทานต่อโรคดี เรามักจะไม่เป็นหลอดลมอักเสบ เมื่อใดเป็นหลอดลมอักเสบ แสดงว่าร่างกายมีภูมิต้านทานต่อโรคต่ำ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้ภูมิต้านทานน้อยลงได้แก่ เครียด, นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, สัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ เช่น ขณะนอนเปิดแอร์หรือพัดลมเป่าจ่อ, ตากฝน หรือมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้เรา การหาสาเหตุเหล่านี้มีความสำคัญ ถ้าเราไม่ได้หาและไม่หลีกเลี่ยง นอกจากจะทำให้หายช้าแล้ว อาจทำให้เป็นหลอดลมอักเสบซ้ำได้อีก
- รักษาตามอาการ เช่น ถ้ามีไข้ รับประทานยาลดไข้, ถ้ามีอาการไอ รับประทานยาแก้ไอ หรือยาขยายหลอดลม , ถ้ามีเสมหะมาก อาจรับประทานยาละลายเสมหะ
ภาวะแทรกซ้อน
ถ้าให้การรักษาไม่ถูกต้อง การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบหรือปอดบวมได้ หรือจากหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน กลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคถุงลมโป่งพองได้
ขอบคุณข้อมูลจาก //www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/ e-pl/articledetail.asp?id=645
Create Date : 05 กันยายน 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 5 กันยายน 2553 8:40:25 น. |
Counter : 3760 Pageviews. |
|
|
|