All Blog
|
Christmas Market Hopping 2018 (Alsace) (2/3) Christmas Market Hopping - เมื่อบอกสามีว่าอยากไปคริสต์มาสมาร์เกตที่สวยที่สุด (ตอนที่ 2) Day 1: Frankfurt – Heidelberg Day 2: Baden-Baden Day 3: Strasbourg Day 4: Ribeauville/Riquewihr/Colmar Day 5: Freiburg Day 6: Frankfurt Day 7: Back home (from Frankfurt) เรามาต่อกันในตอนที่ 2 กันค่ะ ตอนนี้จะพาไปแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศสซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศติดกับพรมแดนเยอรมัน เข้าเขตฝรั่งเศสแล้ว มีป้ายบอก เราขับรถไปจอดไว้ที่โรงแรมก่อนค่ะแล้วค่อยนั่งTram เข้าเมืองกัน เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะมากจึงไม่มีที่พักให้เลือกได้ซักเท่าไหร่ เราพักที่ Campanile Strasbourg Ouest เป็นโรงแรมสามดาว ห้องเล็กๆ แต่ทำเลดีค่ะ ไม่ไกลจากสถานีรถ Tram การใช้ Tram ที่นี่ก็ง่ายๆเราก็ซื้อตั๋วก่อนที่ป้ายรถแล้วก็ไป verify ที่เครื่องบนรถ ถ้าคิดว่าจะใช้หลายรอบก็ซื้อเป็นตั๋ววันไปเลยก็ได้ นั่ง Tram มาลงสถานี Homme de Fer เสร็จแล้วก็เริ่มเดินค่ะ เดินเล่น ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ทุกที่ทุกร้านประดับประดาตกแต่งได้อย่างสวยงามมากๆ Strasbourg ได้รับการขนามนามว่าเป็น The Capital of Noel หรือเมืองหลวงของคริสต์มาสนั่นเอง เนื่องจาก Strasbourg เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่วันแรกเราเลยจะเที่ยวแถวคริสต์มาสมาร์เกต ส่วนครึ่งวันเช้าอีกวันจะไปเดินเล่นแถว Petite France กันค่ะ นี่คือหน้าตาของ Tram ที่บอกค่ะ ดูทันสมัยมากเลยทีเดียว Place Kleber ซึ่งเป็นจัตุรัสกลางเมือง มีต้นคริสต์มาสประดับไฟที่ใหญ่มากๆ มีอนุสาวรีย์ของ Jean-Baptiste Kléber ซึ่งเป็นนายพลชาวฝรั่งเศสคนสำคัญในช่วง French Revolutionary War มีลานสเกตน้ำแข็งเล็กๆด้วยในช่วงหน้าหนาว เราเดินเข้าไปในซอยเล็กๆที่มีชื่อว่า Rue des Orfevres เป็นซอยที่สวยที่สุดเลย บรรยากาศดีมากๆค่ะ มีร้านขายของซ้ายขวาซึ่งแต่ละร้านตกแต่งได้อย่างสวยงาม เราเดินทะลุมาจนสุดก็จะเจอตลาดคริสต์มาส และ Notre Dame de Strasbourg บรรยากาศสวยๆในซอยนี้ Notre Dame de Strasbourg เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองและมีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ถ้าใครเคยไป Notre Dame de Paris แล้วต้องบอกว่าโบสถ์ที่เมืองนี้ใหญ่กว่าหลายเท่านักค่ะ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1015 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1439 เคยเป็นโบสถ์ที่สูงที่สุดในโลกด้วย แต่ในปัจจุบันสูงที่สุดเป็นอันดับหกค่ะ เนื่องจากสร้างขึ้นในยุคกลาง สภาปัตยกรรมก็จะเป็นแบบโกธิก ภายในก็กว้างขวางและมีบรรยากาศที่สงบ ถ่ายรูปออกมาก็สวยค่ะ แต่ส่วนที่ Jellyjourney คิดว่าสวยกว่าด้านในก็คือสถาปัตยกรรมด้านนอกที่มีรูปปูนปั้นประดับประดาอยู่มากมาย งายละเอียด สวยงามมากค่ะ มาดูรายละเอียดภายนอกกันบ้าง คริสต์มาสมาร์เกตที่เมืองนี้มีจัดอยู่หลายมุมค่ะ แต่ส่วนประกอบภายในก็เหมือนกันคือ ร้านอาหาร ร้านขายของ และร้านขายไวน์อุ่น นี่คือบรรยากาศรอบๆโบสถ์ค่ะ มีการประดับประดาไฟสวยงาม ด้านนอกของโบสถ์แบบเต็มๆ อาคารรอบๆก็ประดับไฟสวยงาม ตื่นเช้าวันรุ่งขึ้นขับรถเช่าออกไปจอดที่ลานจอดรถ แนะนำค่ะว่าถ้าใครเช่ารถแล้วอยากหาที่จอดในเมืองก็เปิด google map หาลานจอดที่ใกล้ๆจุดที่เราไป รับบัตรก่อนเข้าลานจอดรถเสร็จแล้วตอนมาเอารถออกลองดูว่าแต่ละลานมีวิธีจ่ายเงินยังไง มันจะมีทั้งตู้ที่อยู่ตามลานจอด เราเอาบัตรเข้าไปเสียบมันจะนับเวลาและจ่ายเงินด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต บางที่ก็มีตู้รวมอยู่ชั้นล่างของอาคารจอดรถเราก็แวะเข้าไปจ่ายเงินก่อนเดินไปที่รถค่ะ จากการจอดรถที่ Strasbourg มาพบว่าค่าจอดรถไม่ได้แพงมากค่ะ ที่จอดรถหาไม่ยากด้วย จอดรถเสร็จแล้วเราก็เดินไปที่ย่านที่มีชื่อว่า Petite France จะมีลักษณะคล้ายๆเกาะนิดนึง ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ และบ้านหรืออาคารบริเวณนั้นก็จะเป็นสไตล์เดียวกันหมดเลยค่ะสี pastel น่ารักมากๆ เราสามารถนั่งเรือล่องแม่น้ำได้ด้วยนะคะ ได้เวลาโบกมือลา Strasbourg และ ไปเที่ยวเมืองอื่นๆในแคว้นอัลซาสต่อ จริงๆตอนแรกเรามีโปรแกรมจะขับรถไปหลายเมืองเลยค่ะ แต่สุดท้ายก็ได้แวะแค่เมือง Riquewihr, Ribeauville, and Colmar ในตอนกลางคืน ถ้าใครมีเวลาลองแวะไปเมือง Eguisheim ดูด้วยค่ะ Ribeauville เป็นเมืองเล็กๆห่างจาก Strasbourg ประมาณ 45 นาที จอดรถด้านนอกแล้วก็เข้าไปเดินชมเมืองค่ะ เมืองน่ารักมาก บ้านสีสวยมาก แวะทานอาหารกลางวันที่นี่ด้วย มาต่อกันที่ Riquewihr จะเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่กว่า Ribeauville ซักหน่อยแต่น่ารักไม่แพ้กัน ที่นี่มีร้านไวน์อุ่นให้ลองหลายร้านซึ่งแต่ละร้านก็ดูมีความพิเศษเพราะว่าเค้าเป็นสวนองุ่นที่ทำไวน์ขายอยู่แล้วค่ะ ในช่วงหน้าร้อนแคว้นอัลซาสถือเป็นแหล่งผลิตไวน์ชั้นยอดของฝรั่งเศส ระหว่างทางที่เราขับมาก็พอจะนึกภาพได้ค่ะว่าถ้าตอนที่เป็นสวนองุ่นในหน้าร้อนจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ดังนั้นไวน์อุ่นของที่นี่ดูจะน่ารับประทานมากเป็นพิเศษ สุดท้ายเราก็มาหยุดที่ร้านนี้เพราะคนมุงกันเต็มร้านเลย สิ่งที่ลองไปคือไวน์ขาวผสมเหล้า Grand Marnier (=blend of Cognac brandy, distilled essence of bitter orange, and sugar) อร่อยมากๆๆ ยกให้เป็นไวน์อุ่นที่อร่อยที่สุดในทริปนี้เลย! Colmar มาถึงเมืองสุดท้ายของวันนี้ก็คือ Colmar Colmar เป็นอีกเมืองใหญ่ที่สำคัญในแคว้นอัลซาส Christmas market ที่นี่ก็เก่าแก่ติดอันดับเลยทีเดียว เราจอดรถแล้วเดินไปเที่ยวคริสต์มาสมาร์เกตกันค่ะ ตลาดที่เมืองนี้มีหลายจุดมาก เรียกว่าเดินไปตรงไหนก็มีแต่ร้านขายของเต็มไปหมด มันแปลกดีที่พอเราไปตลาดคริสต์มาสมาหลายๆที่ก็จะเห็นความแตกต่างกันไปในแต่เมือง ที่ Colmar นี่ดูแล้วขอตั้งชื่อว่าเป็นธีมแสงสีโปรเจคเตอร์ 55 เพราะว่ามีการฉายภาพผ่านโปรเจคเตอร์ไปบนผนังบ้านมีสีสันต่างกัน มีเป็นหิมะตก snowflake ปลิวๆ คือเยอะมากๆ ดูแล้วก็แปลกตาดี ดึกแล้วเป็นอันจบการเยือนแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศส ได้เวลากลับที่พัก ที่พักของเราในคืนนี้อยู่แทบจะกลางพรหมแดนระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมันเลยค่ะ ห่างจาก Colmar แค่ 30 นาที เป็นโรงแรมที่มีห้องพักไม่กี่ห้องและเป็นร้านอาหารด้วย ทางเข้าจะยากๆหน่อย แต่พอเปิดห้องเข้าไปเท่านั้นแหละ คือสวยมาก คุ้มมาก ห้องใหญ่และอยู่ริมแม่น้ำไรน์จ้า แนะนำสุดๆ ที่พักชื่อ HÔtel Le Caballin เป็นอันจบตอนที่สองจ้า ได้เวลากลับไปเยอรมันกันแล้ว ฝากติดตามตอนสุดท้ายของทริปนี้ Freiburg and Frankfurt ด้วยค่า :) ย้อนกลับไปตอนที่ 1 ที่นี่ Facebook page: Jellyjourney Instagram: Jellyjourney
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา:2:51:54 น.
|
jellyjourney
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?] สวัสดีค่ะ ชื่อ เยลลี่ นะคะ blog นี้สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในการไปเที่ยวของเรากับเพื่อนๆทุกคน เข้ามาเยี่ยมชม มาคุยกัน หรือมีอะไรติชมแนะนำกันได้นะคะ Facebook page: Jellyjourney follow my Instragram @JELLYJOURNEY for extraordinary pics in my ordinary life Friends Blog
Link |