สิงหาคม 2557

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
31 สิงหาคม 2557
All Blog
Paris [Review] 4 Days 3 Nights

มามะ มาเที่ยวฝรั่งเศสกัน

4 วัน 3 คืนในปารีส พร้อมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ รายละเอียดการเดินทางและค่าเข้าชม




ทริปนี้เราไปเมืองหลวงของฝรั่งเศส คือ กรุงปารีส ค่ะ ไปมาเมื่อช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว ใช้เวลาเที่ยวฝรั่งเศส 4 วัน 3 คืน ส่วนตัวถือว่าเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในปารีสครบหมดนะ ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ฝรั่งเศสในความคิดของเราเป็นประเทศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศิลปะ เคยมั้ยเวลาไปที่ไหนแค่คุณมองไปรอบๆดูบ้านเมือง ดูการจัดวางผังเมืองและตัวอาคารทั่วๆไป ก็รู้สึกสวยแล้ว ยังไม่ต้องเข้าไปในอาคารนั้นๆด้วยซ้ำ กรุงปารีสสำหรับเราเป็นเมืองแบบนั้นค่ะ เรียกได้ว่า แค่มองก็อิ่มแล้ว Smiley (นี่อาจเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของประเทศในยุโรปที่ทำให้หลายคงหลงใหล รวมถึงเรา) ทริปนี้เราไม่เน้นการชอปปิ้งนะจ๊ะ ใช้เวลาส่วนมากไปกับการเดินพิพิธภัณฑ์ดูงานศิลปะค่ะ itinerary ด้านล่างจึงอาจขัดใจเพื่อนๆบางคนไปหน่อย ก็เอาไปปรับใช้กันได้ตามสะดวกเลยค่ะ

เดินทางด้วยสายการบินไทย TG 930 จากสนามบินสุวรรณภูมิบินตรงไปกรุงปารีส ถึงสนามบินที่นู้นเอากระเป๋าเรียบร้อย เราก็ทำภารกิจสำคัญมากอันดับ 1 คือการซื้อตั๋วรถไฟ และ Museum Pass ค่ะ ถ้ามาลง Terminal 1 ซื้อได้ที่ Tourist Information Desk "Arrivals"level, gate 4



การเดินทาง& Paris Visite Pass

การเดินทางในปารีสไม่ยุ่งยากค่ะ เดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่นี่เค้ามีรถไฟใต้ดินถึง 16 สายเลยนะ! เค้ามีกันมานานแล้วเก่าแก่มากเลยทีเดียว แต่ก็ใช้งานได้ดี ตรงเวลา ครอบคลุมทุกที่ที่เราไปเลยค่ะ ส่วนมากสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญจะอยู่ใน Zone 1-3 ดูๆแล้วก็จะมีแต่พระราชวังแวร์ซายและ Disney land เท่านั้นที่ออกไปไกลซักหน่อย แต่ก็มีรถไฟไปถึงอยู่ดีค่ะ ซึ่งรถไฟที่ไปพระราชวังแวซายน์นั้นจะไม่ใช่รถไฟใต้ดิน แต่เป็นรถไฟชานเมือง เรียกว่า RER มีทั้งหมด 5 สายค่ะ

ราคาค่าตั๋วรถไฟใต้ดินเที่ยวเดียวอยู่ที่ 1.70 ยูโร หากซื้อแบบราคาเหมา 10 ใบ จะเหลือเที่ยวละ 1.37 ยูโร เหมาะสำหรับเดินทางกันหลายๆคนค่ะ แต่ยังมีบัตรอีกประเภทเรียกว่า Paris Visite Pass เป็นตั๋วที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวันที่ครอบคลุมและโซนที่จะเดินทาง ตั๋วมีให้เลือกแบบ 1 วัน 2 วัน 3 วัน หรือ 5 วัน และให้เลือกว่าเดินทางภายในโซน 1-3 หรือ 1-5 จากที่เกริ่นไปแล้วว่ามีแค่พระราชวังแวร์ซายที่หลุดโซน 3 ออกไปบวกกับเวลาที่เราอยู่ที่ฝรั่งเศสแค่ 4 วัน เราจึงเลือกซื้อตั๋วประเภท 3 วัน โซน 1-3 ราคา 24.10 ยูโรค่ะ (แล้ววันแรกที่ไปแวร์ซายก็ซื้อแบบเที่ยวเดียวไป)เพื่อนๆเข้าไปเลือกดูราคาตั๋วที่เหมาะสมกับตัวเองได้ตามลิงค์ นี้ เลยค่ะ

ถึงแม้ว่าที่ฝรั่งเศสจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักไม่ใช่ภาษาอังกฤษแต่การเดินทางก็ไม่ยากเท่าไหร่นะคะ มีภาษาอังกฤษบอกบ้างเป็นบางป้าย แต่พออยู่ๆไปก็จะเริ่มเดาได้เองเช่น ป้ายเขียนว่า Sortie จะเป็นป้ายแรกที่จะเห็นเลยเวลาลงจากรถไฟใต้ดินแปลว่า Exit ค่ะ J

สามารถเข้าไปดูเส้นทางรถไฟใต้ดินและแผนที่ได้ ที่นี่

Paris Museum Pass

สถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนา เช่น โบสถ์มหาวิหาร ในประเทศฝรั่งเศส ส่วนมากจะเปิดให้เข้าชมฟรี แต่สำหรับพิพิธภัณฑ์และพระราชวังจะเสียค่าเข้าชม ด้วยตารางการท่องเที่ยวที่อัดแน่นด้วยพิพิธภัณฑ์ของเรา เราจึงซื้อ Museum pass ค่ะ ต้องขอบอกว่า “คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”แนะนำสุดๆ เพราะ Museum Pass ครอบคลุมทุกสถานที่ท่องเที่ยวที่เราวางแผนจะไปซื้อบัตรครั้งเดียวเข้าได้เกือบทุกที่เลย แถมยังไม่ต้องไปต่อคิวรอด้วยนะ เปรียบได้กับไปสวนสนุกแล้วมีบัตร Fast Pass J Museum Pass มีให้เลือกแบบ 2 วัน 4 วัน หรือ 6 วัน เราเลือกแบบ 4 วัน ราคา 56 ยูโรค่ะ เพราะมาคิดๆดูแล้วถ้าเที่ยวแบบ itinerary ด้านบน หากจ่ายราคาเต็มทั้งหมดจะอยู่ที่ 88 ยูโร เห็นมั๊ยคะซื้อตั๋วนี้ดีกว่าเยอะ เพื่อนๆลองบวกราคาเอาดูนะคะ เพราะ Itinerary ด้านบนเราใส่ราคาเต็มอยู่ในวงเล็บหลังคำว่า Museum pass ไว้ให้แล้ว.. สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Museum Pass ทั้งราคา สถานที่ท่องเที่ยวที่ร่วมกับ Museum pass ได้ ที่นี่

ตัวอย่างหน้าตา Paris Visite Pass และ Museum Pass



โรงแรม

ทริปนี้เราพักที่ Aparthotel Adagio Paris Eiffel Tower เป็นโรงแรมที่เหมือน service apartment ในเครือ Adagio ค่ะ โรงแรมในเครือ Adagio ที่ปารีสมีหลายที่ แต่ที่เลือกที่นี่เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน สถานี Charles Michels ประมาณ 5-10 นาทีเองค่ะ ค่อนข้างสะดวกมาก ห้องพักมีให้เลือกหลายแบบทั้ง STUDIO FOR 2 PERSONS, APARTMENT WITH 1 BEDROOM FOR 4 PERSONS และ APARTMENT WITH 2 BEDROOMS FOR 6 PERSONS มีครัวเล็กๆให้ด้วยนะคะเนื่องจากทำเลมันดีมากบวกกับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องครบครัน ราคาเลยค่อนข้างจะแพงซักหน่อย ลองเข้าไปดูราคาและห้องพักเพิ่มเติมได้ ที่นี่ 


Day 1Smiley

Versailles Palace

พระราชวังแวร์ซาย หรือในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Château de Versailles เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส สร้างขึ้นในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ใช้เวลาสร้างนานกว่า 30 ปี มีกษัตริย์เพียง 3 องค์เท่านั้นคือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 15 และ 16 ที่ได้อาศัยอยู่ ณ พระราชวังแห่งนี้ก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี1789 หลังจากนั้นก็ปิดตัวลง จนมาเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมในศตวรรษที่ 19 นี่แหละค่ะ หากเพื่อนๆได้ไปที่พระราชวังนี้จะรู้สึกว่ามันอลังการมากกก แต่ละห้องมีการตกแต่งสวยงาม(ออกแนวเวอร์ๆหน่อยด้วยซ้ำ) มีภาพศิลปะ รูปปั้นหิน กระจก โคมไฟระย้า ยิ่งใหญ่มากเหมือนเอาพิพิธภัณฑ์มาไว้ในพระราชวังยังไงยังงั้นเลยค่ะ

เหมือนพิพิธภัณฑ์มากเลยใช่มั๊ยละคะ?



ห้องกระจก หรือ The Halls of Mirrors นี้เป็นห้องที่มีชื่อเสียงที่สุดห้องหนึ่งในพระราชวัง นอกจากจะสวยเวอร์แล้ว ยังเป็นห้องที่ใช้ลงนามสัญญาสงบศึกระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกด้วย


พระราชวังแวร์ซายเปิดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่ 9.00-18.30 ราคาปรกติ 15 ยูโร ใครซื้อ Museum pass สามารถใช้ที่นี่ได้ค่ะ การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างจะยากนิดนึงเนื่องจากเราต้องนั่งรถไฟใต้ดินมาต่อรถไฟ RER สาย C เพื่อไปลงสถานี Versailles Rive Gauche ค่าเดินทางก็เที่ยวละ 4.10 ยูโรค่ะ

มีข้อควรระวังนิดนึงเนื่องจากสาย C แตกออกเป็นสายย่อยๆมากมาย บางทีเราอาจขึ้นไปผิดคนละด้าน หรือไปด้านถูกแต่รถไม่ได้ไปจอดสถานีที่เราจะไป ที่นี่เค้าจึงตั้งชื่อสายย่อยของสาย C อีกทีเป็นชื่อ เช่น Vick, Sara, Slom, Paul เก๋มั๊ยละคะ จำไว้ให้ขึ้นใจว่ารถที่ไปแวร์ซายชื่อว่า Vick สายเดียวเท่านั้นค่ะ

มุมนึงของพระราชวัง


ทางเดินจากสถานีรถไฟใต้ดินไปพระราชวังค่ะ


Eiffel Tower

หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงปารีสและฝรั่งเศส ใครๆก็รู้จักกันใช่มั๊ยค่ะ หอไอเฟลเป็นหอคอยโครงเหล็กที่เคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกด้วยนะหลังจากมันถูกสร้างเสร็จในปี 1930 (แทนที่ Washington Monument..แต่สุดท้ายหอไอเฟลก็ถูกล้มแชมป์ด้วยตึกไครส์เลอร์ ที่นิวยอร์ก) หากใครสนใจที่จะขึ้นไปชมวิวบนหอไอเฟลก็ได้นะคะ สามารถชมวิวบนชั้น 2 หรือขึ้นไปบนยอดนู้นเลยก็ได้ ถ้าขึ้นไปยอดสูงสุดโดยลิฟท์ราคา 15 ยูโรจ้า แต่ถ้าชั้น 2 แบบขึ้นลิฟท์ 9 ยูโร แบบเดินเอง 5 ยูโร เปิดตั้งแต่ 9.00-เที่ยงคืน สำหรับช่วงกลางมิถุนายนถึงกันยายน ส่วนเดือนที่เหลือเปิด 9.30-23.00 เดินทางโดยรถไฟใต้ดินสาย 6 ลงที่ Bir-Hakeim station

ฐานเหล็กอันแข็งแรง



Day 2Smiley

Louvre Museum

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียง เก่าแก่และใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ปีๆหนึ่งมีคนมาเยี่ยมชมกว่าหลายล้านคน แม้คนที่ไม่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์ มาฝรั่งเศสก็ต้องมาพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์แต่เดิมพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เคยเป็นพระราชวังหลวงมาก่อน แต่เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมเมื่อปี 1793 ภายในพิพิธภัณฑ์มีงานศิลปะทรงคุณค่าระดับโลกหลายชิ้นมาก ที่ดังๆก็ได้แก่ รูปภาพโมนาลิซ่า รูปปั้นวีนัส (Venus de Milo) รูปภาพ The Coronation of Napoleon รูปภาพ Liberty Leading the People นอกจากนี้ยังมีพีระมิดแก้วเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของที่นี่ บางคนก็ว่าพีระมิดนี้ไม่ได้เข้ากับตัวตึกแสนคลาสสิคเลย แต่เราว่าดูๆไปมันก็กลืนกันได้นะ เหมือนเป็นความลงตัวระหว่างโลกยุคเก่าและโลกยุคใหม่


Inverse pyramid ตามรอย The Da Vinci Code


The Famous Mona Lisa


พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ใหญ่มาก เรียกได้ว่าเดินวันเดียวยังไงก็ไม่หมด ตัวพิพิธภัณฑ์ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ถ้าใครเดินนานแล้วเกิดหิวขึ้นมา เราแนะนำให้แวะเข้าร้านอาหารที่นี่ดูนะคะอร่อยนะจะบอกให้!

นอกจากภาพวาดแล้วก็ยังมีรูปปั้นสวยๆอีกเพียบค่ะ



ราคาเข้าชม 12 ยูโร เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร ตั้งแต่ 9.00-18.00 โดยวันพุธและวันศุกร์ขยายเวลาปิด ถึง 21.45 ใครมี Museum pass เดินเข้าโดยไม่ต้องต่อคิวเลยจ้า เดินทาง: นั่งใต้ดินสาย 1 หรือ 7 ลงที่สถานี Palais Royal Muse'e du Lourve

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่ 

เดินออกจาก Louvre มา ก็จะต่อไปยังบริเวณที่เรียกว่า Place de la Concorde จะมีแท่ง Obelisk จากอียิปต์ ความสูง 23 เมตร ตั้งตะหง่านอยู่ค่ะ


Arc de Triomphe

ประตูชัยฝรั่งเศส landmark สำคัญของฝรั่งเศสที่ใครๆก็ต้องไปถ่ายรูป แต่จะมีซักกี่คนที่สังเกตรายละเอียดของประตูชัยแห่งนี้ ประตูชัยฝรั่งเศสสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1806 หลังจากจักรพรรดินโปเลียนได้รับชัยชนะในสงครามที่ Austerlitz แต่มาสร้างเสร็จในปี 1836 ประตูชัยแห่งนี้เป็นจุดกึ่งกลางที่ถนนทั้ง 12 สายมาบรรจบกัน ด้านล่างของโค้งประตูชัยเป็น Tomb of the Unknown Soldier สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ตัวประตูชัยเองก็มีรูปปั้นแกะสลักภาพสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสและสงครามนโปเลียน นอกจากนั้นใครที่มีตั๋ว Museum Pass สามารถปืนบันไดขึ้นไปด้านบนของประตูชัยได้ด้วยด้านบนนั้นจะมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆเล่าที่มาของการสร้างประตูชัยและเราสามารถมองเห็นวิวสวยๆของกรุงปารีสได้จากด้านบนนี้ด้วย


ราคาเข้าชมด้านบนปรกติอยู่ที่ 9.50 ยูโรแต่ถ้าใครมี Museum Pass อยู่แล้วก็ใช้ได้เลยค่ะ การเดินทางก็ง่ายแสนง่ายเพียงนั่งรถไฟใต้ดินสาย 1, 2 หรือ มาลงที่ Charles de Gaulle Etolle station

Champs Elysees

ถนนเส้นนี้โด่งดังจากความสวยงามกว้างขวาง ทั้งยังมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหารมากมาย เป็นแหล่งชอปปิ้งอีกแห่งที่สำคัญของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะ LouisVuitton, Cartier, Disney Shop, ร้านขายเครื่องสำอางดังๆ แถมยังมี สาขาของร้าน Laduree หากใครสนใจเข้าไปเติมความหวานด้วยการทาน Macaron และจิบชายามบ่าย

วิวของ Champs Elysees ถ่ายจากด้านบนของประตูชัย


เราสามารถเดินจากประตูชัยฝรั่งเศสมาได้เลยค่ะ


Day 3Smiley

Sainte-Chapelle

เป็นโบสถ์ของนิกายโรมันคาทอลิก สถาปัตยกรรมเป็นสไตล์กอทิก โบสถ์นี้ในสมัยก่อนสร้างขึ้นเพื่อเก็บสมบัติล้ำค่าเกี่ยวกับศาสนาคริสต์และพระเยซูของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โบสถ์แห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามปฏิวัติฝรั่งเศส ดังนั้น Sainte Chapelle ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นการบูรณะใหม่เกือบทั้งสิ้น แต่ก็ยังคงความสวยงามมากเช่นเคย จุดเด่นหลักของที่นี่คือ stained glass ซึ่งมีการให้สีไว้อย่างสวยงาม มีทั้งหมด 13 บาน เล่าเรื่องเกี่ยวกับศาสนา บานหน้าต่างมีความสูงและแคบไม่เหมือนกับโบสถ์ที่อื่น ความสวยงามของ stained glass ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในที่ประทับใจของเราในทริปนี้เลยค่ะ




สถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาส่วนมากจะฟรี แต่ที่นี่เก็บค่าเข้าชมนะคะ ราคา 8.50 ยูโร แต่ถ้าใครมี Museum pass ก็เข้าได้เลย เปิดทุกวันตั้งแต่ 9.30-18.00เดินทางโดยรถใต้ดินสาย 4 ลงที่ Cite' station

Notre Dame de Paris

หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Notre Dame Cathedral เป็นอาสนวิหารของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกสถาปัตยกรรมเป็นสไตล์โกทิกแบบฝรั่งเศส สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1163 สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แต่มาแล้วเสร็จเอาในปี 1345 ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสโบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งปัจจุบันได้ซ่อมแซมเรียบร้อยให้เป็นเหมือนในอดีตแล้ว โบสถ์แห่งนี้มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์มายาวนาน ในวันที่ 2 ธันวาคม 1804 พิธีสวมมงกุฎของนโปเลียนขึ้นเป็นจักรพรรดิก็ได้เกิดขึ้นภายในโบสถ์นี้..หากใครได้ไปเยือนจะพบว่าโบสถ์แห่งนี้ใหญ่มาก แถมยังมีนักท่องเที่ยวมากมายที่มาเข้าชมในแต่ละวัน ภายในประดับด้วย stained glass สวยงาม ด้านนอกโบสถ์ก็มีรูปแกะสลักและปูนปั้นประดับ 



นอกจากนี้อยากจะให้เพื่อนๆลองสังเกตรูปปั้นหน้าตาคล้ายมังกรมีแต่ส่วนหัวกับลำคอที่ติดไว้ตามระเบียงโบสถ์ ตัวนั้นเรียกกันว่า “การ์กอยล์” ค่ะ ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าการ์กอยล์สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาใกล้ ดังนั้นจึงมีการเอาสัตว์หน้าตาแปลกๆนี้มาประดับโบสถ์วิหารไว้ ถ้าใครอยากขึ้นไปชมการ์กอยล์ใกล้ๆก็สามารถขึ้นไปด้านบนได้นะคะ แต่ต้องเดินขึ้นบันไดไปอย่างเดียว 422 ขั้นค่ะ เสียค่าเข้า 8.5 ยูโร แต่ถ้าใครมี Museum pass ราคาตรงนี้ก็รวมอยู่ในบัตรไปแล้วค่ะ เสียดายที่ที่นี่ Museum pass ไม่มีสิทธิพิเศษในการลัดคิว เพราะฉะนั้นก็ต้องต่อคิวกันนานเลยค่ะ มันนานมากนะเกิน 1 ชม วันนั้นเราเลยต้องขอสละสิทธิ อดดูเลย ถ้าใครมีโอกาสได้ขึ้นไปดู ก็มาเล่าความประทับใจให้ฟังกันได้นะคะ

ระหว่างรอคิวทานเครปฝรั่งเศสไปด้วย>>แต่สุดท้ายก็รอไม่ไหว Smiley


เห็นการ์กอยล์มั๊ยคะ?


เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00-17.30 สำหรับช่วงเมษายนถึงกันยายนจะขยายเวลาปิดถึง18.30 และในวันศุกร์และเสาร์ของเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม เปิดดึกถึง 23.00 เลยค่ะ เดินทางโดยรถไฟใต้ดินสาย 4 ลงที่สถานี St-Michel Notre-Dame

Centre Georges Pompidou (Museum of ModernArt)

เปลี่ยนบรรยากาศจากโบสถ์และวิหารมาพิพิธภัณฑ์สุดไฮเทคบ้าง Centre Georges Pompidou เป็น the largest museum for modern art in Europe เป็น centre for music and acoustic research และเป็น Public Information Library ด้วย (ขออนุญาตไม่แปลเป็นภาษาไทยนะคะ คิดว่าถ้าแปลจะงงกันซะมากกว่า) ด้านในมีการแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ผลงานของศิลปินสมันใหม่ชื่อดัง ได้แก่ Matisse, Picasso, Duchamp, Kandinsky, Ernst, Warhol จนถึงผลงานศิลปะของศิลปินยุคปัจจุบัน ด้านนอกของตึกนี้ก็ไม่ธรรมดานะจ๊ะ มีการออกแบบตึกแบบโมเดิร์น-ไฮเทคมาก เป็นเหมือนโครงเหล็ก แล้วก็มีท่อที่ข้างในมีบันไดเลื่อนเกาะอยู่ด้านนอกของตึกเอ๊ะ อธิบายยากจัง ลองดูรูปเองดีกว่าเนอะ

ด้านนอก มองผ่านๆนึกว่ายังสร้างไม่เสร็จนะเนี่ย 55


ด้านในก็โมเดิร์นสุดๆไปเลยค่ะ


เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอังคารและวันที่ 1พฤษภาคม ตั้งแต่ 11.00 – 22.00 ราคาค่าเข้าชม 13 ยูโรแต่ถ้าใครไปในวันอาทิตย์แรกของเดือน เข้าชมฟรีเลยจ้า ส่วนเพื่อนๆที่มี Museum pass ก็ถือบัตรเดินเข้าไปได้เลย มาโดยรถไฟใต้ดินสาย 11 ลงที่สถานี Rambuteau นะจ๊ะ

Gallerie Lafayete 

เอาใจสาวกชอปปิ้งกันอีกซักหน่อย ห้างนี้เป็นห้างดังสุดหรูที่ห้ามพลาดค่ะ ไม่เข้าไปซื้ออะไรก็เข้าไปชมหน่อยก็ดีเพราะด้านในของห้างมีการตกแต่งภายในที่สวยงามมากค่ะ ห้างนี้เปิดมายาวนานตั้งแต่ปี 1912 มีทั้งหมด 10 ชั้นด้วยกัน เดินกันให้จุใจไปเลย แบรนด์ดังๆขวัญใจสาวๆก็มีหมดค่ะ เปิดวันจันทร์ถึงเสาร์ (วันอาทิตย์ปิด) ตั้งแต่9.30-20.00 ส่วนวันพฤหัส ขยายเวลาให้นักชอปจนถึง 21.00 ค่ะ สามารถเคลม Tax Refund ได้ 12% สำหรับยอดซื้อเกิน 175 ยูโร


อีกห้างหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกันขื่อ Au Printemps


เดินทางโดยรถไฟใต้ดินสาย 7 หรือ 9 ลงที่สถานี Chausse'e d'Antin-La Fayette


Day 4Smiley

Musée d'Orsay

เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยพิพิธภัณฑ์สุดท้ายของทริปนี้ คือ Muséed'Orsay อย่างที่เรารู้ๆกัน ศิลปะก็มีหลายยุคใช่มั๊ยค่ะ แต่ละยุคก็จะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน เราไปยุคคลาสสิคกันมาแล้วที่ Louvre เราไปยุคโมเดิร์นกันมาแล้วที่ Centre Pompidou คราวนี้เราก็มาเก็บยุคที่อยู่กึ่งกลางคือตั้งแต่ช่วง 1848-1914 กันที่นี่ค่ะ ศิลปะในยุคนี้มีหลายสไตล์ เช่น Academism, Realism,Impressionism, Symbolism, และ Art nouveau ศิลปินที่ดังๆก็ได้แก่, Cézanne, Degas, Gauguin,  Monet, Pissarro, Renoir, Rodin, Seurat,Sisley, และ Van Gogh เป็นต้น ซึ่งต้องขอบอกว่าคอลเลคชั่นของที่นี้มีเยอะมากจริงๆค่ะ ภาพดังๆ ได้แก่ Starry Night Over the Rhone Arles ของ Van Gogh, Bal du Moulin dela Galette ของ Renoir, the Card Player ของ Cezanne และอื่นๆอีกมากมาย โดยส่วนตัวแล้วเราชอบศิลปะในยุคนี้มากที่สุด ก็เลยชอบที่นี่มากกว่าที่อื่นนิดนึงค่ะ :P

นอกจากผลงานศิลปะที่ทรงคุณค่าแล้วตัวอาคารเองก็สวยงามไม่แพ้กัน เพราะเดิมเคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อนค่ะ (หลังคาเป็นทรงโค้งและมีนาฬิกากลมเรือนใหญ่ประดับอยู่)ช่วยสร้างบรรยากาศในการชมศิลปะได้ดีเลย


มุมเก๋ๆใน Musée d'Orsay


เปิดทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่ 9.30 –18.00 และขยายเวลาปิดเป็น 21.45 สำหรับวันพฤหัส ราคาเข้าชม 11 ยูโร ส่วนใครมี Museum pass ก็เดินเข้าทางเข้าพิเศษไปเลย ไม่ต้องมาค่อคิวให้เสียเวลาค่ะ มารถไฟฟ้าใต้ดินสาย 12 ลงที่สถานี Solferino

Les Invalides (The Military Museum &Tomb of Napoleon)

สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับกองทัพของฝรั่งเศส เป็นโรงพยาบาลและที่พักของทหารผ่านศึก และก็เป็นหลุมฝังศพของทหารฝรั่งเศสบางคน ซึ่งทหารที่โด่งดังที่สุดที่ฝังอยู่ที่นี่ก็คือ นโปเลียน ..ด้านนอกของตึกเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บารอค มีโดมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางด้านข้างทั้ง 2 ข้างเป็นตึกยาวออกไป สร้างเสร็จเมื่อปี 1678 ค่ะ หลุมศพของนโปเลียนจะอยู่ใต้ยอดโดมเลยภายในตัวโบสถ์ก็ตกแต่งสวยงามค่ะ


Tomb of Napoloen


ราคาเข้าชม 9.5 ยูโร เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00-18.00 ช่วงเมษายนถึงตุลาคม และเปิดตั้งแต่ 10.00-17.00 ช่วงพฤศจิกายนถึงมีนาคม Museum pass เข้าชมได้เลยไม่ต้องเสียค่าเข้าอีกรอบนะคะ มาง่ายๆโดยรถไฟใต้ดินสาย 13 ลงที่สถานี Varennes หรือสาย 8 ลงที่สถานี Invalides แล้วเดินไปอีกนิดหน่อยค่ะ

Sacré-Cœur

ชื่อเต็มภาษาอังกฤษของสถานที่แห่งนี้คือ The Basilica of the Sacred Heart of Paris เป็นมหาวิหารของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสูดของกรุงปารีส ชื่อว่า มงมาทร์ (Monmartre) สถาปัตกรรมเป็นศิลปะสไตล์โรมัน-ไบแซนไทน์ ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 1914 เมื่อไปถึงแล้วจะพบว่า Sacré-Cœur เป็นมหาวิหารที่สง่างามมากค่ะ อาจจะเป็นเพราะที่ตั้งของมหาวิหารที่อยู่บนยอดเขา ปราศจากสิ่งใดๆมาบังวิว และตัวมหาวิหารที่ขาวเด่นสะดุดตาอันเนื่องมาจากตัวมหาวิหารสร้างจาก travertine stone ซึ่งเป็นหินปูนประเภทหนึ่ง มีคุณสมบัติพิเศษในการคายแคลเซียมออกมาเป็นระยะๆ ทำให้ตัวมหาวิหารนี้ยังคงความขาวในทุกสภาพอากาศ ด้านในมหาวิหารก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ เสียดายที่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เลยไม่มีรูปมาฝากเพื่อนๆ


เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 6.00-22.30 ไม่มีค่าเข้าชมค่ะ เดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 หรือ 12 มาลงที่สถานี Anvers


Day 5Smiley

วันนี้เป็นวันกลับ แต่ไม่ได้กลับไปเมืองไทยนะจ๊ะ เราจะนั่ง Eurostar ไปอังกฤษกันค่ะ Eurostar เป็นรถไฟความเร็วสูงข้ามประเทศ เชื่อมระหว่าง ปารีส ลอนดอน และ บรัสเซลส์เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม อย่างจากปารีสไปลอนดอนเนี่ย ใช้เวลาแค่ 2 ชม นิดๆเอง ราคาก็ขึ้นอยู่กับว่าซื้อเร็วหรือช้า ยิ่งซื้อล่วงหน้าเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งถูกนะจ๊ะ..ใครสนใจจะจัดทริปจากปารีสไปลอนดอนหรือลอนดอนมาปารีส ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เวบไซด์ นี้ ค่ะ 

ทิ้งรูปสุดท้ายไว้ให้ดูกัน เด็กน้อยน่ารักบนรถไฟใต้ดินค่ะ



หวังว่า blog ปารีสนี้ จะให้ข้อมูลในการท่องเที่ยวปารีสกับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะคะ หากใครมีข้อแนะนำติชมอย่างไรคอมเมนต์มาได้เสมอ หรือใครมีข้อซักถามอะไรก็ถามมาได้ทั้งทาง bloggang นี้ หรือทาง facebook fanpage : Jellyjourney ได้นะคะ




Create Date : 31 สิงหาคม 2557
Last Update : 10 ธันวาคม 2558 20:17:10 น.
Counter : 32328 Pageviews.

2 comments
  
รบกวนสอบถามค่ะไม่ทราบว่าไปถึงปารีสตอนกี่โมงคะ แล้วเอากระเป๋าไปโรงแรมก่อนแล้วค่อยไปเที่ยว หรือว่าเอากระเป๋าไปด้วยคะ
โดย: น้ำ IP: 182.232.45.225 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:2:59:51 น.
  
ไปถึงตอนเช้าๆค่ะ นั่งแทกซี่จากแอร์พอร์ตไปโรงแรมเลย เอากระเป๋าเก็บแล้วค่อยออกไปเที่ยวค่ะ
โดย: jellyjourney วันที่: 13 มีนาคม 2560 เวลา:21:01:14 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jellyjourney
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]



สวัสดีค่ะ ชื่อ เยลลี่ นะคะ blog นี้สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในการไปเที่ยวของเรากับเพื่อนๆทุกคน เข้ามาเยี่ยมชม มาคุยกัน หรือมีอะไรติชมแนะนำกันได้นะคะ

Facebook page: Jellyjourney

follow my Instragram @JELLYJOURNEY for extraordinary pics in my ordinary life
+++ Please stay tuned for "Norway" trip +++