YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
บุกน้ำตก แล้วพบอะไร

…ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มนุษย์เรียกตัวเองว่าสัตว์สองเท้า ผู้มีกระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลก...

คำถามนี้เกิดขึ้น ในขณะที่ฉันไปร่วมการพบปะเสวนาประจำปี
ของมูลนิธิอันวีกษณา อันเป็นกลุ่มที่ศึกษาคำสอนของกฤษณมูรติ
ซึ่งจัดขึ้นที่สวนสายน้ำ ต.พะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
และในวันนี้ พวกเราชักชวนกันเปลี่ยนอิริยาบถ
จากการนั่งเสวนากันในเรือนเป็นการออกไปเที่ยวน้ำตกแทน



สวนสายน้ำเป็นสถานที่ปลีกวิเวกที่รวบรวมหนังสือ
และดีวีดีคำสอนของกฤษณมูรติไว้เป็นจำนวนมาก
มีเรือนสัมมนาที่สงบเงียบ และเรือนพักหลายหลัง
ที่ซ่อนไว้ในป่าไม้สีเขียวสดบนภูเขาที่ได้ยินเสียงธารน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา



และบ่ายวันนั้น หลังจากที่อิ่มอร่อยกับอาหารมังสวิรัติอันปลอดจากสารพิษโดยสิ้นเชิงแล้ว
พวกเราก็ชวนกันออกไปเที่ยวน้ำตก ซึ่งคนงานที่ดูแลสถานที่
ต่างก็รับรองเป็นเสียงเดียวกันว่าปลอดภัย
และไม่ลำบากอะไรเพราะก็แค่เดินตามลำน้ำไปเรื่อยๆเท่านั้น

ฉันกลับห้องพักไปเปลี่ยนกางเกงให้เป็นกางเกงน้ำหนักเบา เผื่อเปียกน้ำจะได้ไม่หนักมากนัก
และลังเลอยู่นานว่าจะใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าแตะฟองน้ำดี
แล้วฉันก็ตัดสินใจไม่เอารองเท้าผ้าใบไป เพราะกลัวจะแห้งไม่ทันกลับบ้านพรุ่งนี้

ฉันไม่ลืมที่จะเอากล้องถ่ายรูปคู่ใจไปด้วย



เราเดินออกทางประตูหลังของของสวนสายน้ำ ตัดทุ่งหญ้าเขียวสด
ข้ามแอ่งน้ำเล็กๆ เดินขึ้นเนิน แล้วก็เดินลงเนิน
ตอนต้นของเส้นทางนั้น เป็นไปอย่างเรียบๆ อากาศสะอาด สดชื่น
เราได้ยินเสียงสายน้ำอยู่ไม่ขาดสาย และเสียงนี้เองที่เป็นตัวกำหนดทิศทางให้เรามุ่งหน้าไป



ในช่วงแรกนี้ ยังมีทางให้เราเดินได้ไม่ลำบากมาก เดินบนตลิ่งได้บ้าง
เกาะเกี่ยวต้นยางที่อยู่ห่างกันเป็นระยะๆ ซึ่งต้นยางเหล่านั้นก็ยังมีร่องรอยว่ามีคนเข้ามากรีดยางอยู่



ผ่านมาประมาณ 20 นาที เส้นทางก็เริ่มเดินลำบากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีทางเดินปรากฎให้เห็นเท่าไหร่
คราวนี้แหละที่ต้องบุกป่าฝ่าดงกันจริงๆ เพียงชั่วอึดใจก็มาถึงลำธาร

แต่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายของเรา

จากจุดนี้เราถึงค่อยเริ่มต้นเดินสวนกระแสน้ำขึ้นไปยังน้ำตก
พอเดินเข้าไปลึกเข้าไปเรื่อยๆที่เดินบนบกก็ชักจะไม่ค่อยมี
มีสองทางเลือกให้ไปคือเดินลงไปในน้ำ หรือปีนขึ้นไปบนต้นยาง
ฉันคิดว่าแบบแรกน่าจะง่ายกว่า ก็เลยตัดสินใจลุยน้ำ

เราเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่ดูลักษณะแล้ว
เชื่อว่าคงจะไม่มีคนผ่านเข้ามาเป็นชาติแล้วแน่นอน
ไม่ต้องดูอะไร แค่น้ำยางที่คนกรีดยางปล่อยทิ้งไว้นั้น ก็แข็งโป๊กกลายเป็นหินไปแล้ว
ตลิ่งที่เคยพอเหยียบฝ่าเท้าลงไปได้บ้าง ก็ชันและลื่นจนไว้ใจอะไรไม่ได้
ตะโกนถามคนนำทางไปว่า เขาเข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เขาตอบเราว่า เข้ามาสำรวจเส้นทางประมาณ 1 ปีที่แล้ว



(ถึงตรงนี้ ฉันไม่ได้ถ่ายรูปเลย เพราะว่าแค่จะเอาตัวเองยังไม่ค่อยจะรอด)

เนื่องจากทางไปน้ำตกแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว
เครื่องอำนวยความสะดวก หรือรักษาความปลอดภัยอะไรก็ไม่มี
อีกอย่างการมาหาดใหญ่คราวนี้ เรามาอบรมเสวนา ไม่ได้ตั้งใจมาเดินป่า
และจริงๆแล้วบ่ายนี้เราก็ตั้งใจจะมาเดินเล่นกันเท่านั้น
ไม่คิดว่าจะต้องเจอกับเส้นทางที่เดินลำบากขนาดนี้
ดังนั้นอุปกรณ์อะไรต่างๆที่จำเป็นต่อการเดินป่าเราก็ไม่มีเลย
การมาเจอป่าธรรมชาติที่แทบจะไม่มีใครเข้ามาแบบนี้ก็หนักหนาพอสมควร
ทีนี้แหละเราก็ต้องดูแลตัวเอง และงัดเอาสติสัมปชัญญะที่มีออกมาใช้ให้หมด

ตอนนี้ทุกคนก็ถลกกางเกงลุยน้ำกันแล้ว
ฉันกระชับสายสะพายกระเป๋ากล้องให้แนบตัวที่สุดเพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว
เส้นทางช่วงนี้เริ่มเปลี่ยนจากทางราบมาเป็นเนินที่ชันขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีตลิ่งให้ยึดเกาะอีกต่อไป มีแต่ก้อนหินก้อนโตๆให้ปีน
เสียงคนนำทางตะโกนบอกมาว่า อีกนิดเดียวก็ถึงน้ำตกแล้ว
ฉันคิดว่าก็คงจริง เพราะเสียงน้ำตกดังขึ้นเรื่อยๆ



แล้วในที่สุด ภาพของน้ำตกก็ปรากฎแก่สายตา
กว่าจะถึงก็เล่นเอาเหนื่อย ทั้งปีนเหนื่อยและลุ้นเหนื่อย น้ำตกชั้นนี้เป็นเพียงชั้นแรก
แต่ด้วยความไม่พร้อมในหลายๆอย่างทำให้เราต้องหยุดพักอยู่เพียงแค่นี้
คนนำทางบอกน่าเสียดายเพราะถ้าขึ้นไปแล้วจะสวยกว่านี้ ของมันก็แน่อยู่แล้ว
แต่ ณ จุดนี้ฉันว่าก็สวย ไม่ใช่สวยอลังการอย่างน้ำตกในหนังสือท่องเที่ยวต่างๆ
แต่ความบริสุทธิ์สดชื่นของธรรมชาติจริงๆอย่างนี้
มันก็สวยสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว จะไปมีอะไรสวยกว่าอะไรได้ยังไง



เรานั่งกระจายกันอยู่บนก้อนหิน ฟังเสียงน้ำตกใกล้ๆกันได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คนนำทางก็ชวนเรากลับเพราะเกรงว่าฟ้ามืดแล้วจะกลับออกไปลำบาก ทุกคนเห็นว่าจริง จึงพากันไต่กลับลงไปทางเดิม

ตอนลงมันยากกว่าตอนขึ้น ก็บ่อยครั้งไปที่ในชีวิต
เราขึ้นเป็นแต่เราลงไม่เป็น และถ้าลงอย่างไม่มีสติ
โอกาสที่จะพลาด แล้วกลิ้งลงไปนอนเจ็บตัวอยู่ข้างล่างสุดก็มีมากทีเดียว
ฉันจึงใช้มือทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวแง่งหินไว้เพื่อเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ
เพราะทรงตัวด้วยสองขาไม่อยู่ สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นการคลานสี่ขา
หันมองดูรอบๆตัวแล้ว ทุกคนไม่ต่างกันเลย

พอเปลี่ยนมาเป็นการคลานสี่ขาโดยมีกระเป๋ากล้องสะพายติดตัวนั้น
การเดินทางนั้นง่ายขึ้นมาก ในเวลาที่ไม่มีอุปกรณ์ใดคอยช่วยยึดเหนี่ยว
เหมือนที่ฉันเคยเห็นนักเดินป่าปีนเขาตัวจริงเขาใช้กัน
ฉันก็ต้องวางใจในมือและขาของตัวเองเท่านั้น
ไม่นานพวกเรามาถึงที่พักด้วยสารรูปดูไม่ได้ แต่เบิกบานใจอย่างยิ่ง



การเข้าป่ามันเอาฉันกลับมาสู่ความเป็นจริงของชีวิตได้จริงๆ
วันนี้ฉันเอามือทั้งสองข้างวางไปบนขี้โคลน และตะไคร่น้ำอย่างสนิทใจ
ทั้งๆที่เวลาอยู่บ้าน ถ้าฉันจะทำสวนพรวนดินทีก็ต้องใส่ถุงมือกันเล็บสกปรก
แต่ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้ทำให้ฉันเห็นว่าทุกสิ่งสวยงามถ้าอยู่ในที่ทางของมัน
ความน่ารังเกียจ แท้จริงแล้วเกิดจากการเอามาตรวัดที่ไม่เหมาะสมไปวัดมันเท่านั้น



นอกจากนี้มันยังทำให้ฉันได้คำตอบของคำถามที่ฉันไม่เคยคิดจะถาม
..คำถามที่ว่า จริงหรือที่มนุษย์เป็นสัตว์สองเท้า ผู้มีกระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลก...

ฉันยิ้มกับตัวเอง เพราะฉันคิดว่าฉันได้คำตอบแล้ว




Create Date : 13 มิถุนายน 2551
Last Update : 17 มิถุนายน 2551 1:28:39 น. 8 comments
Counter : 2003 Pageviews.

 
nice pic as always. :)


โดย: KS IP: 212.219.118.170 วันที่: 14 มิถุนายน 2551 เวลา:0:06:55 น.  

 
ดีใจด้วยกับการได้ก้าวเดินด้วยขาของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง


โดย: karnya IP: 222.123.204.114 วันที่: 14 มิถุนายน 2551 เวลา:1:03:23 น.  

 

หัวใจก็เหมือนร่างกาย
เค้ามีช่วง มีวันที่อ่อนล้าก่อนแรง

หรือหลงทางสับสนบ้าง

บ่อยๆ ที่ข้อเขียนของคุณเสี้ยวเขียนข้อความที่เหมือนล้า เหงา

และเปล่าดาย

ผมก็ไม่ใช่ใจแข็งแรงทุกเมื่อจนแนะนำใครได้ทั้งหมด

แต่ผมเชื่อว่า วันใดที่หัวใจอ่อนล้า สับสน

การเข้าหาและเข้าใจในธรรมชาติ

ความเป็นสิ่งของชีวิตและสิ่งอื่นๆ รอบตัว ทำให้เราเข้าใจชีวิตของเรามากขึ้นด้วย

เป็นกำลังใจให้ครับ


โดย: ธรรม (ห่วงใย ) วันที่: 14 มิถุนายน 2551 เวลา:6:15:48 น.  

 
เย่ๆๆๆส่งเพลงมาจริงด้วยขอบคุณน้า



โดย: ปุ๊กกู่ IP: 58.8.183.208 วันที่: 14 มิถุนายน 2551 เวลา:6:21:59 น.  

 
สวัสดีครับครูเสี้ยว

พ่อหมิงหมิงรายงานตัวครับ



โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 14 มิถุนายน 2551 เวลา:15:19:30 น.  

 
ขอบคุณครับครูเสี้ยว

ช่วงนี้คงหนักไปทางลูกนะครับ
ไม่มีเรื่องหรือรูปอะไรที่น่าสนใจมากไปกว่านี้อีกแล้วครับ



โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 14 มิถุนายน 2551 เวลา:16:22:39 น.  

 
ตามมาจากบล๊อกของเราเอง ที่ตัวเองเข้าไปโพสไว้น่ะค่ะ

ตั้งใจจะเรียนปริญญาโทใช่มั๊ยค้ะ
เรียนไปเถอะค่ะ อย่าลังเลเลย
ยังไงการเรียนก็เป็นสิ่งที่ดี

สำหรับเรื่องว่างงานเป็นปัญหาที่เกิดจากตัวเราเองเท่านั้น ที่ดันไม่มี ประสบการณ์ ในการทำงาน
มันทำให้เราลำบากในการหางานเท่านั้นเอง


โดย: พอลล่า IP: 58.9.100.100 วันที่: 14 มิถุนายน 2551 เวลา:19:28:57 น.  

 
..คิดว่า..สาวน้อยคนนี้น่าจะได้พบคำตอบอะไรบางอย่างในระหว่างเส้นทางเดินแล้วกระมัง

ถ่ายภาพได้สวยครับ


โดย: ดาว กลางดง IP: 58.136.75.74 วันที่: 18 มิถุนายน 2551 เวลา:14:13:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
13 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.