อียิปต์ เอาเรื่องมาเล่า เอารูปมาฝาก..(5)
ดูเหมือนกับว่าฉันจะยังเล่าเรื่องอียิปต์ไม่จบ ความเดิมตอนที่แล้ว (ซึ่งผ่านมา 1 ปี) ฉันก็จำไม่ได้แล้ว เอาเป็นว่า ย้อนๆกลับไปดูเองนะคะ...
อียิปต์ เอาเรื่องมาเล่า เอารูปมาฝาก..(1)
อียิปต์ เอาเรื่องมาเล่า เอารูปมาฝาก..(2)
อียิปต์ เอาเรื่องมาเล่า เอารูปมาฝาก..(3)
อียิปต์ เอาเรื่องมาเล่า เอารูปมาฝาก..(4)
งั้นก็มาต่อกันเลยนะคะ
วิหารอีกแห่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือวิหารคาร์นัค เพราะนี่คือวิหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกและใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก เพราะฟาโรห์แต่ละสมัยก็ต่อเติมซ่อมแซมมาเรื่อยๆ เป็นวิหารที่สร้างถวายแด่เทพอามุน-รา ซึ่งก็คือสุริยเทพอันเป็นเทพสูงสุดนั่นเอง
สฟิงซ์หัวแพะที่วิหารคาร์นัค
ฉันเดินไปบนทางที่ทอดเข้าสู่ตัววิหาร สองข้างทางเรียงรายไปด้วยสฟิงซ์หัวแพะ เพื่อเข้าสู่บริเวณ Hypostyle Hall หรือห้องเสาที่ประกอบด้วยเสาสูงจำนวน 134 ต้น โดยบางต้นนั้นสูงเท่ากับตึก 5 ชั้นเลยทีเดียว และในห้องเสานี้ ก็ยังเหลือร่องรอยให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งเมื่อนับพันปีก่อน บริเวณห้องเสานี้เคยมีหลังคามาก่อน
ทางเข้าสู่ห้องเสาของวิหารคาร์นัค
ฉันใช้เวลาเดินดูรอบๆวิหารคาร์นัคอันใหญ่โตนี้ไม่นาน แม้ว่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายทั้งบริเวณทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ หรือเสาโอบิลิสก์ของพระนางฮัตเชปซุตที่หักโค่นลง แต่ฉันก็ติดใจห้องเสานี้ที่สุดแล้ว เพราะรู้สึกประทับใจกับเงาที่ทาบทับกันของเสาแต่ละต้น อันก่อให้เกิดแสงเงาที่ดูสวยงามระคนลึกลับ
ด้านบนของห้องเสา มีร่องรอยว่าเคยมีหลังคาอยู่
มุมหนึ่งในห้องเสา
ใกล้ๆกับวิหารคาร์นัค คือวิหารลักซอร์ ซึ่งเชื่อมต่อถึงกันด้วยถนนสฟิงซ์ที่มีความยาว 3 กิโลเมตร วิหารลักซอร์จะสวยงามเป็นพิเศษในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะแสงสีส้มในเวลานั้นจะอาบผนังสีน้ำตาลของวิหารให้กลายเป็นสีทองอร่าม และพอเข้าช่วงกลางคืน วิหารแห่งนี้ก็เปิดให้เข้าชมต่อเนื่องไปได้ถึงสามทุ่ม ซึ่งแสงไฟที่ซ่อนไว้ตามจุดต่างๆของวิหารนั้น ก็ได้ก่อให้เกิดเงาขนาดใหญ่ขึ้นเบื้องหลังรูปปั้นต่างๆ และยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูขรึมขลัง และมีพลังอะไรบางอย่างที่ฉันรู้สึกได้
มุมหนึ่งในวิหารลักซอร์ยามค่ำคืน
ทางด้านซ้ายมือของทางเข้าสู่วิหาร มีเสาหินโอบิลิสก์ตั้งอยู่โดดเดี่ยว และนี่เองคือคู่แฝดของเสาหินโอบิลิสก์ ที่ก่อนหน้าจะไปตั้งอยู่ที่ปลาซ เดอ ลา คองคอร์ด ใจกลางกรุงปารีสอย่างในปัจจุบันนี้ เดิมนั้น ก็ตั้งอยู่ทางขวามือของทางเข้าวิหารนี่เอง
โอบิลิสก์คู่แฝดกับโอบิลิสก์ที่อยู่ที่ปารีส เหลือเฝ้าวิหารลักซอร์อยู่เพียงอันเดียว
ไม่น่าแปลกใจที่จะได้พบกับภาพแกะสลักฝาผนังเป็นเรื่องราวต่างๆอีกครั้งที่นี่ ภาพที่อยู่บนฝาผนังห้องต่างๆของวิหารลักซอร์นี้ เป็นภาพที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างฟาโรห์กับเทพเจ้า ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการประกาศให้ใครก็ตามที่มาพบเห็นเข้ารู้ว่า นี่แหละคือผู้มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะขึ้นเป็นฟาโรห์ของพวกเขา เพราะแม้แต่เทพก็ยังให้การยอมรับ
ถ้าการสลักเรื่องราวบนฝาผนังเช่นนั้น เป็นวิธีการประกาศถึงอำนาจอย่างหนึ่ง การโบกปูนทับฝาผนังนั้น ก็เป็นการประกาศอำนาจอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะในห้องเดียวกันนั้น ฝาผนังด้านหนึ่งก็ยังคงปรากฎร่องรอยปูนโบกทับ อันเป็นฝีมือของชาวคริสเตียน เข้ามามีอำนาจในการปกครองดินแดนแถบนี้
สุดท้าย อำนาจที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาอย่างเอาชีวิตเข้าแลกนั้น มันก็เปลี่ยนเวียนไป มีเพียงร่องรอยทางโบราณคดีเหล่านี้เท่านั้น ที่พอจะยืนยันได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นจริง
ลานเสาภายในวิหารลักซอร์
ที่ลักซอร์นี้ฉันได้มีโอกาสเดินถ่ายรูปเล่นที่ริมแม่น้ำไนล์ด้วย
หลังจากที่สายตาทำประหนึ่งว่าบอดสีเขียวไปหลายวัน วันนี้ฉันก็พบสีเขียวอย่างนั้นอีกครั้งที่โรงแรม Jolie Ville Movenpick Resort สวนกว้างใหญ่ริมแม่น้ำไนล์ของโรงแรมแห่งนี้ นำความชุ่มชื้นมาสู่ความรู้สึกของฉันได้อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อได้เดินเล่นในพื้นที่อันกว้างใหญ่เขียวขจี ได้ดูพืชแปลกๆนานาพันธุ์และนกมากมายหลายชนิด
ตรงกลางของสวนมีสวนน้ำน่าเล่น ทำเลและการออกแบบสวนน้ำที่ซ่อนขอบสระไว้นั้นน่าประทับใจทีเดียว เพราะคนที่อยู่ในน้ำจะไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ แต่จะรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในแม่น้ำไนล์!
คืนนี้ ฉันรู้สึกราวกับเป็นเจ้าหญิงแห่งลุ่มน้ำไนล์...
นกน้อยริมไนล์
นกใหญ่ริมน้ำ
เช้าวันสบายในเมืองลักซอร์ แม้แต่ลายังยิ้มเลย
ก่อนกลับกรุงเทพ เรามุ่งหน้าเข้าสู่กรุงไคโรอีกครั้ง และวันนี้เองที่ฉันเห็นความไม่น่าอยู่ของมัน เมื่อเทียบกับสถานที่หลายๆแห่งที่ได้ไปเยือนในช่วง 2-3 วันนี้ จริงอยู่ที่กรุงไคโรนั้นมีอะไรที่สะดวกสบาย แต่ทั้งความวุ่นวาย และควันพิษ ก็คงทำให้ชาวกรุงไคโรเป็นเหมือนคนกรุงเทพฯที่ใฝ่หาเวลาออกต่างจังหวัดเสียบ้าง
สถานที่แห่งหนึ่งในกรุงไคโรที่ควรจะต้องมาแสดงความเคารพก็คือสุเหร่าโมฮัมเหม็ด อาลี ซึ่งเป็นสุเหร่าหินอ่อนที่สวยงามมาก และถือเป็นแหล่งรวมจิตใจ และความศรัทธาของชาวอียิปต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งทีเดียว เพราะความศรัทธาที่ศาสนิกชนชาวอียิปต์มีต่อศาสนาอย่างแรงกล้านี้เอง ทำให้ฉันในฐานะผู้มาเยือนอดที่จะรู้สึกเกรงอกเกรงใจไม่ได้ และการจะเข้าไปในสุเหร่านี้ เราก็ต้องถอดรองเท้าและแต่งกายให้เรียบร้อย สำหรับนักท่องเที่ยวบางรายที่นุ่งนิดห่มน้อย โดยเฉพาะบรรดาฝรั่งที่แต่งตัวแบบหวังจะอาบแดดเต็มที่ หากจะเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก็ต้องสวมเสื้อคลุมยาวๆสีเขียวๆที่ทางสุเหร่าจัดเตรียมไว้ให้ด้วย ซึ่งมันก็ทำให้ฉันต้องหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อเห็นสีเขียวครึ่ดของเสื้อคลุมที่หนาแน่นราวกับชุมนุมแพทย์ศัลยกรรมในสุเหร่าแห่งนี้
สุเหร่าโมฮัมเหม็ด อาลี
หลังจากละสายตานักท่องเที่ยวในชุดแพทย์ผ่าตัดเหล่านั้นได้แล้ว ฉันถึงได้สังเกตเห็นว่าภายในตัวสุเหร่านั้น อากาศค่อนข้างโปร่งเพราะเพดานสูงเอาการ แล้วบนเพดานสูงๆนั้นก็ยังเต็มไปด้วยลวดลายที่สวยงามเต็มแน่นพื้นที่ นอกจากนี้ภายในสุเหร่ายังสว่างไสวเอามากๆอีกด้วย เพราะว่ามีโคมระย้าที่แขวนเรียงกันเป็นเส้นโค้งวนไปมาจำนวนมากถึง 366 ดวง
บรรยากาศในสุเหร่า
ด้านนอกนั้นเป็นลานหินอ่อนสีขาวสะอาดตา เหนือขึ้นไปด้านบนมีหอคอยสูง ที่แต่เดิมเคยใช้ส่งสัญญาณบอกเมื่อถึงเวลาประกอบศาสนกิจ กลางลานมีบริเวณสำหรับชำระล้างตนเอง ให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนประกอบศาสนกิจ ที่ฉันสนใจคือเหนือก๊อกล้างมือศักดิ์สิทธิ์นั้น มีลวดลายประดับที่ดูคล้ายๆกับสิ่งที่ฉันเคยเจอมาในสองสามวันนี้ ...คาร์ทูชนั่นเอง ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ร่องรอยของวัฒนธรรมเก่าแก่นั้น มีการถ่ายทอดอิทธิพลส่งต่อถึงกันเรื่อยมา
โดมชำระล้าง และหอคอยที่คอยส่งสัญญาณ
ผู้ชายที่นี่ดูจะเป็นคนสองบุคลิก เพราะเมื่อถอยออกมาจากสถานที่อันเต็มไปด้วยความศรัทธา แล้วเข้าสู่โลกแห่งความวุ่นวายของผู้คนนั้น ผู้ชายอียิปต์ที่ดูสุภาพสำรวมในขณะที่ประกอบกิจทางศาสนาอยู่ในสุเหร่านั้น มันไปด้วยกันไม่ได้เลยกับบรรดาพ่อค้าขายของในตลาดนัดที่แสนจะเจ้าชู้ ชอบหลอกแต๊ะอั๋ง แถมยังขี้ตืดขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องเผชิญกับพ่อค้าเหล่านั้น หลังจากที่มีประสบการณ์ไปแล้วครั้งหนึ่งที่เมืองอัสวาน ฉันเดินเข้าไปในตลาดนัดแล้วก็รู้สึกขอบคุณผ้าคลุมผืนใหญ่ที่ฉันคลุมหมดทั้งหัวทั้งแขน อย่างที่ฉันบอกไปแล้วว่ามันกันผู้ชายได้อย่างเยี่ยมยอด แล้วก็ต้องขอบคุณแว่นตากันแดดอันเบ้อเร่อเบ้อร่า ที่ช่วยปิดบังไม่ให้ใครเห็นลูกตาฉันด้วย เพราะถ้าบรรดาพ่อค้าเห็นว่าเราสนใจสินค้าของเขาแล้วล่ะก็ เขาก็แทบจะลากมือ รุนหลัง (หลอกแต๊ะอั๋งไปด้วย) หรือทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เราเดินเข้าไปยังร้าน หรือแผงของเขาให้ได้ เพราะฉะนั้นบรรดาสาวๆทั้งหลาย ถ้าคิดจะไปอียิปต์แล้วล่ะก็ ถ้าไม่ไปกับพ่อ ก็ควรจะพกผ้า และแว่นกันแดดไว้ด้วยเพื่อความปลอดภัย
มุมหนึ่งในตลาดนัดเมืองไคโร
สำรวจชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนจากตลาดนัดเสร็จเรียบร้อย ก็ยังคงเหลือเวลาอีกมากก่อนขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ฉันออกมานั่งกินบรรยากาศอยู่ที่ร้านกาแฟข้างทางที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เบื้องหน้าของฉันคือสุเหร่าอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้สุเหร่าโมฮัมเหม็ด อาลี
มันเป็นบริเวณที่คึกคักเอามากๆ นักท่องเที่ยวต่างกินดื่มเฮฮาตามประสา ในขณะที่คนท้องถิ่นก็เริ่มออกมารวมตัวกันหน้าสุเหร่าเพราะใกล้ถึงเวลาละหมาด ภาพคนท้องถิ่นเป็นสิ่งที่น่าดูสำหรับนักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับที่คนท้องถิ่นเองก็ต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน เพราะนั่นหมายถึงเงิน งาน และประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เขาจะได้มีโอกาสเข้ามาแลกเปลี่ยน
ย่านนักท่องเที่ยวหน้าตลาดนัด
ท้องฟ้าเหนือสุเหร่า หน้าตลาดนัด ย่านนักท่องเที่ยว
แต่ฉันไม่แน่ใจนักว่า ตาชั่งสามขาที่ถ่วงไว้ด้วยความสนใจของนักท่องเที่ยว ความพอใจของชาวอียิปต์ และความสามารถในการพึ่งตนเองของพวกเขา จะยังคงความสมดุลไปได้อีกถึงเมื่อไหร่ กับคำถามแบบนี้ คงจะมีแต่เวลาเท่านั้นที่ตอบได้
ชีวิตเขาที่เราไปนั่งมอง ตรงหน้าสุเหร่า อาหารค่ำมื้อสุดท้ายในอียิปต์ ฉันนั่งมองพีระมิดจากในร้านอาหารเหมือนคืนแรกที่มาที่นี่ จนกระทั่งมันลับหายไปในความมืดแห่งทะเลทรายตอนเวลาสองทุ่มพอดี
บ้านเมืองเขาเมื่อมองลงมาจากบนสะพาน
นั่งรถผ่านตึกรูปทรงแปลกตา
ความเจริญบนเนินเขาหินทราย
เหนือน่านฟ้าเมืองไทย...
ฉันยังจำภาพที่เห็นจากหน้าต่างเครื่องบินเหนืออาบูซิมเบลได้ ภาพที่เห็นแต่ทรายกับเนินทราย แต่ตอนนี้ ฉันเห็นแผ่นดินเบื้องล่างเป็นสีเขียว ก็ไม่น่าแปลกใจที่แขกขาวตัวโตเบาะข้างๆจะได้ยินสาวชาวไทย ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อล้อเครื่องบินแตะสนามบินสุวรรณภูมิ
ฉันถึงบ้านแล้ว ในขณะที่สำหรับใครหลายๆคนในเครื่องบินลำนี้ การเดินทางของเขากำลังจะเริ่มขึ้น...
(ภาพเหลือเต็มเลยค่ะ หมดแรงแล้ว ไว้เดี๋ยวค่อยเอาภาพที่เหลือมาลงนะคะ)
Create Date : 14 มิถุนายน 2551 |
|
10 comments |
Last Update : 14 มิถุนายน 2551 23:49:54 น. |
Counter : 3247 Pageviews. |
|
|
|