ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
13 เมษายน 2555
 
All Blogs
 

เอกภพกำลังขยายตัวด้วยความเร่ง



เอกภพกำลังขยายตัวด้วยความเร่ง

เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ.1998 ก่อนออกเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ อดัม รีสส์ (Adam Riess) แห่งสถาบัน Space Telescope Science Institute ที่เมือง Baltimore ในสหรัฐอเมริกาได้ส่งอีเมล์ถึงเพื่อนๆ ว่า เขาได้พบว่าเอกภพกำลังขยายตัวด้วยความเร่งที่เพิ่มตลอดเวลา และดูเหมือนจะเร่งต่อไปไม่มีหยุดด้วย

ผลการค้นพบนี้ได้ทำให้อดัม รีสส์ (Adam Riess) กับ ไบรอัน ชมิดท์ (Brian Schmidt) แห่ง High-z Supernova Search Team ที่ Australian National University ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2011 ครึ่งหนึ่งร่วมกับซอล เพิร์ลมุตเตอร์ (Saul Perlmutter) แห่งห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ที่เบิร์กเลย์ (Lawrence Berkeley National Laboratory) ในอเมริกาอันเป็นสถานที่ที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งสามได้องค์ความรู้นี้จากการศึกษาธรรมชาติของ supernova ชนิด1a ในเอกภพ

นับเป็นเวลาร่วม 85 ปีแล้วที่เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) ได้สังเกตเห็นว่า เอกภพกำลังขยายตัวตลอดเวลา เพราะได้เห็นดาราจักร (galaxy) ต่างๆ ที่อยู่ไกลโพ้น เคลื่อนที่หนีจากกันด้วยความเร็วที่เป็นปฏิภาคโดยตรงกับระยะทาง (นั่นคือยิ่งอยู่ไกล ดาราจักรยิ่งมีความเร็วมาก) และนักฟิสิกส์ได้อธิบายสาเหตุที่ทำให้เอกภพขยายตัวว่า มาจากพลังงานที่หลงเหลืออยู่หลังการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (Big Bang) เมื่อ 13,700 ล้านปีก่อน การค้นพบนี้ทำให้คนทั้งโลกคิดว่า ตั้งแต่เสี้ยววินาทีนั้นเป็นต้นมา แรงโน้มถ่วงระหว่างดาราจักรก็น่าจะดึงดูดกัน จนดาราจักรมีความเร็วน้อยลงๆ แล้วจะเคลื่อนที่กลับมาอัดรวมกันแน่นเป็นบิกครั้นซ์ (Big Crunch) แล้วอาจระเบิดอีกเป็นบิกแบง Big Bang เป็นวัฎจักรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หรือเอกภพอาจขยายตัวต่อไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ

แต่สิ่งที่รีสส์กับชมิดท์และเพิร์ลมุตเตอร์ สังเกตเห็นกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ คิด เพราะเขาทั้งสามได้เห็นดาราจักรต่างๆ ที่ขอบเอกภพมีความเร่งมากขึ้นๆ และนักทฤษฎีด้านเอกภพวิทยาได้อธิบายว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากการมีพลังงานลึกลับที่ยังไม่มีใครในโลกรู้จัก ได้ผลักสสารให้แยกจากกัน และเมื่อได้พบอีกว่า เอกภพมีสสารที่เรารู้จักและเข้าใจดีเพียง 4% เท่านั้นเอง คือมีอีก 22% ที่เป็นสสารมืด (dark matter) ที่ตามองไม่เห็น และอุปกรณ์ต่างๆ ยังตรวจจับไม่ได้ กับอีก 74% ที่เหลือเป็นพลังงานมืด (dark energy) ซึ่งทำหน้าที่เป็นแรงผลักดัน ซึ่งแรงนี้รุนแรงยิ่งกว่าแรงโน้มถ่วงมาก

นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ทั้งสามได้พบปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นและงุนงงนี้จากการศึกษาดาวฤกษ์ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา (supernova) หรือ มหานวดารา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ดาวฤกษ์ระเบิด และซูเปอร์โนวาตามปกติมีสองชนิดหลักๆ คือ ชนิดที่ 1 (Type I) กับชนิดที่ 2 (Type II) โดยชนิดที่ 2 จะเกิดเวลาแก่นกลางของดาวฤกษ์ที่มีมวลมหาศาลหมดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ แล้วแรงโน้มถ่วงที่มีอยู่ตลอดเวลาจะทำให้แก่นกลางของดาวยุบตัวอย่างรวดเร็ว จนดาวกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ และพลังงานศักย์โน้มถ่วงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งมีค่ามหาศาลจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดการระเบิดผลักดันเนื้อดาวที่อยู่ในบริเวณนอกแก่นกลางให้พุ่งกระจัดกระจายไปในอวกาศ นักดาราศาสตร์เรียกดาวที่ระเบิดลักษณะนี้ว่า ซูเปอร์โนวา ชนิดที่ 2 (Type II)

ส่วน ซูเปอร์โนวา อีกชนิดหนึ่งคือ 1a นั้นน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าซุปเปอร์โนวา ชนิดที่ 2 เพราะจะเกิดเวลาดาวแคระขาว (white dwarf) ดึงดูดแก๊สร้อนจากดาวฤกษ์อื่นที่โคจรอยู่ใกล้ๆ เข้าสู่ตัว ทำให้ดาวแคระขาวดวงนั้นมีมวลเพิ่มขึ้นๆ จนถึงระดับวิกฤติคือเท่ากับ 1.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ แล้วดาวก็ระเบิด สำหรับชนิด 1b กับ 1c นั้น เป็นซูเปอร์โนวากรณีพิเศษที่ถือกำเนิดเมื่อดาวฤกษ์ที่กำลังจะดับแสงได้สูญเสียเนื้อดาวซึ่งประกอบด้วยไฮโดรเจนไปเรื่อยๆ แล้วแก่นกลางของดาวได้ยุบตัวลงทำให้เกิดการระเบิดได้เช่นกัน

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า นักดาราศาสตร์ในยุโรปและเอเชียโบราณได้เห็นเหตุการณ์ดาวระเบิด (supernova) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1006 ในหมู่ดาว Lupus ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวมาก และดาวที่ระเบิดนี้เป็นซูเปอร์โนวาชนิด 1a อีก 48 ปีต่อมา ประวัติดาราศาสตร์จีนก็ได้บันทึกว่า นักดาราศาสตร์จีนได้เห็นซูเปอร์โนวาอีกในหมู่ดาว Taurus และเป็นซูเปอร์โนวาชนิด 2

ซูเปอร์โนวาชนิด 1a เป็นดาวที่มีบทบาทสำคัญมากสำหรับนักดาราศาสตร์ในการศึกษาเอกภพ เพราะเวลาซูเปอร์โนวา 1a ระเบิด พลังงานจะถูกปลดปล่อยออกมามากถึง 1045 จูลต่อวินาที และมีอนุภาคพลังงานสูง เช่น อิเล็กตรอน นิวทริโน ไหลทะลักออกมาในปริมาณมหาศาล รวมถึงมีนิวเคลียสของธาตุหนักเช่นทองคำและเงินเกิดขึ้นด้วย การเห็นซูเปอร์โนวาทุกครั้งจึงบอกให้เรารู้ว่า ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งได้จบชีวิตดับหายไปจากเอกภพแล้ว และดาวนิวตรอนดวงใหม่หรือหลุมดำได้ถือกำเนิด นอกเหนือจากบทบาทนี้แล้ว ซูเปอร์โนวาชนิด 1a ก็ยังเป็นดาวที่นักดาราศาสตร์ใช้เป็นมาตรฐานในการวัดระยะทางจากโลกถึงดาราจักรที่อยู่ห่างไกลด้วย ทั้งนี้เพราะซูเปอร์โนวาชนิด 1a ทุกดวงจะระเบิดได้ต้องมีมวลวิกฤตเท่ากัน ดังนั้น ความสว่างสูงสุดที่เกิดจากการระเบิดจึงต้องเท่ากันทุกครั้งไป ซูเปอร์โนวาชนิด 1a ทุกดวงจึงมีสภาพเหมือนเทียนบนสวรรค์ที่มีกำลังส่องสว่างเท่ากันหมด ด้วยเหตุนี้นักดาราศาสตร์จึงนิยมใช้ซูเปอร์โนวาชนิด 1a เป็นดาวมาตรฐานในการศึกษาธรรมชาติของเอกภพ ซึ่งหมายถึงใช้วัดอายุ ขนาด และอัตราการขยายตัวของเอกภพ เป็นต้น

ตามปกติเวลาซูเปอร์โนวาชนิด 1a อุบัตินักดาราศาสตร์จะวัดความเข้มแสงจากซูเปอร์โนวาชนิด 1a นั้น ซึ่งจะมีค่ามากที่สุดเท่ากันทุกดวงแล้วความเข้มค่อยๆ ลดหายไป เพราะเหตุว่าความเข้มแสงแปรผกผันกับระยะทางกำลังสอง ดังนั้น ถ้าความเข้มแสงมากนั่นแสดงว่า ซูเปอร์โนวาดวงนั้นอยู่ใกล้ และถ้าความเข้มแสงน้อยนั่นแสดงว่า ซุปเปอร์โนวาดวงนั้นอยู่ไกล และเมื่อระยะทางขึ้นกับความเร็วของดาราจักรที่ซูเปอร์โนวาแฝงอยู่ (ตามกฎของ Hubble) ดังนั้นการรู้ความเข้มแสงสูงสุดของซูเปอร์โนวาชนิด 1a จะทำให้เรารู้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของดาราจักรนั้นด้วย

ดังนั้นเมื่อคณะวิจัยของเพิร์ลมุตเตอร์ที่ Lawrence Berkeley National Laboratory ใน California และของรีสส์ กับชมิดท์ที่ Mount Strombo Observatory ที่ออสเตรเลียได้ศึกษาแสงที่ซูเปอร์โนวาชนิด 1a จำนวนกว่า 50 ดวงเปล่งออกมา ทั้งที่ได้ระเบิดในอดีตเมื่อนานมากแล้ว และที่ระเบิดเมื่อไม่นาน เขาทั้งสามได้พบว่า ความเข้มแสงอ่อนลงกว่าที่คาดถึง 20% ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเอกภพขยายตัวด้วยความเร็วสม่ำเสมอ

หนทางเดียวที่จะอธิบายเหตุการณ์นี้ได้คือ ตลอดเวลาหลายพันล้านปีที่ผ่านมา เอกภพได้ขยายตัวเร็วขึ้นๆ (มีความเร่ง)

ส่วนต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า มีพลังงานมืด (dark energy) อยู่ทุกหนแห่งในเอกภพ และมีสสารมืด (dark matter) ที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดรู้ว่าสิ่งมืดๆ เหล่านี้มีสมบัติเชิงกายภาพเช่นไร

ถึงยังไม่มีใครพบหรือตรวจจับสิ่งลึกลับและลี้ลับนี้ได้ แต่วงการวิทยาศาสตร์ ณ วันนี้ได้ยอมรับแล้วว่า เอกภพมีสสารมืด และพลังงานมืดจริง

ดังนั้นในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.2011 นี้ นักดาราศาสตร์ทั้งสามท่านได้เข้ารับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2011 ที่กรุง Stockholm ในสวีเดน โดยเพิร์ลมุตเตอร์ได้รับเงินรางวัลครึ่งหนึ่งและรีสส์กับชมิดท์ได้รับอีกครึ่งหนึ่งของเงินรางวัลทั้งหมด 46.7 ล้านบาท

เมื่อพลังงานมืดและสสารมืดเป็นสิ่งที่ยอมรับว่ามีจริง และเอกภพกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่งที่มากขึ้นๆ เช่นนี้ นักฟิสิกส์ทฤษฎีเอกภพบางท่านจึงใช้ข้อมูลนี้พยากรณ์ว่าในอีก 35,000 ล้านปี เอกภพจะถึงจุดจบคือสลายตัวอย่างสมบูรณ์ และ 60 ล้านปีก่อนที่เอกภพจะแตกดับ ดาราจักรทางช้างเผือกที่มีดวงอาทิตย์เป็นดาวสมาชิกดวงหนึ่งจะแตกกระจาย และก่อนนั้น 3 เดือน โลกของเราจะระเบิด และก่อนโลกจะถึงจุดสิ้นสุดเป็นเวลา 10-19 วินาที นิวเคลียสในอะตอมทุกอะตอมจะแตกกระจาย ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ หรือแม้แต่หลุมดำก็ไม่เหลือด้วยอิทธิพลของแรงผลักเนื่องจากพลังงานมืด

คัมภีร์ Genesis ของคริสต์ศาสนาได้บันทึกว่า เมื่อเริ่มต้น พระเจ้าได้ทรงประทานแสงสว่าง (นี่คือ Big Bang) และเมื่อถึงตอนจบ นักฟิสิกส์คิดว่าจะไม่มีอะไรให้เห็น นอกจากความมืด

วิธีเดียวที่เราจะรู้อนาคตของเอกภพได้อย่างแน่ชัด คือต้องศึกษาว่าสสารมืดมีธรรมชาติเช่นไร เราจะมีวิธีค้นหามันได้อย่างไร ธรรมชาติของพลังงานมืดเป็นอย่างไร และเกี่ยวข้องกับสสารมืดอย่างไร ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ที่สามารถอธิบายธรรมชาติของเอกภพได้ดีมากที่ระยะ “ใกล้” จะถูกปรับเปลี่ยนเพียงใด เพื่อให้สามารถอธิบายเอกภพที่กำลังขยายตัวมากขึ้นและเร็วขึ้นตลอดเวลา ฯลฯ

เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ด้านเอกภพวิทยาจึงได้เสนอโครงการทดลองหลายโครงการ เช่น

1.จะส่งยาน Supernova/Accelerator ขึ้นอวกาศเพื่อศึกษาประวัติการขยายตัวของเอกภพ โดยจะสังเกตดูซูเปอร์โนวาชนิด 1a ประมาณ 2,000 ดวง/ปี

2. โครงการศึกษาดาราจักรใกล้โลกจำนวน 100 ล้านดาราจักร เพื่อวัดอัตราการขยายตัวของดาราจักรเหล่านี้ และศึกษาอันตรกริยาแรงผลักระหว่างสสารกับแสง

3. โครงการส่งกล้องโทรทรรศน์ชื่อ Dark Energy Space Telescope (DEST) เพื่อดูการกระจายของดาราจักรที่ถือกำเนิดหลังบิกแบงเล็กน้อย

ย้อนกลับมาในปี 1998 หลังจากที่เพื่อนของรีสส์ได้เห็นอีเมล์ฉบับนั้นแล้วก็ได้เขียนตอบรีสส์ว่า “จงทำงานต่อไปให้ถึงที่สุด เพราะชาตินี้นายคงไม่พบอะไรที่ตื่นเต้นเท่านี้อีกแล้ว”



ที่มา
//www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000038548




 

Create Date : 13 เมษายน 2555
0 comments
Last Update : 13 เมษายน 2555 21:38:39 น.
Counter : 1844 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.