วันนี้ผมตื่นแต่เช้ามืดตามปกติมองดวงไฟนีออนเหนือเตียงกระพริบดับๆติดๆ
ปกติผมก็ตื่นแต่เช้ามืดทุกวันนั่นแหละ
แต่แปลกใจที่หันไปหาภรรยาคู่ชีวิตแล้วเห็นว่าเธอยังนอนหลับอุตุ
หรือว่าเริ่มมีนิสัยขี้เกียจตัวป็นขน
ผมพ่นลมหายใจอย่างระอา ลุกจากเตียงเดินไปอาบน้ำให้สดชื่น
แล้วเปิดตู้เสื้อผ้าหาเสื้อเชิ้ตกับกางเกงทำงาน
หยิบเสื้อตัวสีขาวตัวแรกออกมา ก็เบะปากใส่ ภรรยาของผมถึงซักเสื้อได้แย่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เสื้อสีขาวมันกลายเป็นสีเหลืองเก่าน่าเกลียดมากที่สุด
อยากจะปลุกเธอขึ้นมาต่อว่า แต่อย่าเลย จะทำให้ผมเสียเวลาและไปทำงานสาย
เลยเปลี่ยนใจหยิบตัวสีเทาที่ผมไม่ชอบมันเท่าไหร่นักกับกางเกงทำงานเข้าชุดกันที่เหมือนมันจะหลวมขึ้น
ผมคงน้ำหนักลง ช่างมันเถอะคว้าหาเข็มขัดมาใส่ สวมถุงเท้าคู่เก่าๆ ที่เก่าจริงๆ
ให้ตายเถอะ กลับจากทำงานวันนี้เมื่อไหร่ ผมจะขอบ่นเธอสักยกใหญ่
คุณจะไปไหนน่ะ เสียงภรรยางัวเงียถาม
ก็ไปทำงานน่ะสิ ถามได้ นี่คุณคิดว่ามันกี่โมงแล้วอาหารเช้าคงทำไม่ทันแล้ว ผมจะไปกินแถวที่ทำงานเลย
แต่... คุณเกษียณแล้ว...นะ
ผม... เกษียณแล้ว มือที่กำลังสวมถุงเท้าอีกข้างหยุดชะงัก
เงยมองหน้าตัวเองสะท้อนในกระจกเงา ผม... เกษียณ... แล้ว
เงาในกระจกเป็นชายชราผมบางจนเกือบล้านตัวผอมแกรนในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาตัวโคร่ง
ดูไม่สง่าเหมือนกับภาพที่ผมคิดเสียเลยผมต้องหนุ่มกว่านี้สิ
ภรรยาของผมเธอก็ควรจะดูสาวกว่านี้ไม่ใช่หรือ
ถึงจะช็อค แต่เค้าลางวันพิธีเลี้ยงอำลาพนักงานอาวุโสก็ค่อยๆ
ชัดเจนขึ้นจนแปรภาพสะท้อนชายหนุ่มพนักงานดีเด่นเป็นตาแก่ผมขาว
ผมผลัดเปลี่ยนเสื้อกับกางเกงทำงานแสนเก่า ถอดถุงเท้าอีกข้างออก
แล้วใส่เสื้อผ้าป่านกับกางเกงเลผูกเอว... ตามแบบปกติ...
หรือว่าผมจะฝันไป บอกตัวเองอย่างนั้นตั้งแต่เช้าแล้ว ... คงไม่ได้ฝัน...
ลูกสาวของผมโตขนาดนี้แล้ว ผมผ่านวัยทำงานมาหลายปีจนผมลืม... ลืมไปเสียสนิทว่า
ตอนนี้ผมกลายเป็นคนแก่ไร้ค่าอยู่แต่กับบ้าน
พ่อ... พ่อร้องไห้ทำไม
ลูกสาวเอ่ยถามกลางโต๊ะอาหาร ภรรยาก็มีสีหน้ากังวลเช่นกัน คำตอบคือ...ผมไม่รู้ว่าผมร้องไห้ทำไม
ผมไม่รู้ว่าผมอยากร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเช็ดน้ำตาไม่อยากให้แขกของร้านอาหารที่นี่มอง
แล้วยายน้อย น้องสาวเรา จะกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ล่ะให้มันมาเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่มันบ้าง
ผมไม่ตอบคำถามแต่ถามลูกผมกลับ
มันกลับมาหลายปีแล้วไงพ่อ แต่งงานมีลูกแล้วนะ
เหรอ ทำไมผมถึงจำไม่ได้เลยเวลามันผ่านไปเร็วจนผมไม่รู้ตัวขนาดนี้เลยหรือ
ผมกลายเป็นคุณตาไปแล้วทำไมถึงลืมไปได้ล่ะ
มีบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวของผม บางอย่างที่ผมไม่กล้าบอกใคร
ผมรู้สึกอับอายและกลัวว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะเป็นความจริง ผมกลัว...
กลัวแม้กระทั่งการอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคย ผมอยากกลับบ้าน พ่ออยากกลับบ้าน
ก็เรากำลังอยู่ที่บ้าน ลูกสาวเริ่มมีน้ำเสียงเปลี่ยน
ไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นบ้านเก่า
พ่อ... เขาหมายถึงบ้านในซอยโรงงานก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่าภรรยาของผมช่วยพูด
มันขายไปนานแล้วนี่แม่ แล้วจะกลับไปบ้านไหนล่ะ
ผมไม่รู้ว่าลูกสาวผมทำไมถึงพูดแบบนั้น ผมจึงบอกไปว่าพ่อจะไปเยี่ยมย่า
ย่า... ตาย... ไป... แล้ว
แม่ตายไปแล้วหรือ ผมยกมือเกาหัว รู้สึกประหลาดผมยังเห็นแม่เมื่อวานนี้อยู่เลย....
หลายวันต่อมา ผมไม่มีอาการแปลกแบบนั้นอีก ลูกสาวของผมก็กำชับกินยาตามเวลา
อีกทั้งยังให้ผมกินน้ำมันมะพร้าววันละช้อนชา เธอบอกว่ามันดีต่อสุขภาพ
ผมกินตามคำบอกแกมบังคับของเธอ
ผมไม่ได้ป่วยอะไรนะครับ ผมยังแข็งแรงดี แขนขาใช้การได้คล่องแคล่วเดินไกลๆ นานๆ
ก็ไม่เหนื่อยหอบ เพียงแต่... บางครั้งผมแค่จำทางกลับบ้านไม่ได้
ก็ซอยในหมู่บ้านมันมีมากเกินไป จนผมสับสน ก็เท่านั้น
ผม... ไม่ได้ป่วยจริงๆ ที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมดนี่คุณหมอว่าผมเป็นอะไรครับ
ผมเอ่ยคำถามหลังจากเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณหมอฟัง
แต่เธอไม่ตอบผม เอาแต่จะพยายามผลักร่างของผมให้พลิกตะแคง
ให้ตายสิทำอย่างกับผมเป็นเด็กเอาตุ๊กตามาให้ผมจับเล่น
วันนี้พ่อเป็นยังไงบ้าง
นั่นใครกัน ทำไมถึงดูคุ้นเคย
วันนี้ตาแกบ่นอะไรทั้งวัน พี่ฟังไม่รู้เรื่อง สงสัยคงกำลังร้องเพลง
เสียงคุณหมอบอกกับผู้หญิงคนนั้น
พ่อ... น้อยมาเยี่ยม พาหลานมาไหว้พ่อด้วย
ผมจำได้ว่าผมมี... ลูกคนเดียว...
คุณตา สวัสดีค่ะ
ผม... จำได้ว่า... ผม... เคยเห็นรอยยิ้มของเด็กคนนี้....
พ่อ... จำน้อยได้ไหม
ผม...
ความทรงผมทำไมถึงเลือนราง... ทำไมผมถึงนึกใบหน้านี้ไม่ออก
ทำไมผมถึงอยากรู้ว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นใคร... แล้วทำไมผมถึง...
ลืม... แม้ว่าตัวเองเป็นใคร
ดวงไฟนีออนสว่างจ้าที่เคยกระพริบคล้ายหมดพลังดับสนิท
ไม่มีแสงสว่างไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต และไม่มีตัวตน
มันช่างเจ็บปวดเหลือที่อยากจำแต่... กลับลืม...
เรื่องนี้เขียนจากประสบการณ์ค่ะ เปลี่ยนมุมมองจากมุมตัวเอง
เป็นมุมมองของอีกฝ่าย ผู้ที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นบิดาของ จขบ
ตอนนี้ท่านก็มีอาการทรงๆ นอนอยู่บนเตียงที่บ้าน
ที่ดึงเอาเรื่องนี้มาเขียนเพราะเราคิดว่า(คิดว่า...จริงๆ)
เราเข้าใจความรู้สึกของท่าน
มองหน้า... แต่ไม่รู้จัก... ทั้งๆ ที่เคยรู้จัก
ท่านมามีอาการหลังเกษียณแล้วหลายปี
ซึ่งเราไม่ทราบเลยว่าท่านเป็น
จนวันหนึ่งเริ่มผิดปกติจนเรากังวลแล้วพาไปพบแพทย์
แต่อาการก็เป็นไปตามระดับของมัน
จนตอนนี้ เรากลายเป็นคนแปลกหน้าของเขา...
เชื่อได้ว่า เมื่อเราถึงวัยนี้
เราคงไม่ต่างกัน ..
จะต่างกันตรงที่ จำได้มากน้อยแค่ไหน
ลืมมากน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง
.....
จากบล็อก
ถูกค่ะ มีแต่เราที่จะทำร้ายตัวเราเองได้
มาอ่านแล้วน๊าาาา มีความสุขมากๆนะคะ