ผมผิดหวังและเสียใจจนไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมเคยคิดว่าหากวันหนึ่งเกิดตายไม่รู้ตัวแล้ว
จะเป็นอย่างไร... แล้วหาคำตอบที่ลงตัวไม่ได้สักที เพราะไม่รู้วันที่ว่านั้นจะมาถึงเมื่อไหร่และถ้ามา มันก็คงมาโดยที่ผมไม่รู้ตัว
แป๊บเดียวเท่านั้นแล้วมันก็ผ่านไป ผ่านไปเหมือนเวลาที่เราวิ่งเข้าเส้นชัย ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีแต่สิ่งที่ผมเพิ่งผ่านมา มันคือ... เส้นตาย
คำถามที่ตามมาคือ...ผมใช้เวลาในการแข่งวิ่งมาทั้งชีวิตเพื่อให้ตัวพุ่งสู่เส้นชัยแต่ทำไมกลับเลือกวิ่งผ่านเส้นตายไ
ผม... หาคำตอบของคำถามที่สองไม่ได้เลย
จำคราบเลือดที่ติดขยับซ้ายมันแห้งกรังไปแล้วแต่ของเหลวสีเหลืองที่ยังเจิ่งและหลงกลิ่นคาวน่าอาเจียนมันไม่ได้ทำให้ผู้หญิงที่มีใบหน้าคล้ายผมคนนี้รังเกียจ
ในตอนนั้น เธอยังกอดศีรษะผมแน่นหายใจแผ่ว เคล้าเสียงสะอื้นแสนทรมาน และเสียงเส้นสัญญาณชีพที่ตอนนี้เป็นเส้นตรงสนิทไร้เนินสูงต่ำ มันเป็นผมมาถึงเส้นตายเส้นนี้ได้อย่างไร
ฆ่าตังเองทำไมทำร้ายตัวเองทำไม
เธอตั้งคำถามกับร่างไร้ลมหายใจของผม...สายไปแล้วใช่ไหมที่จะตอบว่า มันเป็นแค่... อารมณ์ชั่ววูบ
...........................................
งานศพของผมจัดแบบเงียบๆผมกับแม่ไม่มีญาติพี่น้องมากนัก เพื่อนสนิทของผมก็มีไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็คือเธอ... คนที่ผมรัก และไม่คิดว่าจะรักใครได้อีก
เธอมาร่วมงานศพของผม...อโหสิกรรมกันแล้วขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ คำพูดที่เอ่ยในใจของเธอ แต่ผมได้ยินมันชัดเจน
แล้วเธอก็ไป...ไปกับใครอีกคน... ผมไม่ได้รู้สึกโกรธเธอแล้ว เพราะอะไร...เพราะเธอบอกว่าให้อโหสิกรรมใช่ไหม ก็เปล่า แต่ผมรู้สึกเสียใจที่ผมยอมรับความพ่ายแพ้ทั้งที่มันไม่ใช่การแข่งขัน
ผมจึงรู้สึกคล้ายกับมีช่องโหว่ในหน้าอก โหวงเหวง ล่องลอย หรือว่าอาการแบบนี้ที่เขาเรียกว่าวิญญาณไม่สงบ ผมจึงไม่ได้ไปสู่สุขคติตามที่เธอเอ่ยวาจา
มองเส้นสายสิญจน์สีขาวพาดผ่านที่นอนที่สุดท้ายสายสิญจน์สีขาวคือเส้นชัยแรกหลังความตายของผม เป็นเส้นชัยที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า... ไม่ได้อยากวิ่งไปหามันแม้แต่น้อย...
สายไปแล้วแค่อารมณ์ชั่ววูบ เหมือนวิ่งผ่านเส้นชัย แต่พอผ่านมาแล้ว ต่อจากนี้มันคงนานชั่วกัลป์
...................................
เสียงพระสวดดังต่อเนื่องจนจบบทสุดท้ายเสียงร้องไห้ของแม่ของผมก็เช่นกัน....
วันนี้ทำธีมใหม่ด้วย