นักฝันผู้ชอบเขียนเล่าเรื่อง
Group Blog
 
<<
มกราคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
4 มกราคม 2558
 
All Blogs
 
ถนนสายนี้มีตะพาบ 121 วันพักผ่อน

สังขละบุรี

ที่แห่งนี้คือแดนสวรรค์

"สะพานไม้ ด่านเจดีย์ นทีสามประสบ

มรดกทุ่งใหญ่

ไทยกะเหรี่ยงรามัญ สารพันธรรมชาติ

อภิวาทหลวงพ่ออุตตมะ

เมืองสังขละชายแดน สุดแคว้นแดนตะวันตก"


พอเอ่ยถึงอำเภอสังขละบุรี ดินแดนที่นักเดินทางจะต้องไปสัมผัสให้เห็นกับหัวใจสักครั้งหนึ่งในชีวิตใช่ไหมคะ

ตัวดิฉันเองก็เช่นกันค่ะที่อยากจะไปดู ไปชม ไปเก็บภาพความงามที่ใครๆเขาพูดกัน บอกตามตรงเลยว่า

ตั้งแต่วัยเด็กจนก่อนวัยทำงาน เป็นคนชอบเที่ยวทะเล รักทะเล(ตอนนี้ก็ชอบอยู่) ไม่เคยคิดที่จะไปเที่ยวชมป่าเขากับเขาเลย ด้วยเหุตผลที่งี่เง่าสุดบรรยายคือ

"มีแต่ป่ากับเขา ไม่เห็นจะมีอะไร"

ก็เลยไม่เคยได้ไปชมน้ำตก ชมนก ดูความงามของป่าเขาที่หลายคนหลงไหล แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตใจให้ตัวเองกระหายอยากไปที่นี่

เล่าสู่กันฟังเลยนะคะ พอแต่งนิยายเรื่องแรก ซึ่งพล็อตเรื่องควรเป็นแนวรักธรรมดา แต่พอดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ

อยู่ๆก็มีตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวร้าย แล้วสมองสั่งให้วางเขาเป็นโจรป่า อ่ะโจรป่าก็ต้องอยู่ในป่า แล้วป่าที่อุดมที่สุดก็คือ

 "ป่าตะวันตก"

นี่แหละค่ะ จุดกำเนิดของการที่ได้ศึกษาป่าตะวันตก ของกาญจนบุรี แล้วก็ได้ศึกษาหาความรู้ของอำเภอสังขละบุรี ที่จะเป็นฉากหนึ่งในนิยาย

นิยายจบแต่นักเขียนไม่จบ เพราะเกิดความค้างคาว่า ตัวเองแต่งเรื่องโดยใช้ฉากสังขละบุรีแล้วทำไมไม่ไปดูให้เห็นกับตา

 ความคิดนี้วนเวียนในหัวมาตลอด แต่ก็รู้สึกว่าที่แห่งนี้ยากจะเข้าถึง แต่พอได้เห็นรีวิวของนักเดินทางจากทั้งในบล็อกแกงค์และพันทิป บวกกับมีใจฮึดว่า

"ถ้าไม่ไปตอนนี้แล้วจะได้ไปเมื่อไหร่"

และวันหยุดปีใหม่ปีนี้ มีถึง 8 วัน จะรออะไรล่ะ ก็ไปกันเลย สังขละบุรี สามีไม่นำพา เราก็นำพาตัวเองไป ลูกๆ จ๋าอยู่กับพ่อนะ ปีใหม่ปีนี้ แม่ขอตามฝันบ้าง

นัดแนะกับพี่สาวที่จะไปด้วย จองรีสอร์ทได้อย่างฉิวเฉียด ช้ากว่านั้นเต็มค่ะ

(ถ้าจองไม่ทัน หลายคนก็นอนเตนท์นะ)

ดิฉัน (หญิงไทยวัย 37 ปี ลูกสาวหนึ่ง ลูกชายหนึ่ง ทำงานสำนักงานบริษัทเอกชน สามีไม่ชอบขับรถเทียวไกล และเขาคงไม่พาไป)

จึงได้ตั้งจิตมั่น แล้วชวนพี่สาวที่ยังโสดขับรถไปกันเองเลย โดยหวังพึ่งพาการนำทางจาก Navigator ยี่ห้อหนึ่ง ที่ทำงานได้ดี พาผู้หญิงสองคนไปถึงสังขละบุรีได้

เราออกจากบ้าน(ปากเกร็ด) ตอน 7 โมงเช้า เดินทางโดยรถนิสสัน ซิลฟี่ เติมน้ำมันจนเต็มถัง เติมลมยาง น้ำดื่มพร้อม อาหารเช้าเป็นแซนวิชอบจากร้านสะดวกซื้อ กินกันเรียบร้อย แล้วขับออกจากบ้านกัน

โดยระยะทางถึงจุดหมายประมาณ 5 ชม จากการคำนวนของเครื่องนำทาง แวะพักเหนื่อยที่ปั๊มน้ำมันและเติมน้ำมันให้เต็มอีกครั้ง

(เป็นโรคกลัวน้ำมันหมดค่ะ ถ้าเจอปั๊มแล้วคำนวนปริมาณน้ำมันหากไม่แน่ใจก็จะเติมทันที)

เคยมีคนกล่าวไว้ (ขออภัยที่นึกชื่อไม่ออก)ว่าการเดินทาง สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เป้าหมาย แต่เป็นสิ่งที่พบเจอระหว่างการเดินทาง จริงตามนั้นค่ะ

เพราะตามเส้นทางที่ขับผ่านนั้นถูกโอบล้อมด้วยป่า เขา สวยงามมาก แม้เป็นคนขับที่ได้แต่ปรายตามอง แต่ก็ยังรู้ว่าที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์มาก

เวลาที่รถแล่นผ่านหุบ เวิ้ง หรือถนนเลียบเขาจะเห็นความกว้างใหญ่ของผืนป่าเป็นภาพที่อลังการณ์ ตื่นตาตื่นใจที่ได้มาเห็นสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ก็เลยรำพึงในใจว่า

"ทำไมถึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาได้โดยไม่คิดที่จะรับรู้ว่า บนแผ่นดินไทยมีความงามที่เป็นที่สุดไม่แพ้ชาติใดจริงๆ"

เราขับตาม Navigator ใช้เส้นทางผ่านนครปฐม กาญจนบุรี เข้าเส้น 323 แล้วยิงยาว จนถึงทางแยกทองผาภูมิ-สังขละ (ตรงแยกนี้มีปั๊มหนึ่งเดียวที่ใกล้ตัวเมืองสังขละ ถ้าเติมได้ให้เติมเลยนะคะ จัดเต็มถังไป)

พอเติมความอุ่นใจก็เลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางแห่งเมืองสวรรค์ ทางเป็นทางลาด ขึ้นเขา ลงเขา มีโค้งหลายโค้ง

โค้งที่อันตรายจะมีหนึ่งหรือสองโค้ง ใช้ความเร็วประมาณ 40 กม.ต่อ ชม. ใครมาจี้หลังก็หาจังหวะหลบให้เขาแซง เราไม่เคยขับมาทางนี้ ไม่ชินทาง และไม่ได้ขับเก่งอะไร

ส่วนทางขึ้นเขาที่ชันสุดจะมีทางเดียวและมีโค้งด้วย รถเกียร์อัตโนมัติเหยียบกันเกือบคันเร่งจมทีเดียว (เปลี่ยนเป็นเกียร์ L ไม่เป็น ถ้าใครจะมาที่นี่ แล้วใช้เกียร์ L ยังไม่ได้ ควรศึกษาไว้ก่อนจะดี เครื่องยนต์จะได้ไม่ทำงานหนัก)

แต่พอผ่านโค้งและเนินชันมาได้ก็ขับสบายแล้วค่ะ ถนนข้างบนดีทีเดียว

ถึงที่พักประมาณบ่ายสองโมง เช็คอินที่ บ้านทอฝัน ได้พักห้องเสือน้อย

ที่นี่เป็นรีสอร์ทที่สร้างบนเนินเขาสองลูกที่ติดกันค่ะ ด้านนี้จะเป็นส่วนที่ติดกับถนนของเมือง ตัวดิฉันถ่ายจากอีกด้านที่กำลังก่อสร้าง ห้องพักเป็นแนวเก๋ๆ พนักงานของรีสอร์ทจะเป็นเด็กๆในอุปการะคุณของเจ้าของรีสอร์ท

การบริการจะเน้นช่วยตัวเอง ง่ายๆ สบายๆ นะคะ อาหารก็มีไว้บริการแต่ไม่กี่เมนู มีร้านกาแฟออแกนิครสชาติดีให้ดื่มด้วยค่ะ

พอเช็คอินเสร็จแล้ว เจ้าของรีสอร์ทแนะนำให้ไปทานอาหารที่แพมิตรสัมพันธ์ ที่นี่มีเมนูปลาคัง ปลากด ยำสาวมอญที่เป็นเมนูแนะนำ อาหารอร่อยค่ะ พอทานเสร็จก็เช่าเรือชมวัดใต้บาดาลที่แพนี้เลย ราคา 300 บาท

เห็นวัดไกลนู่นใช่มั้ยคะ นั่นแหละค่ะวัดใต้บาดาล

ระหว่างทางไปถึงวัดก็ชมความงามของสองฝั่งแม่น้ำ ฝั่งไทยและฝั่งมอญกันได้ ความเป็นอยู่ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมได้ดีเลิศ

ชีวิตที่อยู่กับสายน้ำและป่าเขาของชาวสังขละเป็นสิ่งวิเศษนะคะ มองย้อนดูตัวเองแล้ว ก็แปลกใจนะว่าทำไมเราถึงไม่อยู่กับสิ่งรอบกายและซาบซึ้งกับมัน

แท่นสักการะหลวงพ่ออุตตมะ

ที่วัดใต้บาดาลจะมีไกด์เป็นเด็กชาวมอญ พวกเด็กๆ จะเข้ามาถามว่าเรารู้จักประวัติของวัดแห่งนี้หรือยัง ถ้ายัง เขาจะแนะนำเรา เมื่อจบการแนะนำก็ให้สินน้ำใจแก่เด็ก เด็กๆ น่ารักทีเดียวค่ะ  

พอล่องเรือชมวัดเสร็จ เราก็ไปชมวิวสวยๆ ที่จุดชมวิววังกะ

ขับจากออกจากถนนสะพานไม้ไม่ไกลนัก ข้ามสะพานปูนซองกาเลีย เลยไปนิด ทางซ้ายจะมีจุดชมวิววังกะ ที่นี่มีเจ้าหน้าที่บริการ และมีที่ให้ตั้งเต๊นท์นอนด้วยค่ะ

ถือว่าเป็นวิวที่ดี เพราะเห็นทั้งฝั่งสะพานปูน และเห็นสะพานไม้พาดผ่านแม่น้ำซองกาเลีย ดูสวยงามมาก

ในวันแรกที่เราถึง (ทริป 31 ธค 2557 - 1 มค 2558) ไปเที่ยวไม่มาก เพราะเหนื่อย แก่แล้วขับรถไกลครั้งแรก เลยหยุดแค่จุดชมวิววังกะ แล้วกลับไปนอนเอาแรงที่รีสอร์ท เพื่อที่จะออกไปเดินชม ถนนคนเดินชาวมอญ

งานถนนคนเดินจัดเป็นพิเศษ 5 วันเพื่อฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่

งานนี้มีร้านค้าขายของที่ระลึกต่างๆ อาหารพื้นเมือง และมีรำตามประเพณีมอญให้ชมค่ะ

ในรูป ดิฉันกินขนมปังปิ้งเสียบไม้ อร่อยชุ่มเนยดี

เมนูนี้คือหมูจุ่มพม่าค่ะ เป็นหมู และ เครื่องใน ไม้ละบาท กินกันอิ่มเลย รสชาติเหมือนหมูตุ๋น น้ำซุปคล้ายกับซุปเนื้อตุ๋นค่ะ อร่อยดี

รำแบบชาวมอญ น้องสองคนน่ารักมาก ยิ้มตลอด สวยแบบชาวมอญจริงๆ (หลงรัก) ฮ่าๆๆๆ

ตลาดถนนคนเดิน คึกคักมากค่ะ ช่วงเทศกาลคนเยอะ นักท่องเที่ยวก็เยอะ ชาวคนสังขละ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติไทย หรือเชื้อชาติมอญ หรือจะเป็นกระเหรี่ยง เขาก็เป็นคนมีน้ำใจ

ตำรวจจราจรก็ให้ความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกดีมากค่ะ

หลังจากกลับไปพักเอาแรงนอนก่อน (ไม่หลับเท่าไหร่ค่ะ ไม่ใช่ที่นอนไม่สบาย แต่ตื่นเต้น เอ้า จริงนะคะ เพราะดีใจบอกไม่ถูกที่ได้มาถึงที่นี่)

ก่อนเข้ารีสอร์ท แหงนหน้ามองฟ้ายามค่ำของที่นี่สักหน่อย อาจเป็นเพราะมีความสุขหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะว่าดวงดาวของที่นี่ดวงโตกว่าที่เคยเห็น

ลุ่มดาวนายพรานก็สว่างสดใสจนคล้ายกับว่าเรายืนใกล้กว่าเมื่ออยู่บนที่สูง

คนเมืองอย่างดิฉันก็เลยประทับใจ แม้แต่ท้องฟ้าของที่นี่

เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ขับไปทางสะพานซองกาเลีย เพื่อชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น สวยใช่มั้ยคะ ของจริงมันงามมาก นี่ยังรู้สึกได้เลย เกินบรรยาย

อีกฝั่งของสะพานปูนค่ะ เห็นหมอกลอยไปตามผิวน้ำเลย เช้าวันนี้อากาศเย็นประมาณ 18 องศาค่ะ

พออาบแสงอาทิตย์ยามเช้าจนหนำใจ เราก็ขับไปที่สะพานไม้ค่ะ ตอนนั้นประมาณ 7 โมงเช้า ทันใส่บาตรพระ เราใส่ที่หมู่บ้านมอญ ไม่ได้ใส่ที่หัวสะพานไม้ค่ะ

นักท่องเที่ยวและชาวมอญร่วมตักบาตรพร้อมกัน เขาจะตักบาตรทุกวันค่ะ

ชาวมอญก็จะใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นุ่งผ้าถุง ห่มสะไบ ดูงดงามนะคะ

พอตักบาตรเสร็จก็ไปเดินสะพานไม้กันเลย

สะพานไม้อุตมานุสรณ์ ที่ใครมาก็ต้องมาเยือน และเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยค่ะ สะพานไม้ที่ยาวที่สุดอันดับ2ของโลกแห่งนี้ และยาวที่สุดในประเทศไทย ตอนที่ไป ซ่อมแซมเสร็จแล้ว โชคดีจริงๆ เลย

(สะพานไม้นี่เป็นฉากหนึ่งในนิยายเรื่องบนสะพานแห่งความรัก ของคุณชมจันทร์ที่เพิ่งรีวิวไป ดิฉันมาถึงแล้วนะคะคุณชมจันทร์ ตามรอยรักหัสดินและนิบุณ)

สะพานยาวจริงๆ ไม่ได้ข้ามจากฝั่งไปหาฝั่ง เดินถึงเพียงแค่กลางสะพานค่ะ

เจอเด็กชายชาวมอญ ขอถ่ายรูปสักหน่อย ช่วงที่สะพานขาด ทางการสังขละจัดสร้างสะพานไม้ไผ่รองรับ ให้ชาวไทยและชาวมอญได้ใช้กันด้วยค่ะ

ถ่ายด้วยกล้อง IPhone 6 panorama ถ่ายได้สวย (ไม่ได้โฆษณาสินค้า กล้องที่เอาไปคือ canon d510 ซึ่งไม่ค่อยได้จับ หลายภาพสั่นมากมาย ขออภัยที่

รูปอาจไม่สวยนะคะ) ถึงรูปไม่สวย แต่สถานที่สวยมากกกกกกก จนอยากลากเสียงยาวตั้งทิศเหนือจรดทิศใต้

ที่นี่คือสวรรค์จริงๆ

จากบนสะพาน แล้วมองทุกอย่างข้างล่าง ทั้งแม่น้ำ ป่า เขา ชาวเมือง ทุกอย่างคือความงาม เป็นอะไรที่เยี่ยมที่สุดที่เคยเจอ (ไม่ได้เวอร์ค่ะ)

ในใจนึกขอบคุณ คุณสืบ นาคะสเถียร และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เป็นผู้เสียสละรักษาผืนป่าตะวันตกไว้ให้เราได้เรียนรู้

ซาบซึ้งแล้วว่าความงดงามของป่าเขามันซึมซัมความทุกข์และปล่อยพลังให้เราได้จริงๆ

ดีใจที่มีที่แห่งนี้ในประเทศไทย และอยากให้เขาดำรงความงามนี้ไว้ ไม่อยากให้สูญหายไปไหน

ขอบอกดังๆ ว่า รักสังขละบุรี หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น

หลังจากอิ่มรักไม่รู้เบื่อกับสะพานแห่งความรัก (แต่แอบอิ่มกับอาหารเช้า เป็นปาทองโก๋ราดนม กับของทอดแบบชาวมอญด้วย

อิ่มแล้วเราก็ไปวัดหลวงพ่ออุตมะค่ะ เคารพสักการะเพื่อเป็นศิริมงคลและเช่าบูชาลูกประคำกับพระพิมพ์ยอดขุนพลกันมา แล้วต่อกันที่เจดีย์พุทคยาจำลอง

มีพระพุทธบาตรจำลองที่ด้านหน้าทางเข้าค่ะ

สังเกตเห็นบางเหรียญที่ตั้งไหมคะ ไม่รู้ทำไมต้องตั้ง เราก็เลยตั้งบ้าง เหรียญของเราเป็นเหรียญห้าอันหน้าสุดที่ตั้งอยู่ค่ะ

จากนั้นเราก็ไปด่านเจดีย์สามองค์ ขับลงจากสังขละไม่ไกลค่ะ วันนี้แวะเติมน้ำมันด้วยนะคะ อุ่นใจไว้ดีกว่า

ที่ด่านจะมีบริการนำเที่ยวฝั่งพม่าค่ะ ค่าบริการ 200 บาทต่อคน เป็นรถสองแถว

จะนำเที่ยวสองวัด กับตลาดพม่าค่ะ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

ถ่ายรูปไม่มากค่ะ รถวิ่งอยู่เลยไม่ชัดหลายภาพ วัดพม่าแห่งนี้คือวัดที่เขาเรียกว่าวัดเสาร้อยต้นค่ะ ตัวเสาเป็นไม้แดง เข้าไปสักการะแล้วรับลูกประคำมาเป็นศิริมงคล จากนั้นไปเจดีย์ทอง

ทางขึ้นเจดีย์ทอง จะเป็นทางขึ้นเขาลงเขาค่ะ คนไทยบางคนก็ขับรถมาเที่ยวเอง

แต่ดิฉันขอผ่าน นั่งสบายๆให้เขานำเที่ยวดีกว่า แล้วก็คิดถูกเพราะทางลงเจดีย์สุดหิน ขับไม่เก่งอย่าได้ลองเชียว

สำหรับด่านเจดีย์สามองค์เป็นที่สุดท้ายของวันที่สอง จริงๆยังมีเวลาอีกเยอะ

เพราะแค่บ่ายสองกว่าๆ แต่คืนนี้ (คืนที่ 31 ธค) เรามีนัดเคาน์ดาวน์ที่สะพานมอญ เลยขอกลับไปนอนเอาแรงที่รีสอร์ทค่ะ

คืนเคาน์ดาวน์ที่สะพานมอญ เขาจะมีปล่อยโคมกัน ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แต่จะมีบางกลุ่มปล่อยตอนเที่ยงคืน พร้อมกับการจุดพลุ ดอกไม้ไฟของแพแถวสะพานและของทางเทศบาลที่เห็นได้จากสะพานมอญ

สวยมาก งามจริง ทั้งความงามจากโคมลอย ความงามจากดอกไม้ไฟ ความงามจากบรรยากาศ ทุกอย่างลงตัว มหัศจรรย์ ถ้าใครมากับคนรัก ขอบอกได้เลยว่า

ชื่นมื่นค่ะ

(สังเกตเห็นและแอบอิจฉาคู่รักนักบิดหลายคู่เลย ที่ใช้มอเตอร์ไซค์คันโต ให้แฟนสาวซ้อนท้ายมาเที่ยวกันที่นี่ บ้างก็มากางเตนท์นอน อยากกลับไปเป็นสาวแล้วหาคนรักที่เป็นนักบิดบ้าง ตื่นๆ ค่ะ มีลูกแล้วนะคะ )

เรื่องกางเตนท์ สำหรับดิฉันคงไม่มีโอกาสแล้วค่ะ กับการนอนค้างกางเตนท์แบบนี้ เลยวัยแล้ว เวิ่นเว้ออีกล่ะสิ

จบคืนเคาน์ดาวน์ก็พาสังขารชรากลับไปนอน เพราะต้องเดินทางกลับใช้เช้าวันถัดมา

เช้าวันกลับ ขอเก็บความทรงจำที่สะพานไม้ แต่เรามาเดินที่สะพานไม้ไผ่แทน มีเด็กชาวมอญนะ คิดว่า ท้ากระโดดลงน้ำ ท่าทางเขาคงทำจนเป็นการแสดงอย่างหนึ่งเลยหรือเปล่าไม่ทราบได้

ก่อนกลับ แวะส่งไปรษณีย์บัตรหาตัวเองจากสังขละ เขียนบอกตัวเองว่า

"ที่นี่สวยมาก"

เวลาที่ไปเที่ยวที่ไหน ถ้ามีโอกาสก็จะส่งไปรษณียบัตรหาตัวเองค่ะ

แล้วเราก็ใจจดจ่อรอรับที่บ้าน ตื่นเต้นนะคะ แปลก ทั้งๆที่เขียนเองส่งเอง

ป.ล. แต่ไปรษณีย์บัตรอันนี้ไม่มีทางมาถึงมือแน่ เพราะอะไรรู้ไหมคะ

อายจังที่จะเฉลยว่า

"ลืมติดแสตมป์"

เชิญหัวเราะค่ะ และร่วมไว้อาลัยกับไปรษณียบัตรใบนั้นพร้อมกับติติง

ผู้หญิงยุคไอทีคนนี้ได้ (ไปรษณีย์สังขละคะ ถ้าคุณพบเห็นใบนี้ ก็ขออภัยด้วยค่ะ)

เชื่อไหมคะว่า ไม่อยากกลับ

จริงค่ะ พอขับออกจากตัวชุมชนสังขละบุรีแล้ว ใจหวิวมาก ภาพความงามยามเช้าของสะพานมอญยังตราตรึงอยู่ในหัว ทั้งหัวสมองและหัวใจ

อยากกลับไปอีก แต่ถ้าได้กลับไปจริง ขอแบบมีคนขับให้

แต่จะได้กลับมาอีกไหมนี่สิ ดังนั้นคิดถูกแล้วที่่ปีใหม่นี้ ใช้วันหยุดพักผ่อนได้เต็มฝัน สมความตั้งใจ ที่สังขละบุรี

บอกอีกครั้งเสียงดังก้องฟ้าว่า

"ฉันรักสังขละบุรี"

ทุกอย่างอยู่ในความทรงจำ เป็นความทรงจำที่มีคุณค่ามาก ขอบคุณที่มีที่แห่งนี้อยู่บนแผ่นดิน ถ้ามีโอกาสอีกครั้งเราคงได้พบกันอีก


หมายเหตุความรู้ (เครดิต//sangkla.sadoodta.com/)


สังขละบุรี เป็นอำเภอที่ติดต่อกับชายแดนพม่า ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรี ประมาณ 215 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากอำเภอ ทองผาภูมิ 74 กิโลเมตร เมืองชายแดนแห่งนี้ รายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอัน เขียวขจี มีแม่น้ำซองกาเลีย ไหลจากต้นกำเนิดในประเทศพม่า พาดผ่านอำเภอสังขละบุรีหล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งแม่น้ำ และเชื่อมสัมพันธ์ ชนชาติิมอญทั้งสองประเทศ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แม่น้ำซองกาเลียจึงเป็นชื่อเรียก จากภาษามอญแปลเป็น ไทยว่า“ฝั่งโน้น” แม่น้ำซองกาเลียแบ่งแผ่นดินอำเภอสังขละบุรีออกเป็น สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือตัวอำเภอ ซึ่งรวม สถานที่ราชการ และสถานที่พัก สำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่พูดภาษาไทย ภาคกลางส่วน อีกฝั่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านของชาวมอญทั้งที่ตั้งรกราก มานานนับร้อยปี และเพิ่งอพยพเข้ามาใหม่สังขละบุรีเมืองที่ มีความงามหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ของพี่น้องต่างเผ่าพันธุ์ ทั้งมอญ กระเหรี่ยง ไทย ลาว พม่า ฯลฯ



อำเภอสังขละบุรีมีชาวมอญอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมาก ตัวอำเภอตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า"สามประสบ" คือบริเวณที่ลำน้ำสามสาย อันได้แก่ห้วยซองกะเลีย ห้วยบิคลี่ และห้วยรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นของแม่น้ำแคว เมืองแห่งสายน้ำ ขุนเขา และผืนป่าอันอุดม

อำเภอสังขละบุรีมีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอข้างเคียง ดังนี้





Create Date : 04 มกราคม 2558
Last Update : 14 มกราคม 2558 21:28:13 น. 12 comments
Counter : 1661 Pageviews.

 
สังขละบุรีเป็นอีกที่นึงที่อยากไปมากเลยค่ะ
เขียนซะน่าเที่ยว ขอบคุณมากๆนะคะ

ยินดีที่มาร่วมเขียนตะพาบด้วยกันค่ะ

อย่าลืมส่งลิงค์บล็อคที่บล็อคคุณเป็ดสวรรค์นะคะ กลัวเพื่อนจะไม่เห็นเพราะอัพสองบล็อควันเดียวกันบล็อคนี้อาจจะไม่เห็นค่ะ ^^



โดย: lovereason วันที่: 4 มกราคม 2558 เวลา:21:51:18 น.  

 
เขียนเล่าได้ ดี อ่านเป็นฉาก ๆ ชวนติดตาม

ทำให้อยากจะไปเที่ยวบ้าง

ผมเคยไปแค่ ทองผาภูมิครับ ไปกับกลุ่มแม่ครัว
กะทะหลุด แวะที่ร้านกาแฟ และพักรีสอร์ทของเพื่อน
ครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 5 มกราคม 2558 เวลา:16:26:50 น.  

 
น่าไปมากๆ เลยค่ะ แต่อ่านแล้วตาลายมาก 555 พื้น background กะตัวอักษรมันกลืนๆ กันค่ะ


โดย: ladiesorange วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:0:40:11 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ชลบุรีมามี่คลับ Travel Blog

อ่านแล้วอยากไปเที่ยวจังเลยค่ะ ยังไม่มีโอกาสได้ไปเลย ต้องไปบ้างแล้ว

ปล. เจ้าของบ้านนี้สวยจังเลย ^^ แก่ที่ไหน


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:11:59:37 น.  

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:4:30:27 น.  

 
ไว้มีโอกาสพาเด็กๆไปนะคะ อาชีพมีมายมากให้เล่นค่ะ


โดย: มี้เก๋ + ป๊าโอ๋ = ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 8 มกราคม 2558 เวลา:8:29:27 น.  

 
สวัสดีค่ะ

พี่ไม่เคยไปเที่ยวเลยค่ะ สังขละบุรี

ขอบคุณที่แวะไปทักทายไปอ่านงานตะพาบนะคะ

มีความสุขมากๆค่ะ


โดย: tanjira วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:16:24:04 น.  

 
ขอบคุณทุกคนที่แวะมานะคะ ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตด้วยค่ะ


โดย: ชลบุรีมามี่คลับ วันที่: 9 มกราคม 2558 เวลา:22:45:55 น.  

 
ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ


สวัสดีค่ะ

...ทุกครั้งที่หายใจ มักกลืนคำว่า “คิดถึง” เข้าไปด้วย

สัมผัสได้ว่า ชื่นใจมากค่ะ อิอิ





โดย: ญามี่ วันที่: 10 มกราคม 2558 เวลา:9:43:31 น.  

 
สวยค่ะ
ผ่านบ่อยๆแต่ไม่เคยแวะเที่ยวไว้คราวหน้าค่ะ


โดย: maistyle วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:12:23:51 น.  

 


อ่านแล้วก็อยากไปเที่ยวด้วยจังเลยค่ะ สังขะบุรีเรายังไม่เคยไปเที่ยวเลย ดูธรรมชาติมากเลยนะคะ ภาพชมเพลินเลยค่ะ


โดย: LoveParadise วันที่: 12 มกราคม 2558 เวลา:15:24:00 น.  

 
บางครั้งการที่เราได้ออกไปในที่ที่เราไม่คุ้นเคย หรือทำอะไรที่ไม่คุ้นเคยมันก็ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ในชีวิต จะเรียกว่าเป็นความท้าทายใหม่ๆ ในชีิวตก็อาจจะเรียกได้

ขับรถนานๆ นี่เหนื่อยนะครับ เข้าใจความรู้สึกเลย คนเยอะน่าดูเหมือนกันสมเป็นช่วงปีใหม่


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 23 มกราคม 2558 เวลา:1:43:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชลบุรีมามี่คลับ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เป็นนัก(หัด)เขียนนิยายพาร์ทไทม์ เป็นคุณแม่ทำงานที่ชอบฝันกลางวันแบบฟูลไทม์ด้วย

บล็อกนี้มีเรื่องเล่ามากมาย เข้ามาค้นหาสิ่งที่อยากรู้ได้ตามสบาย


ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมนะคะ
สำหรับนักอ่านที่ติดตามนิยายของ จขบ
สามารถอานได้ทั้งทางเวบ

Hongsamut : https://hongsamut.com/writerdetail.php?writerid=3992

และทางเว็บ Dek D ค่ะ
https://my.dek-d.com/redapplels/


เนื้อหา ภาพถ่าย ในบล็อกนี้
ได้รับความคุ้มครอง
ตามกฏหมายพ.ร.บ.
สิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 ห้าม
นำไปใช้ คัดลอก ดัดแปลง
แก้ไขส่วนหนึ่งส่วนใดโดย
เด็ดขาดนะจ๊ะ

คนดี...


New Comments
Friends' blogs
[Add ชลบุรีมามี่คลับ's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.