Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
ตะกอนความคิดจากหลังไมค์



ผมเล่นพันทิพมานานเกินสิบปี เล่นหลังไมค์ตั้งแต่วันแรกๆที่เขามีระบบนี้
แต่เชื่อไหม กล่องหลังไมค์ผม ไม่เคยเต็มเลย ทั้งที่แทบจะไม่ค่อยได้ลบอะไรทิ้ง

หลายวันก่อน มีเหตุให้ต้องกลับไปนั่งอ่านข้อความเก่าๆใน outbox ของหลังไมค์
เพราะจะต้องเริ่มเคลียร์พื้นที่ เนื่องจากขณะนี้ปริมาณหลังไมค์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ก็พบข้อความบางอันที่เคยเขียนแนะนำเพื่อนๆ น้องๆหลายท่านไป
จะลบทิ้งก็เสียดาย จะไม่ลบก็ไม่ได้ เพราะเหลือที่อีกไม่มาก

เลยขอเอามา ปะไว้ในนี้เป็นอนุสรณ์นะครับ เผื่อมีประโยชน์
ส่วนที่เอามาลง จะเป็นเฉพาะที่ผมเขียนให้คนอื่น
ไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ไม่ระบุว่าเขาถามมาว่าอะไร

ผมคั่นของแต่ละคนไว้ด้วยเครื่องหมายเส้นประ คู่ นะครับ

=============================
To : XXXX [1 มีนาคม 2549 01:05]

อยากให้คุณตั้งสติเยอะหน่อยนะครับ
ตกลงคุณไม่สบายใจเรื่องอะไร

อ่านทีแรก เหมือนคุณรู้สึกว่า เขามีกิ๊ก แต่พออ่านๆไป เหมือนคุณปกป้องเขาว่า เขาไม่มีอะไร แต่คุณไม่ชอบที่เขาชอบติดต่อสนทนากับสาวๆ

อ่านไปอีกนิด เหมือนคุณพยายามเข้าใจเขา แต่ไม่เข้าใจ
และลงท้าย เหมือนคุณแค่อยากถามผมว่า ควรจะโทรไปง้อดีไหม

มีอีกประเด็นที่คุณพูดถึง คือการเปรียบเทียบคนนี้ กับคนเก่า ซึ่งผมอยากให้ตัดทิ้งไป เพราะคุณกำลังเอาข้อดีของคนเดิม มาวางเทียบกับข้อเสียของคนใหม่ อันนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง

อย่าลืมว่า สิ่งที่ทำให้แฟนเก่าคุณต้องเลิกกับคุณ
ก็เพราะเขาเจ้าชู้ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ดี ไม่ใช่เพราะเขาไม่แสดงออกว่ารัก

อย่าเอามาโยงให้ยิ่งสับสนกันไปใหญ่

คนทุกคน มีข้อดีข้อเสีย ผมเชื่อว่าคุณเองก็มี
ผมตอบแทนแฟนคุณไม่ได้ว่าเขารักคุณแค่ไหน เห็นแต่ว่า คุณกำลังทุกข์

และเหตุแห่งทุกข์ คือการที่เขาไม่เห็นว่าคุณกำลังทุกข์ใจในสิ่งที่เขาทำในโลกส่วนตัว การที่เขาเห็นคุณค่าความรัก ความหวง ห่วง ของคุณน้อยเกินไป

To : XXXX [1 มีนาคม 2549 01:17]

คือถ้าเลือกได้ ผู้ชายไม่มีใครอยากได้แฟนขี้หึงหรอกครับ
แต่ถ้าคุณน่ารัก แสนดี มีคุณค่า เขาก็ควรจะทำตัวไม่ให้คุณหึง

ของทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่ายครับ อย่าพยายามไปทำให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ตัวเราต้องการ

ถ้าคุณอยากคบเขาต่อ อย่างสงบ ก็น่าจะยอมรับธรรมชาติเจ้าชู้ของเขาซะ

ถ้ามั่นใจว่า คุณถอยไม่ได้ ก็ต้องเจรจากัน หาจุดที่ประนีประนอมได้ ก็ดีไป ถ้าหาไม่ได้ สงสัยต้องเตรียมหาแฟนใหม่ครับ

แล้วเวลาผ่านไป เขาจะรู้เอง ว่า.. เขาคิดผิด หรือเปล่า

และนั่นอาจเป็นราคาที่เขาต้องจ่ายครับ

=================================

To : * XXXX * [16 พฤษภาคม 2549 08:26]
ขอบคุณครับ :)

ไม่ทราบจะแนะนำยังไงเหมือนกัน
ผมยกประโยชน์ให้พระพุทธเจ้าก็แล้วกันครับ

เพราะท่านสอนผมในหลายเรื่อง
เช่นสอนให้มีสติ สอนว่าโลกนี้อยู่ใต้กฏที่ว่า ..
ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

สอนว่า.. ทุกเรื่องไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีที่มา
ผลย่อมเกิดแต่เหตุ

เพราะมีเหตุเช่นนี้ ผลจึงเป็นเช่นนี้

สอนว่า.. เราควรมีชีวิตด้วยความไม่ประมาท
สอนว่า.. ทางสายกลาง อยู่ระหว่างความไม่สุดโต่งสองอย่าง

สอนว่า.. ความรู้สารพัด ไม่มีอะไรประเสริฐไปกว่ารู้จักตัวเอง

ฯลฯ
ความรู้ที่ท่านสอนไว้ มีเยอะมากนะครับ
เทียบกับความรู้ที่ผมมี ต้องถือว่าผมเองรู้น้อยมากครับ ยังไม่เท่าปลายนิ้วก้อยเลย

=================================

To : XXXX [5 กรกฎาคม 2549 11:44]

ที่จริงกุญแจของการปฏิบัติจริงๆ

คือการทำให้ตัวเราเองเนี่ย เห็นชัดในความจริงว่า
ที่จริงแล้ว สุขหรือทุกข์ มันเป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของเรา เลย

และจิตมันจะทำงานตลอดเวลา คิดตลอดเวลา แล้วลากเราไปโน่นไปนี่ด้วยการหลอกเราว่า.. จิตเป็นของเรา เหมือนที่เราคิดว่า กายนี้เป็นของเรา

จุดหมายนึงของการปฏิบัติ คือต้องการให้เราตื่นขึ้นมาเห็นความจริงนั่นแหละครับ

ว่าสิ่งที่เราเรียกตัวเรา มันไม่มี อยู่จริง

มันมีแต่อุปาทาน เข้าใจไปว่า ขันธ์ทั้ง 5 คือ กาย เวทนา ความจำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งหลายนั้น เป็นตัวเรา

ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว มันเป็นเพียงสภาวะธรรมชาติ ที่เป็นผลจากการทำงาน การตอบสนองต่อสิ่งที่มากระทบจิต

แล้วเราก็เข้าไปยึด ไปแบกมันไว้ ทั้งๆที่ จริงๆ แล้วเราก็เป็นแค่ธาตุก้อนหนึ่ง ที่มารวมกันอยู่ มีอารมณ์ทั้ง สี่ มาเป็นตัวประกอบ

เวลาเสียใจ มีทุกข์เกิด คุณเห็นไหมครับ ว่ากายเป็นส่วนหนึ่ง ความรู้สึกเป็นอีกส่วน และมีสติเป็นตัวรู้อยู่ต่างหาก

เวลาลอยไปในความคิด แล้วรู้ตัวตื่นขึ้นมา เห็นไหมครับ ว่าตัวที่คิด กับตัวที่รู้ว่าคิด มันคนละตัวกัน

=================================

To : xxxx [5 กรกฎาคม 2549 13:19]

คุณxxxx ต้องเข้าใจว่า "ปัญหา" กับ "ทุกข์" มันเป็นคนละส่วนกันนะครับ

คนเราเกิดมาพร้อมกับปัญหา และเพราะเราไม่รู้วิธีจัดการกับปัญหาที่ดีพอ เราไปรังเกียจมัน เราไม่ชอบ เราอยากให้มันหมดไป

เราอยากมีจิตนิ่งๆ ไม่อยากมีปัญหามาวนเวียน เราอยากพ้นปัญหา แต่ใช้วิธี "คิดเอา"

เห็นไหมครับว่า เราอยู่กับ "ความคิด" และ "ความอยาก" ตลอดเวลา

2 ตัวนี่แหละครับ ทำให้คนเราแยกปัญหาออกจากทุกข์ไม่ได้

คนที่จะมีปัญหาโดยมีความทุกข์น้อยมาก คือคนที่มีสติดี สังเกตสิครับ

คนยิ่งคิดมากก็จะทุกข์มาก แทนที่จะแค่มีปัญหา แล้วก็มีสติรู้สึกตัวว่าเราทำอะไรอยู่ จิตมันทำงานอะไรอยู่

มันจะเป็นยังไงก็เรื่องของมันนะครับ อย่าไปแบกมัน
เราก็หายใจเข้าออกเหมือนเดิม กินเมื่อหิว นอนเมื่อง่วง ถึงเวลาทำงาน ก็ทำเต็มที่

โลกนี้มีเรื่องมากมายให้เราสนใจ มีฟ้า มีน้ำ มีต้นไม้ ดอกไม้ เรื่องของเราเป็นแค่เรื่องเล็กๆในจักรวาล

แต่เราไปแบกมันไว้ ไปให้ค่ามันจนเหมือนเราแบกโลกไว้ทั้งโลก

================================

To : xxxx [7 มกราคม 2550 10:40]

พี่เคยอบรมคอร์ส xxxx มาหลายครั้ง อันนี้พอจะตอบได้ว่า
ในภาพรวมเป็นคอร์สที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น

แต่เทคนิคการสอนยังคลาดเคลื่อนในบางจุดสำคัญ
เช่นการสอนให้กำหนด เพราะการกำหนดจะทำให้จิตติดสมถะ
คือมันจะนิ่ง และติดการเพ่งจ้อง

ส่วนการดูพองยุบ ไม่มีอะไรผิด หรือเสียหาย เป็นกรรมฐานที่ทำได้
เพียงแต่ให้คอยสังเกตว่า เราเพ่งท้อง จ้องแช่อยู่หรือไม่

ถ้าจะให้ถูก ก็ให้ดูพองยุบ พอให้จิตเป็นสมาธิระดับต้นๆก็พอ
แล้วก็อาศัยพองยุบ เป็นเครื่องอยู่โยง

เวลาจิตมันมีการแฉลบไปทำงานอย่างอื่น เช่นไปคิดเรื่องแฟน เรื่องคนรักเก่า
แม้แต่เรื่องธรรมะ เรื่องการปฏิบัติ ก็ให้รู้ทันว่ามันไปทำงานอยู่

การตามรู้ตรงนี้ ไม่ได้ทำเพื่อให้มันหยุดทำงาน หรือหยุดคิด
เพราะถ้าอยากให้มันหยุดคิด อยากให้มันสงบๆ นิ่งๆ
เท่ากับเราทำวิปัสสนา ด้วยความ"อยาก" ด้วยกิเลสที่เจืออยู่

แต่ที่ต้องการคือให้เห็นว่า จิตนี้ "มันไม่คงที่ มันเป็นทุกข์
คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
และเราบังคับมันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา"

วิปัสสนา ทำเพื่อให้เกิดการเห็นความจริงข้อนั้นบ่อยๆ เป็นสำคัญครับ

To : xxxx [7 มกราคม 2550 10:50]

ถ้าเราปฏิบัติจนเห็นความจริงเหล่านั้นได้บ่อยๆ เนืองๆ
จิตมันจะค่อยๆยอมรับว่า "ตัวเรา" ไม่มี มีแต่ขันธ์ 5

มีแต่ กายกับจิต ที่มาอยู่รวมกัน แล้วก็แสดงไตรลักษณ์
ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ ให้เห็นทุกวัน ทุกเวลา

หลักใหญ่ของวิปัสสนา จึงต่างกับสมถะตรงนี้
คือสมถะ ต้องการฝึกจิตให้นิ่ง ให้สงบ
แต่วิปัสสนา ไม่เอาอะไร นอกจากความจริงที่ปรากฏในปัจจุบัน

มันฟุ้ง ก็ไม่บังคับให้มันหายฟุ้ง แต่ให้รู้อาการฟุ้ง และรู้ความรู้สึกของจิต

หลังจากรู้ว่ามีการฟุ้ง หรือมีสภาวะอะไรเกิดขึ้น
จิตจะชอบที่เป็นอย่างนั้น.. ก็รู้
จิตไม่ชอบที่เป็นอย่างนั้น.. ก็รู้
อยากให้มันหายฟุ้ง หรือพ้นจากสภาวะนั้นๆ..ก็รู้

แต่สมถะจะเป็นพื้นฐานที่ดี ของวิปัสสนานะครับ
ไม่ได้บอกว่า ห้ามทำ ไม่ได้บอกว่าทำแล้วไม่ดี

แต่จะบอกว่า ทำเท่าที่จำเป็น อย่าทำจนเข้าฌานสมาบัติ
สมาธิดิ่งลึกจนเงียบเกิน จะไม่มีความจริงอะไรให้ดู
มันจะเสียโอกาสเดินปัญญา

ปกติพี่ทำสมาธิแค่เวลาที่รู้สึกว่าจิตไม่ค่อยมีกำลัง
เหมือนกินข้าวเฉพาะเวลาหิว กินเท่าที่จำเป็น

จิตตานุปัสสนา ไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ //www.wimutti.net/

หลวงพ่อ..(ขอไม่ระบุชื่อนะครับ).... พี่ไม่เคยเรียนกับท่าน
พี่ตอบไม่ได้ว่าจะเหมาะกับเราไหม แต่เราลองใช้หลักที่พี่ให้ไว้ดูนะ

To : xxxx [7 มกราคม 2550 10:56]

ถ้ามันเป็นหลักการเดียวกัน คือเป็นวิปัสสนา มากกว่าสมถะ
ไม่ใช่สมถะ มากกว่าวิปัสสนา ก็ใช้ได้

หลวงพ่อฯ ท่านบอกเสมอว่า สำนักไหนก็ตาม
ส่วนมากถ้าถูก ก็ถูกเหมือนกัน ถ้าผิด ก็ผิดเหมือนกัน

ที่ว่าถูก คือเกิดการ รู้กาย รู้ใจ
อย่างเป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซงมัน
รู้แล้ว มันจะเป็นอะไรต่อ หรือดับไป ก็เรื่องของจิต

เราไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่เรา เราเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์จิตเท่านั้น

เหมือนไปศึกษาชีวิตนก งู หมี อะไรสักอย่าง
เราควรเป็นแค่ผู้ดูของจริง ดูพฤติกรรมมันจริงๆ
ไม่ใช่ไปกำหนดว่า นก ที่ดีต้องบินยังไง ต้องร้องยังไง
ต้องกินอะไร ต้องเกาะตรงไหน

ส่วนมากที่พลาด ก็ไปพลาดตรงนี้แหละ
คือพอเริ่มปฏิบัติก็พากันไปหัดบังคับจิต อยากให้มันดี ให้มันสงบ
ให้มันไม่มีทุกข์ กลายเป็นพากันไปทำสมถะเสียหมด

สงสัย ถามได้นะ แต่ให้รู้ทันความสงสัยที่เกิดเสียก่อน :)

To : xxxx [21 พฤษภาคม 2550 08:45]

ดีแล้ว ^^

อุตส่าห์รู้ทางเดินแล้ว อย่าขี้เกียจนะ
xxxx ก็คงเห็นแล้วว่าทางเดินแบบโลกๆนี่มันวุ่นวาย และน่าเบื่อขนาดไหน

เราแค่อยากมีความสุขเล็กๆน้อยๆ
แต่ราคาที่เราต้องจ่ายมันน่าเหนื่อยใจมาก

ฉะนั้น เมื่อพระพุทธเจ้า บอกทางเลือกให้
ก็อย่าเอาเวลาไปให้ความสุขเล็กๆน้อยๆทางโลกเสียหมด

ความสุขทางธรรม มันเยอะกว่า มากมาย กว้างขวาง
และเป็นความสุขที่เราต้องทำเอง ไม่ได้รอน้ำใจจากใคร
ไม่ต้องรอให้ใครมีเวลาให้เรา ไม่ต้องรอให้ใครมารัก
ไม่ต้องรอให้ใครมาจริงใจกับเรา

พี่เป็นได้แค่คนบอกทางนะ :)

=================================

To : xxxx [14 มกราคม 2550 00:20]

พี่ให้กำลังใจก็แล้วกันนะครับ

อย่างนึงที่บอกได้คือ.. ไม่ควรเอาสุขหรือทุกข์ของเราไปฝากไว้กับใครในโลกนี้

ทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ที่อยากวิ่งหาสุข วิ่งหนีทุกข์
เราต่างก็อยากมีสุข ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์

เราอยากมีแฟน ก็เพราะคิดว่า ถ้ามีแล้วจะเป็นสุข
เมื่อมีแล้วมันไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เราก็เป็นทุกข์
ก็อย่าโกรธเขา อย่าโกรธตัวเอง

การจากกัน มันไม่จำเป็นต้องเจ็บปวด
เหมือนต้นไม้ก็ไม่ต้องเสียใจ ที่หน้าฝนมันจบ
ถ้าเพียงแต่เข้าใจได้ว่า ทุกอย่างในโลกมันมีฤดูกาลของมัน

ต่อให้เป็นแฟนแล้วไม่เลิก ก็ไม่แน่ว่าจะสุขมากกว่าทุกข์
ต่อให้ได้แต่งงานกัน ก็ไม่แน่ว่าจะสุข มากกว่าทุกข์

ต่อให้เป็นคู่ที่รักกัน เสมอกันด้วยศีล ปัญญา ศรัทธา ไปแสนนาน
ที่สุดแล้ว ก็ต้องตายจากกันอยู่ดี

คนเราจะจากกันแบบเป็นๆ หรือตายแล้ว
มันก็นำความเจ็บปวดมาให้ได้เหมือนกัน

ลองหายใจเข้าให้ยาวที่สุด ยังไงก็ต้องหายใจออก
หายใจออกให้ยาวที่สุด ยังไงก็ต้องหายใจเข้า

สุข ทุกข์ มันอยู่คู่กับเรามานานแล้ว เพียงแต่เราไม่เคยสังเกตเห็น
เพราะเราคุ้นเคยกับการวิ่งหนีทุกข์ วิ่งหาสุขมาชั่วชีวิต

To : xxxx [14 มกราคม 2550 00:46]

ต่อจากนี้.. ไม่ต้องวิ่งหนีความทุกข์แล้วนะครับ :)
อย่ากลัวมัน อย่ารังเกียจมัน

เพราะยิ่งกลัว ยิ่งเกลียด จิตเราจะยิ่งดิ้นเพื่อหนีมัน
ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งทุกข์ แล้วก็เกลียดทุกข์ อยากหนีทุกข์
แล้วก็ดิ้น แล้วก็ทุกข์อยู่นั่นแหละ วนเวียนเป็นวงจร

ไม่มีอะไรต้องทำใจ มากไปกว่ามีสติ รู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบัน

ครั้งนึง สุขมันมาแล้วมันก็ไป
ตอนนี้ ทุกข์มันมา แล้วถึงเวลามันก็จะไป

ยิ่งไปพยายาม "ทำ" อะไรขึ้นมา ก็ยิ่งไม่พ้น

คนเป็นทุกข์ เหมือนคนยกของหนัก
รู้ว่าหนัก แล้วก็พยายามหาทาง "ทำ" ให้มันหายหนัก

ทั้งๆที่ ไม่ต้องทำอะไร มากไปกว่าวาง

ที่ยังไม่วาง ทั้งๆที่อยากวาง ก็เพราะไปรู้สึกว่า ไอ้ของนั้น มันเป็น "ของเรา"
ถ้าเราเกิดรู้ว่า มันไม่ใช่ของๆเรา เราคงรีบโยนทิ้งในทันทีใช่ไหมครับ

แต่ถ้ามีสติพอดีๆ ตรงความรู้สึกนั้น ทุกข์ จะดับวับไปเป็นระยะๆ
เหมือนคนง่วงมาก แล้วสะดุ้งตื่นวูบ
แล้วก็ค่อยๆผลอยหลับ พอได้สติที ก็ตื่นทีแว้บๆ

เวลาวิปัสสนา ดูจิต รู้จิต ใหม่ๆ ก็เป็นแบบนั้น
ดูไปจนเห็นว่า จิตมันไม่ใช่ "ตัวเรา"
เมื่อจิตมันทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะไม่ใช่เป็น "ของเรา"

=================================

To : xxxx [8 กุมภาพันธ์ 2550 07:37]

This is a very tough question indeed. :)

พยายามนึกอยู่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงก่อน แล้วก็นึกถึงเขา แล้วก็นึกถึงความน่าจะเป็น

ปกติ ผมเป็นคนใจอ่อนเหมือนกับคุณนะ แต่เรื่องเรียน เรื่องสอบ ผมไม่ค่อยใจอ่อน

เพราะผมถือหลักอย่างนึงว่า คนเราตั้งใจมาเรียนเพื่อเอาความรู้ ไม่ได้มาเรียนเพื่อเอาแค่เกรด

ถ้าให้เขาลอก ผมอาจจะช่วยให้เขาเรียนจบได้ แต่มันช่วยให้เขามีความรู้อย่างที่เขาเองก็อยากมีไม่ได้

ไม่ต้องนึกไปไกลถึงว่า ถ้า AAA กลับเมืองไทยพร้อม Ph.D. แล้วมาเป็นอาจารย์ จะสร้างความวินาศให้นักเรียนอีกเท่าไหร่

สมัยผมเรียน ผมจะบอกเพื่อนทุกคนล่วงหน้าว่า ถ้าอยาก xerox เล็คเชอร์ มาเอาไปเลย ถ้าอยากให้อธิบายให้บอก อยากติวก็ติวให้ แต่เวลาสอบ ไม่ต้องหวังว่าจะมาขอลอก เพราะเราไม่เคยทำและรู้สึกไม่ดีที่จะทำ

คนจะเป็น Ph.D. มันควรจะมีทั้งความรู้ Knowledge และ Moral หรือ Ethics ด้วย ไม่งั้นความรู้นั้น ก็ไม่ผิดอะไรกับเอาปืนไปยัดใส่มือคนไม่มีสติ ขาดจิตสำนึก

มาถึงส่วนที่ว่า แล้ว xxxx จะทำยังไงดี

พี่ว่า ก็ต้องอธิบายจุดยืนของเราให้เขาเข้าใจ ให้เขารู้แน่ๆ ว่าเราจะไม่ให้เขาทำวิธีเดิมๆ

To : xxxx [8 กุมภาพันธ์ 2550 07:46]

ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาเลียอาจารย์ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เรางก

แต่เพราะเราอยากให้เขาได้ความรู้ คือรู้จัก "คิดได้" "คิดเป็น" และมีความภูมิใจในตัวเอง เวลาที่เรียนจบ

ที่ผ่านมา เราช่วยเขามามากแล้ว จนเราโดนอาจารย์เรียกไปด่า เสียชื่อ เสียเครดิตก็เคยแล้ว อันนั้นถ้าในฐานะที่รู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน ก็น่าจะถือว่ามากพอแล้ว

ถ้าไม่ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน ก็คงไม่เอาอนาคตตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น

และเราก็เห็นแล้วว่า ที่ผ่านมา ความช่วยเหลือของเรา ไม่ได้ช่วยให้เขาพัฒนาขึ้นจนดูแลตัวเองได้ เหมือนเราเป็นคนคอยจับปลาให้เขากิน โดยเขาไม่เรียนรู้วิธีจะจับปลาเองสักที เพราะคิดเสมอว่า จับไม่ได้ ก็มาขอปลากิน

ไอ้เรื่องลงแรงไปแล้วให้เขาชุบมือเปิบ ถ้ามันไม่เดือดร้อนมาถึงตัวเองได้ ก็ไม่เป็นไรหรอก อันนั้นพอมองข้ามได้ว่า ทำทาน

แต่ถ้าให้ลอกแล้วมันเดือดร้อนเราจะโดนเพ่งเล็งหมายหัว เดี๋ยวจะเรียนไม่จบ อันนั้นก็ไม่ควร

การใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือคนอื่น เป็นเรื่องดีนะครับ
แต่มันต้องรู้จักประมาณตัวเอง ว่าช่วยได้แค่ไหน ถึงจะพอเหมาะ พอควร พอประมาณ

ถ้าช่วยเกินพอดี มันก็เหมือนทำร้ายเขาทางอ้อม

To : xxxx [8 กุมภาพันธ์ 2550 07:55]

การเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ในช่วงแรก ถ้ามันยังไม่เป็น ยังไม่ได้ เพราะไม่รู้วิธี มันก็ไม่แปลกถ้าจะมีคนช่วย

แต่ถ้าผ่านไปหลายๆเดือน ถ้ายังต้องให้คนช่วยอีก มันก็จะดูแปลกๆไปนิด เพราะอันนี้ไม่ได้เรียนศึกษาผู้ใหญ่ เทียบวุฒิ ป. สี่

แต่การเป็นด็อกเตอร์ มันเป็นความรู้ระดับสูงสุด ในทางโลก ถ้าคิดไม่ได้ คิดไม่เป็น ก็เห็นจะไม่มีประโยชน์จะเอาดีกรีนั้นมาแปะข้างฝา ให้ฝุ่นจับเล่น

ที่จริง.. xxxx น่าจะมองอันนี้เป็นโจทย์อีกข้อในการเรียนนะ :)

การเรียนอะไรก็แล้วแต่ พี่ว่าจุดมุ่งหมายที่เป็นอุดมคติ คือต้องการให้เราคิดแก้ปัญหาเป็น

มันก็เหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ข้อนึง ที่ซับซ้อนเพราะเหมือนจะมีสมการหลายส่วนซ้อนกัน

ประเด็นคือ เราต้องมองความสัมพันธ์ของตัวแปรแต่ละตัวให้ออก ว่าจะยึดตัวไหนเป็นกุญแจ ในการไขโจทย์ข้อนั้น ให้ได้คำตอบ

ความแตกต่างคือ ในชีวิตจริงมันไม่มีคำตอบที่ "ดีที่สุด" หรือ "ถูกต้องที่สุด" สำหรับทุกสถานการณ์ สำหรับทุกคน

ทุกอย่างเป็นเรื่องความพอดี พอเหมาะ พอควร
ของจิตใจเราเป็นสำคัญ
ถ้าเจตนาเราชัดเจน คือต้องการให้เขาเรียนรู้ และสำเร็จปริญญาด้วยความสามารถของเขาเอง

================================

หลายๆอันน่าเสียดาย ที่ผมไม่ได้เซฟไว้ครบหมดทุกอัน
อ่านๆแล้วจะรู้สึกเหมือนผมยังเขียนไม่จบ

แต่วันนี้เจตนามีแค่จะย้ายที่เก็บ
แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า.. ถ้าเป็นคนที่ตามอ่านมานานสักระยะนึง

น่าจะเดาออกว่าผมจะเขียนต่อจากนั้นว่าอะไร

ย้ายของเสร็จแล้ว.. ทำงานต่อล่ะครับ




Create Date : 28 พฤษภาคม 2550
Last Update : 28 พฤษภาคม 2550 17:23:47 น. 20 comments
Counter : 1774 Pageviews.

 
เอาเพลงมาแยกไว้ใน คอมเมนท์
มันจะได้เล่นอัตโนมัติได้ทุกอัน แยกกัน ไม่ตีกัน

ใครไม่อยากฟังเพลง จะได้ยังไม่ต้องฟัง
จนกว่าจะอ่านจบ





โดย: aston27 วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:15:48:59 น.  

 
เล่นมาสองปีกว่าๆ
หลังไมค์เป็นจุดเริ่มต้นการเล่นที่พันทิปและที่บล็อกค่ะ
เซฟไว้ด้วยว่าคนแรกที่ส่งหลังไมค์ไปหาคือใคร
หนูไม่ค่อยได้ตอบกระทู้ หรือบางครั้งไม่ได้เข้าบล็อก
แต่มักวิ่งไปหลังไมค์ ส่งเสียงฮัลโหลๆ อยู่แถวๆ นั้น
หลังไมค์ของจขบ. อ่านเพลินไม่แพ้หน้าบล็อก
เซฟใส่word ไว้ก็ได้นี่คะ แบบ Past Special เลือก unformatted text
เก็บได้ไม่เปลืองเนื้อที่เท่าไหร่หรอกค่ะ

It might be you ชอบๆ ค่ะ
^^


โดย: I am just fine^^ วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:16:53:38 น.  

 


โดย: โสมรัศมี วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:18:57 น.  

 
แรกๆใช้ไม่เป็นนะค่ะ แต่หลังๆนี่เริ่มคล่อง



โดย: oreocream วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:40:56 น.  

 
มาทำตัวเป็นซาเล้ง เก็บของเก่าไปใช้ประโยชน์


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:05:33 น.  

 
สวัสดีครับ

ยังอ่านไม่จบครับ ยาวมาก
จะมาตามเก็บเรื่อยๆครับ


โดย: MuHN วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:14:37 น.  

 
สวัสดีค่ะ...

เข้ามาสาธุ...
....สาระของชีวิตแน่นเอี๊ยดดดดด
อ่านไม่จบหรอกค่ะ ...^^
แต่รับรู้ได้ถึงความใส่ใจ ในการให้คำแนะนำ
คนได้รับคงรู้สึกดี


เหมือนคุ้นๆไงไม่รู้
มิน่า....(อิอิ)


ปกติตัวเองจะไม่เข้าบลอกสุดยอดสาระนะคะ
เพราะรู้สึกว่าหนัก...
แต่วันนี้ตามใครบางคนเข้ามาค่ะ^^
ว่าแต่กี่ทุ่มจะถึงบ้านคะเนี่ย..ก็ขับ ไม่เกิน 50 นิเน๊าะ !!



แซวเล่นอย่าโกรธนะคะ

emo


โดย: pipim วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:19:07 น.  

 

..
..
อาจจะยังเดาไม่ค่อยออกแต่จะติดตามอ่านต่อไปค่ะ


โดย: azamiya วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:42:49 น.  

 

*** สวัสดีคะ แวะมาเยี่ยม มีความสุขมาก ๆ นะคะ ***



โดย: หน่อยอิง วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:15:56 น.  

 
emo




โดย: Kimi o ai X eru วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:59:45 น.  

 
อ่านค่ะ รวบรวมไว้แบบนี้ก็ดีค่ะ
ส่วนใหญ่หลังไมด์ลบเกือบหมด เหลือไว้น้อยมาก เพราะเต็มเร็ว อิอิ

นำดอกไม้มาฝาก




ดอก Nigella ''Love in a mist'' ความรักในสายหมอก


โดย: law of nature วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:07:34 น.  

 
ช่วงนี้Guiness Draft ต้องไปต่างจังหวัดบ๊อยบ่อย ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านทุกวัน
Blog คุณ Aston กลายเป็น blog of love ไปแล้วแฮะ emo

………………….
ว่าแต่ว่า การยอมรับทุกข์เนี่ยะมันยากแสนยากนะคะ
หลายๆครั้งที่เหมือนจะรู้ เหมือนจะเข้าใจว่าทุหข์นั้น…มันมาแล้วก็ไป
แต่ก็อีกหลายครั้งที่พยายาม protect ตัวเองไม่ให้ต้องเผชิญกับทุหข์
ไม่ได้หนีนะคะ แค่protect ตัวเองเท่านั้น
เหมือนกับเป็น automatic self-defense mechanism ของGuinessเลย emo

…………………..



เอา Mango Daiquiri มาฝากพร้อมกับบรรยากาศแบบ sun sand & sea
ถ้าเดาถูกว่าที่ไหนเดี๋ยว Guiness มีรางวัลเป็น รูปนางแบบ maxim party on the beach emo
.
.
.
ล้อเล่นนะคะ อย่าเดาเลย
รูปอ่ะมีเจงๆ แต่Guiness Draft กลัวคุณ Aston เดาถูกแล้วจะมีคนมาทำตาเขียวใส่ Guiness อ่ะ emo
…………………...

ไปจัดกระเป๋าต่อดีกว่า….เหนื่อยจัง…เฮ้อ
p.s. เพลงเพราะค่ะ


โดย: Guiness Draft วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:1:01:09 น.  

 
อ่านจบเรียบร้อยครับ

และบางอย่างสามารถปรับไปใช้ในชีวิตประจำวันของผมได้ครับemo


โดย: Takeaway วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:41:46 น.  

 
สวัสดีตอนบ่ายค่าพี่เอ๊ด

เนื่องจากวันนี้เป็นวันสำมะคัญ เลยแวะมาหานะคะ




โดย: ยิ้มหวานตาโต (joyaccy ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:14:22 น.  

 
คำถามมาหลากหลายแนวนะครับ
แต่พออ่านๆดูแล้ว ปัญหาต่างๆมีแนวทางแก้ปัญหาคล้ายๆกันเลย

ไหนๆก็เอามาลงแล้ว....ความจริงอยากให้ลงทั้งคำถามเลยอ่ะครับ จะได้ชัดเจนขึ้น เผื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาชีวิตต่อไป

สุขสันต์วันธรรมดาครับ


โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:56:05 น.  

 
ไม่เป็นไรครับ
ยังไงพี่คงไม่ได้อัพทุกวัน

อ่านย้อนหลังก็ยังได้ครับ^^


โดย: MuHN วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:0:55:44 น.  

 
ค่ะพี่


โดย: นักรักโลกมายา วันที่: 30 พฤษภาคม 2550 เวลา:6:22:17 น.  

 
ไม่งกเลยนะ คุณแอสตัน
ให้กิโลละสองบาท คิดมาเลย


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:2:30:06 น.  

 
5555
รับทราบครับและขออภัย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง:p

ได้รับเมื่อ28 ธันวา 2548...

คุณเอ็ด
จนป่านนี้พี่ยังไม่ได้ฟัง i was born to love you ของพี่เฟรดดี้ ณ.ควีนเลย

ตะกอนหลังไมค์ ใสพอดี


โดย: ฟ้าคำรน ฝนคำราม!!! (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:25:04 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อคิดค่ะ

นั่งนึกๆดูแล้ว เออ ก็จริงเนอะ...


มาชวนไปทานยำมั่วๆค่ะ


โดย: ladystrawberry วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:15:44:32 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.