|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
รับรู้ เข้าใจ ยอมรับ
เมื่อตอนบ่ายต้นๆ ได้ยินลูกน้องคุยกันในแผนกแว่วๆ ว่ามีคนนึงวางแผนจะไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด เลยหูผึ่ง
ปรากฏว่าอีกคนพอได้ยินว่ามีคนจะไป เลยอยากไปบ้าง แต่ก็ไม่วายถามเหมือนที่คนทั่วไปชอบถามผมบ่อยๆว่า
"ทำไมจู่ๆ ถึงสนใจเรื่องปฏิบัติธรรมขึ้นมา เป็นอะไรเหรอ" คนทั่วไปจะรู้สึกว่า คนสนใจเรื่องนี้ ต้องเป็นพวกคนแก่หนึ่ง คนอกหักรักคุดหนึ่ง มีปัญหาทางบ้านหนึ่ง แฟนทิ้งหนึ่ง สรุปว่า ไม่มีทุกข์หนักอย่างใด ก็อย่างหนึ่ง
คนปกติธรรมดา ไม่ควรข้องแวะเรื่องนี้ ว่างั้น
ที่จริง มันก็ถูกของเขา ในทางนึงนะครับ ถูกในทางไหน.. เดี๋ยวผมจะอธิบายต่อไป
ผมเลยตั้งคำถาม น้องคนที่ถามแบบนั้นว่า.. "รู้มั้ย ศาสนาพุทธสอนเน้นเรื่องอะไรที่สุด"
เธอคิดครู่นึง.. แล้วตอบแบบงงๆ ว่า .. สอนให้เป็นคนดีและปล่อยวางอะไรทำนองนี้ค่ะ ผมเลยยิ้มทีนึง.. แล้วบอกว่า..
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ 4 ความจริงสำหรับผู้เป็นอริย 4 ประการ สิ่งแรกที่ทรงสอนก่อนเลยคือ "ทุกข์"
คนเราเกิดมาทุกคนวิ่งหนีทุกข์ วิ่งหาสุขกันทั้งนั้นใช่ไหม ตั้งแต่เกิดจนตาย.. เราพยายามเรียนหนังสือ อยากได้เกรดดีๆ อยากเรียนเก่ง อยากเป็นคนเก่ง อยากมีงานดีๆทำ อยากได้เงินเยอะๆ อยากทานของอร่อยๆ แพงๆ อยากช้อปปิ้ง อยากไปเที่ยว อยากดูหนัง อยากมีโน่นมีนี่ อยากมีแฟน อยากมีคนรัก
ทุกอย่าง.. เพราะเราคิดว่า สิ่งเหล่านั้น มันจะนำความสุขมาให้ ถามว่า ทำไมต้องหาความสุข เพราะเราไม่อยากมีทุกข์ จากความไม่มี ไม่สมหวัง
ฉะนั้น.. อนุมานได้ว่า.. เราต่างยอมรับกันว่า ชีวิตโดยปกติมันเป็นทุกข์ตลอดเวลา ไม่ต้องทำอะไร นอนๆ นั่งๆ ก็ทุกข์นะครับ ก็เพราะทุกข์ มันถึงต้องหาสุข นอนมากๆ ก็เมื่อยต้องพลิกตัว นั่งมากๆก็เมื่อย ต้องเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ
ผมขมวดให้น้องผมฟังว่า.. พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้เราเข้าใจอะไร มากไปกว่า "ทุกข์" ครับ
คือถ้าคนเรามีแต่สุขอย่างเดียว โลกนี้ ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าหรอก แต่เพราะในธรรมชาติของชีวิต ทุกข์มันอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ทุกข์กาย ก็ทุกข์ใจ สลับกันไป สลับกันมา
ผมตั้งใจจะถามน้องเขาว่า.. รู้ไหม ทำไมคนเราถึงต้องไปปฏิบัติธรรม คำตอบคือ.. เพราะเราจะได้เข้าใจในธรรมชาติของทุกข์
พระพุทธเจ้าบอกว่า.. ทุกข์ คือกาย กับจิต ไม่มีอะไรมากกว่านั้น การจะเข้าใจทุกข์ ก็คือการเข้าใจธรรมชาติของกาย กับธรรมชาติ ของจิต..
เครื่องมือในการทำความเข้าใจธรรมะ หรือธรรมชาติของกายและจิต เราเรียกว่า "สติ"
คนส่วนมาก คิดว่าตัวเอง "รู้ตัว" ตลอดเวลา ว่าทำอะไร คิดอะไร แต่ส่วนมากเราจะ"รู้เรื่องที่เราคิด" แต่ "ไม่รู้ว่า กำลังคิดอยู่"
พูดแบบนี้ จะงงหน่อยนะครับ อันนี้ผมขออภัย.. แต่สังเกตไหมครับ ว่าคุณจะ "รู้เรื่องที่งง" แต่ไม่ค่อย "รู้สึกตัวว่ากำลัง งง อยู่"
หรือถ้าถึงบรรทัดนี้ คุณมีคำถาม .. คุณก็จะรู้ว่า อยากถามอะไร แต่ไม่รู้ตัวว่า กำลังมีความอยากเกิดขึ้น
ถามว่า.. แล้วถ้ารู้แล้วจะได้อะไรเหรอ คุณแอสตัน ตอบว่า.. ถ้ารู้บ่อยๆ คุณจะเริ่มตื่นขึ้นมา พร้อมกับสัมมาสติ คือสติที่ตั้งมั่น สภาวะจิตคุณจะเริ่มเป็นกลาง ไม่ไหลไป ไม่หลงไป แต่ก็ไม่ฝืน ไม่บังคับกดข่ม
คุณจะเห็นและรับรู้ว่า.. จิตมีธรรมชาติที่ไม่ต่างกับกาย คือเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่เที่ยงแท้ถาวร เป็นทุกข์ และบังคับไม่ได้
จะดี จะชั่ว จะคิดดี คิดร้าย หรือเฉยๆ มันก็เกิดแล้วต้องดับ เท่าๆกัน
เมื่อเห็นความจริงอย่างนั้น นานๆเข้า คุณจะเริ่มเข้าใจ ว่า.. เออ.. มันเป็นของมันอย่างนั้นเองแหละ
พอเข้าใจถึงขั้นนี้บ่อยๆ ทุกข์ที่คุณมี จะเริ่มระคายเคืองคุณน้อยลงๆ จนจิตคุณยอมรับว่า.. จิตมันไม่ใช่สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" หรอก
"ตัวเรา" ไม่เคยมีตั้งแต่ไหน แต่ไร มีแต่ความหลงเข้าใจว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา สิ่งนี้มีตัวตน
ผมยังไม่ถึงขั้นยอมรับหรอกครับ ขั้นเข้าใจ ก็พึ่งจะเริ่มๆ บางทีก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ตามกำลังสติที่มีมากบ้าง น้อยบ้าง
ผมมักจะบอกน้องๆเสมอว่า.. ปฏิบัติธรรมนี่ เราไปที่วัดเพื่อ "เรียน" นะครับ
แต่ถ้าจะ "ลงมือทำ" จริงๆ มันต้องทำทั้งในวัด นอกวัด จะรอให้ไปถึงวัด นุ่งขาว ห่มขาว อาราธนาศีลแล้วค่อยเริ่ม อันนั้นเห็นจะไม่ได้การ
เพราะทุกข์ มันไม่เคยเลือกว่า มันจะเล่นงานเรา ในวัด หรือนอกวัด เวลาปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติ จะนุ่งขาว ห่มสี จะอยู่ทางโลก หรือทางธรรม
ประสบการณ์ผมเตือนว่า ถ้าจะปฏิบัติธรรมให้ได้ผลจริงๆ มันต้องปฏิบัติให้ได้ในแบบธรรมชาติของเราจริงๆ เคยใช้ชีวิตยังไง ก็ปฏิบัติมันในแบบนั้น อย่าไปแยกว่า อันนี้ เวลาทางโลก อันนั้นทางธรรม
เหมือนจะรักแฟน ก็ต้องรักทั้งต่อหน้าและลับหลัง ว่ากันอย่างนั้นเลย
แล้วแบบนั้น เราจะได้ประโยชน์จริงๆ จากการสละเวลาทางโลก ไปทรมานสังขารที่วัด
อย่าหาว่าผมมาเลคเชอร์เลยนะคร้าบบบ .. เล่าสู่กันฟังเจ๋ยๆ
ว่าแล้วก็ไปนอน.. ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2549 |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2549 0:46:27 น. |
|
11 comments
|
Counter : 2682 Pageviews. |
|
|
|
โดย: L IP: 202.90.118.7 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:9:23:12 น. |
|
|
|
โดย: แพ็ท IP: 58.147.77.229 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:11:30:52 น. |
|
|
|
โดย: ฝนเองค่ะพี่ IP: 221.128.109.228 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:15:00:18 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:23:42:22 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2549 เวลา:23:52:22 น. |
|
|
|
โดย: Tony KooN IP: 58.9.202.33 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2549 เวลา:0:08:56 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 19 ธันวาคม 2549 เวลา:20:33:31 น. |
|
|
|
|
|
|
|
จริงๆ ตอนนี้ตัวผมไม่ไดยึดถือศาสนาใดเป็นหลัก จะเรียกว่าไม่มีศาสนาได้มั้ยเนี่ย
แต่ก็พยายามซึมซาบเอาคำสอนดีๆ ของแต่ละศาสนาเข้ามาปรับใช้กับชีวิต
ชีวิตมนุษย์นี่ก็คงวนเวียนอยู่แต่เรื่องทุกข์อย่างที่พี่ว่าจริงๆด้วย
เฮ้อ ไปนอนดีกว่า ราตรีสวัสดิ์ครับหลวงพี่ เอ๊ย พี่เอ๊ด (ชักลามแล้วผม )