Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
9 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
ชีวิตคู่และการแต่งงาน: จุดเริ่มต้น จุดจบ และความหวัง

เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ผมได้รับคำขอ กึ่งว่าจ้าง ให้เป็นพิธีกรงานแต่งงาน แต่ครั้งนี้เป็นคู่สมรสที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ทั้งสองคน

โดยธรรมเนียมก็ต้องนัดเจอหน้าค่าตา และทำความรู้จักพร้อมกับขอข้อมูลทั้งว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาว ว่าเป็นใครมาจากไหน ทำงานอะไร ไปเจอกันได้ยังไง

คำถามที่พลาดไม่ได้เวลาคุยกับเจ้าบ่าว เจ้าสาว คือ..
อะไรทำให้คุณคิดว่า เขาหรือเธอต่างจากคนอื่นๆบนโลกนี้
อะไรทำให้คุณคิดว่า คุณอยากแต่งงานกับอีกฝ่ายนึง
อะไรทำให้คุณพร้อมจะโยนความอิสระของชีวิต ไปไว้ในมือของอีกฝ่าย

คุณรู้ไหม.. เวลาฟังคำตอบพวกนี้ มันน่าปลื้มใจมากเลย

อันที่จริง.. ผมไม่ได้นึกอยากเป็นพิธีกรงานแต่งงานให้ใครมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ผมรับงานแบบนี้ คือเมื่อสองปีก่อน ถ้าจำไม่ผิด

สาเหตุหนึ่งคือ.. ผมรู้สึกขัดเขิน ที่ตัวเองต้องไปยืนบนเวทีแต่งาน โดยที่ตัวเองมีใบหย่าเป็นของตัวเองอยู่ในลิ้นชักที่บ้าน

ฉะนั้น ถ้าเป็นคนรู้จักกัน คุ้นเคยชอบพอกันมาขอให้รับงาน ผมจะบอกก่อนว่าผมเคยหย่ามาแล้วนะ คุณถือหรือเปล่า

แต่ถ้าเป็นคนไม่คุ้นเคยกันอย่างรายนี้ ผมไม่ค่อยกล้าพูด เพราะเดี๋ยวเขาเกิดพาลไม่มั่นใจในสิ่งที่เขากำลังทำร่วมกัน ผมจะบาป

ผมรู้สึกว่าคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์แบบนี้ จะมองโลกในแง่ดีถึงดีมาก ดูได้จากคำตอบที่ทุกคู่ให้ผมมา

ถามว่า.. แล้วจำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายไหม ไม่ต้องหรอกครับ แค่ลดความคาดหวังลงหน่อยนึง

และที่ผมอยากบอกทั้งคู่ใจจะขาดคือ.. คุณจำสิ่งที่คุณพูดวันนี้ไว้ดีๆนะ

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะพบว่ามันอาจจะไม่ง่าย ไม่สวยหรูดูดี อย่างที่คุณคิด โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งคู่ ต่างแปรสภาพไปเป็นฝ่ายที่อยากได้รับ มากกว่าอยากจะเป็นผู้ให้ จากคนที่พูดว่า "ฉันรักเธอ" แต่การกระทำ มันเป็นไปในแบบ "ฉันรักตัวเองมากจนน่าเกลียด"

ไม่รู้อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ .. ตอนหัวค่ำ HBO ก็มีหนังเรื่อง Monsters In Law ที่พูดถึงปัญหาเรื่องแม่ผัว ลูกสะไภ้

มีบ่อยครั้งที่คนเรามองการแต่งงาน ว่าเป็นเรื่องของคนสองคน ซึ่งผมอยากจะบอกว่า มันไม่จริงสำหรับกรณีของสังคมไทย ซึ่งไม่ใช่ฝรั่ง บ้านเรายังเป็นสังคมที่พ่อแม่พี่น้องมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราสูง แม้ว่าจะแต่งงานไปแล้ว

เกรงว่าจะมีไม่ถึง 20% ที่เป็นข้อยกเว้น

ส่วนตัวแล้ว แม้ว่าผมยังอยากจะมีความรักที่ดี จนถึงขั้นแต่งงานแต่งการอีกครั้ง แต่ใจนึงก็ยอมรับไปแล้วว่า ยากมากที่จะเป็นไปได้ ความพยายามของผม รังแต่จะสร้างปัญหาให้ครอบครัวของผู้หญิงที่ผมรัก

ผมเข้าใจได้ว่าสังคมส่วนมากยังมองผู้ชายที่หย่ามาแล้ว ไม่ค่อยดีนัก ประเมินได้จากตอนที่หย่าใหม่ๆ ร้อยละ 90 แม้แต่คนในครอบครัว และญาติๆผมเอง มักจะเชื่อข่าวที่มีคนพูดกันว่า ผมหย่าเพราะมีเมียน้อย

เพราะตลอดเวลาภาพที่คนนอกมอง จะเห็นว่าผมเป็นพ่อบ้านที่ดี สามีที่อบอุ่น เพราะผมเป็นคนเก็บปัญหา เก็บความรู้สึกไว้กับตัว ผมถือหลักว่าไม่เอาปัญหาที่มีกับภรรยา ไปพูดให้ใครฟัง ผมไม่ชอบทะเลาะกับใครด้วยความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเข้าใจก็โชคดี ถ้าไม่เข้าใจ ก็ต้องทน อะไรทนได้ก็ทน อะไรทนไม่ได้ก็ต้องทนจนถึงที่สุด

วันที่ผมถึงที่สุด และต้องบอกใครๆว่า ผมกับภรรยาแยกทางกัน ทุกคนจึงช๊อคซีนีม่า และไม่มีสาเหตุไหนจะทำให้คนเชื่อได้สนิทใจว่า ครอบครัวที่ดูน่ารักอย่างของผม จะมีปัญหาอะไรได้ นอกจากผมต้องมีเมียน้อยชัวร์ มันฟังดูเข้าท่าที่สุดกระมัง

มีแม่ผมกับพี่สาวสองคนมั้ง ที่เชื่อว่า ผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น และเข้าใจว่าผมทนมามากพอจะเลือกทางเดินนี้ได้

ผมได้ยินคนพูดกันเยอะแยะมากมาย ว่า.. ผู้ชายหย่าแล้วเริ่มต้นใหม่ไม่ยาก

ถ้าพูดว่า ..ไม่ยากเท่าผู้หญิงนั้น อาจจะจริง.. แต่ไม่ง่ายเลยครับ ยากมากด้วย สำหรับผม

ผมนึกออกว่า.. ถ้าผมเดินเข้าไปพูดกับพ่อแม่ใครสักคน ว่าผมอยากมีชีวิตคู่กับลูกสาวเขา ก่อนผมจะต้องตอบว่า "อะไรทำให้คุณมั่นใจว่าคุณจะไปกันรอด" ผมคงต้องพูดเรื่องที่ผมไม่อยากพูดว่า "อะไรทำให้ผมหย่า" เสียก่อน

ประกอบกับผมเป็นคนชอบผู้หญิงที่ดูดีทั้งข้างนอกข้างใน หรือจะว่าไปให้ตรงกว่านั้น ผมชอบผู้หญิงที่เธอน่าจะมีคนรักที่มีคุณสมบัติดีกว่าผม และผมยืนยันได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องแค่ "ใครสักคน" มันต้องเป็น "ใครคนนั้น"

ผมเลยไม่มีความหวังอะไรมากนัก กับการมีชีวิตคู่กับใครอีกครั้ง แต่ที่มีความหวังมากกว่าและสบายใจก็คือ

ผมจะใช้ชีวิตเดี่ยวๆที่เหลือได้ โดยไม่ลำบากนัก

สุขสันต์วันเสาร์ครับ




Create Date : 09 กันยายน 2549
Last Update : 19 กันยายน 2549 0:32:05 น. 24 comments
Counter : 2122 Pageviews.

 


โดย: random-4 วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:1:30:40 น.  

 
อ่านเรื่องของคุณจนจบแต่วันนี้ไม่รู้จะ'ment อะไรดีค่ะ


ฟังเพลงเพลินเลย



โดย: random-4 วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:1:36:12 น.  

 
ประกอบกับผมเป็นคนชอบผู้หญิงที่ดูดีทั้งข้างนอกข้างใน หรือจะว่าไปให้ตรงกว่านั้น ผมชอบผู้หญิงที่เธอน่าจะมีคนรักที่มีคุณสมบัติดีกว่าผม และผมยืนยันได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องแค่ "ใครสักคน" มันต้องเป็น "ใครคนนั้น"

นั่นฟังคล้ายความคาดหวังหรือเปล่าคะ aston หรือไม่อีกบางทีคุณก็ดูคล้ายๆไม่มั่นใจถึงคุณค่า หรือหัวใจรักของคุณเอง ผู้หญิงบางคนไม่ต้องการอะไรมากมายนักหรอกค่ะ แค่เพื่อนสักคนที่เข้าใจเท่านั้นเอง

แต่ก็ไม่รู้สิคะ เพราะฉันเองไม่เคยผ่านประสบการณ์ของการมีครอบครัวมา บางทีเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ แนอาจแก้ไขปัญหาอะไรไม่ตกเอาเลยก็ได้ เห็นด้วยกับคุณอย่างหนึ่งค่ะ aston ว่าเมื่อแต่งงานไป ก็จะไม่ใช่มีเพียงแค่คนสองคนแน่นอน โดยเฉพาะครอบครัวไทยๆอย่างบ้านเราเมืองเรา แต่ฉันก็ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่างนะคะ จากเรื่องที่คุณเล่าให้ฟัง ข่างล่างนี่ไงคะ


"ถามว่า.. แล้วจำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายไหม ไม่ต้องหรอกครับ แค่ลดความคาดหวังลงหน่อยนึง

และที่ผมอยากบอกทั้งคู่ใจจะขาดคือ.. คุณจำสิ่งที่คุณพูดวันนี้ไว้ดีๆนะ

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คุณจะพบว่ามันอาจจะไม่ง่าย ไม่สวยหรูดูดี อย่างที่คุณคิด โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งคู่ ต่างแปรสภาพไปเป็นฝ่ายที่อยากได้รับ มากกว่าอยากจะเป็นผู้ให้ จากคนที่พูดว่า "ฉันรักเธอ" แต่การกระทำ มันเป็นไปในแบบ "ฉันรักตัวเองมากจนน่าเกลียด"




โดย: บรรณภรณ์ วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:4:06:33 น.  

 
หวัดดีครับ คุณ random 4

ผมมั่นใจในคุณค่าของตัวเองดีครับ คุณบรรณภรณ์
เพียงแต่ผมทำใจว่า ผมบังคับให้ใครมามองโลกในมุมเดียวกับผมไม่ได้

ทั้งตัวผู้หญิงที่ผมรัก และพ่อแม่พี่น้องเขา
ถ้าฝั่งโน้นจะมองว่า อ๋อ.. คุณเคยหย่ามาแล้ว แปลว่าคุณต้องบกพร่องอะไรบางอย่าง คุณมีลูกแล้ว ถึงจะไม่ได้อยู่กับคุณ แต่คุณก็ยังไปมาหาสู่ลูกเหมือนเดิม แปลว่าคุณคงต้องแบ่งเงิน แบ่งความสนใจไปให้ลูกคุณด้วย

มันก็ถูกของเขานะครับ

อีกอย่าง.. ผมไม่ได้คิดมากหรอก เพราะผมเคยเจอมาแล้ว มีคนพูดกับผมใส่หน้ามาแล้วว่า "..ลูกสาวผมชาติตระกูลดี หน้าที่การงานดี คุณสมบัติดี ทำไมต้องเลือกของมือสองอย่างคุณ.."

เจ็บนะครับนั่น.. แต่ถามว่าโกรธไหม.. ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจว่าพ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกมีชีวิตที่ดี เลือกคนดีๆที่สุด ที่มีให้เลือก

ผมเสียดายแทนเขาเองนั่นแหละ ที่จะไม่ได้ลูกเขยดีๆอย่างผม ฮา....

อีกอย่าง.. ดีของเรา กับดีของคนอื่น มันอาจจะไม่เหมือนกัน เราอาจคิดว่าเราดี แต่คนอื่นอาจจะว่า งั้นๆแหละ

ก็ไม่ได้แปลว่าใครคิดถูก ใครคิดผิดนะครับ แต่เจอแบบนั้น มันก็หลอนอยู่ลึกๆ เพราะไม่สนุกหรอกครับ ที่ต้องเห็นลูกสาวใครร้องไห้ เพราะพ่อแม่ออกโรง ออกงิ้วขนาดนั้น

ผมไม่ได้เจตนาทำให้ครอบครัวไหนเขาเดือดร้อนเลย จริงๆ


โดย: aston27 วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:11:56:22 น.  

 
ผู้ชายกับผู้หญิงมองอะไรไม่ค่อยเหมือนกันเนาะ
คนที่เคยผ่านชีวิตคู่มาแล้วกับคนที่ยังไม่เคยก็มองเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน

แต่ก็จริงที่ว่าครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมีส่วนในชีวิตคู่ไม่มากก็น้อย
และเห็นด้วยที่สุดกับตรงนี้
"เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งคู่ ต่างแปรสภาพไปเป็นฝ่ายที่อยากได้รับ มากกว่าอยากจะเป็นผู้ให้"

เอาเป็นว่า เอาใจช่วยให้พบ "ใครคนนั้น" ในสักวันหนึ่ง ก็แล้วกันค่ะ


โดย: ทะเลอาบแสงจันทร์ วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:14:47:16 น.  

 
บทความนี้ถึงยาวก็ไม่เยิ่นเย้อ

และเป็นการสะท้อนแง่มุมปัญหาชีวิตคู่จากตัวจขบ.ผู้มีประสบการณ์

ผ่านการใช้ภาษาที่ชวนอ่านตั้งแต่ตัวอักษรแรกจนตัวสุดท้าย

ด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิของกระผมซึ่งนับว่าอ่อนหัดยิ่ง ผมก็ได้แต่มาศึกษาจากประสบการณ์ของท่านอาจารย์ แอสตัน 27

น้อมสำนึกใส่มโนวิญญาณเพื่อใช้เป็นอีกมุมมองในการเพ่งพินิจคู่ชีวิตในภายหน้า

อยู่คนเดียว ถึงจะเหงา แต่ผมเองกลับมองว่า "มันสุขดี" ขอรับ


(มาจะกล่าวบทไป ขอบพระคุณที่แอ็ดบล็อกผมไว้ประจานความฮาให้เป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นในยุทธภพมียอดวิชายืมหอกสนองคืนผู้ใช้ ผมจึงขอนำมาใช้ในการแอ็ดบล็อกท่านแอสตัน27ด้วยขอรับ)


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:15:02:00 น.  

 
and it will be all right...
แล้วมันจะดีเองนะคะ...

อย่างที่พี่ aston เคยพูด All's Fair in Love and War

เอาใจช่วยเช่นกันค่ะ


โดย: ^-^ IP: 124.120.63.136 วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:15:04:57 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นที่บล็อกค่ะ มันมีคุณค่าสิคะ มากๆด้วยสำหรับฉัน เพราะฉันก็เกริ่นแล้วว่าตัวเองก็ไม่ได้มีเกณฑ์อะไรชี้วัดเลยเรื่องที่เขียนไป ฉันอยากจะรู้ว่าเพื่อนๆของฉันรู้สึกอย่างเดียวกับฉัน หรือคิดเห็นแตกต่างกันออกไป บ้างหรือไม่เท่านั้นเองค่ะ

ในความคิดของฉัน เห็นเหมือนกันค่ะว่าหนังสือที่ดีหรือไม่ดี ขึ้นกับรสนิยมคนอ่าน สองเรื่องที่คุณยกมา คือตลิ่งสูงซุงหนัก และซอยเดียวกัน นั้นก็เป็นสองเล่มที่อยู่ในใจฉันเช่นกันค่ะ

ข้างบนนั่น ที่คุณตอบความคิดเห็นของฉัน ฉันคงต้องบอกว่า "งั้นฉันต้องขอแสดงความเสียใจกับคนที่พูดอย่างนั้นกับคุณ เพราะเขาอาจได้ทิ้งโอกาสที่จะพิจารณาคนดีๆสักคนไป"

อาจจะ... นะคะ ฉันเน้นคำนี้ เพราะฉันก็แทบไม่รู้จักคุณด้วยซ้ำ แต่เราจะมองข้ามหรือละเลยใครสักคนที่เรายังไม่เคยรู้จักหรือคุ้นเคย โดยมองหรือตัดสินจากการกระทำที่ผ่านมา แทนที่จะพิจารณาเขาไห้ถึงเนื้อแท้ นั่นเป็นความตื้นเขินหรือแล้งไร้หรือเปล่า

พ่อแม่ใครก็คงหวังอยากเห็นลูกๆของตัวเองมีความสุข แต่ถ้าฉันมีโอกาสเป็นแม่ของลูกสาวสักคน ฉันก็ยินดีที่จะเห็นลูกสาวของฉันมีความสุขกับคนที่เธอเลือก จะมองดูเธอห่างๆ และประคับประคองเวลาที่เธอซวนเซ จะเปิดตาให้กว้าง มองทุกอย่างด้วยใจเป็นธรรม ว่าบางทีลูกสาวของฉันเองก็ใช่จะเลิศเลอกว่าใครที่ไหน ถ้าเธอจะเลือกก็ขอให้เธอได้เลือก คนที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยได้ หรืออาจไม่ได้เมื่อผ่านเวลานานไป นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับในเมื่อเธอเลือกของเธอแล้ว ในฐานะแม่ฉันก็คงมีแต่กำลังใจให้ลูกของฉันเท่านั้นค่ะ

ไม่รู้สิคะ ฉันคิดแบบนั้น ฉันเห็นว่าวิถีชีวิตของใคร กรรมของใคร ทางเดินของใคร ใครคนนั้นก็เลือกเดิน และประคับประคองของเขาเอง และต้องยอมรับเอาเองหากว่ามันไม่ได้อย่างที่ใจเขาวาดหวังไว้เมื่อแรกเริ่ม คนเราสมหวังไปหมดทุกเรื่องนั่นสิคะแปลกประหลาด

ฉันเชื่อสิคะ ว่าคุณไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ครอบครัวใครเขาเดือดร้อน

ดีใจที่ได้คุยด้วยค่ะ และขอบคุณที่อวยพรให้หายเร็วๆ

ป.ล. ของมือสองคุณภาพดีเยอะแยะค่ะคุณ ไม่งั้นเขาคงไม่เอามาเปิดท้ายขายกันแน่ๆ


โดย: บรรณภรณ์ วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:15:52:56 น.  

 
ขอบคุณคุณ ทะเลอาบแสงจันทร์ คุณ ^-^ และคุณบรรณภรณ์ อีกทีครับ

ตกลงผมจะขายออกนี่.. ต้องไปเปิดท้ายขายของใช่ไหมครับนี่


โดย: aston27 วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:0:26:10 น.  

 
ต้องเปิดท้ายขายดีกว่าขายไม่ออกนะคะ

ปล่าวค่ะไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ลองคิดดูละคะ ว่าของบางอย่างเหมาะควรที่จะเป็นของเก่าแก่สูงค่า ยิ่งผ่านเวลายิ่งงดงาม ขรึมและขลัง

พูดแบบนี้เดี๋ยวคุณก็คิดว่าฉันว่าให้คุณเป็นของเก่าอีกแหงๆ

ลืมทุกที จะชมว่าเพลงเพราะมากค่ะ และขอให้มีความสุขกับวันทำงานนะคะ


โดย: บรรณภรณ์ วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:1:21:41 น.  

 
ขอสมัครเป็นแฟนพี่ได้ไม๊ล้า..อิอิ..เพราะบังเอิญพี่สาวหนูชอบล้อว่า หนูชอบของมือสองหรือไงย่ะ ...อย่างเช่น ไปซื้อเสื้อใหม่ด้วยกัน เป็นไรไม่รู้ หนูไม่ค่อยชอบเสื้อใหม่ ต้องขอร้องให้พี่สาวเอาไปใส่ แล้วซักก่อน จนมันนิ่มใส่สบาย แล้วค่อยคืนให้หนูใส่อีกที..เป็นต้น
พี่เป็นคนน่ารักนะ หนูว่า....เพราะติดตามอ่านคำตอบพี่ในกระทู้ต่างๆมานาน ยังเคยถามไปหลังไมค์พี่ครั้งหนึ่ง ประทับใจค่ะ..หนูว่า..ไม่นานพี่คงมีคนรู้ใจดีดี(ในแบบของพี่)สักคนค่ะ..


โดย: .. IP: 58.9.98.230 วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:11:01:54 น.  

 
ขออนุญาตกลับมาอ่านเรื่องนี้และ comment ด้วย เพราะช่วงนั้นไม่อยู่ค่ะ เข้า กทม. ทุกสุดสัปดาห์

อ่านเรื่องที่คุณเขียน บอกแล้วว่าเหมือนคุณมาเล่าเรื่องชีวิตให้ฟัง ไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของคุณมาก่อน แต่ไม่รังเกียจที่จะรับรู้ เพราะคุณมีประสบการณ์มากมายที่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นรับรู้ได้ คุณจริงใจที่จะเปิดเผยความคิดของคุณให้คนอื่นรับรู้เพื่อเตือนสติสอนใจทางอ้อม
เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนสองคนอยู่กันไม่ได้ ไปกันไม่รอด แล้วจะพากันกอดคอจมน้ำตายไปด้วยกันทำไม การหย่าร้างจึงเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไทยในปัจจุบัน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไร ๆ ก็ควรเปลี่ยนไปด้วย
คุณ aston27 จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มีผู้หญิงมือหนึ่งส่วนหนึ่งที่ไม่เคยมองข้ามผู้ชายมือสอง ตรงกันข้ามกลับมองว่าเขามีประสบการณ์มาก่อน เขาสามารถสอนเราให้เรียนรู้ประสบการณ์ในชีวิตคู่ได้ ผู้หญิงเราต้องการเป็นคนสุดท้ายของผู้ชาย เราไม่เคยรังเกียจว่าคุณจะมีใครมากี่คน แต่เราอยากให้เขาจบที่เรา ก็เท่านั้น
ไม่อยากให้คุณมองผู้หญิงว่าเหมือนกันหมด และไม่อยากให้คุณท้อแท้ในหัวใจ เชื่อว่าคงมีผู้หญิงหลายคนเห็นความดีของคุณ และพร้อมจะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับคุณ อยู่ที่คุณจะพร้อมรับเขาหรือไม่ หรือว่าคุณยังไม่ลืมความหลังครั้งก่อน

เขียนซะยืดยาว ที่จริงก็ไม่มีประสบการณ์หรอก แต่ชื่นชมในความคิดของคุณเท่านั้นเองค่ะ


โดย: ซออู้ วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:13:08:57 น.  

 
สวัสดีท่านน้องดำรงเฮฮาด้วยนะครับ

ขอบคุณคุณซออู้ และคุณน้องที่ไม่ลงชื่อน่ะ
ผมเป็นคนมีข้อเสียเยอะพอๆกับข้อดีครับ 555

ถ้าข้อดีเยอะจริงๆ ไม่ต้องรอไปเปิดท้ายขายของหรอกน่า


โดย: aston27 วันที่: 12 กันยายน 2549 เวลา:0:25:22 น.  

 
เจอน้าเมื่อไหร่ ก็เห็นอยู่กับสุภาพสตรีที่่ดูดีทั้งข้างนอกตลอด :P
ขอให้น้าเจอคนคนนั้นที่ดูดีข้างในด้วยเร็วๆ แล้วกันครับ


โดย: Oakyman วันที่: 12 กันยายน 2549 เวลา:22:40:11 น.  

 
ไม่รู้ว่าคุณจะยังเข้ามา update blog ของคุณอยู่รึเปล่า เพราะ comment ล่าสุดก็นานเกินปี
เหตุผลที่เข้ามาอ่าน เพรา search คำว่า 'พิธีกรงานแต่งงาน' เนื่องจากกำลังจะต้องเป็นพิธีกรงานแต่งงานของเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกเลือก
ไม่มีอะไรมาก แค่สะเทือนใจกับประโยคของคุณที่ว่า "ผมรู้สึกขัดเขิน ที่ตัวเองต้องไปยืนบนเวทีแต่งาน โดยที่ตัวเองมีใบหย่าเป็นของตัวเองอยู่ในลิ้นชักที่บ้าน"
ด้วยเหตุผลบางประการ แม้เรายังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับมีความรู้สึกแบบเดียวกับคุณ
อ่านจบ...แทนที่จะได้ความรู้ว่าเป็นพิธีกรยังไง พูดอะไรดี กลับได้น้ำตา
และขอบคุณที่สกิดใจเราว่า การอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ลำบาก...
...ขอบคุณค่ะ...


โดย: Kate IP: 58.9.29.13 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:34:21 น.  

 
เราก้อมีชีวิตเดี่ยวๆเหมือนคุณเอ็ดแต่ของเราเดี่ยวแบบมีเรือพ่วงด้วย ก้อรู้สึกดีไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย ..(เพราะผ่านการลำบากมาแล้ว..)....อย่างคุณเอ็ดน่าจะขายออกมากกว่าเรานะ..


โดย: puk IP: 125.25.102.207 วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:16:31:48 น.  

 
ถ้าจะขอจ้างเป็นพิธีกรงานแต่งงาน ที่ต่างจังหวัดจะรับมั๊ยครับ แล้วรับคืนละเท่าไหร่ ถ้ารับช่วยติดต่อกลับที่เบอร์ 085-2998868 ขอบคุณครับ


โดย: a IP: 125.26.27.104 วันที่: 10 ธันวาคม 2550 เวลา:15:54:29 น.  

 
ได้อ่านเจอเรื่องของคุณเพราะจะเป็นพิธีกรในงานเพื่อนในไม่กี่วันค่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณเจอ"ใครคนนั้น"หรือยัง ดิฉันเองก็เพิ่งแต่งงานมาได้นานเองและสามีก็เป็นผู้ชายมือสองแถมมีเรือพ่วงน้อยๆอีก 2 ลำด้วย ด้วยความรักและเข้าใจ ทั้งที่ไม่คิดเลยว่าจะได้แต่งกับผู้ชายมือสอง เพราะดิฉันเป็นคนหน้าตาดี และนิสัยดี(ใครที่รู้จักดิฉันเขาจะพูดอย่างนี้)สามีเหมือนคุณค่ะเป็นพ่อบ้านที่ดี เป็นสามีที่อบอุ่น แต่ไม่เหมือนก็ตรงที่มีอะไรที่เขาไม่ชอบก็บอกมาตรงๆพยายามปรับหากันคนละครึ่งทาง เอาใจช่วยนะคะ เปิดใจกว้าง และอย่าสิ้นหวังค่ะ


โดย: sssue IP: 124.121.111.77 วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:0:03:20 น.  

 
มีแฟนที่มี background เหมือนคุณเรยค่ะ เริ่มเข้าใจเค้าเหมือนกัน แต่ตอนนี้เราห่างๆกันแล้ว


โดย: lala IP: 203.185.133.16 วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:17:29:09 น.  

 
วันนี้ตั้งใจจะมาหาบทพิธีกร อ่านทวนอีกครั้งก่อนไปขึ้นเวทีเย็นนี้ แต่ได้มาเจอบทความของคุณ ... คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่า จะบอกว่าทุกสิ่งอย่างที่ผ่านมาในชีวิตใช้เป็นประสบการณ์ ตัวเราเองก้อเคยเจอผู้ชายที่ผ่านการมีครอบครัวเข้ามาในชีวิตแต่ดีที่เรายังไม่ได้ตัดสินใจที่จะคบกันลึกซึ้งเพราะเค้าเอง ดูเหมือนไม่อยากจะลงเอยกะใครจิงจัง ก้อเลยคิดว่าคงเป็นเหตุผลของเค้าที่เราก้อเข้าไม่ถึง และไม่สามารถเข้าใจได้... ใคร ใคร ก้อคงอยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีมีความสุขด้วยกันทุกคน ... มีความสุขกับสิ่งที่เป็น และเป็นอยู่


โดย: panijay IP: 118.172.62.83 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:15:55 น.  

 
ดิฉันเป็นหนึ่งคน ที่ใช้ความอดทนและเข้าใจในการใช้ชีวิตคู่มาในระยะเวลาหนึ่งแล้วค่ะ จนในที่สุดก็ถึงเวลาแยกกันอยู่ตอนนี้ค่ะ

คงตอบไม่ได้ว่าอยากจะมีชีวิตคู่อีกไม๊ แต่แน่นอนที่สุด การมีชีวิตคู่ทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมผู้ใหญ่เวลารดน้ำให้พร มักจะพูดว่า อดทนและเข้าใจกันให้มาก ๆ นะ

ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ทุกข์กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และไม่พยายามตั้งความหวังกับอนาคตที่ยังไม่มาค่ะ


โดย: ข้าวปั้น IP: 203.38.180.246 วันที่: 26 มกราคม 2552 เวลา:17:54:10 น.  

 
ขอบคุณครับที่มาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตคู่ ผมเองมีลูกตั้งแต่อายุ 18 ปี(ในคราบของนักเรีนย) ปัจจุบันผมอายุ 38 ปี ผมไม่รู้ว่าครั้งนั้นมันคือความรักหรือความสนุก แต่เมื่อเรื่องมันถึงทางต้องแยกย้าย ก็ต้องให้มันเกิดขึ้น,ไม่นานผมก็ใช้ชีวิตสมบูรณ์แบบกับการแต่งงานอีกครั้ง ณ ตอนอายุ 27 ปีและ มีลูกด้วยกันสองคน แต่เมื่อการแต่งงาน ดำเนินเรื่องไปปีที่ 10 ผมก็รับไม่ได้และไม่สามารถให้อภัยกับเธออีก ผมแยกย้ายกันอยู่ ไปรับลูกมาอยู่ด้วยตอนวันหยุด โชคดีที่ธรรมะทำให้ผมเดินผ่านจุดต่ำที่สุดมาได้แถมยังแบ่งปันไปให้ลูกๆได้อีก

สำหรับผมแต่ทางเดินต่อจากนี้ไปมันชัก แป่วๆ ยังไงชอบกล 55555 , ขอบคุณเพื่อนผมที่ส่ง bloggang อันนี้มาให้ผม มันทำให้มีกะลังใจขึ้นมากที่เดียว


โดย: Peter Ma IP: 125.27.54.85 วันที่: 11 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:46:46 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ความจริงไม่เคยเข้าเวบของคุณเลย
พอดีมีเพื่อนชอบส่งเมลล์ ที่เอาข้อความของเวบคุณมาใส่ให้อ่าน
ทีนี้อ่านๆไปซักช่วงนึง รู้สึกว่าที่มานส่งๆมาโดยคุณเขียนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหัวใจซะมากทีเดียว ถึงแม้จะมีเกี่ยวกับพุทธศาสนาก็ตาม

วันนี้เลยขอตาม link เข้ามาดูซะหน่อย
ทิ้งข้อความไว้อีกนิด ฮาๆๆ
รู้สึกเหมือนกับว่าในความเข้มแข็ง หรืออารมณ์แนวปฏิบัติธรรมของคุณ จะแอบมีความรู้สึกเหงาๆหงอยๆ แฝงๆ ไงไม่รู้

ส่วนตัวเองไม่เคยแต่งงานไม่เคยมีชีวิตคู่เลยไม่ทราบว่าคนเคยใช้ชีวิตคู่และหย่ามาแล้วเป็นอย่างไร (ไม่อยากรู้ ด้วยอ่า)
แต่ปัจจุบันไม่มีปัญหาอะไรกับแฟนที่คบอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีแอบกลัวบ้างว่า ในอนาคตถ้าเราจะแต่งงานกัน หรือจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน จะไปรอดมั้ย
ตอนนี้คิดแค่ว่า ปัจจุบัน มีความสุขดี มีความรักให้กันและกันบ้าง ก็น่าจะพอใจแล้ว อนาคตเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง
เคยได้ยินมาว่า (จากไหนจำไม่ได้) อย่าไปกลัววันพรุ่งนี้ อย่าไปเสียดายเวลาในเดือนหน้า ถ้าเราจะต้องจากกัน เพียงแค่ วันนี้เรามีความสุขร่วมกัน มันก็เพียงพอแล้ว เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอวันพรุ่งนี้ก็เป็นไปได้

เราอ่านข้อความของคุณที่บอกว่า พ่อแม่ ฝ่ายหญิง ว่า หรือว่า กลัวฝ่ายหญิงจะเสียใจ etc. เราว่าคิดมากไปรึป่าวคะ เค้ารู้ว่าคุณมีลูกติด ถึงงั้นเค้าก็รักคุณ และคุณก็รักเค้า มันไม่มีอะไรดีกว่า หรือแย่กว่าหรอกค่ะ เพราะ"คนที่ใช่" มันมักจะ มาทีละคนในเวลานั้นๆ

สุดท้ายนี้ ขออภัย ที่บรรยายมากไปหน่อย หากขัดต่อหลักธรรมประการใด หรือ มีข้อความไม่ดีต่อคุณ ก็ขออภัยด้วยค่ะ .. พิมพ์จากใจนะเนี่ย ฮาๆ


โดย: MM IP: 61.90.84.178 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:20:23:43 น.  

 
ชีวิตคู่ต่างมีหลากหลายรูปแบบ อย่างดิชั้นเราอยู่ด้วยกันมา5ปี ปัญหาเรื่องทะเลาะ เรื่องไม่เข้าใจกันมีน้อยมากจนแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่...ปัญหาที่ทำให้ดิชั้นและเเฟนไม่สบายใจเป็นส่วนใหญ่คือ ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เนื่องจากตัวดิชั้นเองและเเฟนเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดถึงปัญหาให้ครอบครัวได้รับรู้ ซึ่งปัญหามันก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเงิน ดิชั้นยังเรียนอยู่ค่ะ ส่วนแฟนทำงาน แฟนเรียนจบไม่สูงเงินเดือนก็น้อย พ่อแม่ชั้นส่งเงินให้ชั้นเรียนเดือนละ 6000 บวกกับเงินเดือนแฟน 10000 มันดูเป็นตัวเงินที่ไม่น้อยเเต่เมื่อคิดดูดีดีเเล้วมันน้อยมากจนแทบไม่พอใช้ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถ ค่ากินต่อวัน ไม่รวมหาเจ็บป่วยหรือมีเหตุต้องจ่ายมากกว่านี้ เดือนๆนึงแทบไม่เหลือไรเลย และเรื่องที่เราเครียดที่สุดคือ ทุกครั้งที่เจอพ่อเเม่ เค๊ามักถามเราเสมอว่า...เก็บเงินกันได้เท่าไหร่แล้วล่ะ...ดิชั้นได้เเต่ตอบแบบไม่เต็มเสียงว่าก็พอมีบ้าง ทั้งๆที่ความจริงไม่มีเลย
มันรู้สึกเจ็บปวดในใจเสมอเมื่อโดนถามและบางครั้งก็เผลอคิดไปว่าทำไมเราต้องมาทนลำบากกับเค๊าทั้งๆที่ฐานนะทางบ้านเราก็ดีกว่าเค๊า เค๊าเป็นผู้ชายที่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว การศึกษาน้อย ฐานนะไม่ดีแตกต่างจากเราทุกอย่างในสมองคิดวนเวียนอยู่แต่นี้แต่ก็คิดได้เเค่แป๊บเดียวค่ะ เพราะรู้ว่าเราสงสารเค๊า และรักเค๊ามากเกินกว่าที่จะทิ้งเค๊าไปเพราะแค่ความลำบาก


โดย: ืืnutvale IP: 49.230.104.255 วันที่: 11 มิถุนายน 2557 เวลา:8:54:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.