Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
14 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
ปฏิบัติธรรม ทำอะไร :ตอน 3 ปิดคอร์ส



ว่าจะเปลี่ยนไปเขียนเรื่องอื่น ก็นึกเสียดาย ว่า น่าจะพูดทีเดียวให้จบคอร์ส
ไหนๆก็มี สองสามท่านอุตส่าห์สนใจ สละเวลามาอ่านมาถาม
แล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ถ้าจะแจกแจงเรื่องวิธีปฏิบัติเสียหน่อย
เพราะตอนผมเริ่มศึกษาใหม่ๆ ก็งงแบบนี้แหละ

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ถามต่อเลยว่า..
อิฉันอยากเป็นผู้ปฏิบัติ มันมีวิธีการยังไงมั่งคุณแอสตัน

วิธีการของนักปฏิบัติธรรม เหมือนฝึกเล่นกีฬาทั่วๆไปครับ
มันมักจะแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ

1. การฝึกให้มีกำลัง สร้างกล้ามเนื้อ สร้างความแข็งแกร่ง
สร้างความอดทน พละกำลัง และความว่องไว
จะวิ่งรอบสนาม เล่นเวท กระโดดเชือก อะไรก็ว่ากันไป

อันนี้ถ้าเป็นเรื่องปฏิบัติ เราเรียกว่า ฝึกสมถะกรรมฐาน (บางตำราเขียน สมถกัมมัฏฐาน)
วิธีฝึกสมถะมีหลายวิธี แต่ที่แพร่หลายคุ้นเคยกันมากที่สุด
คือนั่งสมาธิ แบบที่คุณ tony koon ถามในบล็อคก่อน

ที่จริงแล้ว สมาธินี่ทำได้ทุกที่เหมือนกับวิปัสสนานะ ยืนบนรถเมล์
แค่หลับตารู้สึกอยู่ที่ลมหายใจ เข้า-พุท ออก-โธ พุทโธ ไปสมาธิก็เกิดแล้ว (ลองดูตอนนี้เลยก็ได้ครับ)

หรือเวลานอนก่อนจะหลับ เราเอาความรู้สึกไปแตะไว้กับท้องดูพอง ยุบ
หรือลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นการทำสมาธิอย่างนึง

จิตที่เป็นสมาธิ จากการทำสมถะ จะเป็นจิตที่นิ่ง สงบ นักปฏิบัติวิปัสสนาจึงมักอาศัยสมถะ เป็นที่แวะพักผ่อน

ไม่เอาเป็นบ้านจริงๆจัง เพราะยิ่งทำมากๆ ก็จะยิ่งนิ่ง ดิ่ง ลึก แต่ไม่มีธรรมชาติมาโผล่ให้เห็น

เมื่อไม่มีอะไรโผล่มา ก็ไม่เห็นความจริงของจิต เมื่อไม่เห็นก็ไม่เกิดปัญญา

คนที่ทำสมถะมานานๆ เมื่อจะเจริญปัญญา จึงต้องเปลี่ยนโหมดไปเป็น วิปัสสนา

2. การฝึกเทคนิคของการเล่น เช่นนักฟุตบอล ก็ต้องฝึกเบสิคการครองบอล
การเลี้ยงลูก การเตะ การรับส่งบอล ที่สำคัญที่สุดคือ การยิงประตู

ถ้าเป็นเรื่องปฏิบัติ เราเรียกศัพท์เทคนิคว่าวิปัสสนานี่แหละ

ทั้งสมถะและวิปัสสนา เป็นเครื่องมือสองอันที่ควรมีไว้คู่กัน
เหมือนช้อนกับส้อม เหมือนซูชิกับวาซาบิ เหมือนครูมิโดริ กับดร.เซมเบ้

นั่งสมาธิ เอาแต่สมถะอย่างเดียว ก็เหมือนนักฟุตบอล ที่แรงดี วิ่งไว เบสิคบอลดี แต่ไม่ยอมยิงประตู

เลี้ยงบอลได้ ครองบอลเก่ง แต่เลี้ยงอย่างเดียวไม่เคยยิงประตูคู่ต่อสู้เลย
เก่งแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เล่นไปทั้งปี ก็แพ้ทั้งชาติ

พื้นฐานของการทำวิปัสสนา คือการหมั่นทำความรู้สึกตัว เพื่อให้จิตจดจำสภาวะได้
เรียกว่าฝึกเจริญสติภาวนา คือทำให้สติมันเจริญขึ้น

ที่บอกว่าเจริญขึ้น เพราะสติในระดับคนปกติ ที่ไม่เคยฝึก มันเป็นสติที่ไม่แน่ว่าจะเจริญ

เป็นผู้ร้าย จะไปยิงใคร เขาก็มีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรใช่ไหม
เป็นขโมย จะขโมยอะไร ก็ยังมีสติรู้ว่าตอนไหนลงมือ
เป็นแมวจะตะครุบหนู เป็นงูจะฉกกบ มันก็มีสติกันทั้งนั้น

สติที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เจริญ จึงยังไม่ใช่ สัมมาสติ เอาไปใช้ทำงานวิปัสสนาไม่ได้

สติที่เป็นสติตัวจริง หรือสัมมาสติ ใช้งานใช้การได้ ในทางปฏิบัติธรรม
ต้องเป็นสติที่เกิดขึ้นเอง โดยเราไม่ได้คิด ไม่ได้จงใจ ไม่ได้บังคับให้มันเกิด

อ้าวๆ.. คุณแอสตัน อย่าเขียนให้อิฉันงงสิ

ไม่ต้องงงครับ (งงก็ให้รู้เข้าไปที่ความงง อิอิ) มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ถึงบอกว่า ขั้นแรกมันต้อง input ป้อนข้อมูลให้จิตมันรู้จักสภาวะก่อน
ว่า เออ.. อันนี้โกรธอยู่ โกรธเป็นงี้นะ มันวูบวาบขึ้นมากลางอก มันดับไปยังไง

วิธี input ง่ายที่สุด ก็คือการ รู้สึกตัว
นั่งสมาธิอยู่ ใจมันลอยไปคิดเรื่องอื่น ก็รู้สึกตัว ว่าใจลอย
นั่งกินข้าวอยู่ ใจมันลอยไปคิดเรื่องอื่น ก็รู้ว่าเผลอไป

ที่เรียกว่าเผลอ ก็เพราะขณะที่เราใจลอย สติเรามันไม่ตั้งมั่นอยู่กับกายใจของเรา

คนส่วนมาก ในขณะใจลอยไปคิด ก็จะรู้เรื่องที่คิด แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดอยู่

หนุ่มๆ ไปเดินเซ็นเตอพอยต์ เห็นหน้าสาวเดินผ่าน ถูกใจ ก็รู้สึกตัวว่า..
เออ มีความรู้สึกชอบ เกิดขึ้นเว้ย.. แค่นี้ก็วิปัสสนาแล้วครับ

คนที่เห็นได้ละเอียดขึ้น จะเห็นจิตมันส่งออกนอกไปอยู่ที่สาวเจ้าคนนั้น
พอดูๆไป เห็นแฟนเธอเดินมาจับมือกัน โอ้ยยย.. ปวดใจ รู้ว่าปวดใจ

เมื่อกี้ยังมีความสุข เคลิ้มๆ ที่เห็นสาวสวย ตอนนี้เซ็งแล้ว
เพราะเห็นว่าเธอมีแฟน ก็รู้ทันจิตไปอย่างที่มันเป็น นี่ก็วิปัสสนาเหมือนกัน

วิปัสสนา ไม่มีรู้ผิด หรือรู้ถูก มีแต่ "รู้" กับ "หลงไปเผลอไป"

จากขั้นแรกที่ป้อนข้อมูลให้จิตจำสภาวะได้
ทำไปให้ได้บ่อยๆ ระยะนึง สติจะเริ่มทำงานเอง
เวลาเราเจอสภาวะเดิม สติมันจะเกิดเอง

เช่นใจลอยๆไป สติเกิดรู้ทันขึ้นมาว่า
ฮั่นแน่.. ใจลอยเว้ย ความคิดจะดับวับไปเลย อันนี้บางคนก็เคยเป็นแหละ
เพียงแต่ไม่รู้ว่า อันนั้นเรียกอะไรแค่นั้นเอง

มันจึงมีข้อห้ามอยู่ว่า เราควรหมั่นเจริญสติเนืองๆ ยกเว้นเวลาทำงานที่ต้องใช้ความคิด
เพราะ "คิดกับรู้เป็นศัตรูกัน" จำได้ใช่ไหมครับ

พอเริ่มขั้นสอง จะเห็นบ่อยๆว่า จิตมันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เนืองๆ ตามสิ่งที่มากระทบ

จิตที่ไปรู้อารมณ์มันไม่คงที่ มันเปลี่ยนแปลง และมันบังคับไม่ได้นะครับ
ตามเฉลยข้อสอบที่พระพุทธเจ้าบอกไว้เป๊ะ

เมื่อสติเจริญขึ้นระดับนึง ศีล สมาธิ และปัญญา จะตามมาเอง

ศีลในระดับของผู้ปฏิบัติ จะต่างจากการไปขอศีลจากพระที่วัดนะครับ

ที่ไปขอมา เขาเรียกศีลเชิงจริยธรรม
เอาไว้เพื่อให้อยู่ร่วมกับชาวบ้าน คนรอบข้างอย่างสันติสุข

แต่ถ้าเป็นศีลของผู้ปฏิบัติ มันคือการที่มีสติเกิดขึ้นเอง แล้วรู้ทันกิเลส
และสตินั้นคุ้มครองรักษาจิต ไม่ให้หลงไปทำชั่วได้
จิตที่มีสติ จะค่อยๆตั้งมั่น ไม่หลงไป ไหลไปกับความคิดชั่วๆ

ตรงนี้ ต้องเน้นว่า .. ไม่ใช่ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วจะไม่มีความคิดไม่ดี เกิดขึ้น
จะไม่มีกิเลส จะไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข ปล่าวน่อ

เพียงแต่ มีกิเลส ก็ไม่หลงไปทำชั่ว สติจะประคองไว้
มีทุกข์ ก็ไม่ทู๊กกกกกกกกกกกกก จนหน้ามืดแปดด้าน

เป็นผู้ปฏิบัติแล้ว กิเลสก็ยังมี บางทีอาจจะรู้สึกว่ามีมากกว่าเดิม
เพราะก่อนหน้านี้ มีแล้วไม่เคยเห็น พอมาเห็นจริงๆ ถึงรู้สึกว่า โห.. เยอะจิงๆ

มีสติ แล้วมีสมาธิยังไงโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ??

ก็เมื่อสติตัวจริงเกิดได้บ่อยๆ จิตที่เคยแฉลบแว๊บวิ้ว ก็จะแฉลบสั้นลง เพราะสติจะว่องไวขึ้น
เมื่อจิตแว่บไปทำงานข้างนอกน้อยลง ก็จะตั้งมั่น อยู่กับกายใจ เกิดเป็นสมาธิ

ปัญญาล่ะ คุณแอสตัน.. กะอีแค่ รู้สึกตัว จนสติเกิด สมาธิมา ปัญญาจะมีเองเลยเหรอ

ปัญญาตัวนี้ อย่างที่เล่าไว้ว่า.. เป็นภาวนามยปัญญา
เป็นปัญญาที่เจริญขึ้นด้วยการเจริญของสติ ของจิตที่มีคุณภาพขึ้น

ปัญญาตัวนี้ ไม่ใช่ปัญญาที่ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย

แต่เป็นปัญญาที่ทำลายความโง่ของจิตเรา ที่หลงคิดไปว่า มีสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา"

เพราะระหว่างทางที่สติมันเจริญขึ้น มันจะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปของอารมณ์ต่างๆ

เห็นจิตดวงแล้วดวงเล่า ที่ไปจับอารมณ์ต่างๆนานา แล้วก็ดับ แล้วจิตดวงใหม่ก็เกิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก

ความสุขเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป ความทุกข์มาแทนที่ ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
ความสุขตัวใหม่ เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วดับไป ทุกข์ตัวใหม่ก็มาแทน วนเวียนกันอย่างนี้ ทั้งชาติ

จิตมันเวียนว่ายอยู่แค่นี้แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นของมันจริงๆสักอย่าง

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อะไรที่คุณคิดว่า เป็นความสุขสูงสุดแล้วครับ?

ลองนึกถึงความสุขอันนั้น แล้วพิจารณาดูว่า มันสุขแท้ สุขเที่ยง คงที่ถาวรหรือเปล่า

วิปัสสนาปัญญา เราไม่ได้ทำเพื่อวิ่งหาสุข วิ่งหนีทุกข์ แบบทางโลก
เราต้องการเห็นความจริง ว่าชีวิตนี้กับทุกข์ มันของคู่กัน
เพราะทุกข์มีอยู่ ความอยาก(ละทุกข์) จึงมา
เพราะมีความอยาก จึงมีทุกข์อยู่

2 ตัวนี้คือหัวโจก ล่ะครับ สุมหัวกันเป็นวงจรอุบาทว์

เฉลยข้อสอบข้อสุดท้าย ครูบาอาจารย์เก่งๆ ท่านบอกว่า
ทุกข์มีไว้ให้รู้ สมุทัย (ความอยาก)ให้ละ

คนส่วนมาก แม้แต่ผู้ปฏิบัติเองก็ทำผิดบ่อยๆ คือเห็นทุกข์แล้วไปพยายามละทุกข์

ที่จริงแล้ว หลักคือให้เข้าไปรู้ทุกข์ ด้วยสติ
แล้วรู้ทันความอยากละทุกข์ เพื่อความอยากจะดับไปด้วยตัวมันเอง

แล้วก็จะเห็นว่า.. ความอยากก็เป็นสิ่งนึงที่จิตไปรู้เข้า
ความทุกข์ ก็เป็นสิ่งนึง ที่จิตไปรู้เข้า
ความสุข ก็เป็นแค่สิ่งนึง ที่จิตไปรู้เข้า ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ปฏิบัติธรรมจึงไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ .. รู้สึกตัว นี่แหละ

ไม่เกี่ยวว่า จิตต้องดี จิตต้องละเอียด จิตต้องสงบ
จิตตัวจริงเป็นยังไง ก็รู้มันไปอย่างนั้น แล้วมันจะเฉลยความจริงให้เห็น

ว่าจิตที่ดี ก็จิตดวงนึง จิตที่ไม่ดี ก็จิตดวงนึง เกิดแล้วดับเสมอกัน
คนมากมายปฏิบัติ ทุกข์ไป เพราะอยากได้แต่จิตดีๆ อยากได้จิตสะอาดๆ อยากสงบๆ อยากนิ่งๆ

มันก็ไม่ต่างจากคนอยาก bitch เพราะจะได้ดูเท่ แบบที่เพื่อนผมคนนึงเขียน tag ไว้น่ะ

ง่า.. ต้องไปเตรียมจัดรายการแล้ว ใส่เพลงทีหลังน่อ
สุขสันต์วันอาทิตย์นะครับ


Create Date : 14 มกราคม 2550
Last Update : 14 มกราคม 2550 12:22:46 น. 27 comments
Counter : 1108 Pageviews.

 
โห คุณแอสตัน ขยันจริงๆ
ตามอ่านแทบไม่ทันเลย

ลงชื่อก่อน เดี๋ยวแวะมาอ่านค่ะ...


โดย: แพ็ท IP: 124.157.214.202 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:12:32:28 น.  

 
อ่านแล้วจบแล้ว แนวทางของท่านปราโมทย์ ปราโมชโช จะเน้นว่าธรรมเป็นเรื่องง่าย ๆ เบา ๆ

ในขณะที่หลาย ๆ แนวจะออกไปทางว่า เป็นเรื่องยากมาก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีใครผิด

เพราะขึ้นกับอัธยาศัยของแต่ละคนที่จะเจริญวิปัสสนาในหมวดใด อาทิ กาย เวทนา จิต และธรรม

ในสติปัฏฐานนั้น ต้องดูจริตของผู้ปฏิบัติด้วย

ท่านที่อ่านเรื่องของคุณพี่แอสตันแล้วเก็ทและชอบก็คือท่านที่ถูกอัธยาศัยกับการเจริญสติแนวทางนี้

ส่วนท่านที่งุนงงก็ต้องแสวงหาอาจารย์และแสวงหาตัวจริงของตนต่อ ๆ ไป

ธรรมะไม่ได้ผูกขาดอยู่กับใครหรืออาจารย์ใดท่านหนึ่ง หากแต่เป็นสากลยิ่ง

พระธรรมอันพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนปวงเวไนยสัตว์นั้น เป็นที่ลึกซึ้ง และจริงแท้เสมอ มีหลายมุมหลายเหลี่ยมหลายนัยยะ ซึ่งทุกมุมก็มีคนที่ได้รับประโยชน์ในลักษณะที่แตกต่างกันตั้งแต่อดีตเมื่อครั้งพุทธกาลตราบจนปัจจุบัน

สิกขา หรือ ศึกษาใน ศีล สมาธิ และปัญญา คือเรื่องที่ต้องทำตลอดชีวิตครับ

สติ คือเครื่องพาเราพ้นอบายได้ ตราบถึงฝั่งพระนิพพาน

สติ เป็นโสภณเจตสิก มีนัยยะลึกซึ้งมาก ลำพัง "สติ" นี่เองทำปุถุชนเป็นอริยชนมานักต่อนักแล้ว

ขอให้ทุกท่านทำความเข้าใจคำว่า สติ ให้ดี บล็อกนี้ก็เคยพูดถึงหลายครั้งแล้ว สติ ไม่ใช่อะไรที่ตื้นเขินนะครับ หลายท่านอ่านจากบล็อกนี้แล้วน่าจะแยกได้แล้ว ว่าอะไรคือสติในทางโลก อะไรคือสติในทางธรรม

จบดีกว่า พิมพ์โชว์ออฟเรื่องธรรมะไว้แยะ เดี๋ยวชวนเจ๊เนเจอร์หมั่นไส้เปล่า ๆ (หาว่าสร้างภาพอีก)

อืมม์ กราบขอบคุณคุณพี่แอสตันที่เคารพยิ่ง ผมแวะมาพิมพ์เยอะหน่อย ไม่ว่ากันนะพี่นะ

นาน ๆ อยากทำความดีบ้างน่ะ


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:13:04:58 น.  

 




ทำอยากน่ะค่ะสมาธิเนื้ย ไม่ค่อยได้เลย มีความสุขมาก ๆ น่ะค่ะ




โดย: icebridy วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:13:36:22 น.  

 
มาเยี่ยม วันอาทิตย์ครับคุณ แอสตัน วิลลา

ท่าทางทำโมะ เอ๊ย ธรรมะธรรมโม นะครับเนี่ย
ผมล่ะไม่เล้ยย

ช่วงปีใหม่เพื่อนชวนไปปฏิบัติธรรม ผมก็ปฏิเสธบุญหน้าตาเฉยเลย
เหอ เหอ


โดย: กุมภีน วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:15:01:34 น.  

 
ตามมาเป็นแควน (แฟน) คลับคนใหม่

ม่ายรู้จะยังจำกันได้อะป่าว
เจอกันที่สวนสันติธรรม ตอนที่คุณ แอสตันไปภาวนาสู้หนาวที่นั่นไง ไปกับหมอเกด น้องเกด น้องนภา จำกันได้ยัง

ถ้าจำไม่ได้ ก็ให้รู้ว่าจำไม่ได้เนอะ ...
ขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงด้วยค่ะ


โดย: สาวิกา IP: 124.120.98.124 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:16:10:28 น.  

 
ผมแวะมาร่วมปิดคอร์สอีกครั้ง

แหะ ๆ


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:17:17:30 น.  

 
ส่วนตัวพี่ หลายๆอย่างมันไม่อำนวยให้ปฏิบัติธรรมได้เลย

ก้อเลยใช้วิธี

ทำที่ใจ

คือวันไหนใจสบายๆ ก้อจะนั่งเงียบๆ

คิด
ว่า วันนี้ ทำอะไรไปบ้าง ขัดอก ขัดใจ ใครหรือเปล่า

เพราะด้วยหน้าที่การงาน
ต้องพบปะผู้คนมากๆในแต่ละวัน
แล้วแต่ละคน
แต่ละอารมณ์

ถ้ารู้สึกตัวว่า มากเกินไป
ก้อจะเบรคอารมณ์ตัวเองลง

โชคดีที่พี่มีวิธี หย่อนอารมณ์ หลายแบบ
และหนึ่งในหลายก้อคือ


การได้มารับความรู้จากคุณเอ๊ดขอบคุณสำหรับเรื่องดีดี

ที่เอามาแบ่งปันค่ะ


โดย: ฟอ รอ ฟัน..โช๊ะๆ (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:18:07:30 น.  

 
ฮ่าๆๆ.. คุณน้องดำฮา มีภูมิธรรมลึกซึ้ง.. ขอคารวะ

ถูกแล้วครับ.. หลักการปฏิบัติธรรม มีอันเดียว คือการเจริญสติปัฏฐาน

แต่ในนั้นก็แยกไปเป็น กาย เวทนา จิต ธรรม ตามจริตนิสัย ความถนัดของแต่ละคน

ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ก็มีวิธี มีรูปแบบการสอนต่างๆกันไป

เพียงแต่ ถ้าปฏิบัติถูก ก็ถูกเหมือนกัน ปฏิบัติผิด ก็ผิดเหมือนกัน

ที่ถูกเหมือนๆกัน คือ "รู้ตรงตามความเป็นจริง ในปัจจุบัน"
ที่ผิดเหมือนๆกัน คือ "กดข่มบังคับไว้" หรือ "หลงเผลอไหลไปตามกิเลส"

วิธีที่ผมเล่าให้ฟัง ก็เป็นพื้นฐานกว้างๆ คร่าวๆ สำหรับคนที่ "คิดมาก" และเหมาะจะดูจิต
โดยเฉพาะ คนเมืองสมัยใหม่ ที่ถูกสอนให้ "คิด" มาก

ที่จริง ผมไม่อยากอ้างอิงชื่ออาจารย์ หรอกครับ คุณดำฮา
เพราะผมยังไม่เก่ง รอบรู้อะไร ผมพูดตามที่ผมฟังมา ปฏิบัติมา
และพยายามเขียนให้เพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆ เข้าใจกันได้ง่ายที่สุด

อะไรที่รู้ ก็บอกตามที่รู้ ที่ไม่รู้ ก็ไม่พูด หรือถ้าถาม ก็จะบอกว่าไม่รู้

ธรรมะ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ได้เรียงลำดับ ABCD-Z
ขอแค่จับหลักพื้นฐานให้ถูก จะเรียนสายไหน อาจารย์ไหน ก็ได้เหมือนกัน

คือถ้าแม่นในพื้นฐานที่ถูกต้อง ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ ที่สอนวิปัสสนา แต่ให้ฝึกบังคับกดข่ม
ก็จะได้ทราบว่า อันนั้นยังเป็นสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนาแท้จริง เป็นต้น

สวัสดีอาจานเข้ครับ ผมเรียกตัวเองว่าเป็นพวกธรรมชาติ ศึกษามากกว่าครับ
ไม่ค่อยรู้จริง อย่างคุณดำรงเฮฮาเขาหรอก

สาวิกา.. พี่จำได้แต่ สองเกด กะหมอกุ๊ก แหะ แหะ เลยจำชื่อเราไม่ได้ พี่ความจำสั้น เหมือนปลาทองน่ะจ้า

คุณแพ็ท ค่อยๆอ่านครับ ค่อยๆอ่าน

คุณ ice bridy นั่งสมาธิไม่ได้ ก็เดินแล้วรู้สึกตัวเอาก็ได้นะครับ

พี่ฟ้าฯ ขอบพระคุณครับ

รู้แล้ว ว่าดำฮา.. ทำไมไม่ค่อยเขียนเรื่องธรรมะ
ยิ่งเขียนเรื่อง ธรรมะ คนยิ่งอ่านน้อยลง 55555


โดย: aston27 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:18:47:48 น.  

 
ขอบคุณมากครับพี่เอ๊ด ที่ช่วยไขข้อข้องใจนะครับ

ชอบจังเวลาที่อ่านเรื่องธรรมะ แบบอธิบายง่ายๆจากผู้รู้น่ะ
มันทำให้รู้สึกว่าสนุกที่จะได้ทดลองและศึกษามากขึ้นเรื่อยๆครับ

จริงๆอ่านแล้วก็มีคำถาม(อีกแล้ว...ตามแบบฉบับคนขี้สงสัย) เช่น จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงโหมดวิปัสสนาแล้ว และอีกหลายคำถาม แต่ อืม....เกรงใจ ยังไม่ถามดีกว่าครับ

อยากลองศึกษาหาคำตอบเองให้มากๆก่อนครับ ผมตอนนี้คงเหมือนคนที่กำลังอ่านเรื่องเลขยกกำลัง แต่ยังไม่รู้วิธีคูณเลข คำถามเลยยังเรียบเรียงไม่ถูก

ดังนั้นขอกลับไปปรับเบสิกใหม่ก่อนครับ

>>>รู้แล้ว ว่าดำฮา.. ทำไมไม่ค่อยเขียนเรื่องธรรมะ
ยิ่งเขียนเรื่อง ธรรมะ คนยิ่งอ่านน้อยลง 55555

เออ แฮะ ท่าจะจริง จาก 40 Comment เหลือ 8 Comment ฮา.... (แซวเล่นครับ อิอิ
)


โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:23:00:35 น.  

 
อนุโมทนาครับ ^^


โดย: bVis IP: 124.121.111.175 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:23:57:41 น.  

 
อา... ผมพลาดตอนสอง
สงสัยต้องกลับไปอ่านตอนสองก่อน
และคงต้องค่อยๆ อ่านครับ

ปล. รบกวนเช็คหลังไมค์ด้วยครับพี่เอ๊ด


โดย: King Of Pain วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:1:25:57 น.  

 
มาร่วมปิดคอร์ส

อนุโมทนา.Satu..


โดย: law of nature (law of nature ) วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:8:41:03 น.  

 
จบดีกว่า พิมพ์โชว์ออฟเรื่องธรรมะไว้แยะ เดี๋ยวชวนเจ๊เนเจอร์หมั่นไส้เปล่า ๆ (หาว่าสร้างภาพอีก)
^^
^^
มีพาดพิง เจ๊บอกแล้วว่าให้ดำรงพิมพ์ให้อ่านบ้าง ดำฮาก็เล่นแต่ตลกทุกวัน'' ไม่ต้องมาสร้างภาพเพราะไม่มีภาพให้สร้าง''

พยายามอย่างไร ญาติบล็อกคงจะเชื่อหลอกนะ.... ลองทำจิ ถ้าญาติบล็อกไม่ตกใจ ประหลาดใจ ให้มันรู้ไป

แค่บอกว่าดำฮาเรียนด้านพุทธศาสนา เค้ายังแตกใจกันทั้ั้งนั้น ยกเว้นเจ๊ที่ไม่แปลกใจ

ขอบคุณ คุณแอสตันค่ะ


โดย: law of nature วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:8:49:58 น.  

 
เรื่องแบบนี้ คนบาปหนาอย่างผมเข้าไม่ค่อยถึงเท่าไหร่


โดย: strawberry machine gun วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:9:35:48 น.  

 
กราบงาม ๆ ท่านแอสตั้น
คราวหน้าไม่กล้ามาเม้นท์ยาวแล้ว กลัวเรตติ้งท่านร่วงหล่น ขออภัยจริง ๆ นะครับ ฮ่า ๆ ๆ ผมนี่มาฉุดคนห่างศาสนาหรือเปล่าวะเนี่ย เฮ้อออ


โดย: ดำรงเฮฮา (ดำรงเฮฮา ) วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:14:14:58 น.  

 
คารวะ หลวงพี่...เอ่อ..อ้าว ไม่ใช่หลวงพี่หรอกเหรอคะ

แวะมา บอกว่าข้าพเจ้าเปิดเผยฟามลับตามที่คุณนูห์เรียกร้องแล้ว อยากรู้หรือไม่อยากรู้ ก็เชิญรับกิจนิมนต์นะเจ้าคะ....


โดย: Life's like that (Life's like that ) วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:15:34:03 น.  

 
เข้ามาอ่าน มาตามเก็บข้อมูล ปฏิบัติธรรม

เอาไว้ไปเม้าท์ต่อ โฮ๊ะๆๆ


โดย: อุนากัณ IP: 124.157.131.220 วันที่: 16 มกราคม 2550 เวลา:2:28:52 น.  

 
ตอนนี้ยาวมากเลยครับ
แต่ก็น่าจะได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า
ขอร่วมด้วยช่วยกันอนุโมทนาสาธุครับ


โดย: sTRAWBERRY sOMEDAY วันที่: 16 มกราคม 2550 เวลา:3:42:13 น.  

 
อ้าว อ่านอยู่เพลินๆแล้วตอนท้ายเหมือนโดนพาดพิง

จริงๆพี่เขียนได้อ่านเพลินนะคะ ขนาดคนเง่าๆอย่างอายอ่านยังเข้าใจ แต่พออ่านเห็นหัวข้อเป็นเรื่องปฏิบัติธรรมคนอ่านอาจจะท้อมั้งคะ


โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 16 มกราคม 2550 เวลา:3:50:16 น.  

 
ดำรงเฮฮาอย่าน้อยใจ โอ๋ โอ๋

คุณเอ๊ดใจดีนะคะ


โดย: law of nature วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:3:35:30 น.  

 
ใช่ๆๆ.. คุณน้องดำฮา อย่าน้อยใจ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย

เรื่องเรตติ้ง ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติน่ะดีแล้วครับ

ผมไม่ได้หวังอะไรเยอะแยะ แค่มีคนอ่านเท่าบล็อคคุณดำฮา ก็เฮแล้ว

ปิดคอร์สแล้ว เย้......


โดย: aston27 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:9:10:49 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ ขออภัยนะคะ ห่างหายไปนาน
ยังไม่ลืมเรื่องดี ๆ ที่คุณเขียนหรอกค่ะ แต่ไม่ว่างจริงๆ
งานวิจัยสุมกองอยู่ 2 เรื่อง แล้วยังรายงานเรื่องสำคัญอีก

เอาค่ะวันนี้มาแล้ว อ่านซะให้จุใจเลย

เรื่องปฏิบัติธรรม ฟังแล้วเหมือนเครียด
แต่คุณเขียนแล้วเหมือนเป็นเรื่องง่าย น่าปฏิบัติมาก

สรุปว่าอยู่ที่จิตตัวเดียว สุข ทุกข์ จิตเราสร้างทั้งนั้น
ถ้าทำจิตละเอียดได้ จะดีเยี่ยมเลย

มีความสุขในวันทำงานนะคะ


โดย: ซออู้ วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:9:16:31 น.  

 
คุณaston27 หนิงต้องรีบมาแล้วรีบไป เพราะหนิงมาหาคุณ 11 รอบแล้วมั้ง ทุกครั้งคอมพ์หนิงแฮงค์เฉยเลยคะ ที่เม้นท์ ๆ ไปหายหมด ตั้งใจนะนั้น

หนิงไม่ห่างจากบลอคคุณหรอก หนิงมาอ่านประจำ บางที่เม้นท์ ๆ ไปมันหาย เครื่องดับไปก็มี คุณทำอะไรไว้ ลงยันต์กันผีแม่ม่ายหรือไง

ปล.วันหลังหนิงจะมาชวนคุยเรื่องลูกนะ
แล้ว เตรียมจัดรายการ ...อย่าบอกนะ ว่าทำงานสายเดียวกัน

มาลำพูนเมื่อไหร่ หนิงเลี้ยงเต็มที่งบ 20 บาท


โดย: run to me วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:10:02:01 น.  

 
มาเยี่ยม
พร้อมทั้งมาชวนเข้าร่วม “โชว์โปรเจค” ด้วยคัรบคุณ aston27

เชิญโชว์ BG Award


โดย: กุมภีน วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:10:31:06 น.  

 
ตามมาปิดคอร์สด้วยค่ะ
ตั้งแต่หนึ่งถึงสาม
พอจะรู้บ้างค่ะว่าจิตแว้บไปไหนบ่อยๆ
นั่งๆ อยู่อ้าว ใจลอยอีกแล้ว
นั่งอยู่บางที คิดซ้อนกันสามสี่เรื่อง
สงสัยตัวเองเหมือนกันค่ะว่าคิดได้ยังไง
แต่เท่าที่อ่านมา พอมีคำภาษาบาลีปุ๊บ
หัวจะปิดปั๊บ ไม่รับ อ่านผ่านๆ
พอเจอภาษาไทย ต่อให้เป็นประโยคยาวๆ เช่น
หนุ่มๆ ไปเดินเซ็นเตอพอยต์ เห็นหน้าสาวเดินผ่าน ถูกใจ ก็รู้สึกตัวว่า..
เออ มีความรู้สึกชอบ เกิดขึ้นเว้ย.. แค่นี้ก็วิปัสสนาแล้วครับ

อันนี้เห็นภาพ เข้าใจเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ
^^


โดย: I am just fine^^ IP: 58.8.115.34 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:14:01:55 น.  

 
ขอบคุณเช่นกันครับ ทั้ง คุณ I am just fine^^ แม่หนิง อาจารย์ซออู้ และอาจารย์เข้


โดย: aston27 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:23:28:00 น.  

 
I LOVE YOU


โดย: เด็ด IP: 203.172.213.65 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:48:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.