|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปฏิบัติธรรม ทำอะไร :ตอน 3 ปิดคอร์ส
ว่าจะเปลี่ยนไปเขียนเรื่องอื่น ก็นึกเสียดาย ว่า น่าจะพูดทีเดียวให้จบคอร์ส ไหนๆก็มี สองสามท่านอุตส่าห์สนใจ สละเวลามาอ่านมาถาม แล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ถ้าจะแจกแจงเรื่องวิธีปฏิบัติเสียหน่อย เพราะตอนผมเริ่มศึกษาใหม่ๆ ก็งงแบบนี้แหละ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ถามต่อเลยว่า.. อิฉันอยากเป็นผู้ปฏิบัติ มันมีวิธีการยังไงมั่งคุณแอสตัน
วิธีการของนักปฏิบัติธรรม เหมือนฝึกเล่นกีฬาทั่วๆไปครับ มันมักจะแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ
1. การฝึกให้มีกำลัง สร้างกล้ามเนื้อ สร้างความแข็งแกร่ง สร้างความอดทน พละกำลัง และความว่องไว จะวิ่งรอบสนาม เล่นเวท กระโดดเชือก อะไรก็ว่ากันไป
อันนี้ถ้าเป็นเรื่องปฏิบัติ เราเรียกว่า ฝึกสมถะกรรมฐาน (บางตำราเขียน สมถกัมมัฏฐาน) วิธีฝึกสมถะมีหลายวิธี แต่ที่แพร่หลายคุ้นเคยกันมากที่สุด คือนั่งสมาธิ แบบที่คุณ tony koon ถามในบล็อคก่อน
ที่จริงแล้ว สมาธินี่ทำได้ทุกที่เหมือนกับวิปัสสนานะ ยืนบนรถเมล์ แค่หลับตารู้สึกอยู่ที่ลมหายใจ เข้า-พุท ออก-โธ พุทโธ ไปสมาธิก็เกิดแล้ว (ลองดูตอนนี้เลยก็ได้ครับ)
หรือเวลานอนก่อนจะหลับ เราเอาความรู้สึกไปแตะไว้กับท้องดูพอง ยุบ หรือลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นการทำสมาธิอย่างนึง
จิตที่เป็นสมาธิ จากการทำสมถะ จะเป็นจิตที่นิ่ง สงบ นักปฏิบัติวิปัสสนาจึงมักอาศัยสมถะ เป็นที่แวะพักผ่อน
ไม่เอาเป็นบ้านจริงๆจัง เพราะยิ่งทำมากๆ ก็จะยิ่งนิ่ง ดิ่ง ลึก แต่ไม่มีธรรมชาติมาโผล่ให้เห็น
เมื่อไม่มีอะไรโผล่มา ก็ไม่เห็นความจริงของจิต เมื่อไม่เห็นก็ไม่เกิดปัญญา
คนที่ทำสมถะมานานๆ เมื่อจะเจริญปัญญา จึงต้องเปลี่ยนโหมดไปเป็น วิปัสสนา
2. การฝึกเทคนิคของการเล่น เช่นนักฟุตบอล ก็ต้องฝึกเบสิคการครองบอล การเลี้ยงลูก การเตะ การรับส่งบอล ที่สำคัญที่สุดคือ การยิงประตู
ถ้าเป็นเรื่องปฏิบัติ เราเรียกศัพท์เทคนิคว่าวิปัสสนานี่แหละ
ทั้งสมถะและวิปัสสนา เป็นเครื่องมือสองอันที่ควรมีไว้คู่กัน เหมือนช้อนกับส้อม เหมือนซูชิกับวาซาบิ เหมือนครูมิโดริ กับดร.เซมเบ้
นั่งสมาธิ เอาแต่สมถะอย่างเดียว ก็เหมือนนักฟุตบอล ที่แรงดี วิ่งไว เบสิคบอลดี แต่ไม่ยอมยิงประตู
เลี้ยงบอลได้ ครองบอลเก่ง แต่เลี้ยงอย่างเดียวไม่เคยยิงประตูคู่ต่อสู้เลย เก่งแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เล่นไปทั้งปี ก็แพ้ทั้งชาติ
พื้นฐานของการทำวิปัสสนา คือการหมั่นทำความรู้สึกตัว เพื่อให้จิตจดจำสภาวะได้ เรียกว่าฝึกเจริญสติภาวนา คือทำให้สติมันเจริญขึ้น
ที่บอกว่าเจริญขึ้น เพราะสติในระดับคนปกติ ที่ไม่เคยฝึก มันเป็นสติที่ไม่แน่ว่าจะเจริญ
เป็นผู้ร้าย จะไปยิงใคร เขาก็มีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรใช่ไหม เป็นขโมย จะขโมยอะไร ก็ยังมีสติรู้ว่าตอนไหนลงมือ เป็นแมวจะตะครุบหนู เป็นงูจะฉกกบ มันก็มีสติกันทั้งนั้น
สติที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เจริญ จึงยังไม่ใช่ สัมมาสติ เอาไปใช้ทำงานวิปัสสนาไม่ได้
สติที่เป็นสติตัวจริง หรือสัมมาสติ ใช้งานใช้การได้ ในทางปฏิบัติธรรม ต้องเป็นสติที่เกิดขึ้นเอง โดยเราไม่ได้คิด ไม่ได้จงใจ ไม่ได้บังคับให้มันเกิด
อ้าวๆ.. คุณแอสตัน อย่าเขียนให้อิฉันงงสิ
ไม่ต้องงงครับ (งงก็ให้รู้เข้าไปที่ความงง อิอิ) มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงบอกว่า ขั้นแรกมันต้อง input ป้อนข้อมูลให้จิตมันรู้จักสภาวะก่อน ว่า เออ.. อันนี้โกรธอยู่ โกรธเป็นงี้นะ มันวูบวาบขึ้นมากลางอก มันดับไปยังไง
วิธี input ง่ายที่สุด ก็คือการ รู้สึกตัว นั่งสมาธิอยู่ ใจมันลอยไปคิดเรื่องอื่น ก็รู้สึกตัว ว่าใจลอย นั่งกินข้าวอยู่ ใจมันลอยไปคิดเรื่องอื่น ก็รู้ว่าเผลอไป
ที่เรียกว่าเผลอ ก็เพราะขณะที่เราใจลอย สติเรามันไม่ตั้งมั่นอยู่กับกายใจของเรา
คนส่วนมาก ในขณะใจลอยไปคิด ก็จะรู้เรื่องที่คิด แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดอยู่
หนุ่มๆ ไปเดินเซ็นเตอพอยต์ เห็นหน้าสาวเดินผ่าน ถูกใจ ก็รู้สึกตัวว่า.. เออ มีความรู้สึกชอบ เกิดขึ้นเว้ย.. แค่นี้ก็วิปัสสนาแล้วครับ
คนที่เห็นได้ละเอียดขึ้น จะเห็นจิตมันส่งออกนอกไปอยู่ที่สาวเจ้าคนนั้น พอดูๆไป เห็นแฟนเธอเดินมาจับมือกัน โอ้ยยย.. ปวดใจ รู้ว่าปวดใจ
เมื่อกี้ยังมีความสุข เคลิ้มๆ ที่เห็นสาวสวย ตอนนี้เซ็งแล้ว เพราะเห็นว่าเธอมีแฟน ก็รู้ทันจิตไปอย่างที่มันเป็น นี่ก็วิปัสสนาเหมือนกัน
วิปัสสนา ไม่มีรู้ผิด หรือรู้ถูก มีแต่ "รู้" กับ "หลงไปเผลอไป"
จากขั้นแรกที่ป้อนข้อมูลให้จิตจำสภาวะได้ ทำไปให้ได้บ่อยๆ ระยะนึง สติจะเริ่มทำงานเอง เวลาเราเจอสภาวะเดิม สติมันจะเกิดเอง
เช่นใจลอยๆไป สติเกิดรู้ทันขึ้นมาว่า ฮั่นแน่.. ใจลอยเว้ย ความคิดจะดับวับไปเลย อันนี้บางคนก็เคยเป็นแหละ เพียงแต่ไม่รู้ว่า อันนั้นเรียกอะไรแค่นั้นเอง
มันจึงมีข้อห้ามอยู่ว่า เราควรหมั่นเจริญสติเนืองๆ ยกเว้นเวลาทำงานที่ต้องใช้ความคิด เพราะ "คิดกับรู้เป็นศัตรูกัน" จำได้ใช่ไหมครับ
พอเริ่มขั้นสอง จะเห็นบ่อยๆว่า จิตมันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เนืองๆ ตามสิ่งที่มากระทบ
จิตที่ไปรู้อารมณ์มันไม่คงที่ มันเปลี่ยนแปลง และมันบังคับไม่ได้นะครับ ตามเฉลยข้อสอบที่พระพุทธเจ้าบอกไว้เป๊ะ
เมื่อสติเจริญขึ้นระดับนึง ศีล สมาธิ และปัญญา จะตามมาเอง
ศีลในระดับของผู้ปฏิบัติ จะต่างจากการไปขอศีลจากพระที่วัดนะครับ
ที่ไปขอมา เขาเรียกศีลเชิงจริยธรรม เอาไว้เพื่อให้อยู่ร่วมกับชาวบ้าน คนรอบข้างอย่างสันติสุข
แต่ถ้าเป็นศีลของผู้ปฏิบัติ มันคือการที่มีสติเกิดขึ้นเอง แล้วรู้ทันกิเลส และสตินั้นคุ้มครองรักษาจิต ไม่ให้หลงไปทำชั่วได้ จิตที่มีสติ จะค่อยๆตั้งมั่น ไม่หลงไป ไหลไปกับความคิดชั่วๆ
ตรงนี้ ต้องเน้นว่า .. ไม่ใช่ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วจะไม่มีความคิดไม่ดี เกิดขึ้น จะไม่มีกิเลส จะไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข ปล่าวน่อ
เพียงแต่ มีกิเลส ก็ไม่หลงไปทำชั่ว สติจะประคองไว้ มีทุกข์ ก็ไม่ทู๊กกกกกกกกกกกกก จนหน้ามืดแปดด้าน
เป็นผู้ปฏิบัติแล้ว กิเลสก็ยังมี บางทีอาจจะรู้สึกว่ามีมากกว่าเดิม เพราะก่อนหน้านี้ มีแล้วไม่เคยเห็น พอมาเห็นจริงๆ ถึงรู้สึกว่า โห.. เยอะจิงๆ
มีสติ แล้วมีสมาธิยังไงโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ??
ก็เมื่อสติตัวจริงเกิดได้บ่อยๆ จิตที่เคยแฉลบแว๊บวิ้ว ก็จะแฉลบสั้นลง เพราะสติจะว่องไวขึ้น เมื่อจิตแว่บไปทำงานข้างนอกน้อยลง ก็จะตั้งมั่น อยู่กับกายใจ เกิดเป็นสมาธิ
ปัญญาล่ะ คุณแอสตัน.. กะอีแค่ รู้สึกตัว จนสติเกิด สมาธิมา ปัญญาจะมีเองเลยเหรอ
ปัญญาตัวนี้ อย่างที่เล่าไว้ว่า.. เป็นภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เจริญขึ้นด้วยการเจริญของสติ ของจิตที่มีคุณภาพขึ้น
ปัญญาตัวนี้ ไม่ใช่ปัญญาที่ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย
แต่เป็นปัญญาที่ทำลายความโง่ของจิตเรา ที่หลงคิดไปว่า มีสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา"
เพราะระหว่างทางที่สติมันเจริญขึ้น มันจะเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไปของอารมณ์ต่างๆ
เห็นจิตดวงแล้วดวงเล่า ที่ไปจับอารมณ์ต่างๆนานา แล้วก็ดับ แล้วจิตดวงใหม่ก็เกิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
ความสุขเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป ความทุกข์มาแทนที่ ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ความสุขตัวใหม่ เกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วดับไป ทุกข์ตัวใหม่ก็มาแทน วนเวียนกันอย่างนี้ ทั้งชาติ
จิตมันเวียนว่ายอยู่แค่นี้แหละครับ ไม่มีอะไรเป็นของมันจริงๆสักอย่าง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อะไรที่คุณคิดว่า เป็นความสุขสูงสุดแล้วครับ? ลองนึกถึงความสุขอันนั้น แล้วพิจารณาดูว่า มันสุขแท้ สุขเที่ยง คงที่ถาวรหรือเปล่า
วิปัสสนาปัญญา เราไม่ได้ทำเพื่อวิ่งหาสุข วิ่งหนีทุกข์ แบบทางโลก เราต้องการเห็นความจริง ว่าชีวิตนี้กับทุกข์ มันของคู่กัน เพราะทุกข์มีอยู่ ความอยาก(ละทุกข์) จึงมา เพราะมีความอยาก จึงมีทุกข์อยู่
2 ตัวนี้คือหัวโจก ล่ะครับ สุมหัวกันเป็นวงจรอุบาทว์
เฉลยข้อสอบข้อสุดท้าย ครูบาอาจารย์เก่งๆ ท่านบอกว่า ทุกข์มีไว้ให้รู้ สมุทัย (ความอยาก)ให้ละ
คนส่วนมาก แม้แต่ผู้ปฏิบัติเองก็ทำผิดบ่อยๆ คือเห็นทุกข์แล้วไปพยายามละทุกข์
ที่จริงแล้ว หลักคือให้เข้าไปรู้ทุกข์ ด้วยสติ แล้วรู้ทันความอยากละทุกข์ เพื่อความอยากจะดับไปด้วยตัวมันเอง
แล้วก็จะเห็นว่า.. ความอยากก็เป็นสิ่งนึงที่จิตไปรู้เข้า ความทุกข์ ก็เป็นสิ่งนึง ที่จิตไปรู้เข้า ความสุข ก็เป็นแค่สิ่งนึง ที่จิตไปรู้เข้า ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ปฏิบัติธรรมจึงไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านี้ .. รู้สึกตัว นี่แหละ
ไม่เกี่ยวว่า จิตต้องดี จิตต้องละเอียด จิตต้องสงบ จิตตัวจริงเป็นยังไง ก็รู้มันไปอย่างนั้น แล้วมันจะเฉลยความจริงให้เห็น
ว่าจิตที่ดี ก็จิตดวงนึง จิตที่ไม่ดี ก็จิตดวงนึง เกิดแล้วดับเสมอกัน คนมากมายปฏิบัติ ทุกข์ไป เพราะอยากได้แต่จิตดีๆ อยากได้จิตสะอาดๆ อยากสงบๆ อยากนิ่งๆ
มันก็ไม่ต่างจากคนอยาก bitch เพราะจะได้ดูเท่ แบบที่เพื่อนผมคนนึงเขียน tag ไว้น่ะ
ง่า.. ต้องไปเตรียมจัดรายการแล้ว ใส่เพลงทีหลังน่อ สุขสันต์วันอาทิตย์นะครับ
Create Date : 14 มกราคม 2550 |
Last Update : 14 มกราคม 2550 12:22:46 น. |
|
27 comments
|
Counter : 1108 Pageviews. |
|
|
|
โดย: แพ็ท IP: 124.157.214.202 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:12:32:28 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:13:04:58 น. |
|
|
|
โดย: icebridy วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:13:36:22 น. |
|
|
|
โดย: กุมภีน วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:15:01:34 น. |
|
|
|
โดย: สาวิกา IP: 124.120.98.124 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:16:10:28 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:17:17:30 น. |
|
|
|
โดย: ฟอ รอ ฟัน..โช๊ะๆ (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:18:07:30 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:18:47:48 น. |
|
|
|
โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:23:00:35 น. |
|
|
|
โดย: bVis IP: 124.121.111.175 วันที่: 14 มกราคม 2550 เวลา:23:57:41 น. |
|
|
|
โดย: law of nature (law of nature ) วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:8:41:03 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา (ดำรงเฮฮา ) วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:14:14:58 น. |
|
|
|
โดย: Life's like that (Life's like that ) วันที่: 15 มกราคม 2550 เวลา:15:34:03 น. |
|
|
|
โดย: อุนากัณ IP: 124.157.131.220 วันที่: 16 มกราคม 2550 เวลา:2:28:52 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:9:10:49 น. |
|
|
|
โดย: ซออู้ วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:9:16:31 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:10:02:01 น. |
|
|
|
โดย: กุมภีน วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:10:31:06 น. |
|
|
|
โดย: I am just fine^^ IP: 58.8.115.34 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:14:01:55 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 17 มกราคม 2550 เวลา:23:28:00 น. |
|
|
|
โดย: เด็ด IP: 203.172.213.65 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:48:18 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ตามอ่านแทบไม่ทันเลย
ลงชื่อก่อน เดี๋ยวแวะมาอ่านค่ะ...