|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
จุดเปลี่ยนของชีวิต
ผมเชื่อเอาว่า คนส่วนมากจะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปในเส้นทางใหม่ ไม่ว่าจะดีขึ้น หรือแย่ลง
เหมือนที่ผมเคยพูดถึง เจ เค โรวลิ่ง เหมือนเรื่องของผู้หญิงหลายคนอย่าง โอปราห์ วินฟรีย์ เหมือนน้องๆหลายคนที่ผมเคยรู้จัก
ผมมีจุดเปลี่ยนของชีวิตอยู่หลายครั้ง หลายหน ครั้งแรก คือคราวที่ผมต้องเลือกว่า ผมจะไปอยู่เมืองนอก หรืออยู่เมืองไทยต่อไป
ครั้งที่สอง คือคราวที่ผมเลือกกลับไปทำงานที่เชียงใหม่
ครั้งที่สาม คือคราวที่ผมออกจากงานครั้งแรก
ครั้งที่สี่ คือคราวที่ผมตัดสินใจแต่งงาน อันนี้รวมถึงการยอมที่จะเปลี่ยนใจมีลูกตามคำขอของอดีตภรรยา และจบลงด้วยการเดินหันหลังจากกัน
แต่ไม่มีครั้งไหนเลย จะเทียบได้กับการที่ผมได้รู้จักโลกของธรรม
การได้สัมผัสโลกใบนี้ ในตอนเริ่มต้น มันมักจะกระอักกระอ่วน ไม่รัญจวนใจเหมือนการบำเรอตัวเองด้วยกิเลสที่เราคุ้นเคย
ตอนนั้นมันออกจะเหนียมๆ อายๆ เวลาจะบอกใครว่า.. ผมไปเรียนวิปัสสนามา แต่ถ้าบอกว่า ไปลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค มันพูดเต็มปากไม่ลำบากใจ
จะบอกเขาว่า เราไปเดินจงกรม มันฟังดูไม่เท่ เก๋ กู้ด เหมือนเวลาเราบอกใครว่า เราไปเดินพาราก้อนนะ
จะบอกชวนเพื่อนไปนั่งสมาธิ ไปเรียนวิปัสสนา มันฟังดูไม่อินเทรน ไม่เดิ๊น เหมือนชวนไปนั่งเหล่สาวที่สลิม แถวอาร์ซีเอ หรือร้านนั่งเล่น แถวเอกมัย
จะบอกใครว่าเราไปฝึกเจริญสติ มันก็ฟังไม่น่าจำเป็นเท่ากับการไปเจริญวุฒิทางโลกแบบ MBA
แต่กระนั้น.. โลกของธรรมที่ผมรู้จัก มันสงบ อบอุ่น งดงาม สว่าง ต่างจากความสว่างของโลกเดิมที่ผมเคยรู้จัก
พูดแบบนี้ คุณอาจเข้าใจว่า โลกสองใบนี้ มันอยู่ห่างกันคนละจักรวาล ที่จริง โลกสองใบนี้ ก็คือโลกใบเดียวกัน ที่คุณกับผมยืนอยู่ด้วยกันนี่แหละ
มันคือโลกในใจของเราทุกคน ที่เราอยู่กับมันในทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เราไม่เคยสนใจที่จะเข้าใจรู้จักโลกในอีกด้านหนึ่ง เท่านั้นเอง
อาจจะเป็นเพราะเราไม่มีความสนใจ ไม่มีแรงกระตุ้น เพราะมีความสุขอย่างลึกล้ำกับชีวิตที่เป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีใครมาบอกทาง ฯลฯ อีกล้านคำอธิบาย
อีกส่วนหนึ่ง เข้าใจว่า โลกของธรรมะมีไว้สำหรับคนมีปัญหา คนอกหักรักคุดเท่านั้น ฉันรวย ฉันสวย ฉันเก่ง ฉันสุข ฉันไม่ต้องอาศัยธรรมะอะไรมาช่วย
อีกส่วนหนึ่ง กลัวว่า ถ้าไปสัมผัสโลกใบนั้นแล้วจะต้องโกนหัว นุ่งขาว กินเจ จะดูหนัง ฟังเพลง แต่งหน้าทาปาก ยุ่งกับคนต่างเพศ ไม่ได้ ซื้อปราด้า กุชชี่ ชาแนล ไม่ได้
แท้ที่จริงแล้ว.. อย่างที่ผมบอก โลกของธรรมะ กับโลกปัจจุบัน คือใบเดียวกัน
เรายังใช้ชีวิตได้เป็นปกติ แบบที่คนธรรมดา เขาทำกัน มีคนรักได้ แต่งงานได้ ทำธุรกิจ ค้าขาย ทำมาหากินโดยสุจริตได้ แต่งตัว แต่งหน้าได้ เฮฮา เที่ยวเล่นดูหนังฟังเพลงร้องคาราโอเกะได้
แต่สิ่งที่มันจะต่างกันก็คือ.. คุณจะอยู่ในโลกใบเดิม ได้อย่างมีสติ ไม่เบียดเบียนคนอื่น และไม่เบียดเบียนตัวเอง
คุณจะค่อยๆรู้ว่า ความพอดี ความเกินพอดี ความขาด มันอยู่ตรงไหน คุณจะทุกข์ ก็ทุกข์อย่างมีสติ เวลาจะสุข ก็สุขอย่างมีสติเช่นกัน
สติ ที่เป็นสัมมาสติจริงๆ ไม่ใช่สติแค่รู้ว่า ฉันเป็นใคร ทำอะไรอยู่ อันนั้นหมาแมว ก็มี ครับ
สติ ที่เป็นสัมมาสติ คือสติที่ประกอบด้วยความเห็นถูกตามความเป็นจริงของธรรมชาติ เห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "เรา" ประกอบด้วย รูปกับนาม คือกายกับจิต ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีอะไรน้อยกว่านั้น
ถ้าสติของคุณเจริญไปถึงขั้นนึง คุณจะเห็นของแปลกอีกอย่างที่คุณอาจจะไม่เชื่อ ถ้าผมจะบอกว่า แม้แต่สิ่งที่คุณเรียกและเข้าใจเสมอมาว่า คือ "ตัวเรา" มันก็ไม่ใช่ "ของเรา"จริงๆ
สติ ที่เป็นสัมมาสติ จะทำให้เราเห็น และ "รู้" ว่า อารมณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ล้วนแต่มีธรรมชาติอย่างเดียวกัน คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
จะอารมณ์ดี อารมณ์ร้าย อารมณ์รัก อารมณ์เกลียด อารมณ์ชอบ อารมณ์ชัง หรือแม้แต่อารมณ์ที่เฉยๆ ต่างก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ไม่มีอะไรที่เรายึดถือได้ว่ามันมีตัวตน บังคับได้ หรือคงที่ตลอดเวลา สังเกตไหมครับว่า เวลาเราโกรธใคร เราก็ไม่ได้โกรธที่ 200 องศาเท่ากันตลอด แต่มันจะขึ้นๆ ลงๆ ตามเหตุและปัจจัย
เช่นเกิดนึกถึงเรื่องที่เขาทำให้เราโกรธ ความโกรธก็พุ่งขึ้น นึกถึงเรื่องที่เขาเคยดีกับเรา ความโกรธก็ทุเลาลง
เวลารักใคร ก็ไม่ได้ร๊ากกกก รัก เท่ากันทุกวัน วันไหนเขาถือดอกไม้มาให้ ก็รักมันจังเลย วันไหนแฟนเก่ามันโทรมา ก็รักน้อยลงทันตาเห็น
สติ ที่เป็นสัมมาสติ จะทำให้เรารู้ทันอารมณ์ต่างๆเหล่านี้ ว่ามันเป็นแค่สิ่งที่ผ่านเข้ามาในใจแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอะไรให้ยึด ไม่มีอะไรให้แบก
สิ่งที่เหลือไว้ มันแค่ตะกอน ที่เราไปกักมันไว้
คนที่อยู่ในโลกของผู้ปฏิบัติ จึงมีโอกาสจะใช้ชีวิตในโลกธรรมดา ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเป็นสุข เบา สบาย ด้วยเหตุที่เขาจะไม่แบกทุกข์
แต่ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ใช่คนวิ่งหนีทุกข์นะครับ
หากแต่จะรู้ทัน เข้าใจ และยอมรับว่าทุกข์ เป็นของธรรมดาที่เกิดขึ้น มีขึ้นได้ ตามเหตุและปัจจัย
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเรารู้ว่า ทุกข์มันร้อน มันหนัก มันเจ็บปวด เราก็จะไม่เข้าไปแบกมัน แต่ไม่ได้ปฏิเสธ ว่ามันไม่มีอยู่
พูดง่ายๆแต่เข้าใจยากว่า.. มีทุกข์ แต่ไม่เจ็บแสบร้อน เพราะทุกข์นั้น
อันนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย สำหรับคนที่ไม่เคยมองทุกข์อย่างมีสัมมาสติ ไม่เคยเห็นเวลา ทุกข์มันก่อตัว เกิดขึ้น แล้วดับวับด้วยแรงแห่งสติ
เรามักจะเกลียดทุกข์ รักสุข วิ่งหนีทุกข์ วิ่งหาสุข แล้วก็ต้องทุกข์เพิ่มขึ้น ซ้อนๆขึ้นไป เพราะการทำอย่างนั้น
สุดท้าย คนที่เห็นโลกของผู้ปฏิบัติ จะเข้าใจหลักการเรื่องเหตุและผล พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่มีสาเหตุ
เพราะมีสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิด เพราะเหตุเป็นเช่นนี้ ผลจึงเป็นอย่างนั้น และเมื่อมีการเกิด จึงมีการดับ
ฝนตก แดดออก นกกระจอกเข้ารัง แม่ม่ายใส่เสื้อถ่อเรือไปดูหนัง ทุกอย่างมีที่มา มีสาเหตุ
สาเหตุบางอย่าง มองเห็น รู้ได้ อธิบายได้ สาเหตุบางอย่าง ก็อาจจะนอกเหนือประสบการณ์ของคนธรรมดา
สาเหตุบางอย่างที่ต้องอาศัยดวงตาพิเศษจึงจะมองเห็น คนธรรมดา ก็มองเห็นได้นะครับ เพราะทุกคนส่วนมากที่อ่านบล็อคของผมอยู่ ผมเชื่อว่ามีดวงตาที่ว่าอยู่ทุกคน แต่อาจจะหลบอยู่ หลับอยู่ ไม่เคยรู้วิธีปลุกมันให้ตื่น ให้เปิดมันออกมาใช้
ดวงตาที่ว่า จะเปิดออก ก็ด้วยสัมมาสติครับ แล้วคุณจะได้เห็นโลกที่ไม่ฉาบด้วยฟิลเตอร์ของความหลง เป็นโลกใบเดิม ที่คุณมองเห็น ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ถามว่า สัมมาสติ จะเกิดได้ จะได้มา ค้นหาจากไหน เดินจงกรม นั่งสมาธิเหรอ
ไว้ตอนหน้า ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ
บอกใบ้ให้ว่า ถ้าอ่านแล้วชอบใจ ก็รู้สึกตัวว่ามีความชอบใจ ถ้าอ่านแล้วเบื่อ ให้รู้ที่ความเบื่อ หงุดหงิด รู้ว่า หงุดหงิด ถ้าเกลียดคนเขียน รู้ทันว่ามีความเกลียดเกิดขึ้นในใจ
หรืออ่านแล้ว สงสัย อยากรู้ ก็รู้ที่ความสงสัย อยากรู้นั้น
คุณทำแบบฝึกหัดเรื่องการปฏิบัติเสร็จไปหนึ่งข้อแล้วครับ
สุขสันต์วันเสาร์นะครับ
Create Date : 27 พฤษภาคม 2549 |
Last Update : 31 มกราคม 2551 14:23:20 น. |
|
20 comments
|
Counter : 2431 Pageviews. |
|
|
|
โดย: นกฮูกน้อย (owl!owlet ) วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:11:07:27 น. |
|
|
|
โดย: นกฮูกน้อย (owl!owlet ) วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:11:21:39 น. |
|
|
|
โดย: ซออู้ วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:11:50:44 น. |
|
|
|
โดย: บุญชิตฯ IP: 86.200.240.145 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:04:25 น. |
|
|
|
โดย: tangmae วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:15:31 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:11:13 น. |
|
|
|
โดย: HoneyBunny IP: 203.209.96.48 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:00:31 น. |
|
|
|
โดย: บุญชิตฯ IP: 86.200.240.145 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:13:04 น. |
|
|
|
โดย: run to me วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:26:45 น. |
|
|
|
โดย: มิงค์ IP: 202.5.87.128 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:54:12 น. |
|
|
|
โดย: King Of Pain IP: 58.9.147.22 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:48:23 น. |
|
|
|
โดย: aston27 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:1:04:40 น. |
|
|
|
โดย: แพ็ท IP: 58.147.51.232 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:19:10 น. |
|
|
|
โดย: นิกกี้ (NFC) IP: 58.64.125.21 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:49:37 น. |
|
|
|
โดย: Life's like that IP: 58.64.82.161 วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:24:15 น. |
|
|
|
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 6 มิถุนายน 2549 เวลา:13:11:24 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี (โสมรัศมี ) วันที่: 6 มิถุนายน 2549 เวลา:14:54:49 น. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 7 มิถุนายน 2549 เวลา:20:54:36 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณสำหรับบทบทความดีนะคะ น่าจะเอาไปลงกระทู้ไว้ค่ะ หรือลงแล้วเราตาถั่วหาไม่เจอ เหอะๆ
ยังงัยแล้วจะรออ่านอีกค่ะ