|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เมล์นรก กับหมวยยกล้อ: ถึงเวลาพัฒนาสติ
ผลพลอยได้อย่างนึงของการหยุดต่อเนื่องช่วงสงกรานต์หลายวันของผม คือการได้ดูหนังเรื่องนี้แหละ
ผมดูหนังของคุณเรียว กิตติกรมาอย่างน้อยสองเรื่อง เท่าที่นึกออก เขาเป็นคนทำหนังได้มาตรฐานพอใช้คนนึงของบ้านเรา เรื่องนี้ ก็ไม่ยกเว้นนะครับ
คือถามว่าหนังดีมั้ย ตอบยาก แต่ไม่ใช่หนังห่วยแน่นอน เป็นหนังตลกที่ทำเข้าท่าเข้าที เรียกอย่างนั้นดีกว่า
ส่วนที่ผมชอบคือพล็อตที่มันสะท้อนความจริงของสังคมปัจจุบันได้ดี
ความจริงที่ว่า ความวุ่นวายของสังคม มันเริ่มจากอาการขาดสติของคนไม่กี่คน ไม่ว่าจะกรุงเทพฯ ไปถึงเรื่องสังหารหมู่ที่เวอร์จิเนีย
ในหนังเอง มันเริ่มจากการขาดสติของน้าหลาคนขับ ที่ดันไปทะเลาะกับรถน้ำสงกรานต์ และพาลไม่จอดป้าย ทำให้ผู้โดยสารอย่าง ซูโม่กิ๊ก สติแตกจนต้องจี้รถเมล์ แล้วความเดือดร้อนก็ตามมาเป็นทอดๆ
เรื่องมันก็แค่มีรถคันอื่นขับไม่ถูกใจตัวเอง แค่รถเมล์จอดเลยป้าย แค่...........
แต่เวลาเราขาดสตินี่ เรื่องเล็กนิดเดียวมันก็ใหญ่มหึมาได้ เพราะอัตตาตัวตนของเรา เราไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ไม่ยอมให้ใครว่า ไม่ยอมให้ใครหยาม ไม่ยอมเดือดร้อนโดยไม่เอาคืน ความคิดเราต้องถูก ต้องเป็นใหญ่
ลองสำรวจตัวเองบ้างก็ดีนะครับ ว่าเราขาดสติกันบ่อยไหมในแต่ละวัน หรือถ้าพูดแบบที่ครูบาอาจารย์ผมท่านสอนไว้ ก็ต้องบอกว่า คนส่วนมากมีชีวิตแบบขาดสติเผลอๆหลงๆกันทั้งนั้น
ส่วนมากจะรู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไร แต่ไม่รู้ว่ากำลังหลงคิดอยู่ บอกได้ตามตรง แต่หลายท่านอาจจะงง และไม่ค่อยเชื่อว่า มีแต่คนที่ฝึกรู้สึกตัว จนสติตัวจริงๆเกิดอัตโนมัตินั่นแน่ะ ถึงจะเห็นว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เราคิดว่า เรารู้สึกตัวๆน่ะ เราหลงกันทั้งนั้น
คนที่ปฏิบัติธรรมไปสักระยะ สติตัวจริงเกิดแล้วจริงๆนี่ ขนลุกกันทุกคนนะครับ เพราะเวลามองย้อนกลับมาว่าชีวิตที่ผ่านมา ที่เคยคิดว่าเรามีสติดีตลอดเวลา ที่จริงเราถูกหลอก
แม้แต่คนที่สนใจมาศึกษาปฏิบัติจริงๆ ก็ยังถูกหลอกกันเสียมวยมานักต่อนัก ดูผมเป็นกรณีศึกษาก็ได้
กว่าจะมั่นใจได้ มีครูบาอาจารย์รับรองว่า เออ.. แอสตันเดินถูกทางแล้ว ก็เสียเวลาไปหลายปีมากเลยนะครับ
เมื่อต้นเดือนนี้ ผมมีโอกาสไปช่วยแนะนำผู้เข้าอบรมที่วัดแห่งหนึ่ง เรื่องการวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ผมพบว่ามีข้อนึงที่ทำให้การปฏิบัติมัน "ยาก" สำหรับคนส่วนมาก
คือเรามักพยายามปฏิบัติด้วยการ "คิด" เอาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
หรือไม่ก็ "คิดปนสงสัย" ว่าจะต้องทำอย่างไร ทำอะไรสักอย่าง ให้มันยากๆ ให้มันผิดปกติ ผิดธรรมชาติ
ทั้งๆที่จริงแล้ว ธรรมะเป็นเรื่องการเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็น"ตัวเรา" นั่นก็คือกายและจิต
อะไรที่เป็น "ธรรมชาติ" แปลว่าต้องไม่ใช่เกิดจากการดัดแปลง แต่ง เติม เสริม แม้แต่ด้วยการคิดจินตนาการเอา ก็ไม่ใช่ธรรมชาติ
ถามว่า งั้นจะทำยังไงให้หยุดคิด หรือไม่คิด ตอบว่าไม่ต้องทำอะไร นอกจากรู้สึกตัวขึ้นมา ให้เกิดการรู้ตัวว่า "กำลังคิด" โดยไม่ไหลไปกับเรื่องที่คิด หรือ "อยากหยุดคิด" ก็ไม่เอา ให้รู้ว่า "อยาก"
เพราะความคิด เป็นธรรมชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งของจิต จิตก็คือส่วนสำคัญของ "ตัวเรา" ใช่ไหมครับ
ถ้าเราอยากรู้จัก อยากเข้าใจธรรมชาติของจิต ก็ต้องย้อนกลับไปดูกฏข้อแรกที่บอกว่า ต้องทำความ "รู้จัก" มันโดยไม่แทรกแซง แต่ไม่ปล่อยให้มันบังคับลากฉุดเราไปโดยไม่มีขอบเขต
พูดง่ายๆ .. จิตมันจะไปทำอะไร ก็รู้ทัน ไม่ต้องสนใจว่ามันคิดว่าอะไร รู้แล้วมันจะเป็นอย่างไร ก็เรื่องของมัน เราคอยตามดู ตามรู้ไว้
ผมเล่าไปอย่างนี้ คนที่เข้าอบรมก็ทำหน้างงกันเป็นแถว เพราะเรามักจะถูกสอนกันว่า โกรธให้กำหนด ให้ระงับ
อันนั้นมันถูกต้องในเชิงจริยธรรม ในวิธีการแบบสมถะกรรมฐาน คือไปกดข่ม บังคับไว้ ผลที่ได้คือจะได้จิตที่ดี เป็นคนดี ไม่ทำบาป ไม่ทำชั่ว
แต่ถามว่าเป็นวิปัสสนาพาตนให้พ้นจากกิเลส ได้ปัญญาพาตัวเองไปถึงนิพพานได้ไหม ไม่ได้ครับ เพราะเวลาบังคับตัว บังคับจิตเก่งๆ มันจะมี "อัตตา" ความรู้สึกว่ากูเก่ง กูแน่
นิพพานเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา นะครับอย่าลืม
พูดเรื่องเมล์นรก จะไปถึงนิพพานซะแล้ว .. คุณแอสตัน .. อันนี้ก็หลงไปในความคิดแบบนึงนะครับ 5555
ขำรู้ว่าขำนะคุณ.. ผมจะได้ได้บุญ
ไม่มีไรครับ อ่านไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร ค่อยๆสะสมความเข้าใจไป ไว้มีโอกาสเรียนรู้จริงๆเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น
งง รู้ว่า งง สงสัย รู้ว่าสงสัย เบื่อ รู้ว่าเบื่อ ชอบ รู้ว่าชอบ รู้เข้าไปตรงๆ ที่ความรู้สึกนั้น ด้วยความเป็นกลาง ในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นจนหลับ รู้สึกตัวแบบนี้ไว้บ่อยๆ แล้วจะเข้าใจเองว่าผมพล่ามอะไร
เหมือนเห็นนางงามจักรวาลเดินผ่านหน้าบ้าน ก็ดูไปอย่างเดียว ไม่ต้องเป่าปากเปี๊ยวววว หรือไปเดินตาม หรือเห็นหมาขี้เรื้อนเดินผ่าน ก็ไม่ต้องไปขว้างก้อนหินไล่
ดูแบบเป็นนักสังเกตการณ์ แล้วจะเห็นว่าความรู้สึกดี รู้สึกชั่ว มันก็เป็นแค่ของชั่วคราวเสมอกัน เกิดแล้วก็ดับ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แล้วจะเห็นว่าเวลามีสุข เราจะพยายามรั้งให้มันอยู่นานๆ เหมือนนางงามจักรวาลเดินผ่าน เราอยากดูนานๆ แต่พอเธอจะเดินไปก็เริ่มทุกข์
ไม่ได้ทุกข์เพราะอะไร เพราะใจเรามันโลภในอารมณ์นั้นนั่นแหละ
แล้วจะเห็นว่าเวลามีทุกข์ เราจะรังเกียจ เราจะดิ้นให้มันพ้นๆไปไวๆ เหมือนหมาขี้เรื้อนเดินผ่านหน้าบ้าน นาทีเดียวก็เกลียดมันจะแย่แล้ว ก็เลยทุกข์ไปอีกแบบ
ไม่ได้ทุกข์เพราะอะไร เพราะใจเรามันเกลียดในอารมณ์นั้นนั่นแหละ
ครูบาอาจารย์ท่านถึงเตือนให้เราคอยหมั่นสำรวจจิตใจ ด้วยการคอยรู้สึกตัวไว้บ่อยๆ ให้เป็นนิสัย อย่าคอยจนเวลาโทสะพุ่ง โกรธคนจนหน้าดำหน้าแดง แล้วค่อยรู้สึกตัวตอนนั้น มันก็ไม่ค่อยได้ผล
เหมือนร้อยวันพันปี ไม่เคยออกกำลัง ซ้อมต่อยกระสอบทรายชกลม ล่อเป้า กระโดดเชือก หัดฟุตเวิร์กเลย แต่อยู่มาวันนึงต้องขึ้นเวทีไปชิงแชมป์โลก มันจะชนะไหมนั่น
พูดไปคุณก็อาจจะงงอีก แต่อยากบอกไว้ว่า ไอ้คู่ชกที่น่ากลัวที่สุด ก็คือความคิดของเราเองนี่แหละ
คนเราไม่มีใครทุกข์มากไปกว่าความคิดของตัวเองหรอกนะครับ
ถ้าใครมีทุกข์เรื่องอะไรอยู่ หรือเพิ่งผ่านทุกข์ใหญ่ๆ เรื่องอะไรมา ไม่เชื่อลองสำรวจดูก็ได้ ว่าที่ผมพูดน่ะจริงไหม
ความคิดเป็นของคู่กับจิตมนุษย์ เราห้ามความคิดไม่ได้ แต่ฝึกรู้สึกตัว เพื่อพัฒนาสติให้ทันกับความคิดตัวเองได้
มีสติเมื่อไหร่ จะคิดหรือไม่คิด ก็ไม่ใช่ปัญหา จะมีปัญหาชีวิต หนักหรือเบา ก็ไม่ใช่ปัญหา ต่อให้มีทุกข์ หรือไม่มี ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะจิตที่มีปัญญาจะไม่แบกทุกข์นั้น
เพราะผู้มีปัญญาสะสมจนถึงขั้น จะเห็นว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา จิตนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นของตัวเรา เพราะตัวเราไม่มี
เมื่อไม่มีตัวเราจริงๆ ทุกข์ก็ไม่ใช่ของเรา จิตมันจะค่อยๆปล่อยวาง จะเห็นทุกข์เป็นของอย่างหนึ่งที่ไม่มีน้ำหนัก
บางคนเคยบอกผมว่า งั้นเขาไม่ต้องฝึกวิปัสสนาหรอก เพราะเขาคิดดีอยู่แล้ว
การปล่อยวางด้วยจิตมันวางเอง กับไปคิดเกลี้ยกล่อมให้มันวาง เป็นคนละวิธีการกันโดยสิ้นเชิงนะครับ
วางแบบแรกเป็นวิปัสสนา วางแล้วจะวางเลย และไม่อยากหยิบขึ้นมาอีก แต่วางแบบหลังเป็นแบบสมถะ วางได้ ก็ยังหยิบได้
เหมือน"ทรัพย์" ผู้โดยสารสติแตก ที่ใครๆพยายามปลอบให้คิดถึงเหตุและผลที่ดี ก็เย็นลงพักนึง แต่พอสติขาดอีกก็กลับไปบ้าอีก
หรืออย่าง โก๋ กระเป๋ารถเมล์ปากเสีย ที่ใครๆก็พูดให้สำนึกมีความรับผิดชอบต่อคนรัก เขาก็ไม่รู้ ไม่ซึ้ง เท่ากับที่เขาเห็นผู้โดยสารเอาใจใส่ ห่วงใยกัน และเห็นคุณค่าของการมีครอบครัว ด้วยตาของตัวเองนั่นแหละ
ถ้าวันนึง คุณเกิดโชคดีเห็นประโยชน์คุณค่าของการมีสติขึ้นมา ได้ไปศึกษาปฏิบัติขึ้นมาจริงๆ แล้วได้อาศัยสติคุ้มครองชีวิต ก็ไม่ต้องนึกขอบอกขอบใจอะไรผมหรอกนะครับ ผมไม่ใช่เจ้าของความรู้นี้
ไปขอบคุณและก้มกราบพระพุทธเจ้าเอาก็แล้วกัน เพราะผมก็เรียนจากความรู้ที่ท่านบอกทางไว้อีกที
ถึงจะไม่ได้ขึ้นเมล์นรก ก็อย่าได้ประมาท ขอให้โชคดี มีสติกันไว้เนืองๆนะครับ ไม่มีใครรู้ว่า รถเมล์ชีวิตที่นั่งๆอยู่ มันจะกลายเป็นเมล์นรกขึ้นมาเมื่อไหร่
ความแน่นอนที่สุดของชีวิต คือความไม่แน่นอนนะครับ อย่าลืม
Create Date : 22 เมษายน 2550 |
Last Update : 24 เมษายน 2550 8:59:16 น. |
|
11 comments
|
Counter : 1658 Pageviews. |
|
|
|
โดย: tanoy~ตะนอย วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:20:25:03 น. |
|
|
|
โดย: fonejank วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:20:42:13 น. |
|
|
|
โดย: Hobbit วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:21:10:44 น. |
|
|
|
โดย: Tony Koon (tk_station ) วันที่: 23 เมษายน 2550 เวลา:23:00:37 น. |
|
|
|
โดย: azamiya วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:16:36:31 น. |
|
|
|
|
|
|
|
มาอ่านคราวนี้เหมือนได้อ่านหนังสือธรรมมะดีๆเล่มนึง
เลยค่ะ ทำให้ได้มองเห็นอะไรๆมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณคุณแอสตันเจ้าค่ะ
สติถ้ามีติดตัวไว้เสมอ ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไร
ก็ไม่ต้องกลัว เพราะมีสติ ทำให้คิดวิธีแก้ปัญหาต่างๆได้
บางทีปัญหาที่เราว่าใหญ่ หาวิธีแก้ได้ยากมากๆ
แต่ถ้าเรามีสติ นั่งพักซักครู่ ค่อยๆไตร่ตรอง เราอาจจะ
ได้พบกับวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายๆ เอ...แล้วก่อนหน้านั้น
ทำไมเราคิดไม่ออกล่ะ ก็อาจจะเป็นเพราะ เราใช้
แต่อารมณ์ โดยไม่ได้ใช้สติควบคู่กันไปด้วย
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตในทุกๆวันให้มีความสุข
จะดีกว่า
ปล...สังเกตุไหมคะ ว่าวันนี้ ไม่ อี๋ๆๆๆเลย
มีความสุขในคืนนี้นะคะพี่ ^^