อารมณ์ป่วย ร่างกายป่วย
































































คุณหมออนันต์ ธนากรประเสริฐ


จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลบางประกอก1 กล่าวว่า "การบอกให้คนวัยเกินเด็ก
ที่มีความรู้เรื่องต่างๆ ดี (IQ หรือ Intelligence Quotient)
ให้เข้าใจปัญหาแท้ๆ
ของตัวเองเป็นเรื่องยาก"เพราะทุกครั้งที่ชี้ตรงไปที่ต้นตอของปัญหา
เขามักสร้างเกราะป้องกันตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น


ด้วยการเหวี่ยงความผิดไปที่คนอื่น ฉุนเฉียวหนักกว่าเดิม หรืออาจรับฟัง

พยายามปรับปรุงตัวเอง แต่ก็เป็นแค่การเลียนแบบพฤติกรรมคนอื่น

ซึ่งไม่นานก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก สะท้อนการไม่รู้จักตัวเอง (personal
meaning)








คุณสมบัติ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ; Emotional
Quotient)


1. ความสามารถในการอดทนรอคอย ไม่เป็นคนอารมณ์ร้อน วู่วาม โกรธง่าย

ชอบตำหนิผู้อื่น(Perseverance)


2. ความสามารถในการมองโลกด้านบวก (Optimism)


3. ความรู้จักเข้าใจตนเอง (Self Awareness)


4. ความเห็นใจผู้อื่น (Empathy)


5. ความสามารถในการแก้ปัญหาและความคับข้องใจ (Problem Solving)


ความฉลาดทางอารมณ์ไม่ใช่เรื่องตามกระแส
แต่เป็นสัจธรรมที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนเพราะชีวิตคนเรามีปัญหาให้ต้องแก้ไข
ตลอดเวลา ทั้งกับตัวเอง คนรอบข้าง และสังคม
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข สงบ โดยเฉพาะมีงานวิจัยมากมายยืนยันว่า
คนที่ได้รับการฝึกฝนให้อดทน รอคอยเป็น
มักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า
ทั้งในด้านการปรับตัวเข้ากับเพื่อนฝูง การอยู่ร่วมกันในสังคม

นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ดีกว่าอีกด้วย


สำหรับผู้ป่วยก็เช่นเดียวกัน มีการค้นพบว่าผู้ที่มีความเข้าใจอารมณ์ตนเอง

ซึ่งเป็นทักษะหนึ่งของอีคิว จะมีระบบร่างกายที่สมดุลกว่า จึงไม่น่าแปลกใจ

ที่คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำจะเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคที่มาจากความ
เครียดหลายโรคด้วยกัน








ปกติสมองของคนเราจะรับรู้ผ่านประสาทตาหูจมูก


แล้วส่งสัญญาณไปที่ทาลามัส (thalamus) ต่อไปที่นีโอคอร์เท็ค neocortex
สมองส่วนลิมบิก (limbic brain อันเป็นที่อยู่ของอมิกดาล่า) สมองทั้งหมด
(whole brain) สุดท้ายจึงไปถึงร่างกาย เป็นการแสดงออกผ่านดวงตา คำพูด
อากัปกิริยาต่างๆ


โดยสมองส่วนนิโอคอร์เท็คจะเป็นตัวควบคุมความคิด ตัดสินใจทำอะไร
รวมไปถึงการยั้งอารมณ์
ฉะนั้นการเชื่อมประสานกันระหว่างนิโอคอร์เท็คและอะมิกดาล่า

คือหัวใจของความฉลาดทางอารมณ์






























โง่ทางอารมณ์ก่อโรค


มองในภาพรวม ความฉลาดทางอารมณ์นั้นสัมพันธ์โดยตรงกับบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย
มีผลต่อการจัดการชีวิตและอยู่ร่วมกับคนอื่น แต่เพราะการไม่ควบคุมต่างๆนานา (อารมณ์
ความรู้สึกอันได้แก่ ความอยาก ความโกรธ ความเศร้า รวมไปถึงความสุข
พึงใจสุดขั้ว)
ไม่ใช่หรือที่ทำให้ชีวิตขาดสมดุล
มีผลโดยตรงต่ออิมมูนซิสเต็ม (immune system)
และอิมมูนซิสเต็มนี่เองที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของเรา


โรเบิร์ต อาเดอร์ Robert Ader นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์

สหรัฐอมเมริกาค้นพบว่าอิมมูนซิสเต็มเรียนรู้ได้ เพราะถือว่าเป็น Body Brain


โดยจะเดินทางไปตามเส้นเลือดเพื่อเลี้ยงร่างกาย
และมีความสัมพันธ์กับทุกๆเซลล์ นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับประสาทส่วนกลางด้วย
อิมมูนซิสเต็มจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของสัญญาณจากระบบประสาทและสมอง

เมื่อเกิดอารมณ์ด้านลบร่างกายจะเสียสมดุล


โดยมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น คอนติซอล อินซูลิน

อะดรีนาลีน และอื่นๆ ร่วมกับการทำงานที่ไม่สมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ

จนทำให้เกิดความผิดปกติขึ้น โรคบางชนิดก็เป็นผลจากอารมณ์ที่เฉพาะเจาะจง
เช่น ไมเกรน มักเกี่ยวกับความโกรธและความไม่พอใจ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมักเกี่ยวกับอารมณ์เครียด การแข่งขันเอาชนะ

ขณะที่อาการปวดท้อง


ท้องเสียเป็นตัวบอกสภาวะของการไม่อยากเผชิญหน้า คนเศร้า ขี้กังวล
มองโลกในแง่ร้าย หวาดระแวงตลอดเวลา ก็ก่อให้เกิดโรค ภูมิแพ้ ปวดหัว
และหัวใจได้ถึง 2 เท่า ส่วนคนที่มีประสบการณ์ความชิงชังในอดีต
นำไปสู่การเป็นคนก้าวร้าว ขี้หงุดหงิด ก่อให้เกิดโรคหัวใจได้เหมือนกัน








จัดการกับอารมณ์ตัวเองเถอะนะ


อย่างที่เราทราบกันดี
ความฉลาดทางอารมณ์เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันตั้งแต่เด็ก

แต่เมื่อข้ามผ่านวัยนั้นมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะสายเกินไป
เพียงแต่เจ้าตัวต้องอาศัยความเข้าใจตัวเอง และความอดทนอย่างสูง


ก่อนอื่นต้องให้เจ้าตัวตระหนักรู้ปัญหาของตัวเองก่อนอย่างอื่น
ซึ่งเป็นเรื่องยากพอควร ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น
หรือมีความทุกข์บ่อยๆ เมื่อต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น เช่น รู้สึกว่า
เขาถูกเอาเปรียบมาก เข้ากับคนอื่นไม่ได้เลย หรือว่าถูกคนอื่นแอนตี้
ไม่เอาเข้าพวก หรืออีกพวกคือ ไม่สนใจใครเลย ก็จะปลีกตัวออกจากสังคม
เก็บตัวอยู่กับตัวเอง ซึ่งก็ยิ่งยาก เพราะเจ้าตัวก็ไม่ต้องการการแก้ไขเลย


ดังนั้นต้องพยายามให้เขาได้มีโอกาสสำรวจตัวเองจริงๆ
ลองสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะในใจของเขา ดีกว่าโทษคนอื่น
สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม อย่างคนที่อารมณ์รุนแรงจะรู้สึกว่า คำพูด ท่าทาง
ปฏิกิริยาของคนแวดล้อมนั้น มีอะไบางอย่างมากระทบใจเขาอย่างรุนแรง ขัดใจเขา
จนเจ็บปวดมาก ต้องระเบิดอารมณ์ออกมา
ถ้าเขาเห็นขณะที่เขาเกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆ








เขาเริ่มเห็นภาพตัวเองชัดขึ้น


เวลาแก้ไข เราจะให้เขาแก้ที่องค์ประกอบของตัวเอง
ไม่ใช่จะต้องแก้เพราะเขาผิดหรือแย่ แต่เป็นเพียงแค่เห็นบางจุดที่รอการพัฒนา
โดยที่เวลานี้เขายังทำตรงนั้นไม่ได้
แต่ไม่ควรปล่อยให้เรื้อรังจนกระทั่งเกิดปัญหา
ต้องให้เขาแยกแยะได้ระหว่างตัวตนกับการกระทำของเขา
หากในรายที่เริ่มรู้ปัญหาและพร้อมจะรับการแก้ไข ก็ไม่ยากเย็นนัก
เริ่มตามลำดับขั้นจาก


1. รู้ว่าตัวเองมีความทุกข์ ต้องการการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ
หรือลักษณะนิสัยบางอย่าง บางครั้ง
บางคนอาจเป็นแค่ความฉลาดทางอารมณ์บกพร่องนิดหน่อย เช่น ขี้หงุดหงิด
เจ้าอารมณ์ ไม่ค่อยคุมคำพูด แต่รู้สึกว่า ตัวเองต้องการการเปลี่ยนแปลง


2. ควบคุมพฤติกรรมตัวเองขั้นพื้นฐานก่อน ซึ่งถือเป็นกฎเหล็ก คือ
ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ทำลายข้าวของ ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน
โกรธแค่ไหนก็ตาม ในช่วงแรกของการแก้ไข
เจ้าตัวยังเลี่ยงที่จะมีอารมณ์แบบเดิมไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
ตราบใดที่ไม่ทำสามข้อนี้ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิด จะไม่มีการตำหนิลงโทษใดๆ
หรือคนทั่วไปจะยึดศีล 5 ก็ได้ ไม่ทำผิดทั้งร่างกายและวาจา


3. เสริม positive thinking คือ ฝึกความคิดที่มีต่อตัวเอง คนอื่น
และภาวะสิ่งแวดล้อมในด้านบวกให้มากขึ้น


4. สมาธิบำบัด
ความจริงเรื่องการทำสมาธิถือเป็นหัวใจของการแก้ปัญหาเรื่องอีคิว
แต่สำหรับคนที่มีปัญหาจริงๆ เขาจะไปฝึกสมาธิเลยไม่ได้
เพราะจะกลายเป็นการเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่กับความโกรธ ความแค้น
ประสบการณ์ร้ายๆที่ฝังอยู่ในความทรงจำ นอกจากไม่ให้ผลดี
ยังก่อผลร้ายได้อีกต่างหาก
ดังนั้นจึงควรเริ่มจากรู้ตัวเองบ่อยว่าขณะนั้นตัวเองรู้สึกอย่างไร
คิดอย่างไร เป็นเรื่องฝึกสติ และสมาธิไปพร้อมกัน
เมื่อย้อนกลับมามองสาเหตุจากการทำงานของสมองที่มีต่อความฉลาดทางอารมณ์



















การฝึกสติสมาธิ คือ


การดึงพลังสมองส่วนนีโอคอร์เทคซึ่งเป็นตัวควบคุมการแสดงออกทั้งหมด มาใช้

สติทำให้รู้ตัวบ่อยๆ ไม่เผลอไปกับอารมณ์และสิ่งเร้า
อันเกิดจากอมิกดาลาอันเป็นส่วนหนึ่งของลิมบิก ซิสเต็ม


เมื่อฝึกสมาธิ ซึ่งเท่ากับคือการฝึกพลังของนีโอคอร์เทคไปสักระยะหนึ่ง
เริ่มสงบนิ่งมากขึ้น
ไม่ต้องแสดงออกเพื่อให้คนอื่นสนใจทุกครั้งที่ปรากฏตัวอีกต่อไปแล้ว
เป็นการสนองความต้องการของตัวเองได้ รักและชื่นชมตัวเองเป็น
รู้การจัดวางอารมณ์และแสดงออกมากขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น
รู้ว่าตัวเองถนัดและเหมาะกับอะไรจริงๆ ชีวิตก็เป็นสุขและลงตัวมากขึ้น







Free TextEditor





















































 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 18:06:22 น.
Counter : 233 Pageviews.  

5เทคนิค สวยใสหลังปาร์ตี้













































"เทคนิคป้องกันปัญหาน้ำหนักขึ้น"

สำหรับสาวๆ ที่กำลังผจญกัยปัญหาน้ำหนักขึ้น
หน้าตาไม่สดใส ผิวพรรณไม่ปล่งปลั่ง

หลังจากไปหลั่นลั่นลาที่งานปาร์ตี้กันทั้งคืน
ดิฉันขอบอกว่าไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ เพราะฉบับนี้ WP
มีเทคนิครับมือกับปัญหาเหล่านี้มาฝากกัน

1. ก่อนออกจากบ้านควรเลือกกินผินหรือผลไม้
แทนอาหารในหมวดหมู่อื่นรองท้องไปก่อนนะคะ
เพราะผักและผลไม้นี่แหละเป็นศูนย์รวมของไฟเบอร์
จะช่วยให้คุณอิ่มและลดความอยากอาหารลง
ทำให้ไม่เผลอดื่มหรือกินขนมภายในงานมากจนเกินไป ซึ่งคุณคงไม่รู้หรอกว่า
หากตามใจปากอยู่บ่อยๆ จะทำให้คุณรับแคลอรี่เพิ่มขึ้นถึง 40 % เชียวนะคะ

2. ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
เพราะนอกจากจะมีแคลอรี่สูงแล้ว
ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจริญอาหารยิ่งขึ้นอีก
ทางที่ดีคุณควรดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำอัดลมแบบไดเอทและหลังจากการดื่มเครื่อง
ดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพราะการทำแบบนี้นอกจากจะช่วยให้กำจัดปริมาณเครื่องดื่ม
แอลลกอฮอล์แล้ว ยังช่วยให้ลดปริมาณแคลอรี่ได้อีกทางหนึ่งด้วยนะคะ

3. หลังจากกลับจากปาร์ตี้
หากรู้สึกว่าตัวเองอืดๆ
หนักๆชอบกล(เพราะเผลอกินมากเกินไป)
ให้คุณลดปริมาณแคลอรี่ในมื้อถัดไปให้น้อยลงกว่าปกตแล้วทำอย่างนี้ต่อไปอีก
2-3 วัน พร้อมทั้งแบ่งเวลาไปออกกำลังกายด้วย
ซึ่งถ้าคุณสามารถกำจัดปริมาณพลังงานที่ได้รับให้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ
ประมาณ 100
แคลอรี่ต่อวันแล้วบวกกับการกินอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำ
เสมอ ภายใน 1 ปี น้ำหนักคุณจะหายไป 4.5 กิโลกรัมเลยเชียวนะ

4. หากเกิดอาการเมาค้าง
ตามตำราไทยบอกว่าวิธีที่กำจัดแอลกอฮอล์ให้ได้ผลเร็วที่สุดก็คือการดื่มน้ำ
เมล็ดถั่วแปบ เพราะในเมล้ดถั่วแปบจะมีสารโดลิโคสเตอโรนอยู่
สามารถลดการดูดซึมแอลกอฮอล์จากกระแสเลือดได้ค่ะ
แต่ถ้าเป็นตำราจีนละก็จะต้องดื่มน้ำผักโขม เพราะในผักโจมมีธาตุเหล็ก
วิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม และน้ำ
ซึ่งสารทั้งหมดนี้จะช่วยชะล้างแอลกอฮอล์ได้ค่ะ

5. รับประกันได้เลยว่าหลังจากงานปาร์ตี้
สาวๆ จะต้องมีร่องรอยของการทรุดโทรให้เห็นแน่ๆ
ถ้างั้นมื้อต่อไปคุณลองเพิ่มแตงกวาเข้าไปสักหนึ่งเมนูสิคะ
เพราะการที่แตงกวามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่มากจะช่วยให้ผิวพรรณคุณสดใสแล้ว
ชุ่มชื่นขึ้นค่ะนอกจากการกินอาหารที่มีประโยชน์แล้ว
การพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสขึ้นได้นะคะ
ฉะนั้นหลังจากมื้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง ให้กินกล้วยสักใบ
จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้นค่ะ
















Free TextEditor





















































 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 18:03:26 น.
Counter : 319 Pageviews.  

ปัญหาผิวของ´สาวออฟฟิศ´




























































"ปัญหาผิวสาวออฟฟิศ"

ท่ามกลางความสะดวกสบายในสำนักงาน
สาวออฟฟิศหลายคนอาจมองข้ามปัญหาผิวพรรณที่มากับอุปกรณ์สำนักงาน เช่น
เครื่องปรับอากาศ เครื่องถ่ายเอกสาร หลอดไฟ
ซึ่งมีผลกระทบต่อผิวพรรณความสวยความงามได้เหมือนกัน


โดยทั่วไปเครื่องใช้ในสำนักงานจะได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของ
ผู้บริโภคในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดีเครื่องใช้บางชนิดสามารถปลดปล่อยรังสี
UVA ออกมาได้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดกระ-ฝ้าที่เราคาดไม่ถึง
เราจึงควรป้องกันตัวเองและใช้งานเครื่องใช้เหล่านี้อย่างระมัดระวัง









รังสีจากเครื่องถ่ายเอกสาร


พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับเครื่องถ่ายเอกสารตลอดทั้งวัน
อาจได้รับแสงยูวีที่ปล่อยออกมาจากหลอดไฟพลังงานสูงผนวกกับความร้อนจาก
เครื่องถ่ายเอกสาร เสี่ยงต่อการเกิดกระฝ้าได้
รวมทั้งแสงวาบที่เข้าตาก็อาจทำให้ปวดตาและปวดศีรษะได้


ดังนั้นจึงควรปิดฝาครอบเครื่องถ่ายเอกสารให้สนิททุกครั้งที่ถ่ายเอกสาร
นอกจากนี้ไอน้ำหมึกที่ระเหยออกมาก็ทำให้เกิดอาการเวียนหัวได้
ดังนั้นจึงไม่ควรตั้งเครื่องถ่ายเอกสารไว้ในที่ๆ ไม่มีอากาศถ่ายเท
วิธีแก้ไขคือควรแยกห้องเฉพาะซึ่งมีการระบายอากาศที่เหมาะสม
หรือติดตั้งพัดลมดูดอากาศ









แสงจากหลอดไฟอ่านหนังสือ


หลอดไส้ (หลอดทังสเตน) เป็นหลอดไฟที่ปลอดภัยจากรังสียูวี
แต่จะให้ความร้อนสูงพอควร เราไม่ควรอยู่ใกล้หลอดไฟเกินไปเวลาใช้งาน
เพราะหลอดไฟทำให้เกิดความร้อนกับหน้าได้มาก
ต้นเหตุของความร้อนคือรังสีอินฟราเรดซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดการสร้าง
เมลานินและอาจทำให้หน้าเกิดกระ ได้

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ก็ถือว่าเป็นหลอดไฟที่ปลอดภัย
เพราะปลดปล่อยรังสียูวีเอซึ่งเป็นสาเหตุของกระฝ้าออกมาในระดับที่ปลอดภัย
แต่ไม่ควรเข้าไปใกล้มากกว่า 100 ซม.


และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีหลอดไฟเหล่านี้หลายๆ หลอดเป็นเวลานาน
อย่างเช่นบริเวณหน้าตู้โฆษณา ตู้โชว์สินค้า โต๊ะเขียนแบบ

วิธีการใช้หลอดไฟเพื่อให้ความสว่างอย่างปลอดภัยในการอ่านหนังสือหรือทำงาน
ดึกคือ ให้ส่องไฟไปที่ผนังสีขาว แล้วให้แสงไฟสะท้อนกลับมาเป็นแสงทุติยภูมิ
แสงจะนวลตาและช่วยถนอมสายตา รวมถึงลดความร้อนจากการสัมผัสผิวหน้า
ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระได้
นอกจากนี้ควรปรับความเข้มแสงให้เหมาะสมกับงาน เช่น
งานเขียนหนังสือควรติดตั้งให้แสงมีความสว่างประมาณ 100-200 ลักซ์
สำนักงานควรมีความสว่างประมาณ 500-1000 ลักซ์









แสงจากหลอดไฟเมทัลเฮไลด์ (Metal Halide Lamp)


หลอดไฟส่องสินค้า ไฟประดับ ไฟเวที รวมไปถึงหลอดไฟในอุปกรณ์ไฮเทค อย่างเช่น
เครื่องฉายแผ่นใส เครื่องฉายแอลซีดี
ส่วนใหญ่ทำมาจากหลอดไฟฮาโลเจนหรือหลอดไฟ Metal Halide สำหรับหลอดฮาโลเจน
การปลดปล่อยรังสียูวีจะอยู่ในระดับที่ปลอดภัย แต่สำหรับหลอดแบบเมทัลเฮไลด์
การปล่อยรังสียูวีเอจะค่อนข้างเข้มข้น


การทำงานที่อยู่ในแนวของแสงที่มาจากหลอดไฟชนิดนี้เป็นเวลานานมีความเสี่ยง
ที่จะทำให้เกิดกระฝ้าได้ ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวอุปกรณ์ต่างๆ ใช้หลอดไฟแบบไหน
กฎง่ายๆ
คือสาวออฟฟิศควรหลีกเลี่ยงการทำงานใกล้กับแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมากๆ
เป็นเวลานาน









การแผ่รังสีจากคอมพิวเตอร์


โดยทั่วไปผู้ผลิตสินค้าจะควบคุมคุณภาพสินค้าให้มีการปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟ้าออกมาในระดับที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม
ทางด้านข้างและด้านหลังจอคอมพิวเตอร์จะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมามากกว่าทาง
ด้านหน้าจอ
ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการนั่งทำงานทางด้านข้างและด้านหลังจอภาพ
คอมพิวเตอร์


เพื่อป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปในร่างกายซึ่งเป็นที่ถกเถียงในวงการ
วิชาการและการแพทย์ว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้
โดยทั่วไปสาวออฟฟิศควรนั่งห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 14-24 นิ้ว
และห่างด้านข้างและด้านหลังจอมากกว่า 24 นิ้ว
หรือไม่ก็บอกให้เจ้านายเปลี่ยนมาใช้จอแบนแบบแอลซีดีหรือโน๊ตบุคแทน









ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ


สาวๆ
ที่ต้องอยู่ในสำนักงานเย็นฉ่ำเป็นประจำอาจประสบปัญหาผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น
ได้ สำหรับคนที่ผิวแห้งอยู่แล้วเพราะไขมันใต้ผิวหนังมีน้อย
จะยิ่งสูญเสียน้ำออกไปมากกว่าคนผิวมันที่มีไขมันใต้ผิวหนังช่วยป้องกันการ
สูญเสียน้ำ
ในภาวะผิวแห้งจะปรากฏลักษณะเป็นเส้นเล็กบนผิวชั้นบนสุดจากการขาดน้ำ


เป็นริ้วรอยชนิดรอยย่นแบบตื้น มักปรากฏบริเวณผิวอ่อนรอบดวงตาหรือข้างแก้ม
ดังนั้นควรทามอยเจอร์ไรเซอร์หรือดื่มน้ำสะอาดบ่อย ๆ
และควรระวังเชื้อราที่จะเกิดขึ้นและฟุ้งกระจายอยู่ในห้องจากเครื่องปรับ
อากาศ (ที่ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดหรือไม่มีระบบระบายอากาศที่เหมาะสม) ด้วย
















Free TextEditor





















































 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 18:01:28 น.
Counter : 937 Pageviews.  

ดูแลดวงตา เสน่ห์ชวนมอง
















































"เสน่ห์จากดวงตา"

ดวงตา ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญ ต่อการมองเห็น
การรับรู้สิ่งต่างๆ บนโลก

นอกจากนี้ยังเสริมสร้างเสน่ห์บนใบหน้าให้ชวนมองอีกด้วย
แต่ดวงตานั้นก็มีความอ่อนโยน และบอบบาง
เราจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเป็นพิเศษ


อาการแพ้ระคายเคือง บวมแดง หมองคล้ำและมีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา
เกิดขึ้นจากอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา
รวมทั้งความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
เพราะรอบดวงตานั้นมีความละเอียดอ่อนและบอบบาง มีเส้นประสาทและเซลล์ต่างๆ
อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ไวต่อการร่วงโรยและถูกทำร้ายได้ง่าย
การทำความสะอาดผิวหรือเมกอัพรอบดวงตาก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำร้ายผิวที่
แสนบอบบางนี้









"เคล็ดลับความอ่อนเยาว์"


ออริจินส์ ร่วมกับ ดร.แอนดรูว์ ไวล์
มุ่งเน้นในเรื่องดูแลผิวบอบบางรอบดวงตา
นำเคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ของดวงตามาบอกต่อ
โดยเริ่มจากการไปตรวจดวงตาเป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี และทุกๆ 1-2 ปี
สำหรับคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไป
ส่วนคนที่ต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเจอร์เป็นประจำ
ก็ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตาโดยมองออกไปไกลๆ ทุก 10-15 นาที
และทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ควรสวมแว่นตาดำ
เพราะสามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้ และควรระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน
และฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง


เมื่อดูแลภายนอกแล้วก็ต้องดูแลภายในด้วย
โดยการบริโภคผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง เช่น
ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท
ที่ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา
ลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้
ช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและที่มีแสงน้อย ต้องบริโภคผัก ผลไม้
ที่มีสารลูทีนและซีแซนทีน


ในพืชผักสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอโวคาโด บรอคโคลี ข้าวโพด ฟักทอง
ผักโขม และผักกวางตุ้ง
สารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา
ที่ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด
ปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ
และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา และบริโภคสารสกัดของโอเมกา 3
หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ ด้วย











แหล่งข้อมูล : วาไรตี้ทูเดย์






Free TextEditor





















































 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 17:59:48 น.
Counter : 300 Pageviews.  

ใส่น้ำหอมยังไง ให้หอมนาน



















































"เคล็ดลับให้หอมยาวนาน"

ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งฮอลล์ ออฟ เฟรม
สยามพารากอน
น้ำหอมแฮปปี้ จากคลีนิกข์ จัดงาน Senses of
Happiness with Clinique Happy ไปเมื่อไม่นานนี้
โดยมีเหล่าเซเลบริตี้จากหลายแวดวงควงคู่คล้องแขนกันมาร่วมงานและร่วมเผย
ประสบการณ์ความสุขกันอย่างมากมาย
โดยคลีนิกข์ยังได้เผยเคล็ดลับให้กับเหล่าผู้พิสมัยในกรุ่นกลิ่นความหอมให้
ยืดเวลาให้ยาวนานยิ่งขึ้น


เคล็ดที่ว่าก็คือ นอกจากจะฉีดน้ำหอมในอากาศแล้ว
เดินผ่านให้ลองฉีดสเปรย์ลงบนเส้นผม
เพราะเส้นผมสามารถเก็บกลิ่นไว้ได้นานกว่า
เนื่องจากเส้นผมเต็มไปด้วยโพรงเล็กๆ
ที่กลิ่นสามารถแทรกซึมผ่านได้เป็นอย่างดี
ยิ่งกว่านั้นวิธีนี้ยังช่วยให้กลิ่นหอมนุ่มนวลยิ่งขึ้น
เนื่องจากโมเลกุลของน้ำหอมจะถูกปล่อยออกมาในอากาศเวลาที่เส้นผมเคลื่อนไหวไป
มา









"เคล็ดลับหอมหลายชั้น"


เรายังสามารถเพิ่มระดับความหอมได้อีกหลายๆ
ชั้นด้วยผลิตภัณฑ์ในรูปแบบอื่น
คือวิธีที่จะทำให้กลิ่นหอมติดทนนานตลอดทั้งวัน
เริ่มจากการใช้เครื่องอาบน้ำที่มีกลิ่นน้ำหอมอาบน้ำ ตามด้วยบอดี้ครีม
กลิ่นเดียวกัน จากนั้นจึงฉีดสเปรย์น้ำหอมในขั้นตอนสุดท้าย
โดยหลีกเลี่ยงการฉีดสเปรย์บนเครื่องประดับ


ส่วนการฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจรต่างๆ เช่น ข้อมือ และหลังใบหู
ก็เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า จะช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนานยิ่งขึ้น
แต่ยังมีอีกหลายจุดที่ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมได้อีกเช่นกัน ได้แก่ หลังคอ
บนเสื้อเปิดไหล่ เส้นผม หรือแม้กระทั่งข้อพับหลังหัวเข่า
นอกจากนั้นยังมีเรื่องของปัจจัยจากสีผิว
ซึ่งปริมาณน้ำมันตามธรรมชาติบนผิวของแต่ละคนมีผลต่อลักษณะของกลิ่นและความ
คิดทนของน้ำหอม









"ความร้อนในร่างกาย"


โดยทั่วไปคนผิวขาวและค่อนข้างแห้ง
จะมีปริมาณน้ำมันน้อยทำให้กลิ่นติดไม่ดีเท่ากับคนผิวคล้ำ
และมีความมันมากกว่า และผิวยังมีผลมาจากสิ่งที่กินเข้าไป
ซึ่งกลิ่นกระเทียมหรือปลาในอาหารจะส่งผลต่อกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ในวันรุ่งขึ้น
อีกด้วย
รวมถึงสภาพอากาศที่จะช่วยให้กลิ่นน้ำหอมเข้มข้นขึ้นหากมีอากาศที่อบอุ่น
เช่น เวลาที่สวมใส่เสื้อสเวตเตอร์หรือเวลาที่ร่างกายอยู่ในภาวะตื่นตัว
ความร้อนในร่างกายจะเร่งปฏิกิริยาการแพร่กระจายของกลิ่นน้ำหอมให้ออกมามาก
ขึ้นกว่าปกติ


สุดท้ายการเก็บรักษาน้ำหอมในที่เย็น ห่างไกลจากแสงแดด
และอุณหภูมิร้อนจัด
ปิดฝาให้สนิททุกครั้งเพื่อป้องกันการเปลี่ยนกลิ่นของน้ำหอม
และไม่ควรเก็บไว้นานเกินกว่าหนึ่งปีครึ่ง ลองทำตามเคล็ดลับขั้นตอนง่ายๆ
เท่านี้ก็จะได้แฮปปี้ไปกับน้ำหอมกลิ่นโปรดในแต่ละวันได้ยาวนานยิ่งขึ้น
















Free TextEditor





















































 

Create Date : 11 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 17:56:48 น.
Counter : 261 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.