แอโรบิกต่อชีวิต เพิ่มโอกาสรอดให้กับคนไข้โรคหัวใจ














































วารสาร การแพทย์อเมริกัน ระบุ การเต้นแอโรบิก หรือ การเดิน
กรรเชียงเรือ และวิ่งเหยาะๆ อาทิตย์ละ 3 หน ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ
รอดชีวิตได้มากกว่า 60%...

วารสาร "การแพทย์อเมริกัน" รายงานว่า
มีการศึกษาพบว่า การออกกำลังแบบแอโรบิก เช่น ด้วยการเดิน กรรเชียงเรือ หรือวิ่งเหยาะๆ อาทิตย์ละ 3 หน
จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ รอดชีวิตได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60

นัก
วิจัยของคณะแพทย์โรคหัวใจวิทยา ที่นิว ออลีนส์
ได้ศึกษาด้วยการให้คนไข้โรคหัวใจ ออกกำลังด้วยการเดิน กรรเชียงเรือ
หรือวิ่งเหยาะๆ ครั้งละ 30-40 นาที
โดยที่ให้คำแนะนำเรื่องการกินอยู่และการปฏิบัติตัวไปด้วยเป็นเวลา 12
สัปดาห์ และยังได้ศึกษาติดตามภายหลังต่อมาอีกเป็นเวลา 6 ปีกว่า ได้ผลว่า
คนไข้ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นอะไรลงไป มากถึงร้อยละ
60มูลนิธิโรคหัวใจของอังกฤษ ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า "ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงว่า การออกกำลังให้ผลดีกับคนไข้
ทั้งร่างกายและจิตใจ".




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย
รัฐ





Free TextEditor






















































































 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2553 0:10:24 น.
Counter : 776 Pageviews.  

ไอศกรีมลดอาการเคมีบำบัด
















































นักวิจัยมหาวิทยาลัยโอ๊กแลนด์ นิวซีแลนด์
จับมือกับบริษัทฟอน เทอร์ราและแลคโตฟาร์มา
คิดค้นไอศกรีมโคนสูตรใหม่รสสตรอว์เบอร์รี่


ช่วย
บรรเทาผลข้างเคียงที่เกิดจากเข้ารับคอร์สเคมีบำบัดรักษา โรคมะเร็ง  เจเรอมี่ ฮิลล์
หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีฟอนเทอร์รา บริษัทจำหน่าย ผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ กล่าวว่า
ไอศกรีม "เดอะรีชาร์จ"
(เติมพลัง) ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัย 70 ล้านบาท และปีหน้าเตรียม
นำไปทดลองตามโรงพยา บาลใหญ่ๆ 8 แห่งทั่วนิวซี แลนด์

ตัวไอศกรีมจะมีส่วนผสมของไขมันและโปรตีนจากนม

ซึ่งเมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วย ป้องกัน
ไม่ให้ปากกับลำไส้ของผู้รับเคมีบำบัดเกิดอาการแพ้สารเคมีมากเกินไป
ส่วน
เหตุที่เลือกผลิตรสสตรอว์เบอร์รี่เพราะเป็นรสยอดนิยม


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์
ข่าวสด






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 23:49:28 น.
Counter : 251 Pageviews.  

ออกกำลัง-ทานอาหารดีป้องกัน













































นายแพทย์กริฟฟิน รอดเจอร์ ผอ. สถาบันโรคเบาหวาน โรคไต
และระบบย่อยอาหารแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา


กล่าวว่า
ประชาชนหลายล้านคนสามารถ
ถ่วงเวลาเป็นเบาหวานออกไปได้นานหลายปีและอาจป้องกันการเป็นโรคนี้ได้
ถ้ารู้จักเลือกรับประทานอาหารถูกสุขลักษณะและออกกำลังกาย ผลการศึกษาวิจัยเป็นเวลานาน 10
ปีในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานและมีน้ำตาลในเลือดสูง
สามารถลดความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ถึง 1 ใน 3
หากออกกำลังและเลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

และยิ่งคนที่มีอายุมากยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะลดความเสี่ยงลง
ได้กึ่งหนึ่ง

คณะของรอดเจอร์ทดลองให้
กลุ่มตัวอย่างเปลี่ยนมาบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
รวมทั้งออกกำลังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต


ผล
พบว่า ช่วงปีแรกของการวิจัยอาสาสมัครมีน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 6.8%
แต่ถ้าหากใช้ยาเมทฟอร์มินร่วมด้วยจะลดความเสี่ยงเป็นเบาหวานลงได้ 31% หลัง
จากผ่านไปได้ 3 ปี และเมื่อผ่านไป 10 ปีความเสี่ยงเป็นเบาหวานจะลดลงเฉลี่ย
34% แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
ไม่ว่าจะโดยทันทีหรือค่อยเป็นค่อยไป

ล้วนแต่มีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์
ข่าวสด





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 23:46:28 น.
Counter : 394 Pageviews.  

เตือนภัย เหน็บมือถือกับเอวเป็นโทษ
































ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


      เตือนผู้ที่เหน็บโทรศัพท์มือถือไว้ที่เอว
อาจจะสนใจบ้าง เมื่อมีข่าวว่ารังสีแม่เหล็กไฟฟ้าของมัน
ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกแถวสะโพก 
มักเอาไปใช้ในการปลูกถ่ายกระดูกอยู่เสมอ ให้บางลงได้



        คณะนักวิจัยของ ดร.ทอลกา
อาทาย มหาวิทยาลัย สุไลมาน เดมิเรล ของตุรกี ได้พบว่า
การโดนถูกสนามรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือเป็นเวลา
นานๆ อาจทำให้กระดูกบางลงได้
ซึ่งอาจจะกระทบถึงผลของการทำศัลยกรรมปลูกถ่ายกระดูก



 
นักวิจัยได้ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกตรงปีกสะโพกทั้ง 2 ปีก
ของผู้ที่เหน็บโทรศัพท์อยู่กับเข็มขัด จำนวน 150 คน เปรียบเทียบกัน
บุคคลเหล่านี้ต่างพกโทรศัพท์กับตัวอยู่นานวันละ 15 ชม.
และใช้มานานเฉลี่ยคนละ 6 ปีแล้ว
ได้ผลว่ากระดูกปีกสะโพกข้างที่เหน็บโทรศัพท์อยู่เป็นประจำ
มีความบางลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงมีนัยสำคัญทางสถิติ
และไม่มากเท่าขนาดที่เห็นในผู้เป็นโรคกระดูกพรุน แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
คนเหล่านั้นยังเพิ่งมีอายุเฉลี่ย 32 ปี ด้วยกัน
ความหนาแน่นของกระดูกอาจจะลดน้อยลงไปอีกได้


กระดูกบริเวณนั้น
มักจะถูกใช้ในการผ่าตัดปลูกถ่ายกระดูกอยู่ประจำ
ดังนั้นหากคุณสมบัติเสื่อมลง
ก็อาจจะเกิดผลเสียกับการผ่าตัดฟื้นฟูให้กลับคืนสภาพได้



        คณะนักวิจัยบอกสรุปความเห็นว่า "ถึงจะอย่างไร
ควรจะเอาโทรศัพท์มือถือให้ห่างตัวเราไว้ในชีวิตประจำวันจะดีกว่า"




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย
รัฐ





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 23:21:08 น.
Counter : 211 Pageviews.  

จับสัญญาณโรคร้าย ภัยเงียบ"ไตวายเรื้อรัง"













































"ไตวายเรื้อรัง" เป็นภาวะที่ไตสูญเสียหน้าที่อย่างเรื้อรัง
ทำให้เกิดการคั่งของของเสียและน้ำ
และเป็นโรคที่พบมากขึ้นตามลำดับในประเทศไทย


น.พ.มา
โนช เตชะโชควิวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์โรคไตกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ
กล่าวว่า ไตวายเรื้อรังเป็นโรคที่พบบ่อย
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าเป็นโรคไตวายเรื้อรัง
เพราะอาการเริ่มแรกของโรคไม่รุนแรง
เป็นเหตุให้ประชาชนจำนวนมากมาพบแพทย์เมื่อมีอาการไตวายเรื้อรังรุนแรง
หรือเข้าสู่ไตวายระยะสุดท้ายแล้ว จึงต้องสังเกตอาการตั้งแต่เริ่มต้น
เมื่อพบความผิดปกติควรพบแพทย์ เพื่อรักษาทันที

สำหรับสาเหตุของโรค
เกิดจากการที่ไตสูญเสียหน้าที่ ขับน้ำและของเสียออกจากร่างกายไม่ได้
ทำให้ร่างกายเสียสมดุล เกิดภาวะเลือดเป็นพิษ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ซึม คลื่นไส้
และยังมีอาการที่มีผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อกระตุก
ปลายมือปลายเท้าชาเนื่องจากปลายประสาทอักเสบ เป็นตะคริว และชัก

จะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
เป็นอาการที่พบในผู้ป่วยทุกราย
ถ้าไตวายมากขึ้นบางรายมีเลือดออกจากทางเดินอาหาร

นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
ถ้าไตวายมากมีการคั่งของเกลือและน้ำ จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
มีอาการบวมเนื่องจากหัวใจวาย บางรายมีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
รวมไปถึงผิวหนังมีอาการคัน ผิวจะมีสีเหลือง-น้ำตาล


น.พ.มา
โนชอธิบายว่า โรคไตวายเรื้อรังมีหลายระยะ
เริ่มตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะพบอาการน้อยมาก แต่เมื่อเป็นจนถึงระยะปานกลาง
และระยะรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาการจะเพิ่มขึ้น กระทั่งเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้ายอย่างรวดเร็ว
ซึ่งการรักษานั้นนอกจากผู้ป่วยจะได้รับความทุกข์ทรมานแล้ว
ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ดังนั้น
จึงควรชะลอการดำเนินของโรคไตวายเรื้อรังด้วยการควบคุมอาหาร
ซึ่งปรึกษารายละเอียดจากแพทย์ได้

ทางที่ดีก่อนจะกลายเป็นโรคไตวาย
เรื้อรัง ควรสังเกตว่าตอนนี้คุณมีภาวะของโรคไตหรือไม่
ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณเตือน เช่น
ปัสสาวะเป็นเลือดหรืออาจมีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ
มีโปรตีนหรือไขขาวรั่วออกมาในปัสสาวะจนทำให้ปัสสาวะที่ออกมามีฟองมาก
และฟองไม่สลายตัวไปง่ายๆ (การมีฟองในปัสสาวะเล็กน้อยถือเป็นเรื่องปกติ)
อาการบวมรอบๆ ตาและข้อเท้า อาการปวดหลังบริเวณบั้นเอว
บางครั้งก็ร้าวไปถึงขาหนีบและลูกอัณฑะ

ด้านวิธีการรักษา
คุณหมอกล่าวว่าทำได้หลายวิธี คือ ควบคุมอาหารสำหรับโรคไต
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การล้างไตทางหน้าท้อง การเปลี่ยนไต
ซึ่งวิธีที่คนนิยมมากที่สุดคือ ส่วนการล้างไต ปัจจุบันที่ใช้อยู่มี 2 วิธี
คือ การล้างไตทางหน้าท้อง
และการฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์
ข่าวสด





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 22:03:43 น.
Counter : 210 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.