|
เรื่องสั้น : ชานชาลาที่รัก
***ชานชาลาที่รัก***
ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล ขบวนรถเที่ยวต่อไปเป็นขวนรถเที่ยวขึ้นขบวนที่ 301 กรุงเทพ-ลพบุรี ท่านผู้โดยสารที่รอรับการโดยสารกรุณาข้ามไปรอที่ชานชาลาที่สามครับ.... ....ผู้ที่ข้ามผ่านไปมาชานชาลาที่สามโปรดระมัดระวังอันตรายจากขบวนรถเข้าเทียบ ขบวนรถเข้าเทียบชานชาลาที่สามเป็นขบวนรถที่ 301 จากสถานีกรุงเทพฯ ปลายทางสถานีลพบุรี เตรียมสิ่งของและสัมภาระเรียบร้อยแล้ว รอรับการโดยสารได้ที่ชานชาลาที่สามครับ... ....ที่นี่สถานีรังสิต ที่นี่สถานีรังสิต ท่านผู้โดยสารที่จะลงสถานีรังสิตโปรดตรวจสอบสัมภาระให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนลงจากขบวนรถ ตามกำหนดเวลาขบวนรถเที่ยวนี้จะออกจากสถานีรังสิตเวลา สิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบเจ็ดนาที การรถไฟแห่งประเทศไทยขอขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการมา ณ โอกาสนี้ครับ....
.ขบวนรถเที่ยวนี้หลังจากออกจากสถานีรังสิตไปแล้ว จะหยุดรับส่งผู้โดยสารที่ป้ายหยุดรถคลองหนึ่ง สถานีเชียงราก เชียงรากน้อย และทุกๆสถานีตลอดจนสถานีปลายทางครับ
หลังจากสิ้นเสียงประโยคต่างๆเหล่านี้ ขบวนรถก็จะเคลื่อนที่ออกจากบ้านของผมไป ใครๆต่างเรียกบ้านผมกันติดปากว่า สถานีรังสิต ที่นี่เป็นทั้งบ้านและที่ทำงานในเวลาเดียวกัน เสียงหวูดรถไฟ เสียงล้อเหล็กที่บดราง หรือเสียงรอยต่อรางที่มันกระแทกกันเวลารถไฟวิ่งผ่าน มันผ่านหูผมมาเป็นเวลาหลายปี มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่รำคาญใจผู้คนที่มารับบริการที่นี่ จนบางครั้งพาผมรำคาญไปด้วย
ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับขบวนรถชานมืองเที่ยวขึ้น ขบวนที่ 301 กรุงเทพฯ-ลพบุรี วันนี้ขบวนรถล่าช้ากว่ากำหนดเวลายี่สิบนาที ตามกำหนดเวลาแล้วขบวนรถเที่ยวนี้จะมาถึงสถานีรังสิตเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบเจ็ดนาที การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องขออภัย ในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ครับ
ประโยคนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น สถานีรังสิตมันไม่ไกลจากสถานีกรุงเทพฯหรือที่เรียกกันติดปากว่า หัวลำโพง เท่าไรนัก คือพูดได้ว่าสถานีรังสิตเป็นสถานีต้นๆของเส้นทางเลยก็ว่าได้ แต่การที่รถเสียเวลาก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผู้คนก็ต้องรอ เพราะสาเหตุที่คนใช้รถไฟก็คือ มันสะดวกสำหรับคนบ้านใกล้สถานี บางสถานที่ที่ไม่มีรถเมล์ไป และที่สำคัญอีกเหตุผลหนึ่งคือราคา ถูกมากเลยครับ นับไปเลยประมาณสถานีละหนึ่งบาท ขาดเกินก็นิดๆหน่อยๆ ราคานี้พูดกันแค่รถธรรมดา...
ผมอาศัยอยู่ที่นี่ทุกวัน ที่นี่เป็นบ้านของผม ผมไม่มีที่นอน-หมอน-มุ้ง ยามจะนอนก็หาเก้าอี้ว่างๆตามชานชาลา เสื้อผ้าก็ใส่อยู่เก่าๆชุดเดียว ไม่ว่าจะเป็นชุดทำงาน ชุดกิน ชุดนอน ชุดเที่ยว ผมใช้ชุดเดียวกัน ผมใส่มันจนเก่าบางครั้งขาดเลยก็มี พนักงานที่นี่เขาหมั่นไส้เมื่อไรเขาก็หามาให้เปลี่ยน คนที่นี่ใจดีทุกคน เขามีน้ำใจกับผม ผมก็มีน้ำใจให้เขา ที่สำคัญผมไม่เคยจ่ายค่าเช่าชานชาลาที่ผมใช้ซุกหัวนอนเลย เขาไม่ไล่ผมก็บุญหัวแล้วครับ
ทุกวันผมต้องนอนดึก เพราะกว่ารถระยะใกล้ๆจะหมดก็ปาเข้าไปสี่ห้าทุ่ม คนที่สถานีก็ยังเยอะอยู่ ขืนผมไปนอนมันเป็นภาพที่ไม่ดีเท่าไรนัก ครั้นตอนตื่นผมก็ต้องตื่นแต่เช้ามืด ที่สำคัญผมตื่นทุกครั้งที่มีเสียงล้อเหล็กบดรางเข้ามาจอดที่สถานี ผมจะฟังเวลาตามที่เจ้าหน้าที่สถานีประกาศ ประมาณตีสี่-ตีห้าผมก็ต้องตื่น หลังจากตื่นแล้วก็ได้เวลางาน มีของมากมายที่ผู้คนมาฝากส่งไปกับรถไฟ มันหนักมากเวลาขนขึ้น และรถไฟนั้นก็สูง เป็นไปด้วยความยากลำบากทุกครั้ง มันไม่ใช่หน้าที่ผม แต่ผมช่วยเขาทุกวัน น้ำใจเล็กๆน้อยๆที่ผมได้ตอบแทนก็คือข้าวกล่อง มันช่วยให้ผมประทังชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม
ในเวลาที่รถเข้าเทียบชานชาลาผมจะช่วยดูทุกครั้งว่าปลอดภัยดีหรือเปล่า ช่วยนายสถานีสอดส่องดูแล ผมไม่มีธงเขียวธงแดงเหมือนนายสถานี แต่ผมมีใจอย่างเดียวที่อยากช่วย ครั้งแรกที่ผมทำงานนี้ ผมก็ถูกนายสถานีด่าครับ เขากลัวผมจะถูกรถไฟชน เพราะใครก็คิดว่าผมบ้า จริงๆแล้วผมไม่ได้บ้า เพราะว่าคน ไม่มีเสื้อผ้าดีๆใส่ มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนบ้าเสมอไป แค่ผมยาวปะบ่า เสื้อผ้ามอมแมม เท่านี้ผู้คนก็มองกันว่าบ้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมคิดว่าน้ำใจผมประเสริฐกว่าบางคนซะอีก แต่ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครที่นี่ว่าผมบ้าแล้ว เพราะเขาบอกกับผมว่า คนบ้า จะไม่รู้ตัวเอง ว่าเป็นบ้า ผมก็เลยบอกกับเขาว่าให้เลิกว่าผมว่าบ้าได้แล้วเพราะผม รู้ตัวเองดี ว่าไม่ได้เป็นบ้า ผมพูดบอกตามความจริงเพราะ คนอื่นจะมารู้ดีกว่าตัวผมเองนั้นคงไม่มี
วันนี้วันที่หนึ่งครับ เป็นวันปีใหม่ ขบวนรถที่ 301 กรุงเทพฯ-ลพบุรี จะวิ่งเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการเท่านั้น วันนี้เป็นวันอังคารแสดงว่าต้องเป็นวันหยุดราชการแน่นอน แต่ผมไม่ใช่ข้าราชการ งานก็เลยไม่หยุด และงานผมก็ไม่มีวันหยุดอยู่แล้ว ผมต้องทำงานทุกวันเพื่อแลกข้าวกล่องประทังชีวิต ไม่มีแม้วันหยุดประจำสัปดาห์ ยิ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์แล้วผมยิ่งต้องทำงานหนัก เพราะงานผมเป็นงานบริการ ผู้คนมากมายต้องผ่านมาใช้บริการที่นี่นับไม่ถ้วน ผมเคยถามตัวเองว่ามันเหมือนโรงงานนรกหรือเปล่า ผมหาคำตอบอยู่หลายวัน หลายวันที่ผมมีชีวิตในการหาคำตอบนี้ก็เพราะข้าวกล่องที่ได้จากการทำงาน นั่นคงตอบผมได้อย่างชัดเจนว่า โรงงานนรกแห่งนี้ให้ข้าวผมกินประทังชีวิตทุกวัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ได้ข้าวจากผู้ที่มีน้ำใจนั้นเพียงแค่วันละสองกล่อง มีบางวันก็กล่องเดียวก็มี ผมก็เข้าใจครับ คนพวกนี้เขาก็มีภาระต้องดูแลครอบครัวเหมือนกัน ฉะนั้นมื้อเย็นผมก็หากินเองครับ ผมไม่ได้พูดเล่น ผมต้องหากินเองจริงๆ หาตามถังขยะ ผมจะไปกับเพื่อนร่วมชานชาลาตัวหนึ่งมันชื่อไอ้ตูบ ผมเลี้ยงมันไว้เองครับ แต่จะว่าไปแล้วบางวันมันก็เลี้ยงผมเหมือนกัน บ่อยครั้งที่มันคาบไส้กรอกมาให้พวงยาว แต่ก่อนมันขนยาวหูตูบ แต่เดี๋ยวนี้มันไมมีขนแล้วเหลือแต่หูที่ยังตูบอยู่ ทุกครั้งที่ผมเดินเลี่ยงไปตามถังขยะ มันจะเข้ามาใกล้ วันนี้ข้าวก้อนแรกที่ผมเจอมันเละและมีกลิ่นเปรี้ยว ผมให้มันกินไปก่อน ส่วนของผมเป็นข้าวเหนียว แม้จะถูกลมโกรกจนแห้ง แต่มันก็กรอบนอกนุ่มในได้อรรถรสแห่งการกินที่เยี่ยมมื้อหนึ่งเลยล่ะครับ
ชีวิตผมดีพร้อมทุกอย่าง ที่นอนก็มีใหญ่โต มีสัตว์เลี้ยง มีงานทำ มีเพื่อนร่วมงานที่ใจดี... เกือบลืมไป ผมมีที่พักตากอากาศด้วย อยู่ที่ลพบุรี รู้สึกคนแถวนั้นจะเรียกว่า สถานีลพบุรี เวลาเดินทางไปผมก็ไม่เสียสตางค์ ผมจะไปกับขบวนรถไฟของเพื่อนผมที่รู้จักกัน...แม้บางครั้งเขาจะแกล้งมาขอตรวจตั๋ว แต่พอผมยิ้มให้ เขาก็ใจอ่อน ยิ้มหวานจริงๆ คำพูดนี้ผมได้ยินจนชินหู
Create Date : 19 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 19 มกราคม 2551 2:11:11 น. |
Counter : 1058 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสั้น : สร้อยทอง
***สร้อยทอง***
ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล สาวิตรีเป็นคนรูปร่างสูง ผิวขาว ทรวดทรงดูกระชับได้สัดส่วน หน้ารูปไข่ สันจมูกโด่งปลายนั้นงุ้มพองามตา ผมหล่อนดำเงา คิ้วหนาดก จนหัวคิ้วเกือบชนกัน ดวงตานั้นดำกลมโต รับกับขนตาที่ยาวโง้ง แก้มนั้นอิ่ม มีสีชมพูบางๆ ยามหล่อนยิ้ม จะแลเห็นฟันขาวโดยเฉพาะเขี้ยวข้างซ้ายที่สะดุดตา แต่หาเวลาที่หล่อนจะยิ้มให้เห็นนั้นยากนัก หล่อนทำงานหนักทั้งวัน ไม่ดูแลใส่ใจในความสวยงาม แก้มหล่อนจะนวลเฉพาะยามเช้า ตอนออกจากบ้านเท่านั้น หลังจากนี้หน้าหล่อนจะขึ้นมัน เปื้อนฝุ่น หนำซ้ำยังมีเม็ดเหงื่อที่คอยไหลให้หล่อนคอยปาดบ่อยครั้ง แต่ความงามของหล่อนนั้นเทียบกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ได้เลย
เมื่อครั้งสาวิตรีอายุสิบขวบ หล่อนอาศัยอยู่กับย่า เนื่องจากพ่อหล่อนนั้นเสียชีวิตตั้งแต่หล่อนยังเล็ก และหลังจากแม่หล่อนแต่งงานใหม่ก็ไม่เคยมาสนใจเลยแม้แต่นิด ตอนนั้นย่าหล่อนป่วยหนัก หล่อนเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวและหลานชายคนอื่นๆก็ทำงานกันหมดแล้ว จึงต้องรับหน้าที่ดูแลไข้เสียเอง หล่อนดูแลปรนนิบัติทุกอย่างยามที่ย่านอนรักษาอาการป่วยอยู่โรงพยาบาล จนย่าหล่อนเห็นในความดีนั้น จึงให้สร้อยทองถึงยี่สิบเส้น ด้วยเพราะหล่อนยังเด็กเกินไป ย่าจึงฝากอาของหล่อนไว้ก่อน และพอหลังจากผู้เป็นย่าเสียชีวิตลง อาหล่อนเป็นคนส่งให้เรียนจนจบมัธยมหก หล่อนเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน ชีวิตสาวโรงงานของหล่อนเริ่มขึ้นพร้อมกับความคิดเกี่ยวกับทองยี่สิบเส้นที่ไม่เคยได้รับการกล่าวถึงเลย จนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลายี่สิบห้าปีเศษ อีกทั้งทองนั้นหล่อนก็ยังไม่เคยเห็นเลย ตั้งแต่ย่าเสียชีวิต ความเคลือบแคลงในตัวอานั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่หล่อนก็พูดอะไรไม่ออก เพราะเห็นว่าอาเป็นผู้ที่เลี้ยงดูและส่งให้เรียน อีกทั้งทุกวันนี้ก็ยังอาศัยอยู่ที่บ้านอาอีกด้วย
ปัจจุบันสาวิตรีอายุย่างเข้าสามสิบหกแล้ว หล่อนยังไม่ได้แต่งงาน ด้วยเพราะทำแต่งานไม่สนใจชายใดเลย หล่อนทำงานเก็บเงินซื้อทองสะสมไว้ทีละเส้น จนป่านนี้หล่อนยังได้ไม่ครบ แต่ก็ขาดอีกเพียงเส้นเดียวเท่านั้น หล่อนซื้อทองหนักเส้นละหนึ่งบาท หวังว่าเมื่อครบแล้วจะนำไปขอแลกกับทองซึ่งเป็นสมบัติของย่าที่ให้หล่อนไว้ก่อนจะเสียชีวิต แม้หล่อนจะไม่เคยเห็นทองนั้นเลยแต่หล่อนก็หวังให้มันยังอยู่ครบถ้วน
หล่อนทำงานจนค่ำทุกวันเพราะหลังกลับจากการทำงานปกติ หล่อนจะออกไปขายก๋วยเตี๋ยวโต้รุ่งเสมอเป็นการเพิ่มรายได้อีกอย่างหนึ่ง แต่วันนี้หลังจากที่หล่อนเลิกงานแล้วหล่อนไม่ได้ไป เนื่องจากเป็นวันเงินเดือนออก ที่สำคัญฝนนั้นตั้งเค้ามาแต่ไกล วันนี้หล่อนได้เงินครบตามราคาทองที่ขึ้นหนีเงินเดือนมาหลายเวลา หล่อนไปที่ร้านทองเพื่อซื้อทองหนึ่งเส้นหนักหนึ่งบาทเหมือนเคย ในขณะที่หล่อนกำลังเลือกลายทองอยู่นั้น อาหล่อนเดินเข้ามาในร้านทองพอดี อ้าว !!! มาทำอะไรคะอา มาซื้อทอง พอดีพี่ๆของหนูส่งเงินมาให้ อาก็เลยอยากซื้อเก็บไว้... หล่อนได้ยินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ...แล้วหนูมาทำอะไรล่ะ มาซื้อทองเหมือนกันค่ะ---ทีแรกคิดว่าอาจะเอาทองมาขายซะอีก อาหล่อนยิ้มแล้วเดินไปนั่งใกล้หล่อนก่อนลูบหัวหล่อนอย่างแผ่วเบา หล่อนยิ้มตอบ พลางคิดถึงลูกของอาสองคน มีการส่งเงินให้ขนาดนี้คงไม่ได้เอาทองไปแน่ๆ คุณอาไม่เคยขายหรอกค่ะ คุณอามาซื้อทองที่ร้านเราทุกเดือน ได้ยินเจ้าของร้านบอกเช่นนั้นหล่อนก็อมยิ้ม สิ่งที่หล่อนคิดว่ายังอยู่มันคงจะเป็นจริง คงไม่เสียแรงลำบากหาเงิน
อาหลานพากันกลับบ้าน เวลานี้ฝนตกลงมาแล้ว สาวิตรีนั้นได้ทองไปหนึ่งบาทสมดั่งใจ ส่วนอาได้ไปถึงสองบาท ระหว่างทางที่กลับบ้าน หล่อนเริ่มถามถึงเรื่องทองยี่สิบเส้นที่ย่าฝากไว้ มันยังอยู่ครบถ้วนดี หนูไม่ต้องเป็นห่วง อาเห็นหนูยังไม่มีความจำเป็นที่จะใช้อะไร ทุกวันนี้ก็ไม่เดือดร้อน กินอยู่กับอาเสร็จสรรพ อาเลยยังไม่ได้ให้หนู ถามถึงมันมีอะไรหรือเปล่า ? มีค่ะ คือ...คือหนูไม่มีความจำเป็นหรอกค่ะ แต่หนูอยากได้ อยากได้เพราะมันเป็นสมบัติของย่าค่ะ มันมีค่ากับหนูมาก อย่างน้อยมันก็เอาไว้ดูต่างหน้าได้ หล่อนตอบเสียงสั่น มันไม่ใช่สมบัติ มันเป็นสิ่งตอบแทนที่หนูดูแลปรนนิบัติท่านอย่างเต็มใจ หนูทำหน้าที่แทนพ่อของหนูได้เลยรู้ไหม อาเป็นลูกแท้ๆยังไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย!!! ทองยี่สิบเส้นมันยังอยู่ครบ ความจริงมันมีสี่สิบเส้นนะ รู้หรือเปล่า ?!!!... สาวิตรีหันมาหาอาที่สาธยายอยู่นั้นอย่างรวดเร็ว หล่อนตั้งใจฟังมากขึ้นกว่าเดิม และคิ้วหล่อนตอนนี้นั้นขมวดชนกันสนิท หล่อนใช้เวลาถึงยี่สิบห้าปีในการเก็บเงินซื้อทองยี่สิบเส้น หากเป็นทองสี่สิบเส้นแล้วหล่อนคิดว่าคงใช้เวลามากพอสมควร ถึงเวลานั้น หล่อนคงหง่อมแล้ว ...ย่าฝากไว้ให้หนูยี่สิบเส้น ส่วนที่เหลือนั้นย่าให้อา ความฝันที่เลื่อนลอยจบลงทันทีเพราะทองเป็นของหล่อนเพียงยี่สิบเส้นเท่านั้น คือเอ่อ...คือหนูอยากได้ทองค่ะ หนูจึงหาทองมาแลก ตอนนี้ได้ยี่สิบเส้นพอดี ทำไมต้องหามาแลก ก็ในเมื่อทองนั่นมันเป็นของหนูอยู่แล้ว ครั้นเมื่อถึงบ้านอานำกล่องไม้เก่าสีแก่นประดู่ มาวางตรงหน้าสาวิตรี อยากได้กล่องไหนก็เลือกเอา ข้างในมีทองยี่สิบเส้นเหมือนกัน เอาไปเลยไม่ต้องเอาอะไรมาแลกทั้งนั้น อาต้องให้หนูอยู่แล้ว สาวิตรีจ้องกล่องทั้งสองอยู่นาน สลับกับการเงยมองหน้าอา หนูอยากได้มันทั้งสี่สิบเส้นค่ะ ในเมื่อมันเป็นของหนูยี่สิบเส้นอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้น อีกยี่สิบเส้นที่เหลือ หนูเอาทองที่หนูซื้อเก็บไว้มาแลกได้ไหมคะ หล่อนจ้องตาผู้เป็นอาไม่กระพริบ อาของสาวิตรีฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นสารวิตรีจึงนำทองทั้งยี่สิบเส้นมาวางต่อหน้าอา มันไม่ได้อยู่ในกล่องไม้เหมือนของย่า มันอยู่ในตลับพลาสติกสีแดง ฝานั้นใสข้างในมีสำลีกับทองหนักหนึ่งบาท รวมทั้งสิ้นยี่สิบตลับ หลานแน่ในแล้วหรือว่าจะแลกกับอา แน่ใจค่ะ หนูทำงานเก็บเงินเพื่อรอวันนี้ ประหยัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็น ขยันที่สุดเท่าที่แรงของหนูจะมี อดนอนเพื่อให้มีเวลาทำงานเยอะขึ้น ก็เพื่อการนี้อย่างเดียวค่ะ อาหล่อนเอื้อมมือไปคว้าตลับทองสีแดงของหล่อนมาห้าตลับ และเปิดดูลายทอง หนูเลือกมาไม่ซ้ำลายกันเลยนะ !!! ถ้าหนูอยากได้ทองของย่าจริง อาก็ให้ได้ทั้งสี่สิบเส้นโดยไม่ต้องเอาอะไรมาแลก แต่ความเป็นจริงอาคิดว่าจะเก็บเอาไว้ให้เป็นของขวัญแต่งงานของหนู... พูดพลางก้มดูทองห้าตลับที่อยู่ในมือ ...ทองนี่หนักห้าบาทใช่ไหม ใช่ค่ะ ??? อาขอเก็บห้าตลับนี้ไว้แทนยี่สิบเส้นที่เป็นของอาแล้วกัน อาจะเอาไว้ให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของหนู ทำไมอาไม่เก็บไว้ยี่สิบตลับเลยคะ มันเยอะไป สาวิตรีรีบคว้ากล่องทองของย่าทั้งสองกล่องเปิดออกดู ข้างในมีทองอยู่กล่องละยี่สิบเส้น แต่เส้นมันเล็กเรียว เล็กกว่าทองของหล่อนอย่างเห็นได้ชัด ทองหนักเส้นละสลึง ยี่สิบเส้นก็เท่ากับหนักห้าบาท อาไม่เอาเปรียบหนูหรอก ทันทีที่อาเข้ามาลูบหัว สาวิตรีน้ำตาล่วง หล่อนไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้หล่อนคิดว่าย่าจะให้ทองหล่อนถึงยี่สิบบาท แต่อย่างไรก็ดีความเข้าใจผิดนี้ทำให้ตัวเองทำงานหนัก และได้ผลตอบแทนอย่างที่เห็น
สาวิตรียังคงออกไปขายก๋วยเตี๋ยวหลังจากเลิกงานตามเดิม หล่อนคิดว่าสิ้นเดือนนี้หล่อนคงซื้อทองได้อีกหนึ่งบาท ฝนนั้นตกลงมาอีกแล้ว หล่อนคิดว่าฝนนั้นชอบแกล้งเสมอ แม้ในยามเดือนห้านี้ฝนก็ยังตก แต่มันไม่แปลกสำหรับหล่อนเลย เพราะหากเป็นฤดูฝนก็มีบางวันที่ฝนให้โอกาสหล่อนเช่นกัน
Create Date : 13 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 13 มกราคม 2551 2:28:05 น. |
Counter : 3437 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสั้น : เรื่องเหล้าของพ่อ
***เรื่องเหล้าของพ่อ****
ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล รัก คำนี้หลายคนพูดออกมาวันละหลายสิบครั้ง พูดพร่ำเพรื่อจนทำให้คนที่ได้ยินนั้นรำคาญ แต่บางคนไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาเลย ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ไม่รู้ว่าบอกไปแล้วผู้ที่ได้ยินจะเชื่อหรือเปล่า คนพูดบางครั้งก็ไม่รู้ลึกซึ้งถึงความหมายของมัน คนฟังก็ใช่ว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่บางครั้งมันเป็นคำที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกดี ก็ได้แต่ถามกันร่ำไป รักฉันหรือเปล่า เราอาจได้ยินกันเสมอ แต่... มันอาจเป็นคำถามที่ถูกถามกันในคู่หนุ่มสาว เสียเป็นส่วนใหญ่
สำหรับเอ็ม เด็กผู้ได้รับความรักจากครอบครัวอันอบอุ่นนั้นยังคงอยากได้ยินคำว่ารักจากผู้เป็นพ่อของเขาตลอดเวลา เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ยินผ่านหูทั้งสองข้างเลย ไม่ว่าเอ็มอยากได้อะไรพ่อสรรหามาให้ แม่เท่านั้นที่จะคอยบอกรัก และกล่อมให้หลับเสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต ดังนั้นสิ่งที่ตนเองไม่เคยได้ยิน แต่วันหนึ่งเขาได้ยินเขาจะรู้สึกว่าอยากฟังมันอีก เพียงแต่ขอให้พ่อได้พูดในเวลาที่มีสติมากกว่านี้เท่านั้น พ่อรักเอ็งมากเลยรู้เปล่า ? ทันทีที่พ่อพูดจบทำให้เอ็ม หยุดนิ่งเพราะนี่คือครั้งแรก แต่เวลาที่เขาหยุดนิ่งอยู่นั้น อาหารคาวที่พ่อกินเข้าไปก็พุ่งออกมาเต็มข้างแก้มของเขา กลิ่นคาวเหล่านี้ผสมกับเหล้าแล้ว กลิ่นมันไม่เหลือให้รู้สึกอยากกิน มันค่อนข้างเหม็นด้วยซ้ำไป เอ็มพยายามเดินต่อทั้งๆที่พ่อก็เมาอวกไปจนเลอะพื้นบ้านไปหมด พ่อเอ็มกินหล้าทีไรเป็นแบบนี้ทุกที และทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ก็จะมีประโยคคำถามลอยๆออกมา พ่อรักเอ็งมากเลยรู้เปล่า? เอ็มได้ยินประโยคนี้แล้วมีความสุข แต่เอ็มก็ไม่เคยได้ตอบกลับไปว่ารู้หรือไม่
เมื่อสองปีก่อนพ่อเขากินเหล้ามากเสียจนล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลจนต้องผ่าตัดลำไส้ครั้งใหญ่ ครั้นพอหายพ่อเขาก็ยังไม่เลิก ทั้งๆที่หมอสั่งนักสั่งหนาว่าอย่าดื่มเหล้าอีก มิหนำซ้ำยังดื่มหนักกว่าเดิม เอ็มผู้เป็นบุตรชายก็ได้แต่ถามว่าทำไมพ่อต้องกินเหล้าด้วย พ่อกินแล้วหายเครียด มันทำให้พ่อนอนหลับสบาย คำตอบที่ได้ก็เป็นแบบนี้เสมอ ทุกครั้งที่ผู้เป็นพ่อเมาก็จะบอกรักเขา เอ็มได้ยินแล้วก็อมยิ้มทุกครั้ง แต่เวลาที่พ่อเขาไม่เมาสิ คำสนทนาที่พูดคุยกันในแต่ละวันนั้นแทบนับคำได้เลย ทั้งสองไม่ค่อยได้คุยกัน เหมือนต่างคนต่างอยู่ เอ็งถามข้าก็ตอบ เอ็งเฉยข้าก็เฉย ทำให้พ่อลูกทั้งสองต้องมีคนมาเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับเขา ผู้ที่อยู่ตรงกลางได้ดีที่สุดคือผู้เป็นแม่ของเอ็ม ไม่ว่าเอ็มจะปรึกษาอะไร เขาก็ต้องปรึกษาแม่เสมอ และแม่ก็นำไปบอกพ่อเขาต่อไป ครอบครัวนี้อยู่กันมาแบบนี้ตลอด
ด้วยเพราะเหตุที่พ่อเขากินเหล้าหนัก จนทำให้เขาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เรี่ยวแรงห่างหาย ไปทำงานไม่ไหว ทำให้ต้องนอนเฝ้าบ้านอยู่อย่างนั้น ระยะหลังเอ็มได้ยินคำว่ารักจากปากผู้เป็นพ่อบ่อยขึ้น บ่อยขึ้นจนชินหู ด้วยเหตุที่พ่อเขานั้นดื่มเหล้าบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น เรียกได้ว่าทุกวันเลย ทำให้เอ็มได้ยินคำว่ารักจากปากพ่อทุกวัน ใจหนึ่งก็อยากให้พ่อดื่มเหล้าเมา เพื่อแรกกับคำว่ารักคำเดียว อีกใจหนึ่งก็อยากให้พ่อเลิกดื่มเหล้าเพื่ออาการของโรคอันเนื่องมาจากแอลกอฮอล์ได้ทุเลาลง
ทุกวันหลังจากเอ็มเลิกเรียนเขาจะรีบกลับบ้านเพราะเป็นห่วงพ่อ วันนี้เขาก็เป็นห่วงพ่อเช่นกัน แต่เอ็มไม่รีบกลับบ้านเลยแม้แต่นิด เขาอยากรู้ว่าทำไมพ่อเลิกมันไม่ได้ เขาชวนเพื่อนไปกินเหล้า แต่ยกดื่มไปไม่กี่ทีก็เมา พูดจาไม่เหมือนเดิม ที่สำคัญเดินไม่ตรงทางเอาเสียเลย เขาได้ยินแต่เสียงพูดของเพื่อนๆเท่านั้นที่ยังคงชัดเจนอยู่ ส่วนหน้าตาเพื่อนนั้นเขาเริ่มแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฝ้าฟางไปหมดและอีกอย่างก็คือดวงตาเขานั้นมันไม่อยากลืมขึ้นมาแล้ว เพราะลืมตาขึ้นมาที่ไรโลกมันหมุนเคว้ง อาหารคาวที่กินเข้าไปก็พาจะทะลักออก แต่ทุกครั้งที่เพื่อนส่งแก้วเหล้าให้ เขาก็ยกดื่มจนหมด
หลังจากที่ทุกคนกินเหล้าจนเมาได้ที่ แต่ขณะนั้นเอ็มเกินได้ที่แล้ว เพื่อนๆเขาชักชวนกันไปเที่ยวผับ ซึ่งไม่ไกลจากบ้านเขาเท่าไรนัก เป็นผับเล็กๆของกลุ่มวัยรุ่น ในนั้นแออัดคับแคบ แน่นไปด้วยหนุ่มสาว เสียงเพลงนั้นก็เปิดกันจนกระแทกแก้วหู ควันบุรี่สีขาวหม่นที่ลอยอยู่นั้น มองเห็นชัดทันทีที่ไฟสีส่องผ่าน เพื่อนประคองเอ็มเข้าไป จังหวะหนึ่งเซไปโดนโต๊ะของผู้ที่มาเยือนผับแห่งนี้อยู่ก่อนแล้ว
ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากผู้โดนชน แต่สายตาทั้งโต๊ะนั้นรุมมองมาที่กลุ่มของเอ็มทันที ขอโทษครับผมเมา เอ็มเอ่ยปากแต่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง โต๊ะด้านในสุดที่ว่างอยู่เพื่อนประคองเอ็มเดินตรงเข้าไป พวกเขาสั่งเหล้ามาหนึ่งชุดและเริ่มออกลีลาให้สอดคล้องกับจังหวะเพลง เริ่มจากค่อยๆโยกหัว โยกตัว ในขณะที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วเริ่มยืนขึ้นหัวและตัวยังคงโยกส่ายไปมาอยู่เหมือนเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือการขยับแข้งขยับขา ทุกคนในผับนี้ก็เช่นกัน เหมือนเป็นการจับจองพื้นเป็นของตัวเอง หลายคนเต้นให้กินบริเวณกว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เพื่อนเต้นอยู่นั้นเอ็มยกเหล้าดื่มไปทีหนึ่งแล้วฟุบนอนไปกับโต๊ะ ครู่หนึ่งเขาเงยหน้าขึ้นมองหาห้องน้ำ อาหารคาวมันกำลังจะทะลักออกมาอีกแล้ว
เอ็มเดินเซ แทรกตัวไปตามช่องว่างของผู้คนที่เต้นกันอยู่ จนกระทั่งถึงห้องน้ำ ห้องน้ำทุกห้องปิดมีคนใช้บริการอยู่ทุกห้องเลย เอ็มเดินไปยืนรอห้องด้านในริมสุด และเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกชายที่อยู่ด้านในเดินยังไม่ทันพ้นประตู แต่เอ็มก็พยายามแทรกเข้าไป ชายคนนั้นดึงคอเสื้อไว้ เขาจ้องหน้าเอ็มเหมือนตอนทีเอ็มเดินเซไปชนเขาตอนเข้ามา เวลานั้นอาหารคาวที่เอ็มพยายามกักมันเอาไว้ก็พุ่งออกมา ชายผู้นั้นละมือจากคอเสื้อคว้าปืนจากเอว จ่อกะโหลกเขาและลั่นไกทันที...
พ่อรักเอ็งมากเลยรู้เปล่า ? คำถามนี้เอ็มยังไม่ได้ตอบพ่อเลย และในเวลานี้ที่เอ็มจากพ่อไปแล้วทำให้พ่อเขานั้นต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ เอ็งไม่เคยรักพ่อเลยใช่ไหม ? แต่คำถามนี้ก็ยังคงฟุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งผู้เป็นพ่อไม่เคยถามตัวเองเลย อยากอยู่เพื่อรักลูกนานแค่ไหน ? ไม่นานก็คงจากโลกนี้ไปเช่นกัน หนึ่งชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุอันเนื่องด้วยแอลกอฮอล์ แต่หลายชีวิตยังคงดื่ม....เพราะคงอยากตามหนึ่งชีวิตนั้นไปให้เร็ววัน
Create Date : 12 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 12 มกราคม 2551 22:29:49 น. |
Counter : 5240 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสั้น : ชู้คู่นอนชั่วคราว
***ชู้คู่นอนชั่วคราว***
ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มีครอบครัวแล้ว ทั้งภรรยา ลูกชายและลูกสาวครบถ้วน แต่ข้าพเจ้าก็ยังแอบมีคนอื่น การแอบมีคนอื่นของข้าพเจ้านั้น ใครๆเขาเรียกกันว่ามีชู้ และชู้ของข้าพเจ้าทุกๆคนก็มีครอบครัวแล้วเช่นกัน สรุปก็คือต่างคนต่างมีชู้ซึ่งกันและกัน สาเหตุเดียวที่ข้าพเจ้ามีชู้กับคนที่มีครอบครัวแล้วก็คือ คนพวกนี้จะได้ไม่ก่อปัญหาให้กับชีวิตครอบครัวของข้าพเจ้า หลังจากเจอกัน หันหน้าชนกันแล้ว ก็หันหลังจากกันเฉยๆโดยไม่มีสิ่งใดคาใจเลย โดยเฉพาะความรู้สึก กล่าวคือต่างคนต่างเข้าใจสถานการณ์ และสถานภาพของตัวเอง
ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ขึ้นหลังจากที่ข้าพเจ้ามีชู้มาแล้วหลายคน และก็พยายามปกปิดไม่ให้ภรรยารู้ วันไหนที่ภรรยาโทรมาบอกว่าจะกลับบ้านดึก ข้าพเจ้าจะถือโอกาสนี้ในการนัดเจอกับคู่นอนชั่วคราวของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงอยากให้ภรรยาข้าพเจ้านั้นทำงานล่วงเวลาบ่อยๆ และก็โชคดีที่ลูกทั้งสองของข้าพเจ้านั้นโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้วจึงไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก นอกจากโชคดีแล้วยังมีความบังเอิญหลายอย่างที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้เวลาในการที่จะกลับมาถึงบ้านก่อนภรรยาตัวเอง เพราะทุกๆครั้งที่ภรรยาข้าพเจ้าบอกว่าจะกลับดึก นั่นหมายถึงหล่อนจะต้องถึงบ้านประมาณห้าทุ่มเสมอ บังเอิญอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อหล่อนกลับมาถึงบ้านแล้วหล่อนก็จะอาบน้ำและเข้านอนโดยไม่ซักถามใดๆ ส่วนผมหลังจากกลับมาถึงบ้านอยู่ก่อนแล้ว เช่นกันข้าพเจ้าก็จะอาบน้ำและออกไปนั่งอ่านหนังสือรอภรรยาของข้าพเจ้าอยู่หน้าบ้าน หล่อนเดินเข้ามาก็จะฉีกยิ้มให้หนึ่งครั้งแล้วก้มหน้าเดินผ่านไป
บางครั้งข้าพเจ้าก็รู้สึกผิดที่ทำอย่างนี้กับหล่อน หล่อนคงเหนื่อยมากจากการทำงานหนัก หล่อนอาบน้ำเข้านอนก่อนข้าพเจ้าเสมอ และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าเข้าไปนอน ข้าพเจ้าก็จะนอนกอดหล่อน เพื่อบอกให้หล่อนรู้ว่าข้าพเจ้ายังรักหล่อนอยู่ พูดง่ายๆก็คือทำให้หล่อนตายใจนั่นเอง แต่ก็ยังดีที่หล่อนก็หันกลับมากอดข้าพเจ้าเช่นกัน คงเป็นเพราะหล่อนเข้าใจความหมายในการกอดของข้าพเจ้า หล่อนจึงแสดงตอบกลับมา หล่อนคงอยากบอกให้ข้าพเจ้ารู้ว่ายังรักข้าพเจ้าเสมอเหมือนกัน
ข้าพเจ้าและชู้จะไม่พูดถึงครอบครัวเลยเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทั้งๆที่ต่างคนต่างรู้ว่า ต่างคนต่างมีครอบครัวแล้ว ชู้ของข้าพเจ้าบางคนรู้จักกับภรรยาของข้าพเจ้า แต่ก็ต่างไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น เพราะเหตุผลเดียวที่ข้าพเจ้าเจอกับชู้ก็คือเพื่อร่วมเตียงนอนเท่านั้น หากถามว่าข้าพเจ้ารักชู้มากกว่าภรรยาหรือไม่ ตอบได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่า ไม่มีทางมากไปกว่าภรรยาของข้าพเจ้าแน่นอน แต่ถ้าถามว่ารักชู้บ้างหรือเปล่า ตอบได้ว่ารัก แต่รักชั่วคราวแค่เวลาที่มีสุขร่วมกันบนเตียงเดียวกันเท่านั้น ส่วนเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีทางเลย ยิ่งเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าทุกข์ คนเดียวที่ข้าพเจ้าจะนึกถึงคือภรรยา ผู้ที่อยู่ด้วยกันมาแสนนาน ในยามสุขสมหวังสิ่งใดในชีวิต หากไม่นับรวมพ่อและแม่แล้ว คนเดียวที่ข้าพเจ้าอยากให้ภูมิใจด้วยก็คือผู้ที่เป็นภรรยา
ไม่กลัวภรรยาคุณเสียใจหรือ... กลัวมากๆ เป็นความกลัวมากกว่าสิ่งใดในชีวิต เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าถึงปิดบังไม่ให้หล่อนได้รับรู้ เพราะถ้าข้าพเจ้าจะทิ้งหล่อน หรือไม่รักหล่อนแล้วจริงๆ ข้าพเจ้าเลิกกันก่อนดีกว่า แล้วหลังจากนั้นจะไปไหนก็ไปได้อย่างสะดวก
ไม่กลัวสามีคุณเสียใจหรือ... ข้าพเจ้าเคยถามประโยคนี้กับหญิงผู้แอบเป็นชู้กับข้าพเจ้า คำตอบที่ได้คือเหมือนกับที่ข้าพเจ้าตอบ แต่เหตุผลแตกต่างกันออกไป
หลบๆซ่อนๆ ก็มีความสุขดี
มีกันและกันไว้แก้เหงาก็เท่านั้นเอง... อย่าคิดมาก เป็นการเพิ่มรสชาติให้ชีวิต... ความสุขชั่วคราวแก้เครียดได้ดี...
ยังมีอีกหลายเหตุผลจากหลายบุคคลที่ข้าพเจ้าเคยถาม ต่างคนต่างสรรค์หามาตอบเพื่ออ้างเป็นเหตุผลดีๆให้ตัวเอง แต่สำหรับตัวข้าพเจ้านั้น เหตุผลดีๆก็มีเยอะ พูดไปก็บ่อย แต่มันคงดีสำหรับตัวเองในสถานการณ์นั้นอย่างเดียว เพราะหลังจากข้าพเจ้าเสร็จกิจบนเตียงแล้ว ข้าพเจ้าถามตัวเองเสมอ
ทำไปเพื่ออะไร ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาเลย... ความรู้สึกตอนนั้นมันก็เริ่มเบื่อชู้ขึ้นมาทันที ทั้งที่ยังไม่ได้แยกกลับทางใครทางมัน และข้าพเจ้าก็ไม่เคยตอบคำถามนี้กับตัวเองสักครั้ง
เมื่อวานเป็นอีกวันหนึ่งที่ภรรยาโทรมาหา เบอร์ที่โชว์นั้นเป็นเบอร์ออฟฟิศ วันนี้กลับดึกหน่อยนะ กินข้าวก่อนได้เลย... ข้าพเจ้าทำเหมือนเดิมทุกครั้งคือออกไปกินข้าวก่อนตามที่หล่อนบอก ข้าพเจ้ารับชู้ไปกินข้าวด้วยกัน หลังจากนั้นก็ทำเรื่องเดิมๆในโรงแรมใกล้ๆที่ทำงานของภรรยาข้าพเจ้า เพราะวันนั้นภรรยาไม่ได้เอารถไปทำงาน ข้าพเจ้าคิดว่าจะเข้าไปรับหล่อน เลยไม่อยากไปไกลมาก แต่ก็ต้องระวังตัวมากที่สุดเพราะกลัวหล่อนจะมาเห็น
เรื่องราวทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ ยกเว้นตอนที่ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องในโรงแรม ชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมาจากห้องตรงข้าม หญิงผู้เดินออกมาจากห้องตรงข้ามนั้นคือภรรยาของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าตกใจมากยืนตลึงมองหน้าหล่อนอยู่นาน เช่นเดียวกัน หล่อนก็ยืนนิ่งเฉยและครู่หนึ่งมีน้ำตาไหลออกมา
นี่ใช่ไหมงานล่วงเวลาของเธอ ข้าพเจ้าถามหล่อนออกไป ที่เข้าใจว่าพี่กินข้าวรออยู่ที่บ้านทุกวัน ก็คือแบบนี้นี่เอง หล่อนพูดจบก็โผเข้ากอดข้าพเจ้าไว้แน่น ส่วนชายอีกผู้หนึ่งที่มากับหล่อนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้จัก แต่ชู้ของข้าพเจ้าสิ ! ไอ้แก่...แกมาประชุมอะไรที่โรงแรมสองต่อสอง ฝ่ามือหนึ่งตบเข้าแผ่นหน้าไอ้แกนั้นเต็มแรง ข้าพเจ้าตัดใจปล่อยทั้งคู่ตีกันอยู่อย่างนั้น และจูงมือผู้เป็นภรรยาของข้าพเจ้าเดินออกมา ขอโทษ เสียงภรรยาข้าพเจ้าเอ่ยบอก ข้าพเจ้าน้ำตาล่วง ข้าพเจ้าเองก็ทำผิด แต่ทำไมปล่อยให้ฝ่ายหญิงเอ่ยคำนี้ขึ้นมาก่อน สัญญากับผมได้ไหมว่าจะไม่ทำงานกลับดึกอีก... หล่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง สัญญา...สัญญาว่าจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน ข้าพเจ้าเข้าโอบกอดหล่อนไว้แน่น
ข้าพเจ้าถามชู้ของข้าพเจ้าเสมอว่าหลอกสามีมาเจอข้าพเจ้าได้อย่างไร คำตอบที่ได้ก็คือ กลับบ้านดึกหน่อยนะ พอดีมีงานเยอะ สิ้นเสียงนี้ข้าพเจ้าและชู้จะไม่ซักถามอะไรกันอีก ไม่พูดไม่จากัน มีเพียงร่างกายทั้งสองที่เคลื่อนไหวอยู่เท่านั้น
กลายเป็นเรื่องสนุกสนานบนเตียง คำตอบที่พูดมานั้นคงนึกหัวเราะเยาะคนที่เราคิดว่าอยู่ที่บ้าน แต่มันไม่สนุกเลยตอนจบ ยังดีที่ครอบครัวของข้าพเจ้ายังมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ลึกจนถึงคำว่าให้อภัย หรืออาจเป็นเพราะว่าต่างคนต่างผิดก็ไม่รู้ หากว่าผิดฝ่ายเดียวข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่ข้าพเจ้ามีชู้มาแล้วหลายคน โดยที่ภรรยาของข้าพเจ้าไม่เคยรับรู้ จนกระทั่งวันที่ต่างคนต่างรับรู้เรื่องของกันและกัน ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น ตลอดเวลาที่เขียนเรื่องนี้ ภรรยาข้าพเจ้านั่งอยู่เคียงข้าง และบอกข้าพเจ้าเสมอว่าเรื่องที่เขียนขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องจริง
Create Date : 15 ธันวาคม 2550 | | |
Last Update : 15 ธันวาคม 2550 15:47:56 น. |
Counter : 25863 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องสั้น : เข็มหัวกลับ
***เข็มหัวกลับ***
ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล ในวันเปิดเทอม ฉันเดินเข้ามหาวิทยาลัยด้วยความภาคภูมิใจ วันนั้นเป็นวันที่ฉันตื่นเต้นมาก ที่ได้เข้ามาเป็นน้องใหม่ ฉันเตรียมตัวที่จะถูกรับน้องไว้แล้ว ระหว่างที่ฉันเดินเข้ามหาวิทยาลัยใครๆหลายคนจ้องฉันตาไม่กระพริบ ฉันแปลกใจมาก ความจริงฉันก็ไม่ได้เป็นคนสวย ผิวก็ดำคล้ำ มีผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาทักขอเบอร์โทร จนกระทั่งฉันเดินเข้าไปถึงซุ้มลานสัก ซุ้มนี้รุ่นพี่กำลังรับน้องใหม่กันเสียงดังมากเมื่อทุกคนหันมาเห็นฉัน ก็หยุดนิ่งแล้วฉันก็ถูกเรียกให้ไปเต้นแร้งเต้นกาให้เพื่อนดู ในข้อหามาสาย ฉันคิดว่ามันสนุกดีไม่น้อย ฉันภูมิใจที่ฉันสามารถทำให้คนหลายคนยิ้ม อย่างมีความสุข หลังจากฉันหยุดเต้น รุ่นพี่คนหนึ่งเดินเข้ามากะซิบบอกว่า น้องๆ ติดเข็มมหาลัยหัวทิ่มนะ ฉันหันไปพึงยิ้มให้ แล้วก็รีบติดเข็มใหม่ด้วยความเขิน
วันแรกฉันก็ทำอะไรๆเปิ่นๆหลายอย่างและคงเพราะเหตุนี้เอง ตลอดทางที่ฉันเดินมาจึงมีคนมองตลอด แต่ทำไมเขาขอเบอร์โทรฉัน ฉันยังคิดไม่ออก
ทุกๆเย็นมีผู้ชายโทรมาหาชวนฉันออกไปกินข้าว โดยที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร ฉันก็เลือกคุยกับคนที่สุภาพ คนแรกที่ฉันนัดเจอเขาก็ทำให้ฉันรู้ว่าผู้ที่ติดเข็มหัวกลับนั้นสื่อความหมายว่าอย่างไร เขาพาฉันไปในที่ที่ฉันไม่เคยไป เขาพาฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำ ตอนนั้นฉันไม่ทันได้คิดอะไร วันนี้ฉันมองกลับไปในอดีต ฉันก็คิดว่าตอนนั้นฉันเป็นเพียงเด็กใจแตกธรรมดา ฉันคิดว่าฉันรักเขามากในตอนนั้น สุดท้ายที่เขาผู้นั้นและฉันแยกทางกัน เขาโยนเงินให้ ไม่กี่พัน แล้วเขาก็ไม่ได้โทรติดต่อกลับมาอีก คนที่โทรเป็นเพื่อนๆของเขาแทน การมาของคนพวกนี้ก็เหมือนๆกัน เขาพาฉันไปในที่ที่ฉันเคยไปมาแล้วหลายครั้ง ฉันทำในสิ่งที่ฉันเคยทำให้คนอื่นมาบ่อยครั้ง และฉันทำแบบนี้จนฉันเรียนจบ คนพวกนี้ทำให้ฉันหายเครียดจากการที่เรียนหนักมาทั้งวัน เวลาที่ฉันล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มๆนั้นมันทำให้ฉันผ่อนคลาย เวลาที่ได้เพื่อนสักคนมานอนเคียงข้าง มาพูดคุยด้วยถึงความรู้สึกลึกๆที่ไม่สามารถคุยกับคนอื่นได้เหมือนมันได้ระบายสิ่งเลวร้ายออกมาจากชีวิต ในขณะเดียวกันสิ่งที่ฉันทำมันก็ตอกย้ำสิ่งที่เลวร้ายให้กับฉันตลอดเวลา
ฉันคงผิดตั้งแต่แรกเริ่มที่ ดื้อดึงมาเรียนต่อมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้มาเรียน เพราะเขาทั้งสองกลัวหาเงินส่งให้เรียนไม่ได้ และก็เป็นดังที่คนทั้งสองคิด เขาไม่มีเงินส่งให้ฉันเรียน เพียงเงินที่ฉันกู้ได้เพียงเดือนละหนึ่งพันบาทมันไม่พอสำหรับค่าใช้จ่าย ครั้นฉันไปหางานนอกเวลาทำ ฉันต้องทำหลายชั่วโมงกว่าจะเลิกก็ดึก จนฉันไม่มีเวลาทำการบ้าน แต่การที่ฉันเอาร่างกายไปแลกกับเงินนั้น ฉันทำเพียงสัปดาห์ละครั้งก็พอ ใครๆอาจจะมองว่าฉันเป็นคนไม่ดี เพื่อนที่เคยอยู่ร่วมห้องกันนั้นก็ย้ายหนีฉันไปตั้งแต่ตอนอยู่ปี 2 ฉันต้องคบกับคนที่ทำเหมือนๆกับที่ฉันทำ
ฉันก็เหมือนกับเพื่อนหลายคนที่นอนกับผู้ชายไปทั่ว ความจริงฉันมีสิทธิ์เลือกที่จะนอนกับใคร คบกับใคร แต่ก็ตกอยู่ในฐานะที่เลือกไม่ได้ แต่ฉันก็ป้องกันตัวเองทุกอย่างเพราะฉันกลัวท้อง ฉันกลัวโรคร้ายๆ แต่ฉันชั่งน้ำหนักดูแล้วค่าเทอมสำคัญกว่า เพื่อนฉันที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆโดยเพราะโดนหลอก นอนกับผู้ชายโดยไม่ได้อะไรเลย หลายคนท้องไม่มีพ่อ หลายคนต้องทำแท้ง บางคนต้องเลิกเรียนไปเลยก็มี แต่สำหรับตัวฉันเองสิ่งเดียวที่ฉันแตกต่างจากคนอื่นๆคือ ฉันไม่เคยโดนหลอก ฉันไม่เคยเต็มใจที่ฉันทำแบบนี้ ถึงแม้ฉันได้เงินมาลงทะเบียนเรียนและใครอีกหลายคนไม่ได้ เสียตัวเสียใจฟรี ไม่มีใครบนโลกนี้ที่อยากโดนหลอก และฉันก็คิดว่าไม่มีใครที่เต็มใจทำในสิ่งเลวร้ายแบบฉัน ผลสรุปของชีวิต สุดท้ายฉันก็เรียนจบมีงานทำดีไม่ลำบาก มีเงินส่งพ่อส่งแม่ ที่สำคัญฉันแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ผู้ชายคนนี้เขารักฉันมาก ฉันรู้สึกอย่างนั้น ตอนนี้ฐานะฉันเปลี่ยนไป ฉันนอนกับผู้ชายคนเดิมคนนี้ทุกวัน ฉันไม่ได้เงินตอบแทนเหมือนก่อนอีกแล้ว แต่ฉันได้ความรักความอบอุ่นเป็นการตอบแทน และฉันก็มอบความรักความอบอุ่นที่ฉันเคยขายมันให้คนอื่นๆ ให้เขาทุกวัน เขาไม่เคยถามถึงอดีต เขาไม่เคยอยากรู้ แต่บางครั้งฉันก็อยากให้เขารู้ เพราะฉันอยากรู้ว่าหากเขารู้แล้วเขาจะรักฉันหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรในเมื่อทุกวันนี้ชีวิตฉันมันดีพร้อมอยู่แล้ว ฉันก็ไม่ควรจะหาเรื่องไม่ดีมาใส่ตัวฉันอีก ปล่อยให้บางสิ่งที่ฉันเคยเป็น เรื่องราว เข็มหัวกลับ ตามหลอกหลอนฉันเพียงคนเดียว
ยังมีนักศึกษามากมายที่ทำในสิ่งที่ฉันเคยทำ ในฐานะที่ฉันเป็นอาจารย์ของพวกเขา ฉันก็ได้แต่แนะนำให้พวกเขาป้องกันตัวเอง บางคนชอบเที่ยวกลางคืน คนกลุ่มนี้ถึงแม้จะรักสนุกเพียงอย่างเดียวแต่มีโอกาสสูงที่จะโดนผู้ชายพาไปนอนในที่ที่ฉันเคยคิดว่ามันนุ่มนอนหลับสบาย ฉันก็ได้แต่แนะนำให้ป้องกันตัวเองเช่นกัน
...ปัจจุบันฉันเป็นอาจารย์สอนวิชาสังคม แต่สิ่งที่ฉันศึกษามามันมากกว่านั้นยังมีเรื่องราวนอกห้องเรียนที่ฉันสอดแทรกในเนื้อหาการสอนตลอดเวลา...
Create Date : 09 ธันวาคม 2550 | | |
Last Update : 9 ธันวาคม 2550 2:24:53 น. |
Counter : 1935 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
สระบุรี Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
******###@###***** ...เรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เลือกเรื่องเล็กๆที่เป็นช่องว่างของสังคม มา ตัด เสริม เติม แต่ง ซึ่งอาจเหลือความจริงเพียงน้อยนิด และเรื่องราวเหล่านี้อาจทำให้ใครหลายคนก้าวเข้าไปถึง ช่องว่างที่ใครหลายคนอาจไม่เคยเห็น... ******************* *****###@###****** ...งานเขียนใน Weblog นี้เป็นของ ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗... *******************
|
|
|
|
|
|
|