Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องสั้น : เมื่อหัวใจถึงปลายทาง

***เมื่อหัวใจถึงปลายทาง***

ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล




เช้าตรู่มืดสลัวเสียงล้อเหล็กบดรางรถไฟดังก้องฝ่าความเงียบ เข้ามาใกล้มลฤดีที่ยืนอยู่หลังเส้นเหลือง อีกทั้งแสงสีส้มบนหัวรถจักร ส่องสว่างผ่านหมอกจางๆ แลเห็นเป็นลำแสงพุ่งตรงทอดยาวไปตามรางเหล็กที่คู่ขนานไปสู่ความมืดมิดเบื้องหน้า เสียงก้องจากการเสียดสีระหว่างล้อเหล็กและรางค่อยๆ เบาลง ขบวนรถค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ หล่อนและผู้คนอีกสองสามคนค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ขบวนรถไฟ ครู่หนึ่งเมื่อมีแสงสีเขียวส่องโดยนายสถานีไปสู่หัวขบวนรถ อันเป็นสัญญาณบอกให้ออกรถ ขบวนรถพลันค่อยๆ เคลื่อนขบวนอย่างช้าๆ พร้อมเสียงหวูดรถไฟนั้นพลันดังขึ้นก้องแก้วหูของหล่อน หล่อนค่อยๆ เดินไปด้านหัวขบวนรถจักร ในใจเฝ้าแต่นึกถึงชายหนุ่มอันเป็นที่รักสุดหัวใจ ซึ่งสิ้นลมหายใจไปก่อนหน้านี้เมื่อวันวาน แม้กายหล่อนอยู่สถานีต้นทาง แต่หัวใจไปรออยู่ที่ ณ สถานีปลายทางชานชลาใจของชายหนุ่มอันเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิต
...หล่อนค่อยๆ ก้าวเดินไปด้านหัวขบวนรถจักร ผู้คนมากมายบนขบวนรถต่างพากันหลับไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น หล่อนกำลังมองหาที่นั่งเหมาะๆ สักที่ เพื่อพักผ่อน เพื่ออิงไหล่ เพื่อเอนหลัง หลังจากเมื่อยล้ากับการนั่งรอรถไฟที่เสียเวลามาแสนนาน ระหว่างที่เดินไปนั้นหล่อนสังเกตเห็นที่นั่งด้านหน้า ซึ่งมีชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งนิ่งมองหล่อนตาไม่กระพริบ ในขณะที่หล่อนนั้นเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มนั้นก็ส่งยิ้มมาให้หล่อนตลอดเวลา เมื่อหล่อนเดินเข้าไปถึง เขาเอ่ยคำเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ฟังดูแล้วเป็นน้ำเสียงที่เต็มใจยิ่งนัก เขาพูดเชื้อเชิญพร้อมลุกขึ้นมาช่วยยกสัมภาระอันหนักอึ้งขึ้นวางด้านบน หล่อนเข้าไปนั่งติดริมหน้าต่างด้านตรงข้ามกับที่เขานั่งอยู่
“ขอบคุณ” น้ำเสียงของหล่อนสั้นห้วนปานดังโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน
“ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดพลางจ้องปากแดงๆ ของหล่อนครู่หนึ่ง แล้วจึงละสายตามาสบตา หล่อนหลบตาหันหน้าหนี แล้วเอนหัวพิงผนังริมหน้าต่าง กอดอก เหลือบมองหน้าเขา แล้วอมยิ้ม แล้วหลบตาอีกครั้ง แล้วจึงค่อยหลับตาลง หล่อนไม่ง่วงเลยแม้แต่นิด แต่หลับตาเพื่อนึกถึงภาพอมยิ้มของเขาที่ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน ด้วยความดีใจ และประทับใจชายผู้นี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ทำให้หล่อนไม่รู้สึกเดียวดายกับการเดินทางไปกับขบวนรถไฟเหมือนก่อนเคย
ปากแดงๆ ของหล่อน ยังดึงดูดชายผู้นั่งฝั่งตรงข้ามได้ตลอดเวลา เขานั่งมอง เขานั่งจ้อง เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ลืมตาขึ้นมาแน่ เขาจึงเริ่มลดสายตาต่ำลง ผ่านหน้าอกที่มีแขนทั้งสองข้างกอดรัดอยู่จนแลไม่เห็นเนินนูนใดๆ มันอาจราบเรียบเป็นปกติ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะแขนทั้งสองข้างของหล่อนกดมันจนเป็นพื้นที่ราบก็เป็นได้ อีกที่ข้อมือหล่อนยังมีด้ายสายสิญจน์สีขาวแต่หม่นลงมากแล้ว ต่ำลงมาอีกกระโปรงหล่อนเป็นลายดอกไม้กลีบสีแดง สลับกับสีพื้นกระโปรงที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ต่ำลงมาอีกรองเท้าหล่อนก็เป็นเพียงรองเท้าแตะธรรมดาเท่านั้น บนเรือนร่างหล่อนนั้นมองหาความหรูหราไม่ได้เลย มีเพียงความเรียบง่ายที่ขัดกับสีริมฝีปากหล่อนที่แดงเยิ้มตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามแต่ใบหน้าหล่อนนั้นเข้าพิมพ์กับใบหน้านางในฝันของเขาพอดี เขาจึงประทับใจในความสวยที่ตรงใจตั้งแต่ฉากแรกเห็น

มลฤดียังคงนั่งเอนอิงพิงไหล่ไว้กับผนัง อีกศีรษะนั้นก็แนบชิดกับผนังนั้นด้วย แต่ด้วยสายลมที่เคยแรงของขบวนรถที่กระทบหน้าหล่อนค่อยๆ แผ่วลง เสียงลมที่โกรกหูอยู่ก็ค่อยเบาลง เสียงรางและล้อเหล็กนั้นก็พลันหยุดลงด้วย ทันทีที่รถหยุดนิ่ง หล่อนพลันลืมตาขึ้น เก้าอี้เบื้องหน้าหล่อนนั้นเหลือแต่ความว่างเปล่า เหลือแต่เพียงเก้าอี้ไม้ เหลือแต่เพียงภาพอมยิ้มของสุภาพบุรุษที่ตรึงใจ และกลับกลายเป็นความเดียวดายไร้เพื่อนร่วมทาง หล่อนผิดหวังกับชายคนนี้อย่างมาก เพราะในใจนั้นหวังว่า ชายผู้นี้จะคงนั่งเคียงไปสู่ปลายทางสถานีเดียวกัน ในขณะที่หล่อนจ้องเก้าอี้ไม้อยู่นั้นขบวนรถไฟค่อยๆ เคลื่อนขบวนออกจากสถานี หล่อนเริ่มกลับไปสู่อิริยาบถเดิมๆ หล่อนค่อยๆ เอนไหล่พิงผนัง แต่เมื่อหล่อนเอนหัวถึงริมผนังนั้นสายลมที่เพิ่มความแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความเร็วของขบวนรถนั้นพัดกระทบหน้าหล่อนอย่างจัง หล่อนลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หล่อนนั่งแทนที่ความว่างเปล่าจากฝีมือชายผู้ที่สร้างความประทับใจ ปล่อยความว่างเปล่าอยู่กับเก้าอี้ตัวเดิม หล่อนกอดอกเมื่อความหนาวเย็นกระทบเข้ากับผิวกาย และมองออกไปด้านนอกขบวนรถ ตอนนี้ไม่มีสายลมกระทบดวงตาหล่อนอีกแล้วทำให้มองเห็นบรรยากาศด้านนอกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะที่เพลินใจอยู่กับธรรมชาติด้านนอกขบวนรถในยามเช้าตรู่อยู่นั้น หล่อนต้องหันกลับเข้ามาในขบวนรถอีกครั้ง เมื่อชายหนึ่งนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้า หล่อนอมยิ้มและลุกขึ้น
“ขอโทษค่ะฉันคิดว่าคุณลงไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งตรงนี้ก็ได้” สุภาพบุรุษพูดเป็นนัย เหมือนกำลังจะบอกหล่อนว่านั่งตรงไหนก็เห็นหน้าหล่อนชัดเจนเหมือนกัน
หล่อนอมยิ้มแล้วนั่งลงตามเดิม
หลังจากลุกไปเข้าห้องน้ำมา เขาก็ต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอีกครั้ง ด้วยการสละที่นั่งดีๆ ที่ปราศจากลมแรงที่คอยโกรกหน้าให้กับมลฤดี เขานั่งจ้องหน้าหล่อนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มกอดอกเอนหัวพิงผนังและหลับตา เพื่อหลบลมที่โกรกแรง ทันทีที่เขาหลับตาลง มลฤดีก็หันมาจ้องหน้าเขา แต่ก็มองไม่ค่อยถนัดนัก เพราะสายลมที่โกรกแรงนั้นพัดเอาผมมาปิดหน้าผากจนจรดขอบตา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อะไรก็ไม่สามารถทำให้หล่อนลืมหน้าตาผู้ชายที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันมานานหลายปี เมื่อจ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจว่าต้องใช่ชายผู้ที่เคยมีลูกด้วยกันเป็นแน่ หล่อนล้วงกระจกบานใหญ่ออกจากกระเป๋าถือ ส่องหน้าตัวเอง พลางบ่นพึมพำ
“เราก็ยังสวยเหมือนเดิม... ?!?”
หล่อนละสายตาจากกระจกมามองหน้าเขาอีกครั้ง
“แต่เขาหล่อไม่เหมือนเดิม...?!?”
พูดจบก็อมยิ้มแล้วเก็บกระจกเข้าตามเดิม
จังหวะหนึ่งชายนั้นละมือจากหน้าอกมาเสยผมพร้อมลืมตาขึ้น หล่อนจึงเมินหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่าง ชายนั้นลุกขึ้นและล้วงขวดน้ำออกจากกระเป๋าผ้าด้านบน เขาลงนั่งแล้วเปิดฝาขวดพร้อมใส่หลอด แล้วยื่นให้หล่อน หล่อนยิ้มแล้วรับไว้ ก่อนจะดูดแค่จิบให้หายแห้งคอ แล้วยื่นขวดน้ำคืนให้ชายผู้เป็นสุภาพบุรุษนั้น แล้วหล่อนก็หลบตาเมินหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ยิ่งชายผู้นี้เห็นพฤติกรรมของหล่อนก็รู้สึกแปลก หล่อนทำท่าเหมือนงอน เหมือนเขาเคยไปทำอะไรให้หล่อนโกรธก็ปานนั้น
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มลฤดีหันมามองหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จนแน่ใจว่าเขาจำหล่อนไม่ได้เป็นแน่
“ไม่เคย!!!” พูดจบหล่อนก็หันออกนอกหน้าต่างตามเดิม
ชายผู้ที่สงสัยในพฤติกรรมของหล่อนตัดใจจากท่าทีที่ดูเหมือนโกรธ มามองที่หลอด ปลายหลอดนั้นเปื้อนสีแดงจากริมฝีปากหล่อน แต่เขาก็ใช้ริมฝีปากประทับลงไปที่ปลายหลอดนั้น ปากนั้นดูดน้ำ แต่สายตาเขาเหลือบมองหล่อนตาไม่กระพริบ เขาสังเกตเห็นหล่อนนั่งทำหน้าบึ้งแต่ก็มีเห็นว่าบางครั้งหล่อนก็หลุดอมยิ้มออกมาให้เห็น หล่อนยังคงมองอยู่นอกหน้าต่างและดูเหมือนว่ามุมนี้อาจเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของหล่อนเวลานี้
เมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างเขาและหล่อนสงบลง มลฤดีผู้มีจุดหมายปลายทางของใจอยู่กับคนที่ไร้ลมหายใจผู้เป็นชายหนุ่มที่หล่อนรักยิ่งกว่าชีวิต พลันนึกถึงร่างอันไร้ลมหายใจขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้หล่อน ยิ้มหล่อนมีความสุข แม้จะงอนชายผู้ที่เคยเป็นสามี ผู้ที่เคยมีลูกด้วยกัน กับเรื่องเล็กน้อยในเรื่องที่เขาจำหล่อนไม่ได้เลย แต่รวมๆ แล้วภาพความเป็นสุภาพบุรุษของเขาทำให้หล่อนลืมทุกข์ได้ กับการขึ้นรถไฟที่มีผู้คนมากมาย และการขึ้นรถไฟทุกครั้งที่หล่อนต้องรู้สึกเหงา ครั้งนี้อดีตสามีทำให้หล่อนมีความสุข เหมือนบนรถไฟนี้มีเพียงแค่หล่อนและเขาเพียงสองคนเท่านั้น แต่เมื่อทุกอย่างนิ่งสงบลง เมื่อนึกถึงชายหนุ่มอันเป็นที่รักสุดหัวใจ ตอนนี้หล่อนเหมือนอยู่เดียวดายไม่มีใครอยู่บนขบวนรถนี้เลย น้ำตาหล่อนเริ่มไหลเป็นทาง
“คุณ คุณ คุณ.....!!!...” เสียงชายฝั่งตรงข้ามเรียกด้วยความตกใจ “...เป็นอะไรไปครับ”
ได้ยินดังนั้นหล่อนก็โผเข้ากอดเขาทันที ทำให้เขาตกใจมากกว่าเดิม
“คุณจะกอดผมก็ได้นะ ถ้ากอดแล้วคุณสบายใจ แต่นี่มันบนรถไฟนะคุณ”
หล่อนไม่พูดอะไรกลับมาและยังกอดเขาแน่นกว่าเดิม
ชายผู้ตกใจนั้นยังคงหันมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าบนขบวนรถไม่มีใคร สนใจ เขาก็เริ่มโอบกอดหล่อน
“รู้สึกอย่างไรเมื่อคุณกอดฉัน ?”
“รู้สึกดี เหมือนได้กอดคนที่ผมรัก” เขาตอบแต่ก็ยังงงๆ
“แค่เหมือนคนที่คุณรักเท่านั้นหรือ ?”
“ใช่ครับ !”
“แล้วคนที่คุณรักเป็นใคร ?” หล่อนถามทั้งที่ยังคงสะอื้นไห้
“ผมว่าเราเลิกกอดกันแล้วมาคุยกันดีๆ ...” ทั้งสองผละออกจากกัน “...เขาเคยเป็นภรรยาผม เขาชื่อมลฤดี ผมก็หวังว่าวันนี้ผมจะได้เจอเธอ ที่งานศพลูกชาย...”
หล่อนได้ยินดังนั้น ก็หันออกนอกหน้าต่างและฉีกยิ้ม
“…เรื่องไม่เป็นเรื่องที่เราทะเลาะกันทำให้ต้องเลิกกันตั้งแต่ลูกชายคลอดได้ไม่กี่เดือน”
มลฤดีหันกลับมาแล้วยิ้มทั้งน้ำตา
“คุณคิดว่าถ้าคุณเจอเธอ คุณจะจำเขาได้หรือเปล่า ?”
“ผมคิดว่าผมจำได้นะ จำได้แน่นอน ผมคิดว่ามลก็คงหน้าตาคล้ายๆ คุณนี่ล่ะ”
มลฤดียิ้ม พร้อมๆ กับหวูดรถไฟดังขึ้น
“ผมต้องไปก่อนนะ”
รถไฟค่อยๆ เบาลง และเขาก็ก้าวเท้าออกไปสู่ประตูทางลงท้ายขบวน หล่อนยิ้มและก้าวเท้าออกไปสู่ประตูทางลงด้านหัวขบวน
ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นหวังจะได้เจอนางอันเป็นที่รักที่งานศพลูกชายเดินตรงไปหาลูกสะใภ้ที่ยืนรอรับอยู่ด้านหน้าสถานี
“รถไฟเสียเวลาพ่อเลยมาช้าไปหน่อย” เขาพูดพร้อมกับเดินตรงไปที่รถ
“เดี๋ยวค่ะพ่อ…” เสียงลูกสะใภ้ที่เรียกเขาว่าพ่อได้อย่างเต็มปาก ตะโกนเสียงหลง
“...รอแม่ก่อนค่ะ”
“แม่ไหน ?” เขาพูดพลางมองไปเห็นหญิงผู้ที่เขาโอบกอดบนขบวนรถ และหล่อนกำลังเดินเข้ามาใกล้
“คุณลงสถานีนี้ด้วยหรือ ?”
“ใช่ ฉันจะมางานศพลูกชายที่รักของฉัน แล้วคุณล่ะมาทำไม” เสียงมลฤดีตอบและหล่อนเมินหน้าหนีเขาอีกแล้ว
ผู้เป็นอดีตสามีของมลฤดีหันไปมองหน้าลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้พึงยิ้ม
“พ่อจำแม่ไม่ได้หรือคะ” พูดจบเธอยังคงยิ้มค้าง
“ทั้งๆ ที่แม่ก็สวยเหมือนเดิม เขายังจำแม่ไม่ได้ คนแบบนี้ไม่น่าคุยด้วย” พูดจบมลฤดีก็จูงมือลูกสะใภ้ตรงไปที่รถ เบื้องหน้ามีหลานชายตัวเล็กยืนอยู่ข้างรถส่งยิ้มให้ย่าอย่างน่าเอ็นดู
ด้วยความฉุนเฉียวไม่มีใครสนใจ ชายผู้เป็นอดีตสามีหล่อนนั้นจึงตะโกนลั่นสถานี
“สวย ! เมื่อสามสิบปีที่แล้ว กับสวย! ตอนนี้มันไม่เหมือนกันโว้ย !!!”
มลฤดีได้ยินดังนั้นก็อมยิ้ม หล่อนได้สมใจ เมื่อครอบครัวได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง ต่างกันก็เพียงแต่ร่างหนึ่งได้สิ้นลมหายใจลงเสียแล้ว รอยยิ้มเล็กๆ แลกกับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ อันได้แก่การเข้าใจปัญหาเล็กๆ ในอดีต แลกกับการสูญเสียลูกชายคนเดียวในปัจจุบัน ทำให้หญิงอย่างมลฤดีปลงตก ก่อนจะหันหลังแล้วตะโกนบอก
ชายผู้ที่หล่อนหวังให้เขากลับมาหา
“คุณจะเป็นสุภาพบุรุษมากกว่านี้ ถ้าคุณมาถือตะกร้าหมากให้ฉัน” หล่อนพูดขณะที่ริมฝีปากหล่อนยังคงแดงเยิ้ม...



Create Date : 11 สิงหาคม 2551
Last Update : 11 สิงหาคม 2551 21:02:32 น. 8 comments
Counter : 991 Pageviews.

 



5555.....

อะไรเนี่ยยยยย
คิคิ...สองคนตายายนี่


เหมือนเจ็กเลยอะ
คิคิ




โดย: แป้ง_ตรางู IP: 203.156.25.201 วันที่: 11 สิงหาคม 2551 เวลา:21:34:29 น.  

 
ก๊ากกกกกก มีกินหมากด้วย
สมัยไหนเนี่ย

หลอกตุ๋นเราซะสนิทเลย นึกว่าแฟนตาย ที่แท้ลูกตาย
เอิ้กๆ ตอนแรกก็ งง จับทางไม่ถูก เก่งๆ
เก้าเต็มสิบ


โดย: pumpond วันที่: 11 สิงหาคม 2551 เวลา:21:36:29 น.  

 
อิอิ


โดย: Kaze no Mahou วันที่: 11 สิงหาคม 2551 เวลา:22:01:23 น.  

 
เคยเห็นในวารสารเล่มนึงอ่ะ^^


โดย: มะบอก..ได้ป่ะ IP: 124.121.181.123 วันที่: 12 สิงหาคม 2551 เวลา:9:28:13 น.  

 
นั่นแน่ ! นิตยสารบริษัทครับ แต่ไม่กล้าเอาปกมาโชว์เพราะมันมีโลโก้บริษัทด้วย อิอิ (เล่นกันเองซะแล้ว ใครหว่า ?)


โดย: ศิลป์ใจ (ศิลป์ใจ ) วันที่: 13 สิงหาคม 2551 เวลา:21:37:05 น.  

 
555
นึกแล้วเชียว เห็นยังนั่งรถไฟ..
รุ่นโบราณแหๆ


โดย: pimpagee วันที่: 16 สิงหาคม 2551 เวลา:11:14:11 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ตาเจ๊ก
มาเขียนเรื่องใหม่ได้แล้ว ปีใหม่แล้ว สู้ๆ


โดย: pumpond วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:14:41:17 น.  

 
คิดถึงพี่พรหมจัง


โดย: ปาล์ม IP: 192.168.2.170, 203.172.235.250 วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:57:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ศิลป์ใจ
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




******###@###*****
...เรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เลือกเรื่องเล็กๆที่เป็นช่องว่างของสังคม มา ตัด เสริม เติม แต่ง ซึ่งอาจเหลือความจริงเพียงน้อยนิด และเรื่องราวเหล่านี้อาจทำให้ใครหลายคนก้าวเข้าไปถึง ช่องว่างที่ใครหลายคนอาจไม่เคยเห็น...
*******************
*****###@###******
...งานเขียนใน Weblog นี้เป็นของ ศิลป์ใจ ศิริกาลกุล ได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗...
*******************
Friends' blogs
[Add ศิลป์ใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.