พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ข้าพระพุทธเจ้า (ลงนาม) สุขุมนัยวินิต ขอเดชะ
จุฬาลงกรณ์ ปร.
วชิราวุธ ปร
ถึง พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นสิ้นเขตที่เจ้าพระยายมราชเป็นครูและพระอภิบาลพระเจ้าลูกยาเธอ ๔ พระองค์ ด้วยทรงพระเจริญวัย เสด็จแยกย้ายกันไปเรียนวิชาเฉพาะอย่างตามต่างประเทศ มิได้อยู่รวมกันเหมือนแต่ก่อน กรมพระจันทบุรีฯเสร็จการเล่าเรียนจะเสด็จกลับกรุงเทพฯก่อนพระองค์อื่น จึงโปรดให้เจ้าพระยายมราช เมื่อยังเป็นที่พระวิจิตรวรสาส์นกลับมาพร้อมกันกับกรมพระจันทบุรีฯ ท่านผู้หญิงตลับกับบุตรธิดา ๒ คนก็กลับมาด้วย มาอยู่ที่เรือนหอในบ้านพระยาชัยวิชิต ณ ตำบลบางขุนพรหม ต่อมาเมื่อพระยาชัยวิชิตถึงอนิจกรรมท่านผู้หญิงตลับได้รับมรดกบ้านนั้นก็อยู่ด้วยกันเป็นหลักแหล่งต่อมาถึงตอนปลายรัชกาลที่ ๕ จึงย้ายมาอยู่ที่บ้านศาลาแดง ด้วยเหตุดังจะกล่าวในที่อื่นต่อไปข้างหน้า
เจ้าพระยายมราชได้เป็นครูพระเจ้าลูกยาเธอ ๔ พระองค์ อยู่ในกรุงเทพฯปีหนึ่ง อยู่ในยุโรป ๙ ปี รวมเป็น ๑๐ ปี ทั้ง ๒ ฝ่ายมีความรักใคร่กันสนิทสนมยิ่งขึ้นโดยลำดับมา แม้เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๔ พระองค์เสด็จกลับเข้ามารับราชการได้เป็นต่างกรม ถึงชั้นกรมพระและกรมหลวง และเจ้าพระยายมราชก็ได้เป็นเสนายดีแล้ว เวลาเจ้านายทั้ง ๔ พระองค์ตรัสกับท่านยังเรียกว่า "ครู" ติดพระโอษฐ์อยู่อย่างเดิม หาเปลี่ยนเรียกว่า "เจ้าคุณ" ไม่ ผู้ที่เคยได้ยินก็เห็นจะยังมีมาก
ฝ่ายข้างเจ้าพระยายมราชก็รักใคร่อยู่อย่างเดิมไม่เสื่อมคลาย เมื่อท่านเขียนคำไว้อาลัยพิมพ์ในงานศพท่านผู้หญิงตลับในรัชกาลที่ ๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ยังหวนพิไรรำพันถึงพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๔ พระองค์ แล้วรำพันต่อไปถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อ่านจับใจน่าสงสาร จึงคัดตอนที่กล่าวนั้นมาพิมพ์ด้วย
ข้าพเจ้าเคยถวายพระอักษรพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถฯ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ กรมหลวงปราจิณกิติบดี และกรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช แต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ที่พระตำหนักเดิมสวนกุหลาบ เมื่อเสด็จไปทรงศึกษาวิชา ฯ ประเทศยุโรป พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าตามเสด็จไปอยู่ด้วยถึง ๙ ปี แม่ตลับไปทีหลังอยู่ ๖ ปี ท่านทั้ง ๔ พระองค์ทรงพระเมตตาสัญญากับข้าพเจ้าไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าตาย ท่านจะช่วยกันทรงเผาผีจะมิให้บุตรภรรยาต้องวุ่นวาย ข้าพเจ้านึกดีใจมากและหวังเต็มที่ว่าอย่างไรๆก็คงไม่พลาด เพราะถึง ๔ พระองค์ด้วยกัน และบางพระองค์ก็เท่ากับว่าได้ทรงเริ่มต้นบ้างแล้ว คือเวลาข้าพเจ้าเจ็บป่วยทรงพระอุตสาหะเสด็จมาพยาบาล แต่อนิจจายังไม่ทันไรท่านมาสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อนข้าพเจ้าหมดแล้ว โดยพระชนมพรรษายังน้อยอยู่ทั้งนั้น แทนที่ท่านจะทรงเผาผีข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลับต้องถวายพระเพลิงพระศพท่าน และรับอัฐิท่านด้วยความเศร้าสลดใจเสียอีก ในกรมพระจันทบุรีนฤนาถเป็นพระองค์สุดท้าย
ยังซ้ำทรงไว้อาลัยให้คิดถึงมากขึ้นคือทั้งในกรมหลวงราชบุรีฯและในกรมพระจันทบุรีฯ เมื่อจะเสด็จไปรักษาพระองค์ยังเมืองนอก ข้าพเจ้าไปส่ง เวลาจะทรงอำลารับสั่งแก่ข้าพเจ้าเป็นลางว่า "บางทีครูจะไม่ได้เห็นฉันอีก" รับสั่งอย่างเดียวกันทั้ง ๒ พระองค์ เวลาก็ห่างไกลกันหลายปี แล้วก็ไม่ได้กลับมาเห็นกันอีกจริงๆดังนี้
ใช่แต่เท่านั้นยังมีเครื่องปลงอีก คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ ได้เคยมีพระราชกระแสรับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า "ฉันก็เคยเป็นศิษย์เจ้าพระยายมราชเหมือนกัน ฉันยังได้เติมสร้อยสมญาเจ้าพระยายมราช ลงในสมุดสุพรรณบัฏว่า ฉัฎฐมราชคุรุฐานวโรปการี ให้เป็นหลักฐาน ถ้าเจ้าพระยายมราชตาย ฉันจะต้องนุ่งขาวให้" เป็นพระเดชพระคุณล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้ ที่ยังทรงพระกรุณาระลึกถึงความหลัง มีพระราชกระแสรับสั่งเช่นนี้ เป็นที่ปิติยินดีของข้าพเจ้าอย่างเหลือเกิน แต่ลงปลายก็เปล่าอีกเหมือนกัน ยังมิทันที่จะได้ทรงพระภูษาขาวพระราชทานเป็นเกียรติยศแก่ศพข้าพเจ้า ก็มาเสด็จสวรรคตเสียก่อน ข้าพเจ้ากลับต้องนุ่งขาวถวายพระบรมศพ ฉลองพระเดชพระคุณด้วยความเศร้าโศกาลัยเป็นอย่างยิ่ง
เป็นการไม่เที่ยงแท้อยู่ดังนี้ เมื่อเอาธรรมเรื่องนี้เข้ามาหักก็ทำให้ข้าพเจ้าค่อยคลายความเศร้าใจคิดถึงแม่ตลับ ซึ่งดับสูญไปเมื่ออายุ ๖๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๗๔) แล้วนั้นลงได้มาก
ประวัติตอนรับราชการในกระทรวงมหาดไทย
เขียนประวัติเจ้าพระยายมราชตอนนี้ จำต้องกล่าวถึงเรื่องกระทรวงมหาดไทย คล้ายกับเล่าเรื่องของตัวข้าพเจ้าเอง เมื่อแรกเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยก่อน จึงจะเข้าใจเรื่องประวัติของเจ้าพระยายมราชเมื่อทำราชการกระทรวงมหาดไทยชัดเจน
เมื่อก่อนข้าพเจ้าไปยุโรป สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงกำลังทรงพระราชดำริจะจัดการเปลี่ยนแปลงวิธีปกครองพระราชอาณาเขตให้สมสมัย เริ่มด้วยแก้ไขตำแหน่งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆ จะทรงตั้งกระทรวงเสนาบดีเพิ่มขึ้นอีก ๑๒ กระทรวงด้วยกัน
ตัวข้าพเจ้าในเวลานั้นเป็นกรมหมื่นและเป็นอธิบดีกระทรวงธรรมการ ซึ่งจะยกขึ้นเป็นกระทรวงเสนาบดีอันหนึ่งตามพระราชดำริ เหมือนกับเทียบที่จะเป็นเสนาบดีอยู่แล้ว เมื่อไปยุโรปข้าพเจ้าจึงเอาใจใส่หาความรู้เห็นซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่กระทรวงธรรมการมาเป็นพื้น เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯยังไม่ถึง ๗ วัน ก็ประกาศพระบรมราชโองการให้ตั้งกระทรวงเสนาบดีดังทรงพระราชดำรินั้น แต่ในประกาศส่วนทรงตั้งตัวเสนาบดีประจำกระทรวงต่างๆ โปรดฯให้ปลดเจ้าพระยาบดินทรที่สมุหนายกเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งแก่ชราออกรับพระราชทานเบี้ยบำนาญ และทรงพระกรุณาโปรดฯให้ข้าพเจ้าย้ายไปเป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นไป
การที่จะทรงตั้งข้าพเจ้าเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมิได้มีพระราชดำรัสถามความสมัครของข้าพเจ้า หรือแม้แต่ดำรัสให้ทราบก่อน ข้าพเจ้าต้องย้ายกระทรวงไปในทันทีมิได้เตรียมตัวและยังไม่คุ้นเคยกับราชการกระทรวงมหาดไทย ก็เกิดวิตก แต่เมื่อมีพระบรมราชโองการเป็นเด็ดขาดแล้วก็ต้องย้ายจากกระทรวงธรรมการไปตามรับสั่ง
ต่อมาในเดือนเมษายนนั้น วันหนึ่งมีรับสั่งให้หาข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าในที่รโหฐาน ข้าพเจ้าได้โอกาสจึงกราบทูลปรับทุกข์ถึงที่โปรดฯให้ย้ายไปว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าข้าพเจ้าได้พยายามก่อสร้างกระทรวงธรรมการมา ฝังใจอยู่แต่ในกระทรวงนั้น นึกว่าถ้าโปรดให้สนองพระเดชพระคุณในกระทรวงธรรมการต่อไป เห็นจะสามารถจัดให้ดีขึ้นได้ แต่ราชการกระทรวงมหาดไทยข้าพเจ้าไม่ได้เคยเอาใจใส่ศึกษา รู้แต่ว่าเป็นกระทรวงใหญ่มีหน้าที่บังคับบัญชาการกว้างขวาง ยากกว่ากระทรวงธรรมการมาก เกรงจะไม่สามารถทำการกระทรวงมหาดไทยได้สมพระราชประสงค์ ถ้าหาดพลาดพลั้งให้เสียหายอย่างไรก็จะเสียพระเกียรติยศ จึงมีความวิตกนัก
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมีพระราชดำรัสตอบว่า ทรงเชื่อแน่ว่า ถ้าข้าพเจ้าเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการคงสามารถจัดการได้ดี แต่กรณีที่สำคัญกว่านั้นมีอีกอย่างหนึ่งบางทีข้าพเจ้าจะยังไม่ได้คิด ด้วยเวลานั้นต่างประเทศกำลังตั้งท่าจะรุกพระราชอาณาเขตเข้ามา ถ้าไม่จัดการปกครองบ้านเมืองให้เรียบร้อยปล่อยให้เป็นอยู่อย่างเดิมต่อไป อาจจะเกิดเหตุถึงเสียอิสระบ้านเมือง ถ้าบ้านเมืองเสียอิสระแล้วกระทรวงธรรมการของข้าพเจ้าจะดีอยู่ได้หรือ การปกครองบ้านเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยให้ทั่วพระราชอาณาเขตสำคัญกว่า ด้วยเป็นการใหญ่และยาก ตกอยู่ในหน้าที่กระทรวงมหาดไทยเป็นสำคัญ เพราะมีหัวเมืองอยู่ในบังคับบัญชามาก ได้ทรงพิจารณาหาตัวผู้จะเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยให้จัดการได้ดังพระราชประสงค์มานานแล้วยังหาไม่ได้ จนมาทรงสังเกตเห็นว่าข้าพเจ้ามีความสามารถเหมาะกว่าผู้อื่น จึงได้ทรงตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ข้อที่ข้าพเจ้าวิตกด้วยไม่คุ้นเคยกับราชการกระทรวงมหาดไทยนั้นก็เป็นธรรมดา แต่ตัวข้าพเจ้าก็คงเคยทราบอยู่แก่ใจ ว่าราชการกระทรวงมหาดไทยนั้นพระองค์ต้องทรงรับเป็นภาระยิ่งกว่ากระทรวงอื่นๆมานานแล้ว ถ้าข้าพเจ้าอยากรู้นโยบายและกระบวนราชการกระทรวงมหาดไทย หรือมีความสงสัยอย่างไรก็กราบบังคมทูลถาม จะทรงพระกรุณาโปรดชี้แจงและอุดหนุนทุกอย่าง
พระราชดำรัสข้อหลัง อย่างว่า "ทรงรับเป็นครู" นี้เป็นข้อสำคัญแก่ตัวข้าพเจ้ามาก ได้ถือเป็นหลักและเป็นกำลังสืบมาจนตลอดรัชกาลที่ ๕ ถึงกระนั้นตอนแรกข้าพเจ้าไปบัญชาการกระทรวงมหาดไทยก็ลำบากมิใช่น้อย ด้วยย้ายไปแต่ตัวกับเจ้าพระยาพระเสด็จ(ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) เมื่อยังเป็นหลวงไพศาลศิลปสาตร์ เลขานุการสำหรับตัวข้าพเจ้า ด้วยกัน ๒ คนเท่านั้น เวลาจะบัญชาการ ข้าพเจ้าต้องเชิญพระยาราชวรานุกูล(อ่วม)ปลัดทูลฉลองมานั่งกำกับ เมื่อเจ้าหน้าที่มาเสนอราชการอันใด ข้าพเจ้าถามพระยาราชวรานุกูลก่อน ว่าการเช่นนั้นแต่ก่อนเคยบังคับบัญชากันมาอย่างไร และท่านเห็นควรจะสั่งการอย่างไร น่าชมความอารีของพระยาราชวรานุกูล ท่ายบอกแบบแผนเยี่ยงอย่างและความคิดของท่านให้โดยมิได้รังเกียจ ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยหรือไม่เห็นมีทางเสียหายอย่างใดก็สั่งทางที่แนะนำ ถ้าไม่เห็นพ้องด้วยก็โต้แย้งและปรึกษากับท่านจนเป็นยุติแล้วจึงสั่งไป ถ้าความเห็นแตกต่างกันเป็นข้อสำคัญหรือเห็วว่าเป็นเป็นข้อสำคัญ ไม่ควรจะทำไปแต่โดยลำพัง ข้าพเจ้าก็กราบทูลขอเรียนพระราชปฏิบัติแล้วจึงสั่งไป
ส่วนข้าราชการในกระทรวงใครเคยทำการอย่างไรมาแต่ก่อนก็คงทำไปอย่างเดิม แก้ไขเพียงให้ส่งการงานต่างๆอันตกเป็นหน้าที่ของกระทรวงอื่นตามประกาศไปยังกระทรวงนั้นๆ เช่น ส่งการชำระความอุทธรณ์ศาลหัวเมืองไปยังกระทรวงยุติธรรม (แต่ศาลตามหัวเมือง กระทรวงยุติธรรมว่ายังรับไม่ได้ ก็ต้องคงอยู่ในกระทรวงมหาดไทย) และส่งการบัตรหมายส่งกรมพลเรือนเวลามีการพระราชพิธีในกรุงเทพฯไปยังกระทรวงวังเป็นต้น
แต่กระบวนทำราชการในกระทรวง ซึ่งแต่ก่อนเคยนำข้อราชการไปเสนอเสนาบดีที่บ้านตามแบบโบราณ ข้าพเจ้าให้เจ้าหน้าที่มาเสนอในศาลาลูกขุนเวลาข้าพเจ้าไปทำการพร้อมกันทุกวัน ได้สมาคมถามไถ่การงานต่อเจ้าหน้าที่จนคุ้นและรู้อัธยาศัยข้าราชการ ตั้งแต่ชั้นผู้ใหญ่ลงไปจนผู้น้อยทั้งกระทรวง ข้าพเจ้าบัญชาการอย่างศึกษาดังว่ามาอยู่สัก ๓ เดือนจึงสามารถสั่งราชการได้โดยลำพังตน แล้วปรารภจะศึกษาหาความรู้เห็นถิ่นที่และวิธีบังคับบัญชาการตามหัวเมืองต่อไป
พอถึงเดือนตุลาคมใน พ.ศ. ๒๔๓๕ นั้น ข้าพเจ้าจึงกราบถวายบังคมลาไปเที่ยวตรวจราชการทางหัวเมืองเหนือ ไปทางเรือตรวจตั้งแต่พระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอื่นตามรายทางขึ้นไปทุกจังหวัด จนถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ ขึ้นเดินบกไปยังจังหวัดสวรรคโลก สุโขทัย ตาก แล้วลงเรือล่องมาทางจังหวัดกำแพงเพชรจนถึงจังหวัดอ่างทอง ขึ้นเดินบกจากที่นั่นไปถึงจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นที่สุด ด้วยเวลานั้นจังหวันครไชยศรียังขึ้นอยู่ในกระทรวงการต่างประเทศ จึงเป็นแต่ผ่านกลับมากรุงเทพฯ (ข้าพเจ้าได้รู้จักกับพวกญาติวงศ์ และได้ไปถึงบ้านเดิมของเจ้าพระยายมราชเมื่อไปตรวจราชการเมืองสุพรรณครั้งนั้นเป็นหนแรก)
เมื่อไปตรวจหัวเมืองครั้งนั้น ข้าพเจ้าไปแลเห็นความลำบากเป็นข้อสำคัญแกการที่จะจักวิธีปกครองหัวเมือง ๒ ข้อ คือ ข้อ ๑ หัวเมืองมีมากด้วยกัน ทางคมนาคมกับกรุงเทพฯกว่าจะไปมาถึงกันก็หลายวันและหลายทาง พ้นวิสัยที่เสนาบดีเจ้ากระทรวงในกรุงเทพฯจะจัดการด้วยตนเองและจะไปตรวจตราการงานได้ทั่วถึงทุกแห่งเสมอ จะได้แต่มีท้องตราสั่งและตั้งข้อบังคับส่งไปในแผ่นกระดาษ พวกเจ้าเมืองกรมการทำอย่างไรก็ยากที่จะรู้
ก็ในเวลานั้นหัวเมืองชายพระราชอาณาเขตที่ขึ้นกระทรวงมหาดไทย ได้โปรดฯให้จัดรวมกันเป็นมณฑลมีเจ้านายต่างกรมและข้าราชการผู้ใหญ่ออกไปเป็น "ข้าหลวงใหญ่"ประจำกำกับอยู่แล้ว ๔ มณฑล คือ เจ้าพระยารัตนธิเบศร์(พุ่ม) เป็นข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพมณฑลหนึ่ง กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม(เมื่อยังเป็นกรมหมื่น) เป็นข้าหลวงใหญ่มณฑลอุดรมณฑลหนึ่ง กรมหลวงพิชิตปรีชากรม เป็นข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานมณฑลหนึ่ง และกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์(เมื่อยังเป็นกรมหมื่น) เป็นข้าหลวงใหญ่มณฑลนครราชสีมามณฑลหนึ่ง ข้าพเจ้ายังไม่ต้องเป็นห่วงถึง ๔ มณฑลนั้น
แต่คิดเห็นว่าหัวเมืองชั้นในถ้าจะจัดการปกครองให้เรียบร้อยก็จะต้องรวมเป็นมณฑล ๆ ละ ๔ เมือง ๕ เมือง และให้มีเจ้านายหรือข้าราชการผู้ใหญ่ มียศระหว่างเสนาบดีกับผู้ว่าราชการจังหวัดไปประจำ จัดการตามคำสั่งเสนาบดีอยู่ในท้องที่มณฑลละคนเรียกว่า "ข้าหลวงเทศาภิบาล" (ซึ่งมาแปลงเป็นสมุหเทศาภิบาลเมื่อภายหลัง) และเปลื้องหน้าที่ของเสนาบดีส่วนบังคับบัญชาการภายในมณฑลนั้นๆ ให้เป็นหน้าที่ข้าหลวงเทศาภิบาล แบ่งเบาภาระให้เสนาบดีมีหน้าที่แต่คิดระเบียบการที่จะจัดและช่วยแก้ไขความขัดข้องของข้าหลวงเทศาภิบาล กับออกไปเที่ยวตรวจตราการที่จัดตามหัวเมืองเป็นครั้งเป็นคราว หรือว่าโดยย่อให้เสนาบดีเป็นผู้คิดและตรวจตรา ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ทำ ดังนี้จึงจะจัดการได้สำเร็จ
แต่ยังมีความลำบากข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ด้วยในเวลานั้นการปกครองตามหัวเมืองยังใช้แบบโบราณที่เรียกว่า "กินเมือง" (อาจจะได้แบบมาจากเมืองจีนแต่ดึกดำบรรพ์ เพราะจีนก็เรียกว่า "กินเมือง" เหมือนกัน) ถือว่าผู้เป็นเจ้าเมืองกรมการต้องละการทำมาหากิน มาประจำทำการปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรมีความสุขปราศจากภยันตราย เพราะฉะนั้นราษฎรต้องตอบแทนด้วยอุปการะเลี้ยงดูเจ้าเมืองกรมการ อย่าให้ต้องอดอยากเดือดร้อน คือ ให้ใช้แรงอย่างหนึ่ง กับแบ่งสิ่งของซึ่งทำมาหาได้เช่นข้าวปลาอาหารเป็นต้น ที่มีเหลือใช้ให้เป็นของกำนัลสำหรับเจ้าเมืองกรมการเลี้ยงชีพจนเพียงพออย่างหนึ่ง แต่เดิมมาเจ้าเมืองกรมการได้ผลประโยชน์เป็นตัวเงินแต่ค่าธรรมเนียมความ และส่วนลดภาษาอากรบางอย่างเช่นค่านาเป็นต้น คนละเล็กละน้อย ครั้นการเลี้ยงชีพต้องอาศัยใช้เงินตรายิ่งขึ้น ข้าราชการกรมต่างๆในกรุงเทพฯที่จัดขึ้นใหม่ก็เปลี่ยนเป็นได้เงินเดือนเลี้ยงชีพ แต่ตามหัวเมืองยัง "กินเมือง" อยู่อย่างเดิม
เมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปตรวจราชการได้ความว่า เจ้าเมืองกรมการต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวด้วยอาศัยตำแหน่งในราชการโดยมาก เป็นข้อขัดข้องจะแก้ไขได้แต่ด้วยให้ข้าราชการหัวเมืองรับเงินเดือนเหมือนข้าราชการในกรุงเทพฯ จึงจะบังคับให้ตั้งหน้าทำราชการบ้านเมืองแต่อย่างเดียว และเลิกวิธีใช้อำนาจในตำแหน่งหาผลประโยชน์ได้
ข้าพเจ้ากลับมาจากตรวจราชการหัวเมืองครั้งนั้น เมื่อเข้าเฝ้าถวายรายงานแล้ว กราบบังคมทูลถึงความขัดข้อง ๒ ข้อที่กล่าวมา เห็นว่าจะต้องแก้ไขก่อนอย่างอื่น ก็ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย เรื่องตั้งมณฑลเทศาภิบาลโปรดฯให้ข้าพเจ้าคิดหาตัวผู้จะเป็นข้าหลวงถวาย และเรื่องจะให้ข้าราชการหัวเมืองได้เงินเดือนนั้น ก็จะทรงสั่งกระทรวงพระคลังให้มาปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าให้ตกลงกัน
การเลือกหาผู้จะเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลชั้นแรกก็ลำบากมิใช่น้อย เพราะต้องพิจารณาหาผู้ที่มีสติปัญญาสามารถ และเป็นผู้ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัยประกอบกัน ในพ.ศ. ๒๔๓๕ นั้นหาตัวได้เหมาะแต่ ๒ คน คือ เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิทธิศักดิ์(เชย กัลยาณมิตร) เมื่อยังเป็นที่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร ผู้ว่าราชการเมืองพิชัย ข้าพเจ้าไปพบและชอบมาแต่เมื่อไปตรวจราชการหัวเมืองเหนือคน ๑ กับนายพลตรี พระยาฤทธิรงค์รณเฉท(สุข ชูโต) ซึ่งข้าพเจ้าเคยคุ้นมาตั้งแต่เป็นนายทหารมหาดเล็กอยู่ด้วยกันคน ๑ ถวายชื่อก็พอพระราชหฤทัย โปรดให้พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตรเป็น ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก และให้พระยาฤทธิรงค์รณเฉทเป็น ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลปราจีณ แรกตั้งแต่ ๒ มณฑล ต่อมาปีหลังโปรดฯให้กรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์(แต่เมื่อยังไม่ได้รับกรม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา และให้นายพันเอกพระยาดัษกรประลาด(อยู่) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ จึงมีเป็น ๔ มณฑลด้วยกัน
เรื่องเงินเดือนข้าราชการหัวเมืองนั้น ข้าพเจ้าปรึกษากับกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์(เมื่อยังไม่ได้รับกรม) ซึ่งทรงบัญชาการกระทรวงพระคลัง ท่านทรงเห็นชอบด้วย ว่าข้าราชการหัวเมืองทำการตามหน้าที่ในระเบียบที่จัดใหม่ควรได้รับเงินเดือนเหมือนข้าราชการในกรุงเทพฯ แต่ในเวลานั้นเงินแผ่นดินซึ่งสำหรับใช้จ่ายในราชการยังมีน้อย ตรัสขอให้กระทรวงมหาดไทยช่วยกระทรวงพระคลัง ๒ ข้อ คือ ข้อ ๑ อย่างเพิ่งตั้งข้าราชการตำแหน่งรับเงินเดือนเพิ่มจำนวนให้มากเร็วนัก และขอให้กำหนดอัตราเงินเดือนไว้ให้ต่ำสักหน่อย ข้อ ๒ เมื่อจัดการไป ขอให้มหาดไทยเอาเป็นธุระพิจารณาหาทางที่จะได้ผลประโยชน์แผ่นดินเพิ่มขึ้นด้วย ข้าพเจ้าก็รับตกลงตามพระประสงค์
มณฑลเทศาภิบาลมีแต่ ๔ มณฑลมาจนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักพระราชหฤทัยว่า การปกครองหัวเมืองจะจัดสำเร็จได้ จึงโปรดให้ประกาศโอนบรรดาหัวเมืองซึ่งขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมารวมอยู่ในกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด เว้นแต่พระนครกับหัวเมืองที่อยู่ติดต่อใกล้เคียงให้รวมกันเป็นมณฑลกรุงเทพฯขึ้นในกระทรวงนครบาลต่างหาก หาได้อยู่ในบังคับรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยไม่ เรื่องกระทรวงมหาดไทยเมื่อเริ่มตั้งมณฑลเทศาภิบาลมีมาดังนี้
แต่นี้จะกล่าวถึงเรื่องประวัติเจ้าพระยายมราชต่อไป
เมื่อเจ้าพระยายมราชยังเป็นพระวิจิตรวรสาส์นกลับมาจากยุโรปในตอนต้น พ.ศ. ๒๔๓๗ นั้น ขาดจากหน้าที่และตำแหน่งเดิมทั้งที่เป็นครูพระเจ้าลูกยาเธอ และเป็นเลขานุการในสถานทูต ฐานะเป็นผู้ว่างราชการ ทั้งตัวท่านก็อยากจะมาทำราชการอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้า ตัวข้าพเจ้าก็อยากได้ท่านด้วย เพราะกำลังเสาะหาคนสำหรับส่งไปรับราชการหัวเมืองก็รีบกราบบังคมทูลขอ และได้พระวิจิตรวรสาส์นมารับราชการในกระทรวงมหาดไทย
แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าตัวท่านเคยรับราชการในกรุงแต่เป็นครู และเป็นอยู่ไม่ช้านักก็ออกไปอยู่ในยุโรปเสียช้านาน ควรให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ที่ยังบกพร่องเสียก่อน เผอิญเวลานั้นตำแหน่งเลขานุการประจำตัวเสนาบดีว่าง ด้วยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีดำรัสขอเจ้าพระยาพระเสด็จ(ม.ร.ว.เปีย มาลากุล) เมื่อยังเป็นพระมนตรีพจนกิจไปเป็นครูสอนหนังสือไทยถวายสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังเสด็จดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกนาเธอ ทรงศึกษาอยู่ในยุโรป ได้พระวิจิตรวรสาส์นมาก็พอดี จึงให้เป็นตำแหน่งเลขานุการประจำตัวข้าพเจ้าแทนพระมนตรีพจนกิจ เป็นตำแหน่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าพระยายมราชในเวลานั้น เพราะอยู่ใกล้ชิดติดตัวเสนาบดีอยู่เสมอ ได้เห็นการงานในกระทรวงและได้รู้นโยบายที่จัดการปกครองหัวเมืองยิ่งกว่าเป็นตำแหน่งอื่น ถ้าทำการในตำแหน่งเลขานุการไป ผู้ทรงวุฒิเช่นท่านคงจะได้เป็นตำแหน่งชั้นสูงมิเร็วก็ช้า
แต่เผอิญมีเหตุเกิดขึ้นคล้ายกับบุญมาหนุนหลังเจ้าพระยายมราชอีกโดยมิได้มีใครคาด ด้วยเมื่อทันเป็นตำแหน่งเลขานุการยังไม่ทันถึงปี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้รวมหัวเมืองทั้งหมดมาขึ้นกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวมาแล้ว พอรวมหัวเมืองแล้วไม่ช้าพระยาทิพโกษา(มหาโต โชติกเสถียร) ซึ่งเป็นข้าหลวงประจำหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกอยู่ ณ เมืองภูเก็ต แต่เมื่อยังขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหม มีใบบอกเข้ามายังข้าพเจ้าว่าเกิดอาการเจ็บป่วยขอลาพักรักษาตัวสัก ๖ เดือน ขอให้ข้าพเจ้าส่งใครไปรักษาราชการแทนในเวลาที่ป่วยนั้น
ข้าพเจ้ารู้สึกน้อยใจ เพราะหัวเมืองทางนั้นเพิ่งโปรดให้โอนมาขึ้นกระทรวงมหาดไทย ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะรู้การงาน ควรที่พระยาทิพฯซึ่งเคยเป็นมิตรกับข้าพเจ้ามาแต่ก่อนจะอยู่ช่วยข้าพเจ้า กลับมาลาพักเสีย ถ้าไม่รับลาก็ต้องอ้อนวอนห้ามปราม นึกว่าข้าพเจ้าเป็นตำแหน่งเสนาบดีเจ้ากระทรวง ถ้าต้องอ้อนวอนงอนง้อผู้น้อยก็เหมือนทำตัวอย่างไม่ดีให้เกิดขึ้น จึงตกลงปลงใจว่าจะยอมรับลาและส่งคนอื่นไปแทนตามประสงค์ แต่เมื่อคิดหาตัวผู้ที่จะส่งไปรั้งการมณฑลภูเก็ต ยังคิดไม่เห็นใคร
เวลานั้นเผอิญเจ้าพระยายมราชเอาหนังสือเข้าไปเสนอตามหน้าที่เลขานุการ พอข้าพเจ้าเห็นก็นึกได้ว่าพระวิจิตรฯนี้เองเป็นเหมาะดี ด้วยมีสติปัญญาอัธยาศัยพอจะไม่ไปทำให้เสื่อมเสียอย่างใดได้ จึงเล่าเรื่องความลำบากของข้าพเจ้าให้ท่านฟังดังกล่าวมาแล้ว ถามท่านว่าจะรับอาสาไปได้หรือไม่ ท่านตอบว่าข้าพเจ้าเห็นท่านจะทำราชการอย่างใดได้ ก็แล้วแต่ข้าพเจ้าจะใช้ ส่วนตัวท่านเองนั้นหามีความรังเกียจไม่ ข้าพเจ้าก็กราบทูลเรื่องพระยาทิพฯ ขอลาพักรักษาตัว และจะให้พระวิจิตรฯออกไปรักษาราชการแทนชั่วคราว ก็ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต จึงมีท้องตราอนุญาตไปยังพระยาทิพฯ และจัดการหาเรือให้พระวิจิตรฯ ออกจากกรุงเทพฯไป เพราะการเดินทางไปเมืองภูเก็ตในสมัยนั้น ทางใกล้กว่าทางอื่นต้องไปเรือจากกรุงเทพฯ ไปขึ้นที่เมืองสงขลาแล้วเดินบกไป ผ่ามเมืองไทรบุรีไปลงเรือเมล์ที่เมืองปีนัง ไปยังเมืองภูเก็ต
ทางฝ่ายเมืองภูเก็ต พระยาทิพฯ (ชะรอยจะทราบว่าข้าพเจ้าขัดใจ) ก็มีใบบอกเข้ามาว่าจะงดการลา ข้าพเจ้าไม่ต้องส่งใครไปรักษาการแทนก็ได้ เจ้าพระยายมราชออกไปถึงเมืองสงขลาก็ได้ทราบข่าวนั้น บางทีพระยาทิพฯจะบอกมาให้ทราบด้วย จึงถามมาว่าจะให้กลับกรุงเทพฯหรือทำอย่างไรต่อไป
ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเมื่อเจ้าพระยายมราชจะไปก็ได้กราบถวายบังคมลา คนทั้งหลายรู้อยู่ทั่วกัน ออกไปครึ่งทางยังไม่ทันได้ทำอะไรจะสั่งให้กลับเข้ามาเปล่าๆดูน่าละอายอยู่ จะทูลเสนอให้ท่านเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชก็ขัดข้องอยู่ เพราะตัวท่านเป็นแต่พระวิจิตรวรสาส์น สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็ยังไม่สู้คุ้นนัก เกรงจะไม่โปรด ข้าพเจ้าจึงกราบบังคมทูลขอให้เจ้าพระยายมราช(เมื่อยังเป็นพระวิจิตรวรสาส์น) เป็นข้าหลวงพิเศษตรวจการที่เมืองสงขลาและเมืองนครศรีธรรมราช ให้รู้ระเบียบการปกครองท้องที่ใน ๒ จังหวัดนั้นจัดกันมาอย่างไร ให้ทำรายงานมาเสนอ เพื่อประกอบความคิดที่จะจัดมณฑลเทศาภิบาลต่อไป ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต จึงสั่งไปยังเจ้าพระยายมราชให้พักอยู่เมืองสงขลา เที่ยวตรวจราชการ ๒ จังหวัดนั้นเสียก่อน เสร็จแล้วจึงกลับมา
....................................................................................................................................................