whenever you felt that your heart is going to breakdown feel it with the love of God ask for his and then you will find out what is the truth love in Your life as he does for me!
GOD always forgive your mistake the one that you cant even forget, he always does it and always being with us to help and blesss us for us whose heart is full of him
โดย: da IP: 124.120.5.122 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:6:21:12 น.
การปราบฮ่อครั้งนี้ เป็นเรื่องเนื่องมาแต่การปราบฮ่อครั้งที่ ๒ ซึ่งโปรดเกล้าฯให้พระยาราชวรานุกุล(เวก บุณยรัตพันธุ์) เป็นแม่ทัพใหญ่ยกไปทางเมืองหลวงพระบาง เมื่อ พ.ศง ๒๔๒๖ นั้น
ครั้นถึงปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ได้ข่าวมาถึงกรุงเทพฯว่า พระยาราชวรานุกูลแม่ทัพไปถูกอาวุธข้าศึก กองทัพไทยได้ตั้งล้อมค่ายอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ แขวงเมืองพวน และในขณะนั้นได้รับใบบอกเมืองหลวงพระบางว่ามีทัพฮ่อยกมาย่ำยีเมืองหัวพันห้าทั้งหก ทางกรุงเทพฯไม่ทราบว่าจะเป็นฮ่อพวกเดียวกับที่ทุ่งเชียงคำหรือไม่ ทรงพระราชดำริว่ากองทัพพระยาราชวรานุกูลคงทำการไม่สำเร็จ ด้วยเป็นแต่เกณฑ์พลเรือนไปรบตามแบบโบราณ ในเวลานั้นกรมทหารที่ได้ฝึกหัดจัดขึ้นตามแบบใหม่ก็มีหลายกรมควรจะใช้ให้ทหารไปปราบปรามฮ่อให้ชำนาญการศึกเสียบ้าง จึงจัดทหารบกในกรุงเทพฯเข้าเป็นกองทัพ ๒ ทัพ ให้นายพันเอกกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม ผู้บังคับการกรมทหารรักษาวัง เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายใต้ยกไปปราบฮ่อในแขวงเมืองพวนทัพ ๑ ให้นายพันเอกเจ้าหมื่นไวยวรนารถ ผู้บังคับการเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือ ยกไปราบฮ่อในแขวงเมืองหัวพันห้าทั้งหกทัพ ๑
ส่วนกองทัพฝ่ายเหนือ ซึ่งเจ้าหมื่นไวยวรนารถเป็นแม่ทัพนั้น ยกออกจากกรุงเทพฯโดยทางเรือเมื่อวันอังคาร เดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค่ำ ปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ขึ้นไปถึงเมืองพิชัยเมื่อเดือน ๑๒ แรม ๒ ค่ำ ตั้งประชุมพลที่เมืองพิชัยนั้น ได้โปรดฯให้พระยาศรีสหเทพ(อ่วม)ขึ้นไปเป็นพนักงานจัดเสบียงพาหนะส่งกองทัพ ได้จัดการเดินทัพขึ้นไปเมืองหลวงพระบางเป็น ๓ ทาง คือ
ทางที่ ๑ กองทัพใหญ่จะยกจากเมืองพิชัยมา ๓ วันถึงเมืองฝาง ต่อนั้นไป ๔ วันถึงท่าแฝกเข้าเขจเมืองน่าน ต่อไปอีก ๖ วันถึงบ้านนาแล แต่บ้านนาแล ๖ วัน รวม ๑๓ วันถึงเมืองหลวงพระบาง
ทางที่ ๒ นั้น จะได้จัดแบ่งเครื่องยุทธภัณฑ์สำหรับกองทัพ แต่งให้พระศรีพิชัยสงครามปลัดซ้ายกรมการเมืองพิชัย กับนายทหารกรุงเทพฯให้คุมไปทางเมืองน้ำปาด ตรงไปตำบลปากลายลงบรรทุกเรือขึ้นไปทางลำน้ำโขง ขึ้นบกที่เมืองหลวงพระบาง
ทางที่ ๓ เมื่อกองทัพใหญ่ยกไปถึงเมืองน่านแล้ว จะแต่งให้พระพลสงครามเมืองสวรรคโลก กับนายทหารปืนใหญ่คุมปืนใหญ่และกระสุนดินดำแยกทางไปลงท่านุ่นริมแม่น้ำโขง จัดลงบรรทุกเรือส่งไปยังเมืองหลวงพระบาง
อนึ่งเสบียงอาหารที่จะจ่ายให้ไพร่พลในกองทัพตั้งแต่เมืองพิชัย เป็นระยะตลอดไปกว่าจะถึงเมืองหลวงพระบางนั้น พระยาศรีสหเทพรับจัดส่งขึ้นไปรวบรวมไว้เป็นระยะทุกๆตำบล ที่พักให้พอจ่ายกับจำนวนพลในกองทัพมิให้เป็นที่ขัดขวางได้
กองทัพตั้งพักรอพาหนะอยู่ ณ เมืองพิชัย ประมาณ ๒๐ วัน ก็ยังหามาพรักพร้อมกับจำนวนที่เกณฑ์ไม่ ได้ช้าง ๑๐๘ เชือก โคต่าง ๓๑๐ ตัว ม้า ๑๑ ม้าเท่านั้น แต่จะให้รอชักช้าไปก็จะเสียราชการ จึงได้จัดเสบียงแบ่งไปแต่พอควรส่วนหนึ่งก่อน อีกส่วนหนึ่งได้มอบให้กรมการเมืองพิชัยรักษาไว้ให้ส่งไปกับกองลำเลียง
ครั้น ณ วันศุกร์ เดือนอ้าย แรม ๑๑ ค่ำ ปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เจ้าหมื่นไวยวรนารถยกกองทัพออกขากเมืองพิชัย ให้นายร้อยเอกหลวงจำนงยุทธกิจ(อิ่ม) คุมทหารกรุงเทพฯ ๑๐๐ คนเป็นทัพหน้า ให้นายจ่ายวด(สุข ชูโต)เป็นผู้ตรวจตรา ให้พระอินทรแสนแสง ปลัดเมืองกำแพงเพชรคุมไพร่พลหัวเมือง ๑๐๐ คน เป็นผู้ช่วยกองหน้า สำหรับแผ้วถางหนทางที่รกเรี้ยวกีดขวางให้กองทัพเดินได้สะดวกด้วย ให้นายร้อยเอกหลวงอาจหาญณรงค์ กับนายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศ เป็นปีกซ้ายและขวา นายร้อยเอกหลวงวิชิตเป็นกองหลัง พระพลเมืองสวรรคโลกเป็นกองลำเลียงเสบียงอาหาร และกองอื่นๆนอกจากที่กล่าวมานี้ให้ยกเป็นลำดับไปทุกๆกอง
ครั้น ณ วันพุธ เดือนยี่ แรมค่ำ ๑ ปีระกา กองทัพได้ยกไปถึงสบสมุนใกล้เมื่องน่าน ระยะทางราว ๒๐๐ เส้นเศษ พักจัดกองทัพอยู่ใกล้เมือง เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านแต่งให้พระยาวังซ้ายและเจ้านายบุตรหลานแสนท้าวพระยา คุมช้างพลายสูง ๕ ศอก ผู้กเครื่องจำลองเขียนทอง ๓ เชือก กับดอกไม้ธูปเทียนออกมารับ แม่ทัพจึงให้รอกองทัพพักอยู่นอกเมืองคืนหนึ่ง
ครั้นรุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือนยี่ แรม ๒ ค่ำ เจ้านครน่านจึงแต่งให้ท้าวพระยาคุมช้างพลายผูกจำลองเขียนทอง ออกมารับ ๓ เชือก และจัดให้เจ้าวังซ้ายผู้หลานคุมกระบวนออกมารับกองทัพด้วย เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เดินช้างนำทัพเข้าในเมืองพร้อมด้วยกระบวนแห่ที่มารับ ตั้งแต่กองทัพฝ่ายเหนือออกจากเมืองพิชัยไปจนถึงเมืองน่าน รวมวันเดินกองทัพ ๑๗ วัน หยุดพัดอยู่เมืองฝางและท่าแฝก ๔ วัน รวมเป็น ๒๑ วัน
เวลาบ่าย ๓ โมงเศษ เจ้านครน่านพร้อมด้วยอุปราชตราชวงศ์เจ้านายบุตรหลานแต่ตัวเต็มยศตามแบบบ้านเมืองมายังททำเนียบที่พักกองทัพนั้น ฝ่ายกองทัพก็ได้จัดทหารกองเกียรติยศ ๑๒ คน มีแตรเดี่ยว ๒ คนคอยรับอยู่ที่ทำเนียบ เมื่อเจ้านครน่านมาถึงแล้ว สนทนาปราศรัยไต่ถามด้วยข้อราชการ และอวยชัยให้พรในการที่จะปราบศัตรูให้สำเร็จ โดยพระบรมราชปีสงค์ทุกประการและจัดพระพุทธรูปศิลาศรีพลีองค์ ๑ พระบรมธาตุองค์ ๑ ให้แม่ทัพ เพื่อเป็นพิชัยมงคลป้องกันอันตรายในการที่จะไปราชการทัพนั้น กับให้ของทักถามแก่กองทัพสำหรับบริโภคด้วยหลายสิ่ง ครั้นรุ่งขึ้น แม่ทัพนายกองได้ไปเยี่ยมตอบเจ้านครน่าน กับเจ้าอุปราชราชวงศ์และเจ้านายเมืองน่าน
ต่อมาพระยาศรีสหเทพข้าหลวงเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาสุราภรณ์มงกุฎสยามชั้นที่ ๑ ซึ่งโปรดฯพระราชทานแก่เจ้านครน่านขึ้นไปถึงแม่ทัพ ได้จัดพิธีรับพระราชทานตามธรรมเนียม
ครั้น ณ วันเสาร์ เดือนยี่ แรม ๑๑ ค่ำ เจ้านครน่านได้ส่งช้างมาเข้ากองทัพ ๑๐๐ เชือก แม่ทัพจึงให้เปลี่ยนช้างหัวเมืองชั้นในที่ได้บรรทุกกระสุนดินดำ เสบียงอาหารมาในกองทัพ ๕๘ เชือก มอบให้พระพิชัยชุมพลมหาดไทยเมืองพิชัย คุมกลับไปยังเมืองพิชัย เพื่อจะได้บรรทุกเสบียงลำเลียงเข้าจากเมืองเมืองพิชัยขึ้นมาส่งยังฉางเมืองท่าแฝก ซึ่งพระยาสวรรคโลกได้มาตั้งฉางพักเสบียงไว้ สำหรับเมืองน่านจะมารับลำเลียงส่งไปถึงท่าปากเงย และเมืองหลวงพระบางจะได้จัดเรือมารับแต่ปากเงยส่งต่อไปถึงเมืองงอย
ถึงวันจันทร์ เดือนยี่ แรม ๑๓ ค่ำ ปีระกา เวลาเช้า ๒ โมงเศษ เจ้าหมื่นไวยฯก็ยกกองทัพออกจากเมืองน่าน เดินทางบกข้ามห้วยธารและเทือกเขาไป ๑๐ วัน ถึงเมืองชัยบุรีศรีน้ำฮุงเป็นเขตของเมืองหลวงพระบาง เจ้าราชภาคิไนย(บุญคง)เมืองหลวงพระบางมาคอยรับกองทัพ และจ่ายเสบียงสำหรับที่จะเดินทางต่อไป ตำบลนี้มีบ้านเรือนประมาณ ๓๐๐ หลังเศษ เป็นที่บริบูรณ์ด้วยการทำนา หาเสบียงอาหารได้ง่าย พักกองทัพอยู่ที่นี้คืน ๑ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งยกจากเมืองพิชัยบุรีศรีน้ำฮุงไปถึงบ้านท่าเดื่อริมแม่น้ำโขง เวลาบ่าย ๓ โมงตั้งพักนอนคืน ๑
รุ่งขึ้นวันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ยกจากบ้านท่าเดื่อเลียบไปตามลำน้ำโขง เวลาบ่าย ๓ โมงถึงที่พักเมืองน่าน(น้อย)หยุดพักกองทัพ ๒ คืน ด้วยตามประเพณีของเมืองหลวงพระบางมีมาแต่โบราณ ถ้าเจ้านายเมืองหลวงพระบางจะลงไปกรุงเทพฯหรือข้าหลวงขึ้นมาจะเข้าไปในเมืองหลวงพระบางแล้ว ต้องพักที่เมืองน่าน(น้อย)บวงสรวงเทพารักษ์ก่อนจึงยกเลยไป เมื่อกองถึงเมื่อน่าน(น้อย)คราวนี้ เจ้ามหินทรเทพนิภาธรเจ้านครหลวงพระบางแต่งให้ท้าวพระยาลาวนำเครื่องสังเวยเทพารักษ์มาเชิญให้กองทัพบวงสรวง เพื่อจะได้คุ้มครองป้องกันภยันตรายตามประเพณีบ้านเมือง
แล้วกองทัพเดินเลียบไปตามริมฝั่งแม่น้ำโขง แล้วเดินตัดไปทางป่าห่างฝั่งแม่น้ำแม่น้ำโขงบ้าง ๒ วันถึงท่าเลื่อนเมื่อวันเสาร์ เดือน ๓ แรม ๓ ค่ำ แต่ที่นี้แม่ทัพสั่งให้ผ่อนสิ่งขิงที่มีน้ำหนักมากลงบรรทุกเรือขึ้นไปยังเมืองหลวงพระบาง เพราะช้างที่บรรทุกของบอบช้ำอิดโรยมาก จึงผ่อนให้เดินไปแต่ลำลอง และทางเรือแต่ท่าเลื่อนจสนถึงเมืองหลวงพระบางนั้น ไปได้สะดวกและถึงเร็วกว่าทางบกด้วย เมื่อจัดการเสร็จแล้ว รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ เดือน ๓ แรม ๔ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งยกจากท่าเลื่อน เดินเป็นทางเรียบและทุ่งนาตลอดไป จนเวลาเช้า ๒ โมงเศษ พบเจ้าราชวงศ์และเจ้าสัมพันธวงศ์นำดอกไม่ธูปเทียนและปี่พาทย์ฆ้องกลองมาคอยรับ แจ้งความว่าเจ้านครหลวงพระบางแต่งให้มารับกองทัพเข้าไปยังเมืองหลวงพระบาง กองทัพได้ยกไปพร้อมกับกระบวนที่มารับนั้น ถึงทำเนียบที่พักบ้านเชียงแมน ตั้งอยู ณ ฟากแม่น้ำโขงตะวันตกตรงหน้าเมืองหลวงพระบางข้าม ครั้นเวลาเที่ยงวันแล้ว เจ้าอุปราชและเจ้านายบุตรหลานกับพระยาสุโขทัย(ครุฑ)ผู้แทนข้าหลวงกำกับเมืองหลวงพระบาง พร้อมกันจัดเรือมาคอยรับ แต่แม่ทัพขอให้รอคืน ๑ ต่อรุ่งขึ้นจึงจะยกกองทัพเข้าไปยังเมืองหลวงพระบาง
รุ่งขึ้นวันจันทร์ เดือน ๓ แรม ๕ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมงเศษ เจ้านครหลวงพระบางจึงแต่งให้เจ้าอุปราชกับเจ้าราชวงศ์ พร้อมด้วยพระยาสุโขทัยข้าหลวง จัดเรือเก๋งลำ ๑ กับเรือที่จะบรรทุกไพร่พลทหารข้ามไปยังเมืองหลวงพระบางนั้น ๔๐ ลำ มีปี่พาทย์ฆ้องกลองเป็นกระบวนแห่มารับกองทัพข้ามแม่น้ำโขงไปถึงฟากตะวันออกแล้ว แม่ทัพให้ทหารกรุงเทพฯและทหารหัวเมืองเดินเป็นกระบวนทัพเข้าไปในเมืองหลวงพระบาง ในระวางสองข้างทางที่เดินกองทัพไปนั้น มีราษฎรชายหญิงมาดูเนืองแน่นตลอดไปจนถึงหน้าทำเนียบที่พัก ซึ่งอยู่ใกล้กับลำน้ำคายฝ่ายทิศตะวันออกของเมืองหลวงพระบางนั้น เมื่อแม่ทัพนายกองไปถึงทำเนียบพร้อมกันแล้ว เจ้านครหลวงพระบางพร้อมด้วยเจ้านายบุตรหลานมาเยี่ยมเยียนตามประเพณี แม่ทัพให้จัดทหารเป็นกองเกียรติยศรับ ๒๔ คน ทหารแตรเดี่ยว ๒ คน ครั้นรุ่งขึ้นแม่ทัพและนายกองพร้อมกันไปเยี่ยมตอบเจ้านครหลวงพระบางและพวกเจ้านายในเมืองหลวงพระบางนั้นด้วย
เมื่อกองทัพขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบางแล้ว แม่ทัพสอบสวนเรื่องราวข่าวทัพฮ่อ ได้ทราบข้อความตามที่เมืองหลวงพระบางบอกลงมายังกรุงเทพฯโดยเพียงแต่รู้จากคำพวกราษฎรบอกเล่า เพราะหนทางจากเมืองหลวงพระบางไปยังเมืองหัวพันห้าทั้งหก ต้องเดินข้ามห้วยเขาป่าดงเป็นทางกันดาร การที่แต่งคนไปสืบข้อราชการ ถ้าแต่งคนไปมากก็ติดขัดด้วยเรื่องเสบียงอาหาร ถ้าแต่งไปน้อยพอหาเสบียงอาหารได้ ก็ไม่กล้าไปไกลด้วยเกรงอันตราย จึงได้แต่ไถ่ถามพวกราษฎรในท้องที่ใกล้ๆมารายงาน จะเชื่อฟังเอาเป็นจริงทีเดียวไม่ได้ คงฟังได้เป็นหลักฐานแต่ว่ามีพวกฮ่อเข้ามาตั้งค่ายอยู่ในแดนเมืองหัวพันห้าทั้งหกหลายตำบล และหัวเมืองเหล่านั้นท้าวขุนต่างเมืองรักษาประโยชน์ของตนหาได้รวมกันไม่ แม่ทัพเห็นว่าซึ่งจะตั้งอำนวยการปราบฮ่ออยู่ที่เมืองหลวงพระบางนั้นห่างนัก ตรวจดูตามแผนที่อันที่พอจะรู้ได้ในเวลานั้นประกอบกับคำชี้แจงที่เมืองหลวงพระบาง เห็นว่ากองทัพจะต้องขึ้นไปตั้งอยู่ที่เมืองซ่อนในเขตเมืองหัวพันห้าทั้งหก จึงจะปราบปรามพวกฮ่อตลอดไปได้ทุกเมือง และกำหนดที่จะยกกองทัพขึ้นไปให้ถึงเมืองซ่อนในเดือน ๔ ปีระกานั้น ให้ได้ทำการปราบฮ่อก่อนถึงฤดูฝน
ครั้นถึงวันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีระกา เจ้าหมื่นไวยฯยกกองทัพจำนวนพล ๒,๕๐๐ คน ออกจากเมืองหลวงพระบางเดินทางบกไป ๑๐ วัน ข้ามลำน้ำอูไปพัก ณ เมืองงอยเห็นทางเดินทัพกันดาร จึงปรึกษากับพระยาสุโขทัยและเจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบาง เห็นพร้อมกันว่าจะรีบยกกองทัพขึ้นไปเมืองซ่อนทั้งหมด เสบียงอาหารคงส่งไม่ทัน จะตั้งอยู่เมืองงอยคอยให้เสบียงอาหารพรักพร้อมเสียก่อนก็จะชักช้าการไป แม่ทัพจึงแบ่งทหารหัวเมืองให้พระยาสุโขทัย กับนายพันตรี พระพหล(กิ่ม)คุมอยู่ที่เมืองงอยกอง ๑ เพื่อจะได้ลำเลียงเสบียงอาหารส่งไปโดยเร็ว เมื่อได้เสบียงพอแล้ว แม่ทัพจะมีหนังสือลงมายังเมืองงอยให้พระยาสุโขทัยและพระพหลตามขึ้นไป แต่งให้เจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบางคุมไพร่พลยกขึ้นไปตั้งมั่นอยู่ตำบลสบซาง คอยรับเสบียงอาหารส่งไปถึงเมืองซ่อนอีกกอง ๑ ส่วนแม่ทัพกับลนายจ่ายวดจะคุมกองทัพกรุงเทพฯรีบยกขึ้นไปเมืองซ่อนทีเดียว
ถึงวันอังคาร แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ กองทัพใหญ่ก็ได้ยกออกจากเมืองงอย เดินในทางทุรัศกันดารข้ามห้วยธารและเทือกเขาไปประมาณ ๑๕ วัน ถึงเมืองซ่อนเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๒๙ ให้ตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองซ่อนนั้น
ทำเลเมืองซ่อนนั้นมีทางที่จะแยกไปยังเมืองอื่น ๔ ทาง ทางที่ ๑ จากทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปเมืองสบแอดระยะทาง ๘ วัน ทางที่ ๒ จากทิศตะวันออกเฉียงใต้ไปเมืองแวน และเมืองลำพูนระยะทาง ๑๐ วัน ทางที่ ๓ ไปทุ่งเชียงคำระยะทาง ๑๐ วัน ทางที่ ๔ คือทางมาเมืองงอยที่กองทัพยกขึ้นไป แม่ทัพจึงให้ตั้งค่ายรักษาด่านให้มั่นคง เมื่อกองทัพไปถึงเมืองซ่อนสืบได้ความว่ามีฮ่อตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลบ้านได แขวงเมืองสบแอดหลายค่าย และยังมีครอบครัวของพวกฮ่อนั้นตั้งบ้านเรือนอยู่ในค่ายบ้านได ทั้งในค่ายบ้านนาปา แขวงเมืองสบแอด ซึ่งเป็นที่ตั้งมั่น ระยะทางแต่สบแอดถึงค่ายฮ่อที่เมืองพูนอีกแห่งหนึ่งประมาณ ๔๐ เส้น มีฮ่อและผู้ไทยทู้อยู่ในค่ายทั้ง ๓ นั้นประมาณ ๘๐๐ เศษ เมื่อได้ความมั่นคงดังกล่าวแล้ว แม่ทัพจึงแต่งให้นายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศ(อยู่) กับเจ้าราชภาคิไนย คุมทหารกรุงเทพฯกับทหารหัวเมืองนายไพร่ ๓๐๐ คน ยกไปทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ หมายไปตีค่ายบ้านไดและบ้านนาปผา แขวงเมืองสบแอดกอง ๑ ให้นายร้อยเอก หลวงจำนง(อิ่ม) กับเจ้าราชวงศ์ คุมทหารกรุงเทพฯกับทหารหัวเมืองรวม ๔๐๐ คน ยกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ หมายไปตีค่ายฮ่อที่ตั้งอยู่ ณ เมืองพูนอีกกอง ๑ ให้ฮ่อพะว้าพะวังต้องต่อสู้เป็น ๒ ทาง อย่าให้รวมกำลังกันได้
ในระวางทัพตั้งอยู่ที่เมืองซ่อนนั้น ได้มีพวกพลเมืองทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในเมืองพูน ๑ เมืองโสย ๑ เมืองสบเเอด ๑ พากันอพยพหลบหนีพวกฮ่อเข้ามาหากองทัพ รวม ๓ เมืองเป็นครอบครัว ๙๕ ครัว จำนวนคน ๑,๑๐๑ คน แม่ทัพต้องรับไว้ที่เมืองซ่อนทั้งหมด เสบียงอาหารที่จะแจกจ่ายเจือจานก็อัตคัด และเวลาก็จวนฤดูฝน พวกครัวซึ่งมารวบรวมกันอยู่ยังหามีถิ่นที่ไร่นาจะทำกินพอเลี้ยงชีวิตต่อไปไม่ แม่ทัพจึงให้เจ้าราชวงศ์ขอยืมที่นาของราษฎรในเมืองซ่อนที่ยังรกร้างมีอยู่บ้าง กับพื้นที่ว่างเปล่าอันมีอยู่แบ่งปันให้แก่พวกครัวพอจะได้ทำมาหากิน โคซึ่งมีไปสำหรับเป็นเสบียงอาหารในกองทัพอันมิใช่โคพาหนะ แม่ทัพก็ให้ยืมพอที่พวกครัวจะได้ใช้ในการทำนานั้น และได้แจ้งความลงไปยังเจ้านครหลวงพระบาง ขอให้จัดหากระบือพร้อมทั้งเครื่องมือสำหรับการเพาะปลูกส่งขึ้นไปให้ จะได้เป็นกำลังตามสมควร แต่พวกครัวทั้ง ๓ เมืองที่เป็นชายฉกรรจ์นั้น แม่ทัพเกณฑ์ให้ขนลำเลียงอาหารแต่เมืองซ่อนขึ้นไปส่งกองทัพที่ได้ยกขึ้นไปตีค่ายพวกฮ่อนั้น
ฝ่ายกองหลวงดัษกรปลาศและเจ้าราชภาคิไนย ซึ่งยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงไปตีค่ายฮ่อบ้านได บ้านนาปา แขวงเมืองสบแอดนั้น ยกเข้าตีค่ายฮ่อเมื่อ ณ วันจันทร์ เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีจอ ฮ่อยกออกต่อสู้นอกค่าย เอาปืนใหญ่กระสุนเท่าผลส้มเกลี้ยงลากออกมาตั้งยิงที่หน้าค่าย พอยิงปืนปืนนั้นแตก ฮ่อหนีกลับเข้าค่าย กองทหารไทยได้ทีก็รุกไล่เข้าไปในค่าย ร้อยโทดวงคุมทหารหมวดหนึ่งเข้าพังประตูค่ายด้านใต้ นายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศกับเจ้าราชภาคิไนย นายร้อยโทเจ๊ก นายร้อยโทเอื้อน คุมทหารหมวดหนึ่งเข้าพังประตูทางทิศตะวันตก พระพิพิธณรงค์ กรมการเมืองลัแล กับพระเจริญจตุรงค์ กรมการเมืองพิชัย คุมทหารหัวเมืองเป็นกองหนุน ทหารหมวดนายร้อยโทดวงพังประตูด้านใต้ตีหักเข้าไปได้ก่อนด้านอื่น ฮ่อแตกกระจัดกระจายพ่านหนีออกหลังค่ายทิศตะวันออก ทหารก็หักเข้าไปได้ทั้ง ๒ ทาง ฮ่อก็มิได้ต่อสู้ทิ้งค่ายหนีไป กระสุนปืนถูกฮ่อตายในที่รบ ๒๓ คน และถูกอาวุธป่วยเจ็บเป็นอันมาก
ในเวลาที่สู้รบกันอยู่นั้น กระสุนปืนถูกฮ่อกอยี่ซึ่งเป็นนายรักษาด่านบ้านไดที่ขาซ้ายป่วยลำบากอยู่ จ่านายสิบธูปคุมทหาร ๔ คนตรงไปจับคุมตัว กอยี่ชักปืนสั้นออกยิงตัวเองขาดใจตาย ทหารจับได้ครอบครัวฮ่อ คือภรรยากวานหลวงฮ่อกับบุตรคน ๑ ภรรยากวานยี่ฮ่อคน ๑ กับครอบครัวพวกฮ่อรวม ๓๒ คน เก็บได้เครื่องศัสตราวุธและเสบียงอาหารเป็นอันมาก กองทหารก็เข้าตั้งมั่นอยู่ในค่ายบ้านไดแต่ในขณะนั้น
ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๑๑ ค่ำ พวกชาวเมืองสบแอดที่เข้ายอมทู้ฮ่อประมาณ ๔๐๐ เศษ นำครอบครัวมาหากองทัพทั้งสิ้น แจ้งความว่าเกรงกลัวฮ่อจึงได้ยอมเข้าทู้ หาได้คิดจะเป็นกำลังช่วยฮ่อต่อสู้กองทัพไม่ กับแจ้งให้ทราบว่าที่ค่ายบ้านนาปานั้นมีฮ่อแท้ ๕๐ คน นอกนั้นเป็นแต่พวกผู้ไทยทู้ เมื่อกลางคืนเวลา ๒ ยาม ได้ข่าวว่ากองทหารตีค่ายบ้านไดแตกแล้ว คนที่เข้าทู้ก็เอาใจออกหากพากันหลบหนีไปสิ้น ฮ่อเห็นว่าจะต่อสู้มิได้ ทิ้งค่ายบ้านนาปาหนีเข้าป่าดงไปแล้ว แต่เสบียงอาหารยังอยู่เต็มฉาง หลวงดัษกรปลาศกับเจ้าราชภาคิไนยจึงคุมทหารไปยังค่ายบ้านนาปา เกณฑ์คนพลเมืองให้ขนข้าวในฉางนั้นมารวมไว้ในฉางค่ายบ้านไดทั้งสิ้น รวมเข้า(ข้าว)ที่ได้ทั้งสองค่ายทั้งข้าวเปลือก ข้าวสาร ๕,๘๒๐ ถัง
เมื่อทหารตีค่ายฮ่อที่เมืองสบแอดได้หมดแล้ว แม่ทัพจึงมีคำสั่งให้ประกาศแก่บรรดาพลเมืองทุกๆตำบลให้ทราบว่า "ทรงพระกรุณาโปรดฯให้กองทัพใหญ่ขึ้นมาปราบปรามฮ่อที่เที่ยวย่ำยีตีปล้นเขตแขวงหัวพันห้าทั้งหกในพระราชอาณาจักร ให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั้วไป ครั้นกองทัพยกขึ้นมาปราบปราม ฮ่อต่อต้านทานกำลังมิได้ก็แตกฉานเข้าป่าดงไป เวลานี้ฮ่อก็ยังคุมขึ้นเป็นหมู่เป็นกองหาได้ไม่ ขอให้พลเมืองมีความเจ็บร้อนช่วยกันสืบเสาะจับตัวพวกฮ่อมาส่งให้สิ้นเชิง จะได้มีความสุขทั่วกันต่อไปภายหน้า ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจับตัวฮ่อมาส่งได้คน ๑ จะให้รางวัล ๒๐ รูเปีย ส่วนคนที่เข้าทู้ฮ่อโดยความยินดีที่จะกระทำการโจรกรรมกับพวกฮ่อ แล้วยอมเข้ารับทำการงานเป็นกำลังนั้นยังเป็นผู้มีความผิดอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ตัวให้พ้นผิดก็จงจับฮ่อมาส่ง ถ้าได้แต่คน ๑ ขึ้นไปก็จะยกโทษให้ทั้งครอบครัว ถ้าผู้ใดสืบได้ความว่าฮ่อแอบแฝงอยู่แห่งใด เมื่อยังเกรงกลัวอยู่ก็ให้มาแจ้งยังกองทัพ จะได้ให้ทหารไปจับตัวมาจงได้ ถ้าผู้ใดจงใจให้ฮ่อสำนักอาศัยหรือให้กำลังเสบียงอาหารอุกหนุนฮ่อแต่อย่างหนึ่งอย่างใด จะเอาโทษผู้นั้นเสมอกับโทษฮ่อ ให้พลเมืองทั่วไปมีความเจ็บร้อน ช่วยกันสืบเสาะเอาตัวฮ่อมาส่งให้สิ้นเชิงจงได้"
ฝ่ายกองทัพนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ กับเจ้าราชวงศ์ ซึ่งแต่งให้ยกขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้น ได้ยกออกจากเมืองแวนแต่เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๔ ค่ำปีจอ เดินทางต่อไปอีก ๒ วันถึงเมืองจาดซึ่งขึ้นเมืองโสย พบฮ่อกับพวกม้อยที่เข้าต่อสู้ตั้งอยู่ที่นั้น มีคนประมาณ ๔๐ เศษ นายร้อยตรีเพ็ชร์กับท้าวอ่อนกรมการเมืองไซซึ่งเป็นกองหน้า เข้าระดมตีฮ่อและพวกม้อยแตกหนีทิ้งค่ายไป ทหารเข้าไปในค่ายได้ข้าวเปลือกในฉางประมาณ ๔๐๐ ถังเศษ กองหน้าตั้งพักอยู่ที่เมืองจาดนั้นคืนหนึ่ง
ครั้นรุ่งขึ้นนายร้อยเอกหลวงจำนงยุทธกิจ กับเจ้าราชวงศ์ไปถึงพร้อมกันแล้วก็ยกตามพวกฮ่อต่อไป ฝ่ายฮ่อที่แตกไปนั้นไปตั้งอยู่บ้านหอ แขวงเมืองโสย เมื่อกองทัพไปถึงที่นั่น ฮ่อได้กำลังมากขึ้นก็ออกต่อรบ ยิงปืนโต้ตอบกันอีกพัก ๑ ฮ่อถูกกระสุนปืนตายในที่รบ ๔ คน ที่เหลืออยู่ก็แตกหนีไปเมืองโสย กองทัพจะยกไล่ติดตามไปก็เห็นว่าเป็นเวลาพลบค่ำ จึงถอยกลับมาตั้งอยู่ที่ค่ายเมืองจาด แล้วมีรายงานแจ้งข้อราชการมายังกองทัพใหญ่ ณ เมืองซ่อน แม่ทัพดำริเห็นว่า ทางที่จะเดินต่อไปนังเมืองโสยนั้นเป็นทางกันดาร ในเวลานันก็เข้าฤดูฝนตกชุกอยู่แล้วจะให้กองทหารยกเร่งติดตามฮ่อต่อไป ฮ่อก็จะถอยร่นต่อไปอีกจนถึงเมืองพูนซึ่งเป็นที่มั่นของมัน ฝ่ายเราจะลำเลียงเสบียงอาหารส่งจะเป็นการยากขึ้นทุกที ด้วยเป็นฤดูฝนผู้คนก็จะเจ็บป่วย เป็นการขัดขวางอยู่ดังนี้ แม่ทัพจึงประชุมนายทัพนายกองพร้อมด้วยพระยาสุโขทัยเห็นพร้อมกันว่า เวลานี้ก็ถึงฤดูฝนตกชุกแล้ว ควรต้องงดรอการรบพุ่ง ตั้งมั่นพักบำรุงกำลังไพร่พลไว้ก่อน ต่อถึงเดือน ๑๑ ปีจอ สิ้นฤดูฝนแล้วจึงจะปราบปรามฮ่อต่อไป ปรึกษาตกลงกันดังนี้แล้ว แม่ทัพจึงมีคำสั่งให้กองเจ้าราชวงศ์ถอยมาตั้งมั่นบำรุงไพร่พลอยู่ที่เมืองแวน
ฝ่ายกองนายร้อยเอก หลวงดัษกรปลาศ กับเจ้าราชวงศ์ ซึ่งยกขึ้นไปตั้งมั่นอยู่ที่ค่ายบ้านไดนั้น แจ้งข้อราชการมายังแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองซ่อนว่า เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ท้าวฉิมนายบ้านห้วยสารนายม ลงมาแจ้งความแก่นายร้อยโทดวง ซึ่งคุมกองทหารขึ้นไปรักษาหมู่บ้านราษฎรเมืองสบแอด ฮ่อประมาณ ๗๐ คนไปตั้งรวบรวมกันอยู่ที่บ้านห้วยสารนายม แขวงเมืองสบแอด กับสืบได้ความว่ารุ่งขึ้นฮ่อจะไปตั้งอยู่ยังเมืองฮุง แขวงสิบสองจุไทย ระยะทาง ๑๐ ชั่วโมงเศษ ทางที่มันจะเดินนั้นตัดลงทางห้วยแหลก
ครั้นนายร้อยโทดวงได้ทราบความแล้วจึงพร้อมด้วยนายร้อยตรีพลอย ๑ พระเจริญจตุรงค์กรมการเมืองพิชัย ๑ ทหาร ๒๔ คน รีบยกไปคอยสกัดทางที่ห้วยแหลก ระยะทางแต่เมืองสบแอดถึงห้วยแหลก ๓ ชั่วโมง ครั้นถึงกลางห้วยแหลกก็พอประจวบกับฮ่อเดินสวนทางมาในลำห้วย กองทหารยิงพวกฮ่อ พวกฮ่อก็แตกถอยกลับไป ทหารก็ไล่ยิงฮ่อถูกกระสุนปืนตาย ๘ คน ที่ป่วยเจ็บไปหลายคน ฮ่อก็แตกกระจัดกระจายทิ้งเสบียงอาหารหนีเข้าป่าดงไป ในเวลาเมื่อทห่รไล่ฮ่อไปนั้น พลทหารอ่อนถูกกระสุนปืนฮ่อที่ไหล่ซ้าย แต่หาเป็นอันตรายไม่ ครั้นจะไล่ติดตามไปก็เป็นเวลาพลบค่ำ จึงถอยกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองสบแอด
ฝ่ายกองทัพเจ้าราชวงศ์ กับนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ เมื่อได้รับคำสั่งแม่ทัพให้ถอยจากเมืองจาดมาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองแวนนั้น คาดว่ากองทหารถอยมาจากเมืองจาดแล้วพวกฮ่อคงจะกลับมาตั้งอยู่อีก จึงคิดอุบายแกล้งทิ้งค่ายฮ่อไว้ไม่รื้อเสีย เอากระสุนปืนใหญ่ที่บรรจุดินดำเป็นลูกแตกมีแก๊ปชนวนอยู่ในกระสุนฝังไว้ริมทางเข้าออก ผูกสายใยเหนี่ยวรั้งดักให้กระทบสายชนวนนั้น ทั้งห้อยและแขวนไว้บ้างก็มี แล้วแต่คนด้อมมองคอยสืบราชการอยู่เสมอ เมืองกองทหารถอยมาได้สัก ๗ วัน ผู้ซึ่งคอยสืบราชการกลับมายังเมืองเมืองแวนรายงานว่า เมื่อกองทัพถอยมาแล้วมีฮ่อกับพวกผู้ไทยทู้ประมาณ ๕๐ คนพากันกลับเข้ามายังค่ายที่เมืองจาดนั้น ฮ่อและผู้ไทยถูกจั่นห้าวที่ดักไว้ก็ลั่นแตกออกถูกฮ่อตาย ๓ คน ผู้ไทย ๒ คน ที่ป่วยไปหลายคน ฮ่อมิอาจอยู่ในค่ายนั้นก็พากันกลับไปยังเมืองพูนทั้งสิ้น แล้วเก็บเอากระสุนแตกซึ่งแขวนไว้ที่ตอไม้ไปด้วยกระสุน ๑
ครั้นรุ่งขึ้นท้าวทิพย์ กรมการเมืองแวนซึ่งขึ้นไปสืบราชการยังเมืองโสย เมืองพูน รวมนายไพร่ ๓ คน กลับมาแจ้งข้อราชการยังค่ายเมืองแวนว่า ฮ่อได้กระสุนปืนไปจากค่ายเมืองจาดกระสุน ๑ เอาเข้าไปในค่ายของมันที่เมืองพูน มันเรียกกันว่า "ลูกหมากไม้" ฮ่อเอาขวานทุบต่อยกระสุนปืนนั้นก็ยังหาแตกไม่ มันจึงเอาเชือกร้อยห่วงแก๊ปแล้วดึงดู ก็ระเบิดขึ้นถูกฮ่อตาย ๒ คน เจ็บป่วยหลายคน บัดนี้มีความครั่นคร้ามกองทัพและกระสุนแตกนั้นเป็นอันมาก เพราะไม่ทราบว่าจะฝังไว้ที่ใดบ้าง แต่แยกย้ายพากันอพยพไปเป็นพวกเป็นหมู่ๆ ๓๐ - ๔๐ คน หาได้รวบรวมกันไม่ สืบได้ความว่าจะพากันไปอยู่ตำบลท่าขวา แขวงสิบสองจุไทยริมฝั่งน้ำแท้ ยังมีฮ่ออยู่ที่ค่ายเมืองพูนอีกประมาณ ๓๐ คน ที่เมืองโสยมีพวกผู้ไทยทู้รักษาอยู่ประมาณ ๓๐ คน รวมฮ่อและผู้ไทยทู้ ๒ ค่ายมีประมาณ ๖๐ คน แต่ยังเที่ยวย่ำยีตีปล้นราษฎรพลเมืองอยู่เนื่องๆ
เจ้าราชวงศ์กับนายร้อยเอก หลวงจำนงยุทธกิจ บอกข้อราชการให้แม่ทัพใหญ่ทราบความ ณ เมืองซ่อน แม่ทัพเห็นว่าพวกฮ่อย่อย่นระส่ำระสายอยู่แล้ว จำจะต้องรีบปราบปรามเสียทีเดียว จึงมีคำสั่งให้นายร้อยเอกหลวงจำนงฯ แต่งนายทหารที่สามารถคุมพลทหารพอสมควร เร่งยกขึ้นไปปราบปรามฮ่อที่เมืองโสยเมืองพูนเสียอย่าให้ตั้งมั่นอยู่ได้ เจ้าราชวงศ์ ได้แต่ให้ให้นายร้อยโทแขก ๑ ท้าวอ่อนกรมการเมืองไซ ๑ คุมพลทหารกรุงเทพฯแลพหัวเมืองรวม ๑๓๐ คน ยกขึ้นไปเมืองโสยเมืองพูนตามคำสั่งของแม่ทัพ
.................................................................................................................................................