Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๑๔ สามนางรูปงาม

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๔ สามนางรูปงาม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ครั้น ซุนซิว ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว ก็มีใจกำเริบสืบเสาะหาหญิงที่มีรูปงาม เอามาหัดมโหรีให้แก่มหาอุปราชบ้าง เอาไว้เป็นส่วนตัวบ้าง ถ้าซุนซิวรู้ว่าบุตรสาวของผู้ใดงดงาม ก็เอามาได้ไม่มีผู้ใดขัดขวาง และคิดจะหาหญิงสาวให้เป็นภรรยา ซุนหวย ผู้บุตร จึงถาม อองหงวน คนสนิทว่า

“…….ท่านก็เป็นแซ่อวง รู้จักอวงเอี๋ยนผู้น้องอวงหยงบ้างหรือไม่ ได้ยินข่าวว่านางเกียสีเมื่อยังเป็นที่ฮองเฮาอยู่นั้น ได้ขอนางอวงสีบุตรสาวอวงเอี๋ยน ให้แก่สุมาเต๊กผู้เป็นที่ฮ่องไทจือ อวงเอี๋ยนก็ยอมยกให้แต่ยังไม่ได้อยู่กินด้วยกัน ครั้นสุมาเต๊กเป็นโทษต้องเนรเทศไปอยู่ตำบลกิมหยงจนถึงแก่กรรม นางอวงสีคนนี้ไปข้างไหนยังอยู่หรือไม่ เราได้ยินข่าวเขาเล่าลือมาว่าดีนัก นั้นดีอย่างไร……”

อองหงวนก็เล่าเรื่องให้ฟังทุกประการ มีความว่า เดิมอวงเอี๋ยนผู้บิดาได้ยกนาง อวงสีให้เป็นภรรยาสุมาเต๊ก แต่ยังไม่ได้อยู่กินด้วยกัน ครั้นสุมาเต๊กต้องถอดและเนรเทศ อวงเอี๋ยน ก็เอาทองขันหมากมั่นไปคืนให้นางเกียสีฮองเฮา ขอขาดจากผัวเมียกันกับสุมาเต๊ก นางเกียสีก็ยอมรับเอาทองไว้ ครั้นอยู่มามีผู้ชอบใจมาสู่ขอ อวงเอี๋ยนก็จะยกให้แต่นางอวงสีไม่ยอม พูดกับบิดาว่า

“……..ไหน ๆ บิดาก็ยกให้เป็นภรรยาฮ่องไทจือแล้ว บัดนี้ฮ่องไทจือก็ยังอยู่ ถึงบิดาจะไปขอคืนขันหมากมั่นแล้วก็จริง ซึ่งจะให้ข้าพเจ้ามีสามีใหม่นั้น ข้าพเจ้านึกอายแก่ใจนัก จะขออยู่แต่ผู้เดียวไปก่อน…..”

อวงเอี๋ยนก็นิ่งอยู่ไม่ขัดใจบุตรสาว ครั้นอยู่มาสุมาเต๊กถึงแก่กรรม นางอวงสีก็นุ่งขาวไว้ทุกข์ แล้วปลอมตัวเป็นไพร่ไปเซ่นศพสุมาเต๊ก ต่อมาอีกปีเศษ อวงเอี๋ยนผู้บิดาจึงพูดกับนาง อวงสีว่า

“…….ตัวเราชราแล้วนับวันแต่จะตาย บิดาคิดจะปลูกฝังให้เจ้ามีเรือนเสีย เจ้าจะเห็นอย่างไร…..”

นางอวงสีก็คุกเข่าลงคำนับแล้วก็ร้องไห้ พูดว่า

“…….มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า เป็นชายให้ซื่อตรงต่อเจ้านาย อย่าผ่าใจให้เป็นสอง มีอีกคำหนึ่งว่า เป็นหญิงให้ซื่อตรงต่อสามี อย่าได้เป็นสองใจ จงมีความซื่อสัตย์สุจริต ถ้าถือได้ดังนี้แล้ว เรียกว่ามีกตัญญูต่อบิดามารดา รักษาชื่อบิดามารดาไว้ได้ ข้าพเจ้าเห็นแต่ราษฎรชาวบ้าน เขายังพากันรักษาชื่อและแซ่ไว้ได้มีอยู่โดยมาก บิดาเป็นถึงขุนนางมียศศักดิ์ ข้าพเจ้าก็เป็นบุตรท่าน ธรรมดาว่าเป็นบุตรขุนนางแล้วราษฎรเรียกว่า เชยกิมเสียเจียะ แปลว่าหญิงทองพันชั่ง ชื่ออันนี้ก็ดีอยู่แล้ว……..”

นางอวงสีก็แจ้งความในใจให้บิดาทราบต่อไปอีกว่า

“……… ท่านยกข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาสุมาเต๊กซึ่งเป็นที่ฮ่องไทจือ คนทั้งปวงได้รู้ทั่วกันตลอดไป จนถึงประเทศใหญ่น้อยต่าง ๆ ก็จัดเอาเป็นดีขึ้นอีกชั้นหนึ่ง บัดนี้สุมาเต๊กถึงแก่กรรม ซึ่งบิดาจะให้มีใหม่นั้นข้าพเจ้าไม่ยอมแล้ว ด้วยสุมาเต๊กเป็นโทษต้องถอดเนรเทศไปจนตาย ทั้งนี้ใช่จะกระทำการชั่ว ให้ผิดด้วยขนบธรรมเนียมราชการนั้น หามิได้ เป็นด้วยคนพาลอิจฉาแกล้งหาความผิดใส่ คนทั้งปวงก็ย่อมรู้อยู่สิ้น ถ้าฮ่องไทจือมีบุญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ข้าพเจ้ามิเป็นฮองเฮาขึ้นหรือ อันที่ฮองเฮานั้นเป็นยอดหญิงในแผ่นดิน ทุกวันนี้วิตกแต่พี่สาวที่บิดายกให้แก่ เกียเอ๊ก เห็นจะเอาตัวไม่รอด แต่ข้าพเจ้านี้ไม่มีสามีแล้ว จะขอรักษาชื่อไปกว่าจะหาชีวิตไม่ บิดาจงคิดหลีกเลี่ยงออกตัวเสียเถิด จะได้พ้นภัยชื่อเสียงก็จะไม่เสีย …….”

อวงเอี๋ยนได้ฟังบุตรสาวแล้วตรึกตรองดู ก็เห็นจริงด้วยทุกสิ่ง จึงคิดอ่านออกจากที่ขุนนาง อพยพครอบครัวหนีไปได้สามปีเศษ นางเกียสีฮองเฮาจึงสิ้นวาสนา และญาติพี่น้องรวมทั้งบุตรภรรยาก็ถูกประหารเสียสิ้น

และอวงหงวนก็บอกว่า บัดนี้ตนไม่ทราบว่านางอวยสีกับบิดา จะไปอยู่ที่ตำบลใด ซุนซิวได้ฟังก็มีความชอบใจอยากจะได้มาเป็นภรรยาของบุตรชาย จึงติดสินบนแก่ราษฎรชาวบ้านว่า ผู้ใดสืบได้ว่านางอวงสีบุตรสาวอวงเอี๋ยนอยู่ตำบลใด จะให้รางวัลแก่ผู้นั้นเป็นเงินหนักเท่าตัว ราษฎรชาวบ้านที่เป็นคนดีมีอันจะกิน ถึงรู้ว่านางอวงสีอยู่ที่ตำบลใด ก็นิ่งเสียไม่ยอมบอกไม่อยากได้สินบน ด้วยเห็นว่านางอวงสีเป็นคนดี ไม่คู่ควรจะสมาคมด้วยซุนซิวอันเป็นคนพาล ถ้าแม้นบอกแก่ซุนซิวเข้าแล้ว ถึงโดยซุนซิวจะไปว่ากล่าวเอานางอวงสีมาเป็นบุตรสะใภ้ ที่ไหนนางจะยอม ครั้นไม่ยอมแล้วนางก็จะมีภัยต่าง ๆ จึงพากันนิ่งปิดความเสียดีกว่า ส่วนพวกราษฎรที่เป็นคนพาลอยากได้สินบน เที่ยวสืบเสาะก็ยังไม่รู้ว่านางอวงสีอยู่ที่ตำบลใด ซุนซิวก็จนใจอยู่

อวงหงวนรู้ว่าซุนซิวชอบเสาะหาหญิงรูปงาม มาเป็นนางขับร้องและเล่นมโหรี จึงเที่ยวสืบหาและแนะนำให้แก่ซุนซิวเนือง ๆ ส่วนตนนั้นเคยเป็นลูกน้อง อองค่าย ขุนนางสมัยพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ ซึ่งไม่ถูกกับ เจียฉอง ขุนนางอีกคนหนึ่ง ในคราวที่แต่งโต๊ะประกวดแพ้แก่เจียฉอง อวงหงวนคิดจะแก้แค้นแทนนายเก่าอยู่นานแล้ว ก็บอกกับซุนซิวว่า

“……..ในเมืองหลวงนี้แต่บรรดาที่เล่นมโหรีและนางขับร้อง ข้าพเจ้าได้เที่ยวดูมามากแล้ว ไม่เห็นผู้ใดสู้เจียฉองได้เลยแต่สักแห่ง จะฟังสำเนียงเครื่องมโหรีก็เพราะ เสียงคนขับก็เพราะ รูปร่างงดงามแต่ล้วนสาว ๆ ทั้งนั้น เป็นชั้น ๆ กันหลายสำรับ………”

แล้วอวงหงวนก็พาซุนซิวไปดูภาพเขียนของหญิงสาว ที่เขียนเป็นฉากไว้ในห้องนอน เป็นรูปนางงามนั่งเก้าอี้ดีดกระจับปี่ ประสานสีดูงดงาม ซุนซิวก็ถามว่ารูปในฉากนี้เป็นรูปใคร ท่านได้มาแต่ไหนงดงามนักหนา อวงหงวนก็บอกว่าเป็นรูปนางเล็กจู๊มโหรีของเจียฉอง

ซุนซิวอยากใคร่จะได้นางเล็กจู๊มาไว้เป็นมโหรี จึงสั่งให้อวงหงวนไปหาเจียฉอง และขอนางเล็กจู๊มาอยู่กับตน อวงหงวนก็ไปหาเจียฉองแล้วบอกว่า ซุนซิวใช้ให้ตนมาหาด้วยอยากจะใคร่ได้มโหรีไปไว้ฟังเล่นพอเป็นที่สบายใจ และว่าถ้าไม่ขัดข้องก็ขอนางเล็กจู๊ไปด้วย

เจียฉองก็ว่าซุนซิวจะต้องประสงค์นั้นมีถมไป ตนไม่ขัดจะให้เครื่องมโหรีและคนร้องไปพร้อมทั้งสำรับ และว่า

“………แต่ตัวนางเล็กจู๊นั้นข้าพเจ้าขอยกเสียเถิด ด้วยนางเล็กจู๊เป็นภรรยาข้าพเจ้าเสียแล้ว เป็นจนใจนักหนา ถ้านอกนั้นมิได้ขัด ท่านจงช่วยพูดจาให้ดี อย่าให้ซุนซิวมีความขุ่นเคืองในข้าพเจ้าเลย ท่านช่วยสงเคราะห์บ่ายเบี่ยงให้เรื่องนี้เงียบไปได้ ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน…..”

อวงหงวนก็กลับมาบอกแก่ซุนซิวว่า

“……..ข้าพเจ้าขอแล้วเจียฉองไม่ยอม กลับบนข้าพเจ้าว่าให้ช่วยคิดอ่านไกล่เกลี่ยความเสียจะให้เงินทอง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเจียฉองถือตัวว่าเป็นคนมั่งมี ไว้ท่วงทีเย่อหยิ่งนัก…….”

ซุนซิวได้ฟังดังนั้น ก็โกรธเจียฉองเป็นอันมาก จึงไปหาสุมาลุนแล้วแกล้งพูดว่า พวกพ้องนางเกียสียังมีอยู่อีกคนหนึ่งแข็งแรงนัก ถ้านานไปวันหน้าเห็นคงจะคิดร้ายท่านเป็นมั่นคง สุมาลุนถามว่าผู้ใด ซุนซิวก็ว่า เจียฉองคนนี้มั่งมีเงินทอง ผู้คนพวกพ้องมาก ต้องรีบกำจัดเสียเอาไว้ช้าไม่ได้ สุมาลุนเชื่อถือซุนซิวอยู่แล้ว ก็คิดว่าเจียฉองเป็นพวกนางเกียสีจริง จึงว่า

“…….เจียฉองคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ ท่านจงคิดอ่านกำจัดเสีย อย่าเอาไว้ช้าจะเป็นเสี้ยนหนามต่อไปอีก………”

ซุนซิวก็คำนับรับคำสั่งมหาอุปราช แล้วก็จัดทหาร พร้อมด้วยศาสตราวุธ ยกไปบ้านเจียฉองทันที

ฝ่ายเจียฉองนั้น เมื่อซุนซิวใช้ให้อวงหงวนมาขอนางเล็กจู๊ไม่ได้ ก็วิตกอยู่ด้วยเกรงอำนาจซุนซิว ครั้นนางเล็กจู๊รู้เรื่อง จึงพูดกับเจียฉองว่า

“…….ซึ่งท่านมีความเมตตารักใคร่ ไม่ให้ข้าพเจ้ากับซุนซิวนั้น พระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้ ถึงมาดแม้นท่านยอมให้ไป ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมจะขออยู่สู้ตาย ไม่มีสามีเป็นสอง ซึ่งท่านไม่ให้ข้าพเจ้ากับซุนซิวเห็นคงจะเกิดความเป็นแน่ ท่านจงระวังตัวให้ดีเถิด……”

พูดกันยังไม่ทันขาดคำ ทหารของซุนซิวก็มาถึงล้อมบ้านเจียฉองไว้ นางเล็กจู๊เห็นดังนั้น จึงพูดกับเจียฉองว่า

“……การซึ่งเกิดขึ้นทั้งนี้ เพราะเขาจะต้องประสงค์ตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ขออยู่จะสู้ตาย ให้เห็นปรากฎแก่ตาท่านในเดี๋ยวนี้ แม้นซุนซิวเห็นข้าพเจ้าตายแล้ว การที่จะมาทำร้ายท่านก็จะเลิกไปได้ดอกกระมัง…….”

พูดแล้วก็เอาผ้าแพรมาผูกคอเข้ากับกิ่งไม้ที่อยู่ตรงหน้าต่าง กระโดลงไปห้อยตายอยู่ที่ต้นไม้นั้น ซุนซิวแลเห็นก็ให้ทหารเข้าแก้ แต่ก็ไม่ทันนางเล็กจู๊ขาดใจตายเสียก่อน ซุวซิวก็ให้ทหารพังประตูเข้าไป จับตัวเจียฉองและบุตรภรรยาญาติพี่น้อง มาฆ่าเสียทั้งสิ้น แล้วเก็บริบเอาทรัพย์สิ่งของทองเงินไปหมดสิ้น จึงกลับมาบอกความให้สุมาลุนทราบทุกประการ สุมาลุนก็มีความยินดี

ขณะนั้นเจ้านาย และขุนนาง อีกทั้งราษฎร ที่มีบุตรสาวรูปร่างงดงามแล้ว ต้องซุ่มซ่อนเอาไว้มิให้ผู้ใดเห็น กลัวจะไปบอกแก่ซุนซิว เมื่อซุนซิวสืบหาหญิงที่ชอบใจ จะให้เป็นภรรยาบุตรชายไม่ได้ดังปรารถนา ก็เห็นว่านางสุมาห้อตงกงจู๊ ผู้เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเฮาฮุยเต้ งดงามถูกใจ ก็อยากจะได้มาเป็นบุตรสะใภ้ แล้วจะได้เกี่ยวดองกับฮ่องเต้ด้วย จึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลขอนางสุมาห้อกงจู๊ จะให้แต่งกับซุยหวยผู้บุตร ฮ่องเต้ไม่อาจขัดขวางด้วยเกรงอำนาจซุนซิว ก็จำต้องโปรดให้ พอถึงวันฤกษ์ดีก็รับนางสุมาห้อตงกงจู๊ให้มาอยู่กินกับบุตรชาย ซุนซิวก็ได้เป็นบิดาของซุยหวยฮู่ม้า บุตรเขยของฮ่องเต้

อยู่มาไม่นาน ซุนซิวคิดว่า พระเจ้าเฮาฮุยเต้นั้นน้ำพระทัยดีนัก ตนกราบทูลขอสิ่งใด พระองค์ก็มิได้ขัด ทรงพระเมตตาแก่ตนเป็นอันมาก พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ บัดนี้พระองค์ไม่มีมเหสี จึงนึกถึงเอียวลักขุนนางฝ่ายพลเรือน ซึ่งเป็นพวกพ้องกัน และมีบุตรสาวอยู่คนหนึ่งชื่อนางเอียวสี รูปร่างจริตกิริยาดีมีลักษณะ สมควรจะนำเข้าไปถวายฮ่องเต้ จะได้สนิทเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง จึงให้คนไปตามเอียวลักมาหาแล้วบอกว่า

“…….เดี๋ยวนี้พระเจ้าเฮาฮุยเต้ไม่มีมเหสี ตั้งแต่นางเกียสีตายไปแล้ว ที่ฮองเฮายังว่างอยู่ เราเห็นว่านางเอียวสีบุตรสาวท่าน รูปร่างงามจริตกิริยาดีควรจะเป็นมเหสีได้ เราคิดว่าจะเอาไปถวายพระเจ้าเฮาฮุยเต้ให้เป็นที่ฮองเฮา ท่านจะคิดประการใด…….”

เอียวลักก็ว่าสุดแล้วแต่ท่านจะเห็นดีเถิด ตนไม่ขัดข้อง ซุนซิวก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้กราบทูลถวายนางเอียวสี ฮ่องเต้ก็มีพระทัยยินดี แล้วเมื่อถึงวันฤกษ์ดี ซุนซิวกับเอียวลัก ก็ช่วยกันตกแต่งนางเอียวสีให้สมแก่ยศศักดิ์ แล้วพาเข้าไปถวายพระเจ้าเฮาฮุยเต้ ฮ่องเต้ก็ทรงโปรดให้ตั้งนางเอียวสีเป็นที่ฮองเฮา

ตั้งแต่นั้นมาสุมาลุนกับซุนซิวก็เป็นใหญ่ในบ้านเมือง จะทำการสิ่งไรก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง อีกต่อไป.

##########




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 8:37:30 น.
Counter : 635 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๓ มหาอุปราชคนใหม่

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๓ มหาอุปราชคนใหม่

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย สุมาลุน ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และซุนซิวซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ สุมาลุนนั้น ถือตัวว่าเป็นใหญ่ไม่มีผู้ใดเสมอ แต่จะทำสิ่งใดก็ยังไม่ถนัด ด้วยคิดเกรงเตียโฮ้ที่ปรึกษานอกราชการของฮ่องเต้อยู่ วันหนึ่งซุนซิวจึงพูดกับสุมาลุนว่า

“…….ข้าพเจ้าตรองดูทุกวันนี้ ตัวท่านมีอำนาจอาจตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้น ขุนนางทั้งปวงอยู่ในบังคับท่านทั้งนั้น จะทำการสิ่งไรไม่มีผู้ขัดขวาง เห็นมีที่กีดอยู่แต่เตียโฮ้คนเดียว ตั้งแต่ท่านเข้ามาทำราชการก็ช้านานหลายเดือนแล้ว ไม่เห็นเตียโฮ้ไปมาหาสู่เลย จะต้องคิดกำจัดเสียจึงจะได้……..”

สุมาลุนก็ว่า

“……..เตียโฮ้นั้นเขาเป็นคนดี มีผู้นับถือยำเกรงมาก แล้วก็ไม่มีความผิด ซึ่งจะกำจัดเสียนั้นจะมีความนินทาดอกกระมัง…….”

ซุนซิวก็ว่า

“……..ข้าพเจ้าจะคิดยกข้อผิดเตียโฮ้ให้จงได้ เตียโฮ้ทิษฐิมานะมาก อายุถึงแปดสิบเศษแล้วจะทำอะไรแก่ใครได้ ถ้าคิดอ่านยกโทษหาความผิดใส่แล้ว คงจะโทมนัสตรอมใจตายเอง……..”

สุมาลุนก็ว่าถ้าจะทำอย่างนั้นก็ตามใจ อย่าให้คนทั้งปวงติเตียนเราได้ ซุนซิวก็ว่าข้อนั้นอย่าได้วิตก พูดแล้วก็ไปหาเตียโฮ้ที่บ้าน เตียโฮ้ถามว่ามีธุระสิ่งใด ซุนซิวก็ว่าที่มานี้หมายจะสนทนาด้วยเนื้อความสักข้อหนึ่ง เตียโฮ้ก็จะพูดสิ่งไรก็ว่ามาเถิด ซุนซิวก็กล่าวหาว่า

“……ตัวท่านประกอบด้วยสติปัญญา คนทั้งปวงถือว่าเป็นคนดีมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ชื่อเสียงท่านปรากฎมาช้านาน ครั้งนี้นางเกียฮองเฮาทำการไม่ดีมีความผิดมาก จนบ้านเมืองเป็นจลาจลต่าง ๆ ให้เสียพระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดิน นี่หากว่าสุมาลุนผู้เป็นนายข้าพเจ้า มาคิดอ่านกำจัดเสียได้ บ้านเมืองจึงเรียบร้อยเป็นปกติ อันตัวท่านก็ประกอบด้วยสติปัญญา มีความกตัญญูต่อแผ่นดิน เหตุใดจึงไม่ว่ากล่าวห้ามปรามกำจัดเสีย นิ่งไว้จนนางเกียสีฮองเฮาทำการล่วงเกิน จนถึงฆ่าฮองไทเฮา ฮ่องไทจือ ท่านก็ไม่เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน……”

เตียโฮ้ก็ว่าการอันนี้ใช่เราจะไม่รู้เมื่อไร แต่เรามีอำนาจน้อยนัก เหลือกำลังที่จะห้ามปราม และคิดกำจัดได้ ซุนซิวก็สำทับว่า

“……..ท่านอย่าพูดแก้ตัวไปเลย คนที่สรรเสริญว่าท่านดีนั้นหาจริงไม่ ด้วยคนทั้งหลายไม่รู้เท่าถึง แต่ก่อนตัวเราก็เข้าใจว่าท่านดีจริง ครั้นนานมาจึงได้รู้ว่าท่านเป็นคนโกง ต่อเวลาอื่นเราจึงจะบอกแก่สุมาลุน ให้เอาทหารมาเอาตัวท่านไปชำระปรึกษาโทษให้จงได้…….”

ซุนซิวพูดแล้วเห็นเตียโฮ้มีกิริยาโกรธมาก ก็ลากลับมาที่อยู่ ตั้งแต่วันนั้นมา เตียโฮ้ก็ให้มีความเจ็บช้ำใจยิ่งนัก คิดว่าตนทำราชการมาก็ช้านาน จะได้เข้าด้วยกับผู้ซึ่งกระทำความผิดนั้นหามิได้ ผู้หนึ่งผู้ใดที่จะมาติเตียนว่ากล่าวเรา เหมือนอย่างซุนซิวนี้ไม่มีเลย การเป็นไปครั้งนี้ก็เพราะตนไม่มีอำนาจ คนพาลมันจึงหมิ่นประมาทได้ เตียโฮ้คิดไปก็เสียใจ จนป่วยลงและถึงแก่กรรม ขณะนั้นอายุได้แปดสิบสองปี

เตียอุยผู้บุตรก็มีความเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก เมื่อทำการฝังศพบิดาตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว ก็อพยพครอบครัวหนีไปให้พ้นเสียจากเมืองหลวง

ครั้นพระเจ้าเฮาฮุยเต้ได้ทรงทราบว่า เตียโฮ้ถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีรับสั่งให้ขุนนางไปหาเตียอุยมาถามว่า บิดาเป็นโรคอะไร เหตุใดจึงไม่กราบทูลให้ทรงทราบ ทิ้งไว้จนตาย ขุนนางก็กลับมากราบทูลว่า เตียอุยนั้นเมื่อทำการฝังศพบิดาแล้ว ก็อพยพหนีไปอยู่ที่อื่น ราษฎรพูดกันว่า เตียโฮ้มีคุณต่อพวกราษฎรเป็นอันมาก มาตายครั้งนี้เป็นที่สังเวช ไม่สมกับที่มีคุณต่อแผ่นดินเลย ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“……..เตียโฮ้นี้มีความชอบในแผ่นดินมาก ทำราชการมาหลายแผ่นดินแล้ว จะได้มีระแวงข้อผิดสิ่งใดก็หามิได้ บัดนี้ออกเสียจากขุนนาง เมื่อตายก็อนาถาหายศไม่ น่าสงสารนัก….”

แล้วก็มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานทำการกงเต๊ก ที่ฝังศพเหมือนอย่างขุนนางผู้ใหญ่ มีป้ายศิลาจารึกอักษรว่า ไซจิ้นเซียงก๊กเตียงก๋ง แปลว่า ขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการในแผ่นดินไซจิ้น เมื่อวันทำการศพให้ราษฎรและขุนนางนุ่งขาวทั้งสิ้น แต่นั้นมาฮ่องเต้ก็ไม่สบายพระทัยเลย

และตั้งแต่นั้นมาสุมาลุนก็เชื่อฟังซุนซิวทุกอย่าง ซุนซิวชอบใจการเล่นสิ่งไร เป็นมโหรีหรือขับร้อง ก็ชักชวนแนะนำให้สุมาลุนเล่นก่อน แล้วตนจึงค่อยเล่นภายหลัง สุมาลุนชมว่า ซุนซิวรู้จักอัชฌาสัยนายเป็นอย่างดี

วันหนึ่งสุมาลุนก็ปรึกษากับซุนซิวว่า

“…….ราชการบ้านเมืองทุกวันนี้ สำเร็จเด็ดขาดอยู่กับเราทั้งสิ้น ยังมีที่กีดอยู่แต่ สุมายุ้นคนเดียวเท่านั้น ครั้นจะคิดกำจัดก็ยาก ด้วยสุมายุ้นได้ว่านายทหารรักษาพระองค์ แข็งแรงอยู่ จะต้องคิดอ่านอย่าให้สุมายุ้นได้เป็นนายทหารรักษาพระองค์ เราจึงจะกำจัดได้ง่าย….”

ซุนซิวก็ว่าท่านคิดดังนี้ชอบแล้ว สุมาลุนจึงกราบทูลฮ่องเต้ให้พระราชทานเลื่อน สุมายุ้นให้เป็นที่สูงขึ้นกว่าเดิม สุมายุ้นทราบแล้วก็คิดตรึกตรองว่า สุมาลุนกับตนก็ไม่ใคร่ชอบพอรักใคร่กัน เหตุใดจึงมากราบทูลขอให้เลื่อนที่ขึ้นไปดังนี้ ชะรอยจะคิดทำอันตรายตนเป็นมั่นคง จึงกราบทูลให้พ้นจากตำแหน่งนี้ เหมือนหนึ่งตัดปีกตัดหางตนเสีย จะต้องกำจัดเสียโดยเร็วจึงจะได้ แล้วก็คุมทหารยกไปล้อมบ้านสุมาลุนไว้ สุมาลุนก็คุมทหารออกมาสู้รบกันเป็นสามารถ สุมาลุน ทานกำลังสุมายุ้นไม่ได้ ก็ล่าถอยเข้าบ้านปิดประตูเสีย สุมายุ้นก็ล้อมบ้านไว้อย่างเดิม

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ทรงทราบเรื่องราวจากขุนนาง จึงรับสั่งให้ฮกเกี๋ยนขุนนางฝ่ายทหารคุมกำลังออกไปห้ามปรามอย่าให้ทั้งสองวิวาทกันต่อไป ฮกเกี๋ยนคุมทหารมาถึงหน้าบ้านก็ประกาศว่า ตนถืออาญาสิทธิ์ออกมาห้ามอย่าให้ท่านทั้งสองวิวาทรบพุ่งกัน ทหารของสุมายุ้นซึ่งล้อมบ้านสุมาลุนนั้น จงเลิกถอยออกไปเสีย อย่าได้ตั้งขบวนถือศาสตราวุธอยู่ สุมายุ้นก็สั่งให้ทหารของตนเก็บอาวุธเสียสิ้น สุมาลุนก็คุมทหารเปิดประตูบ้านออกมาจับตัวสุมายุ้นฆ่าเสีย ทหารของ สุมายุ้นเห็นนายตายก็ยอมแพ้ไปสิ้น

ฮกเกี๋ยนก็กลับมากราบทูลฮ่องเต้ว่า สุมายุ้นเป็นขบถ คิดจะชิงเอาราชสมบัติ จึงได้คุมทหารมาหมายจะกำจัดสุมาลุนเสีย ตนเองถือรับสั่งไปห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง บัดนี้สุมาลุนฆ่าเสียแล้ว ฮ่องเต้ก็มิได้ตรัสประการใด

สุมาลุนกำจัดสุมายุ้นได้แล้ว ก็มีความยินดีปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทหารทั้งปวง รวมทั้งฮกเกี๋ยนซึ่งใช้อุบายให้ทหารสุมายุ้นเลิกขบวน เพราะสุมาเคี้ยนผู้บุตรของสุมาลุน ได้ขอร้องให้ฮกเกี๋ยนช่วยด้วย สุมาลุนก็ให้เงินทองสิ่งของเป็นอันมาก แก่ฮกเกี๋ยนและเลื่อนที่ให้มียศใหญ่ขึ้นไปอีกด้วย และตั้งแต่นั้นมาสุมาลุนก็มีใจกำเริบคิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ เพราะนอกจากฮ่องเต้แล้วไม่มีผู้ใดใหญ่เสมอตน จึงปรึกษากับซุนซิวเพื่อขอตำแหน่งมหาอุปราชของแผ่นดิน จากพระเจ้าเฮาฮุยเต้ ซึ่งฮ่องเต้ก็ตรัสว่า อันที่มหาอุปราชนั้นสำคัญมากอยู่ จะต้องประชุมขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยปรึกษาดูให้เห็นพร้อมกันเสียก่อนจึงจะได้

เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกที่ว่าราชการ และขุนนางมาพร้อมแล้ว ซุนซิวก็กราบทูลว่า

“……..บัดนี้ราชการบ้านเมืองทั้งปวง พระองค์โปรดให้สุมาลุนว่ากล่าวดูแล ต่างพระเนตรพระกรรณสิ้นทั้งนั้น ข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานให้สุมาลุน เป็นที่มหาอุปราช…….”

ฮ่องเต้ก็ปรึกษาขุนนางทั้งหลายว่าจะเห็นประการใด ขุนนางที่ได้ฟังรับสั่งถาม ก็พากันนิ่งอยู่ มีแต่เตียบุ๋นขุนนางผู้หนึ่ง กราบทูลขึ้นว่า

“…….เมื่อครั้งแผ่นดินฮั่น โจโฉเข้ามากราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะขอที่มหาอุปราช ครั้นอยู่มาปลายแผ่นดินวุย สุมาสูเข้ามากราบทูลขอเป็นที่มหาอุปราช โจโฉและสุมาสูได้เป็นมหาอุปราชขึ้นแล้ว ประพฤติการอย่างไร พระองค์ย่อมทราบอยู่เต็มพระทัย……..”

ในแผ่นดินสามก๊กที่ผ่านมาไม่นาน โจโฉได้เป็นมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว เมื่อตายลงโจผีบุตรคนโตก็บังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ สละราชสมบัติให้ตนเป็นฮ่องเต้ ส่วน สุมาสูนั้นเป็นมหาอุปราชของพระเจ้าโจมอ หลานของพระเจ้าโจผี เมื่อสุมาสูตายสุมาเจียวน้องชายก็ได้เป็นมหาอุปราชแทน ครั้นสุมาเจียวตาย สุมาเอี๋ยนบุตรชายคนโต ก็บังคับให้พระเจ้าโจฮวนหลานของโจโฉ สละราชสมบัติให้ตนเป็นฮ่องเต้แทน ซึ่งก็คือพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ ต้นราชวงศ์ไซจิ้น พระราชบิดาของพระเจ้าเฮาฮุยเต้นี่เอง

เตียหลิมนายทหารของสุมาลุนได้ฟังก็โกรธ ว่าตัวเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย ไม่ควรจะพูดอวดรู้ดูหมิ่นผู้ใหญ่ ไม่คิดยำเกรงสุมาลุนผู้เป็นนาย จึงจะเอาตัวไปฆ่าเสีย ซุนซิวก็ห้ามไว้แล้วว่า การอันนี้สุดแล้วแต่ขุนนางจะเห็นพร้อมกัน

ครั้นพระเจ้าเฮาฮุยเต้ตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่า การที่ซุนซิวขอให้สุมาลุนเป็นที่มหาอุปราชนั้น ใครจะเห็นควรหรือไม่ควรประการใด ขุนนางทั้งปวงต่างก็กลัวตาย จึงกราบทูลว่า สุมาลุนนั้นสมควรที่จะเป็นมหาอุปราชได้ พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็ทรงตั้งให้สุมาลุนเป็นที่มหาอุปราช ตามความเห็นของขุนนาง

สุมาลุนจึงว่า

“……..สุมาเต๊กซึ่งเป็นฮ่องไทจือนั้น ไม่มีความผิดตายด้วยอำนาจคนพาล สุมาเต๊กมีบุตรอยู่คนหนึ่งชื่อสุมาฉัง เป็นกำพร้ามารดาตายแต่เล็กอายุได้เจ็ดขวบ เมื่อนางเกียสีทำการกำจัดสุมาเต๊กนั้น สุมาฉังยังเล็กนัก ข้าพเจ้าเอาไปเลี้ยงไว้จึงรอดจากความตาย พระองค์จงโปรดให้เป็นที่ไทจือแทนบิดา ขอให้ตั้งสุมาเคี้ยนบุตรข้าพเจ้าให้เป็นที่ฮ่องไทซุน ตั้งซุนซิวเป็นขุนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ตั้งเตียหลิมเป็นขุนนางฝ่ายทหารรักษาพระองค์…….”

แล้วสุมาลุนก็ขอให้ฮ่องเต้แต่งตั้งขุนนางและนายทหาร แต่บรรดาที่เป็นพวกพ้องของตนอีกสิบเจ็ดคน ให้เลื่อนที่ขึ้นไปตามตำแหน่งที่ว่างเปล่าอยู่นั้น พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็โปรดตั้งให้ตามคำสุมาลุนทุกคน

###########




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2552 5:45:17 น.
Counter : 660 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๒ ฮองเฮาใช้กรรม

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๒ ฮองเฮาใช้กรรม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อ ซุนซิว ได้ทราบว่า นางเกียสีฮองเฮาแอบอ้างรับสั่งฮ่องเต้ ให้ อองฉวน ถืออาญาสิทธิ์ออกไปให้สุมาเต๊ก ฆ่าตัวตายเสียแล้ว ก็เข้าไปบอกสุมาลุนให้ทราบทุกประการ

สุมาลุนจึงออกจากเมืองหลวง ไปหา สุมาก๊วง ที่เมืองแซจิว แล้วเล่าความตามที่นางเกียสีฮองเฮา ได้ทำการไม่ดีต่าง ๆ และหาความผิดใส่โทษสุมาเต๊กฮ่องไทจือ จนต้องถอดและถูกเนรเทศไปอยู่ตำบลกิมหยง แล้วแอบอ้างรับสั่งใหอองฉวนถืออาญาสิทธิ์ไปฆ่าไทจือเสีย ตนเห็นว่าบ้านเมืองคงจะเกิดจลาจลขึ้นเป็นแน่ ขอให้สุมาก๊วงจงเห็นแก่แผ่นดิน ช่วยกันกำจัดนางเกียสีฮองเฮา อันเป็นศัตรูแผ่นดินเสีย ให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข

สุมาก๊วงก็ว่าซึ่งจะคิดกำจัดนางเกียสีฮองเฮานั้น จะทำประการใดดี ซุนซิวซึ่งไปกับสุมาลุนก็ว่าต้องใช้ปัญญาจึงจะได้ แล้วก็บอกอุบายให้

สุมาลุนก็กลับมาเมืองหลวง เข้าเฝ้าพระเจ้าเฮาฮุยเต้แล้วกราบทูลว่า

“……..สุมาถองซึ่งต้องถอดออกไปอยู่ตำบลตงอันนั้น ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนได้เป็นอันมาก คิดจะตั้งตัวยกเข้ามาชิงเอาราชสมบัติ…….”

ฮ่องเต้ได้ฟังก็ตกพระทัย จึงตรัสถามสุมาลุนว่าจะได้ผู้ใด เป็นแม่ทัพไปปราบ สุมาถองจึงจะดี สุมาลุนก็กราบทูลว่า

“……..สุมาก๊วงซึ่งอยู่รักษาเมืองแซจิวนั้น มีฝีมือเข้มแข็งประกอบด้วยสติปัญญา ควรจะเป็นแม่ทัพไปปราบสุมาถองได้……..”

ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานทำหนังสือรับสั่ง แต่งข้าหลวงถิอไปถึงสุมาก๊วง ให้เข้ามาในเมืองหลวง เมื่อสุมาก๊วงเข้ามาเฝ้าแล้ว ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“…….บัดนี้สุมาถองทำการกำเริบ คิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ เราไม่เห็นผู้ใดที่จะออกไปปราบปราม เห็นแต่ท่านกับสุมาลุนพอจะไปได้………”

แล้วก็พระราชทานอาญาสิทธิ์ให้สุมาก๊วง เกณฑ์ทหารห้าหมื่นเป็นทัพหลวง ให้ สุมาลุนคุมทหารสามหมื่นเป็นทัพหน้า ครั้นพระเจ้าเฮาฮุยเต้มอบทหารและโปรดพระราชทานอาญาสิทธิ์แล้ว สุมาก๊วงก็ทำอิดเอื้อนไม่ยกกองทัพไป สั่งให้สุมาลุนให้ตั้งตรวจตราระวังทำการ อยู่ข้างนอก ส่วนตนเองก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้พร้อมด้วยทหารติดตาม ฮ่องเต้ก็ตรัสถามว่า

“…….ท่านยังไม่ยกกองทัพออกไปดอกหรือ เหตุใดจึงช้าอยู่เล่า……..”

สุมาก๊วงก็กราบทูลว่า

“…….พระองค์มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าออกไปปราบข้าศึกศัตรู ซึ่งเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินภายนอกนั้น ก็ควรแล้ว แต่ข้าศึกศัตรูซึ่งเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินมีอยู่ภายใน จะต้องขอรับ พระราชทานชำระเสียให้เรียบร้อยก่อน จึงจะยกออกไปกำจัดข้าศึกภายนอกได้…….”

ฮ่องเต้ตรัสถามว่าศัตรูภายในคือผู้ใด สุมาก๊วงกราบทูลว่า

“………คือนางเกียสีฮองเฮา คบผู้ชายเข้าไปไว้ในพระราชวัง และฆ่าฮองไทเฮา เอาบุตรนางเกียหงอผู้น้องมาปลอมว่าเป็นบุตรตัว หาความผิดใส่โทษฮ่องไทจือ จนต้องถอดเนรเทศไปอยู่ตำบลกิมหยง แล้วใช้ปัญญาแอบอ้างรับสั่ง ให้อองฉวนไปฆ่าไทจือเสีย ความทั้งนี้พระองค์มิได้ทรงทราบ ข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานชำระให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงจะออกไปชำระศัตรูภายนอก ถ้าพระองค์ไม่โปรดให้ชำระ ข้าพเจ้าก็ไม่ยกกองทัพออกไป คงจะขอชำระการข้างในเสียก่อนให้จงได้……..”

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ได้ทรงฟังสุมาก๊วง กราบทูลดังนี้ก็ตกใจ แต่จะขัดขืนไปก็เกรงอยู่ ด้วยสุมาก๊วงได้ถืออาญาสิทธิ์ และมีทแกล้วทหารพร้อมอยู่ จึงเป็นอันจนพระทัย จึงตรัสว่าท่านจะชำระอย่างไรก็ตามใจเถิด สุมาก๊วงก็กราบทูลขอรับพระราชทานหนังสือลายพระหัตถ์ ว่าทรงโปรดให้ชำระ ฮ่องเต้ก็ทรงเขียนพระอักษรให้ สุมาก๊วงจึงกราบถวายบังคมลา พาทหารเข้าไปในเขตพระราชวังชั้นใน

เมื่อถึงตึกนางเกียสีฮองเฮาก็ให้หาตัวออกมา ว่ามีรับสั่งให้ตนมาชำระปรึกษาโทษ นางเกียสีฮองเฮาก็ให้คนใช้ออกมาบอกว่า

“…….ซึ่งสุมาก๊วงมาว่ามีรับสั่งให้ชำระเรานั้น เป็นการแอบรับสั่งไม่จริง ด้วยตัวเราเป็นต้นอยู่ ถ้าพระเจ้าเฮาฮุยเต้ตรัสราชการเรื่องไร ก็ทรงปรึกษาเราทุกเรื่อง แม้นรับสั่งจริงเหมือนว่าแล้ว เราคงรู้ก่อน ซึ่งมาพูดดังนี้เราไม่เชื่อ……”

สุมาก๊วงก็ยืนยันว่า

“…….พระอักษรมีมาเป็นสำคัญ รับสั่งให้เรามาชำระปรึกษาโทษ ซึ่งท่านทำไว้เก่าใหม่ ถ้าขัดแข็งดื้อดึงคงจะเอาตัวมาชำระให้จงได้……”

พูดแล้วก็สั่งให้ทหารเข้าฉุดลาก นางเกียสีฮองเฮาออกมาแล้วก็กล่าวโทษความผิด ซึ่งนางได้ทำไว้ ให้ขุนนางทั้งปวงรู้เห็นทั่วกัน แล้วสุมาก๊วงก็ถอดนางเกียสีฮองเฮา ลงเป็นไพร่แล้วเอาตัวใส่รถ ไปไว้ที่ตำบลกิมหยง เช่นเดียวกับที่เคยทำกับผู้อื่น และให้จับสมัครพรรคพวกกับญาติพี่น้องของนางเกียสี รวมทั้งนางเกียหงอน้องสาว และเกียเอ๊กน้องชาย มาประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น เว้นแต่บุตรและหลานของเกียหมอ ซึ่งเป็นน้องของนางเกียสี เมื่อก่อนตาย ได้คิดออกตัวไม่ขอเป็นพวกพ้องขาดจากแซ่เกีย จึงมีหนังสือคุ้มตัวเป็นสำคัญ บุตรหลานที่ถือหนังสือนั้นไว้ จึงรอดจากความตาย

เมื่อจัดการกับพวกแซ่เกียเรียบร้อยไปแล้ว สุมาก๊วงก็กลับไปเมืองแซจิว ตั้งแต่นั้นมาราชการบ้านเมืองก็เป็นสิทธิ์ขาดอยู่กับสุมาลุน จะทำการสิ่งใดฮ่องเต้ก็มิได้ขัด สุมาลุนจึงตั้งแต่งให้ขุนนางที่เป็นพวกพ้องมียศยิ่งขึ้น

ซุนซิวก็พูดแก่สุมาลุนว่า

“…….นางเกียสีที่เป็นฮองเฮา ถึงตัวต้องเนรเทศไป คนที่นับถือแต่เดิมยังมีอยู่เป็นอันมาก ถ้าแม้นผู้ใดอุดหนุนให้มีกำลังขึ้น ก็คงจะมาแก้แค้น เราต้องคิดอ่านกำจัดเสียจึงจะสิ้นศัตรู เปรียบเหมือนต้นหญ้าทึ้งถอนขึ้นแล้วเอาไปทิ้ง ถ้าฝนตกลงมาแผ่นดินชุ่มชื้นเมื่อใด ก็จะงอกงามเจริญเมื่อนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเวลานี้ท่านกำลังมีอำนาจ เร่งคิดกำจัดเสียให้ได้จึงจะสิ้นกังวล……”

สุมาลุนก็เห็นจริงด้วย จึงว่าถ้ากระนั้นท่านจงคิดฆ่านางเกียสีเสียเถิด ซุนซิวจึงพาทหารและอองฉวนไปที่ตำบลกิมหยง ให้เอาตัวนางเกียสีออกมาแล้วว่า ฮองไทเฮากับฮ่องไทจือไม่มีความผิดสิ่งใดเลย บัดนี้เราจะมาแก้แค้นแทน แล้วก็สั่งให้อองฉวนฆ่านางเกียสีเสีย เพื่อปกปิดความผิดของตน ที่เป็นผู้ยุยงให้นางเกียสีกำจัดฮ่องไทจือเอง

ฝ่ายเตียอุยบุตรชายของเตียโฮ้ ครั้นเห็นสุมาลุนมีอำนาจว่าราชการสิทธิ์ขาดทั้งแผ่นดิน ก็คิดเสียใจว่าไม่พอที่บิดาจะออกนอกราชการ จึงไปหาบิดาแล้วพูดว่า

“……..บัดนี้สุมาลุนได้เป็นผู้สำเร็จราชการทั้งแผ่นดิน มีอำนาจมาก สุมาลุนจะเป็นคนดีมีความกตัญญูต่อแผ่นดิน และใจกว้างขวางประกอบด้วยสติปัญญา ควรจะเป็นที่พึ่งได้หรือไม่…….”

เตียโฮ้ก็บอกกับบุตรชายว่า

“……..อันสุมาลุนนั้น จะเรียกว่าคนดีมีกตัญญูต่อแผ่นดินไม่ได้ อย่าว่าถึงจะเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นเลย ทำการแต่พอจุตัวไปได้คราวหนึ่ง ก็เห็นจะไม่ตลอด ถึงเจ้าอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ดูเหลวไหลไปทั้งนั้น ไม่เห็นว่าผู้ใดจะคิดอ่านตั้งตัว สืบแซ่สุมาให้ยืดยาวไปได้ อันลักษณะผู้ซึ่งจะคิดตั้งตัวเป็นใหญ่นั้น ย่อมทำใจกว้างขวางโอบอ้อมอารี จานเจือเผื่อแผ่แก่ผู้มีสติปัญญา และฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญในการสงคราม เกลี้ยกล่อมคนดีมีวิชาต่าง ๆ ไว้ใช้สอยเป็นกำลัง ถ้ารู้ว่าผู้ใดเป็นคนโกงก็ไม่คบค้าสมาคม จะทำการสิ่งไรย่อมตรึกตรองรอบคอบ ปรึกษาหารือด้วยผู้มีสติปัญญา เห็นการตลอดแล้วจึงทำ ถ้าเห็นว่าไม่ตลอดก็ไม่ทำ พูดจาแม่นยำไม่กลับกลอก มิได้ยินดีด้วยลาภสการเล็กน้อย ตราสินถ้อยความเป็นสัจธรรมไม่ให้ใครดูถูก จึงจะเป็นที่สรรเสริญแก่คนทั้งปวง เมื่อคนทั้งหลายนับถือแล้ว เหตุใดจะตั้งตัวไม่ได้ ย่อมจะเป็นใหญ่ขึ้นเองไม่ต้องยกตัว……”

เตียโฮ้พรรณาต่อไปโดยละเอียดว่า สุมาลุนมิได้ประพฤติอย่างนี้ พอใจเชื่อฟังถ้อยคำที่ไม่เป็นประโยชน์ ชอบแต่คนสอพลอประจบประแจง ไม่นับถือผู้มีสติปัญญา จะหาลาภผลสิ่งใดก็รักกำมากกว่ากอบ ใช้สอยผู้คนแต่โดยบุญวาสนา ไม่บำรุงน้ำใจไพร่ให้ชุ่มชื่น ผู้ที่มีสติปัญญาซื่อตรงเป็นตงฉิน เข้ามาฝากตัวอยู่ด้วยนั้น ครั้นเห็นไม่เป็นประโยชน์ยืดยาว ที่จะสืบแผ่นดินก็หลีกเลี่ยงไป มีแต่พวกกังฉินประจบประแจงให้ใช้สอย ถึงจะไม่ได้บำเหน็จสิ่งใดก็ไม่สู้เสียใจ เพราะประสงค์จะลักเอาชื่อเจ้านายออกเที่ยวอ้างหาลาภสการต่าง ๆ เมื่อเลี้ยงแต่คนเช่นนี้จะมีอำนาจไปได้สักกี่วัน แผ่นดินไซจิ้นเดี๋ยวนี้เกิดจลาจลต่าง ๆ หัวเมืองใหญ่น้อยมีใจกำเริบ แต่ล้วนคิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ทั้งนั้น โจรผู้ร้ายเกิดชุกชุมฆ่าฟันกันตายหลายแห่งหลายตำบล ก็ไม่เห็นสุมาคนใดมีใจเจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ช่วยปราบปรามเสี้ยนหนามให้ราบคาบได้ คิดแต่จะแย่งชิงอำนาจกันเป็นใหญ่ในเมืองหลวงอย่างเดียว ถ้าได้ว่ากล่าวตำแหน่งกระทรวงใดเข้าแล้ว ก็มีแต่จะคิดแคะไค้คุ้ยเขี่ยในตำแหน่งกระทรวงนั้น ให้เกิดผลประโยชน์ขึ้นแก่ตัว ไม่มีใจภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน บิดาเห็นว่าแซ่ สุมาผู้ใหญ่ ๆ เหล่านี้สติปัญญาสั้นนัก มีแต่ริษยากันเอง ถึงมาตรว่าจะได้เป็นใหญ่ก็ไม่นาน ด้วยมีศัตรูอยู่รอบข้าง

แล้วเตียโฮ้ก็เตือนเตียอุยผู้บุตรว่า

“…….ซึ่งเจ้าคิดจะไปฝากตัวอยู่ด้วยแซ่สุมา หมายจะเอาเป็นที่พึ่งให้ยืดยาวนั้นไม่ได้ อย่าคิดทำราชการต่อไปเลย ทำเรือกสวนไร่นาค้าขายเลี้ยงชีวิตดีกว่า…….”

เตียอุยจึงว่า

“……..บิดาพูดนี้ชอบแล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกแซ่สุมาเป็นกังฉิน ไม่ตรงต่อแผ่นดิน เราเป็นตงฉินถือความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จะมิเป็นศัตรูกับพวกกังฉินหรือ เราอยู่อย่างนี้ไปเห็นภัยจะมีดอกกระมัง ข้าพเจ้าคิดว่าจะหลบหลีกเอาตัวรอดไปเสียก่อนดีกว่า…….”

เตียโฮ้ก็ว่า

“……จะคิดกลัวทำไม เขาจะทำอย่างไรกันก็ช่าง จะมาเกี่ยวข้องอันใดแก่เรา ใช่ว่าเราเป็นขุนนางอยู่ในราชการเมื่อไร จะได้กลัวความผิด ซึ่งจะหลบหลีกไปนั้นลำบากเปล่า ๆ…..”

เตียอุยก็ไม่รู้จะพูดจาว่ากล่าวประการใด ที่จะให้บิดาหลบหลีกเอาตัวรอดไปได้ ก็มีความวิตกทุกข์ร้อนอยู่มิได้ขาด.

##########




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2552 5:39:39 น.
Counter : 710 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๑ ราชบุตรปลอม

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๑ ราชบุตรปลอม

“ เล่าเซี่ยงชุน “

อยู่มาคราวหนึ่งนางเกียสีฮองเฮา อยากจะได้โปยงุ่ยไว้เป็นพรรคพวกด้วย จึงกราบทูลพระเจ้าเฮาฮุยเต้ให้โปรดแต่งตั้งโปยงุ่ย เป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน แต่โปยงุ่ยไม่รับ เตียโฮ้จึงไปหาโปยงุ่ยแล้วถามว่า เหตุใดจึงไม่ยอมรับตำแหน่งที่ฮ่องเต้โปรดให้ โปยงุ่ยก็บอกว่า

“……..ซึ่งข้าพเจ้าไม่รับนั้น ด้วยคิดเห็นว่านางเกียluฮองเฮาประพฤติการณ์ไม่ดี ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว ซึ่งรับสั่งจะตั้งให้เป็นขุนนางครั้งนี้ ก็เพราะนางเกียสีฮองเฮากราบทูล แม้นข้าพเจ้ายอมรับที่ขุนนางตามรับสั่ง คนทั้งปวงจะเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นพวกพ้องสนิทกับนางเกียสีฮองเฮา นานไปภายหน้าจะพลอยผิดด้วย ข้าพเจ้าคิดดังนี้จึงไม่รับ……..”

เตียโฮ้เสียดายว่าโปยงุ่ยนี้ มีสติปัญญาลึกซึ้งควรจะเป็นขุนนางได้ จึงทำหนังสือเรื่องราวกราบทูลฮ่องเต้ ว่าโปยงุ่ยมีสติปัญญาใจมั่นคง ควรจะเลื่อนให้มียศยิ่งขึ้นไปได้ บัดนี้ที่ ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือนยังว่างอยู่ ขอรับพระราชทานให้โปยงุ่ยเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือนเถิด

พระเจ้าเฮาฮุยเต้จึงมีรับสั่งให้โปยงุ่ยมาเฝ้า แล้วตรัสว่าเตียโฮ้ทำเรื่องราวเข้ามา ว่า ให้เราตั้งเจ้าเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน เจ้าจะยอมหรือไม่ โปยงุ่นกราบทูลว่าจะทรงพระกรุณาโปรดชุบเลี้ยงแล้ว ขอสนองพระเดชพระคุณไปกว่าจะสิ้นชีวิต ฮ่องเต้จึงตั้งให้โปยงุ่ยเป็นที่ เซียงจิวปักเชีย ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน

ในขณะนั้นเกียเอ๊กน้องชายนางเกียสีฮองเฮา เข้านอกออกในได้ไม่ยำเกรงผู้ใด ด้วยถืออำนาจนางเกียสีฮองเฮา วันหนึ่งเดินสวนกับสุมาเต๊กซึ่งเป็นฮ่องไทจือหรือรัชทายาท ก็มิได้หลบหลีกกลัวเกรง สุมาเต๊กเห็นดังนั้นจึงพูดว่า

“………เหตุใดตัวจึงไม่ยำเกรงฮ่องไทจือเล่า ผู้ซึ่งเป็นฮ่องไทจือนั้น เหมือนกับได้ราชสมบัติแล้วกึ่งหนึ่ง ตัวเจ้ามาดูหมิ่นไม่ยำเกรงหาควรไม่ เจ้าถือตัวอย่างไรจึงได้ทำดังนี้…..”

เกียเอ๊กได้ฟังสุมาเต๊กว่าต่อหน้าขุนนางก็มีความอาย นึกโกรธสุมาเต๊กเป็นอันมาก ครั้นจะพูดจาโต้ตอบก็เกรงว่าเป็นผู้ใหญ่ จึงเข้าไปหานางเกียสีฮองเฮา แล้วบอกว่า

“…….สุมาเต๊กถือตัวว่าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าดูท่วงทีกิริยาองอาจนัก นานไปภายหน้าคงจะเป็นศัตรูท่าน ในเมืองหลวงทุกวันนี้ก็มีแต่สุมาเต๊กกับสุมาโงว เป็นเจ้าผู้ใหญ่ ท่านจะทำการสิ่งใดก็กีดขวางอยู่ด้วยเจ้าสององค์นี้ ต้องคิดหาอุบายกำจัดเสียให้ไกลจึงจะได้ …….”

นางเกียสีฮองเฮาก็ว่าทั้งสองนั้นมียศศักดิ์มาก ไม่มีข้อผิดสิ่งไรซึ่งจะกำจัดนั้นยากนัก เกียเอ๊กก็ว่าตนมีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยตำบลเพงปักกับตำบลตินไซนั้น ว่างเปล่าไม่มีผู้ใหญ่แข็งแรงไปพิทักษ์รักษา เมื่อครั้งพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่ ก็แต่งขุนนางที่สนิทออกไปป้องกันข้าศึกศัตรู ที่จะมาทำร้ายแก่เมืองหลวงบัดนี้ไม่มีผู้รักษา ถ้าเข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ให้รับสั่ง ใช้สุมาเต๊กกับสุมาโงว ออกไปรักษาตำบลทั้งสองแห่งแล้ว การข้างในก็จะไม่มีที่กีดขวาง

นางเกียสีฮองเฮาก็เห็นชอบด้วย จึงเข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ ให้ส่งสุมาเต๊กกับ สุมาโงว ออกไปรักษาตำบลทั้งสอง สิ้นที่กีดขวางไป ตั้งแต่นั้นมานางเกียสีฮองเฮากับเกียเอ๊ก จะทำประการใดก็ไม่มีผู้ขัดขวาง ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงทราบ ขุนนางข้าราชการทั้งปวงถึงจะรู้ก็สู้นิ่ง ไม่อาจ กราบทูลได้ ด้วยกลัวอำนาจนางเกียสีฮองเฮา

ครั้นอยู่มานางเกียหงอผู้น้องฮองเฮาตั้งครรภ์ขึ้น จึงเข้าไปหาพี่สาวแล้วว่า

“….ตัวท่านปรารถนาจะใคร่มีบุตร เพราะประสงค์จะให้บุตรได้ราชสมบัติ แซ่เกีย จึงจะเป็นสุขต่อไป บัดนี้ข้าพเจ้ามีครรภ์แล้ว ท่านจงทำอาการเหมือนตั้งครรภ์ บอกป่วยอยู่เสีย แต่ในห้องอย่าให้ผู้ใดรู้ ถ้ามีรับสั่งถามก็ให้กราบทูลว่ามีครรภ์ ป่วยอยู่ไม่สบาย แม้นข้าพเจ้าจวน จะคลอดแล้ว จึงจะเข้ามาคลอดบุตรในห้องของท่าน คนทั้งปวงจะได้สำคัญว่าท่านคลอดบุตร ข้าพเจ้าก็จะทำเป็นมาช่วย ความอันนี้รู้กันแต่คนสนิท นอกนั้นอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้เลยเป็นอันขาด….”

นางเกียสีฮองเฮาได้ฟังก็เห็นชอบด้วย นางเกียหงอจึงว่าซึ่งจะไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้นั้นพอจะปกปิดได้ เกรงอยู่แต่พระเจ้าเฮาฮุยเต้ เคยเสด็จมาเยี่ยมเยียนอยู่เนือง ๆ จะไม่ทรงเห็นว่าท่านมีครรภ์ นางเกียสีฮองเฮาก็ว่า

“……การซึ่งจะอุบายเพ็ดทูลพระเจ้าเฮาฮุยเต้ ให้ทรงเชื่อฟังนั้นไม่ยากดอก เจ้าอย่าวิตกเลย ด้วยพระเจ้าฮุยเต้พระสติปัญญาโฉดเขลา เราพอจะกราบทูลล่อลวงได้…..”

ตั้งแต่นั้นมานางเกียสีฮองเฮาก็ทำเป็นตั้งครรภ์ แล้วบอกอาการป่วยมิได้ออกจากห้อง เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบจึงเสด็จมาเยี่ยมเยียน นางฮองเฮาก็เข้าไปอยู่เสียในห้องที่มืด แล้วแกล้งทำมารยากราบทูลว่า ตั้งแต่มีครรภ์ก็ให้เจ็บร้าวไปทั่วสารพางค์กาย ใครจะถูกต้องไม่ได้ และจิตใจก็พลุ่งพล่านไม่อยากเห็นผู้คน ฮ่องเต้จึงรับสั่งว่าเจ้าไม่เคยมีครรภ์จึงได้เป็นไปต่าง ๆ แต่นี้อย่าให้ใครเข้ามากวนจุกจิกกว่าจะคลอด และตั้งแต่วันนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ได้เสด็จมาที่ตึกนางฮองเฮาอีกเลย

ครั้งนางเกียหงอจวนจะคลอดบุตร ก็เข้ามาอยู่ในห้องนางเกียฮองเฮา จนบุตรคลอดออกมาเป็นชาย แล้วก็ประกาศว่านางฮองเฮาคลอดบุตรแล้ว คนทั้งปวงไม่รู้อุบายก็สำคัญว่าจริง เจ้าพนักงานจึงเข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ก็มีพระทัยยินดีตรัสว่า นางเกียฮองเฮาตั้งแต่อยู่กับเรามาช้านานไม่มีบุตรเลย บัดนี้มีบุตรชายดีนัก แล้วเสด็จไปเยี่ยมเยียนตรัสไต่ถามตามสมควร แล้วก็โปรดให้จัดพี่เลี้ยงนางนม ประทานแก่พระราชโอรสตามอย่างธรรมเนียม นางเกียหงอนั้นก็ทำเป็นมาช่วยรักษาพยาบาลอยู่หลายวัน จึงได้กลับไปบ้าน

นางเกียสีฮองเฮาเลี้ยงทารกนั้นจนเจริญวัยอายุได้ห้าหกขวบ จึงปรึกษากับนางเกียหงอผู้น้อง คิดหาอุบายกำจัดสุมาเต๊กซึ่งเป็นฮ่องไทจือนั้นเสีย บุตรปลอมของตนจะได้ขึ้นเป็นแทน นางเกียหงอจึงมาบอกความแก่ฮั่นซิวผู้สามี ฮั่นซิวก็ดีใจจึงว่า

“……..การซึ่งเจ้าคิดอ่านจะกำจัดสุมาเต๊กอันเป็นฮ่องไทจือ และจะยกให้บุตรเป็นฮ่องไทจือนั้นดีแล้ว ด้วยเด็กนั้นเป็นบุตรของเรา นานไปเบื้องหน้าถ้าราชสมบัติได้แก่บุตรเรา เราก็จะมีอำนาจตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้น……..”

วันหนึ่งนางกวงเซงกุนผู้เป็นมารดา ได้หานางเกียสีฮองเฮามาสั่งสอนว่า อย่าคบค้ากับนางเกียหงอผู้น้อง ด้วยนางเกียหงอเป็นคนโกงชั่วนัก ถ้าขืนคบค้าก็จะพากันเกิดความฉิบหาย แซ่เกียจะเสื่อมสูญ นางเกียฮองเฮาก็ไม่ได้โต้ตอบประการใด แต่ใจนั้นไม่เชื่อมารดา

อยู่วันหนึ่งนางเกียสีฮองเฮาทำการแซยิด ฮั่นซิวกับนางเกียหงอก็มาช่วย ครั้น ฮ่องไทจือรู้ข่าวก็มาในงานด้วย นางเกียสีและน้องสาวกับน้องเขยก็ช่วยกันรับรองเลี้ยงดู เอาสุรามอมให้เมาเหลือกำลังแล้ว ก็หลอกให้ฮ่องไทจือเขียนหนังสือเป็นคำโคลงฉบับหนึ่ง แล้วนาง เกียสีฮองเฮาก็ไปเฝ้าฮ่องเต้ และกราบทูลว่าฮ่องไทจือพูดจา หยอกเอิน และฉุดมือยื้อคร่า ทำหยาบช้าให้ตนได้อับอาย จะได้คิดถึงคุณที่ได้เลี้ยงมาสักนิดก็ไม่มี

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ได้ทรงฟังก็ยังไม่เชื่อ ว่าฮ่องไทจือจะเป็นเช่นนั้นเจียวหรือ นางฮองเฮาก็เอาหนังสือที่ฮ่องไทจือเขียนนั้น ถวายให้ทอดพระเนตร ฮ่องเต้ทรงอ่านหนังสือนั้นซึ่งมีข้อความว่า

เมื่อครั้งพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ผู้เป็นพระอัยกาของเรา ยังมีพระชนม์ครองราชสมบัติอยู่นั้น พระเจ้าเฮาฮุยเต้พระราชบิดาของเรานี้เป็นฮ่องไทจือ พระอัยกาได้รับสั่งหลายครั้งว่าฮ่องไทจือนี้โง่นัก เห็นจะเป็นไปไม่ได้ รับสั่งจะตั้งให้เราเป็นที่ฮ่องไทจือ แต่ยังไม่ได้จัดแจงตั้งแต่ง พอสวรรคตเสีย ขุนนางจึงยกพระราชบิดาเรา ผู้เป็นฮ่องไทจือขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามพระเจ้าเฮาฮุยเต้ ถ้าแม้นพระอัยกาจัดแจงแต่งตั้งเราเสร็จแล้วจึงสวรรคต ที่ไหนเลยสมบัติจะได้แก่พระราชบิดา คงจะได้แก่เรา บัดนี้พระเจ้าเฮาฮุยเต้ผู้เป็นพระราชบิดาชราแล้ว ควรจะยกขึ้นให้เป็นไทเซียงฮอง มอบราชสมบัติให้แก่เราจึงจะควร

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ทรงจำได้ว่าเป็นลายมือฮ่องไทจือ ก็ทรงขัดเคืองนัก รับสั่งว่า ฮ่องไทจือมีใจกำเริบคิดจะเอาราชสมบัติ จะต้องประชุมขุนนางปรึกษาโทษดูตามกฎหมายจึงจะได้ นางเกียฮองเฮาก็รีบตัดความเสียว่า

“……พระองค์อย่าได้ประชุมขุนนางปรึกษาโทษฮ่องไทจือเลย ถ้าชำระตามพระราชกำหนดกฎหมายแล้ว โทษคงตาย กิติศัพท์จะเลื่องลือไปในประเทศต่าง ๆ ก็จะมีความอัปยศ ขอรับพระราชทานชีวิตไว้สักครั้งหนึ่ง เสียแรงที่ได้เลี้ยงมาแต่ยังเป็นทารก อย่าเพ่อให้ตายเสียเลย โปรดแต่เพียงถอดออกเสียจากที่ฮ่องไทจือ แล้วรับสั่งให้ไปอยู่ตำบลกิมหยงเถิด…….”

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็เชื่อ จึงมีรับสั่งให้ถอดสุมาเต๊กออกจากที่ฮ่องไทจือ แล้วเนรเทศให้ไปอยู่ตำบลกิมหยง ครั้นเกียหมอน้องชายของนางเกียสีฮองเฮา ได้ทราบความดังนั้นก็ตกใจ จึงไปหานางกวงเซงกุนผู้มารดา ซึ่งกำลังป่วยอยู่ด้วยความทุกข์ร้อนใจ ในการกระทำของนางเกียสีผู้บุตรคนโตอยู่ พอเห็นเกียหมอมาหาจึงถามว่าเจ้ามาธุระสิ่งใด เกียหมอก็เล่าความไม่ดีต่าง ๆ ของนางเกียสีฮองเฮา และความที่คิดกับนางเกียหงอหาความผิดใส่โทษฮ่องไทจือ จนต้องถูกเนรเทศ มารดาก็ว่าความอันนี้เราได้ห้ามแล้วก็ไม่ฟังคำ

เมื่อนางเกียสีฮองเฮาทราบว่ามารดาป่วย ก็มาเยี่ยมนางกวงเซงกุนก็ว่ากล่าวสั่งสอน ถึงความชั่วที่ได้ทำไปแล้ว นางเกียฮองเฮาก็โกรธ เกียหมอผู้น้องชายก็มาหาและห้ามปรามเช่นเดียวกับมารดา นางฮองเฮาก็พูดจาหยาบช้าต่าง ๆ เกียหมอมีความเสียใจนัก พอกลับมาถึงบ้านก็เป็นลมจับตายไป นางกวงเซงกุนผู้มารดาได้ทราบว่าบุตรชายตาย ก็ร้องไห้เศร้าโศกจนโรคกำเริบมากขึ้น ก็ถึงแก่ความตายไปอีกคนหนึ่ง

สุมาลุน เชื้อพระวงศ์อีกองค์หนึ่ง ก็ปรึกษากับ ซุนซิว ที่ปรึกษาว่า

“…….การผิดและชอบซึ่งนางเกียสีฮองเฮาทำนั้น พระเจ้าเฮาฮุยเต้ไม่ทรงทราบ นางเกียสีฮองเฮาจะทำการสิ่งไร ก็ทำเอาตามอำเภอใจไม่ยำเกรงผู้ใด ราชการบ้านเมืองจึงผันแปรไปต่าง ๆ ฮ่องไทจือซึ่งต้องเนรเทศไปอยู่ที่ตำบลกิมหยง ก็เพราะนางเกียสีฮองเฮา นางเกียหงอ ฮั่นซิว คิดอ่านกันหาความผิดใส่ พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็หลงทรงเชื่อฟังแต่ถ้อยคำนางเกียสีฮองเฮาถ่ายเดียว จะต้องคิดอ่านกำจัดเสียจึงจะได้ แต่การทุกวันนี้ตัวเรามีพวกพ้อง และกำลังทแกล้วทหารยังน้อยนัก กลัวจะทำการไม่ตลอด ถ้าแม้นพระเจ้าเฮาฮุยเต้ไม่ทรงเห็นด้วยกับเรา ไปเข้ากับนางเกียสีฮองเฮาแล้ว ก็จะพากันฉิบหาย……….”

ซุนซิวจึงว่า

“……ซึ่งท่านคิดนี้ก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าจะต้องใช้ปัญญาหาความผิดใส่นางเกียสีฮองเฮาให้มากขึ้น แล้วไปหาสุมาก๊วงซึ่งเป็นที่ซินอ๋อง พูดจากล่าวโทษนางเกียสีฮองเฮาให้ฟัง ถ้าสุมาก๊วงเห็นด้วยจึงชักชวนสุมาก๊วงช่วยกันกำจัดนางเกียสีฮองเฮาสีย……”

แล้วซุนซิวก็เข้าไปหาเกียเอ๊กในวัง ยุยงว่าสุมาถองซึ่งต้องถอดให้ออกไปอยู่ที่ตำบลตงอันนั้น ตั้งกองเกลี้ยกล่อมผู้คนคิดจะยกสุมาเต๊กไทจือขึ้นเป็นเจ้า เกียเอ๊กก็ตกใจหลงเชื่อซุนซิว รีบเข้าไปบอกนางเกียสีฮองเฮา ตามที่ซุนซิวว่านั้นทุกประการ นางเกียสีก็กลัวว่าจะมีภัยถึงตน จึงอ้างรับสั่งฮ่องเต้ ให้อองฉวนเอาป้านใส่ยาพิษกับผ้าแพรและกระบี่ ออกไปให้สุมาเต๊กที่ตำบลกิมหยง แล้วบอกว่า

“……..พระเจ้าเฮาฮุยเต้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้า เอาเครื่องประหารชีวิตออกมา ว่าท่านเป็นพระราชโอรสคิดจะทำร้ายขบถต่อแผ่นดิน มีโทษถึงตาย ให้ท่านเลือกของสามสิ่งนี้ ฆ่าตัวตายเสียตามโทษ……”

สุมาเต๊กได้ฟังก็ตกใจ คิดจะสู้รบหลบหนีก็ไม่ได้ ด้วยตัวต้องถอดสิ้นอำนาจไม่มีบ่าวไพร่เป็นกำลัง ก็ต้องจำใจตายตามอาญา จึงว่าตัวเราไม่มีผิดสิ่งใดเลย พระราชบิดาไม่เลี้ยงไว้แล้ว ก็ต้องตายไปตามความสัตย์กตัญญู แล้วก็หยิบป้านสุรายาพิษดื่มเข้าไป ขาดใจตายในทันใดนั้นเอง อองฉวนเห็นสุมาเต๊กตายแล้ว ก็กลับมาแจ้งแก่นางเกียฮองเฮา ให้ทราบทุกประการ.

############




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 4:55:27 น.
Counter : 721 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๐ ชิงกันเป็นใหญ่

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๔ ชิงกันเป็นใหญ่

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อพระเจ้าเฮาฮุยเต้มีรับสั่งให้สุมาอุยเป็นนายทหารรักษาพระองค์ แทนสุมาอิวตามคำกราบทูลของนางเกียสีฮองเฮานั้น เฮงจี้ขุนนางผู้หนึ่งรู้ความแล้ว ก็ไปหาโปฮำถามว่า

“……..ท่านประกอบด้วยสติปัญญา สุมาเหลียงนับถือไว้เป็นที่ปรึกษา เหตุใดท่านจึงไม่ตักเตือนห้ามปราม ให้สุมาเหลียงไปยุยงนางเกียสีฮองเฮา เพ็ดทูลให้ถอดสุมาอิวอันไม่มีความผิด ออกจากตำแหน่งว่ากล่าวทหารรักษาพระองค์ เอาสุมาอุยเข้ามาไว้ เราเห็นว่านานไปภัยคงจะมี…….”

โปฮำก็บอกว่าการอันนี้เดิมเขาก็ปรึกษาหารืออยู่ ตนก็ได้ห้ามปรามไว้เป็นหลายครั้ง แต่เขาไม่เชื่อฟังคำจะทำอย่างไรได้ เฮงจี้ก็ว่าถ้าดังนั้นแล้วจะอยู่กับสุมาเหลียงคงจะไม่พ้นภัย โปฮำก็เห็นด้วยจึงเก็บรวบรวมทรัพย์สิ่งของอพยพครอบครัวไปอยู่กับเฮงจี้

และตั้งแต่สุมาอุยได้เป็นผู้ดูแลว่ากล่าวทหารรักษาพระองค์แล้ว ก็มีใจกำเริบมิได้อ่อนน้อมยอมอยู่ใต้บังคับของสุมาเหลียง ถือตัวว่าเป็นเชื้อพระวงศ์แซ่สุมาเหมือนกัน ส่วน สุมาเหลียงก็เห็นว่าสุมาอุยเมื่อได้เป็นนายทหารรักษาพระองค์แล้ว ก็กระด้างกระเดื่องหนักไปกว่า สุมาอิวเสียอีก จึงปรึกษากับอวยขวนว่า

“……..แต่เดิมเราคิดว่าสุมาอุยเป็นคนดี จึงกราบทูลให้เอามาหมายใจจะได้เป็นพวกพ้อง ช่วยกันทำราชการสนองพระเดชพระคุณ บัดนี้หาเป็นเช่นนึกไว้ไม่ กลับถือตัวไม่กลัวเกรงยิ่งกว่าสุมาอิวอีก เอาไว้ไม่ได้นานไปคงเป็นศัตรู เราจะต้องเข้าไปหานางเกียสีฮองเฮา คิดอ่านกำจัดเสียจึงจะได้……..”

ขณะเมื่อสุมาเหลียงพูดกับอวยขวยนี้ คนของสุมาอุยซึ่งแอบแฝงมาอาศัยอยู่กับ สุมาเหลียง ก็มีหนังสือลับไปบอกกับสุมาอุยรู้ความ สุมาอุยจึงชิงไปหานายเกียสีฮองเฮา แล้วว่า

“…….ข้าพเจ้ามาทำราชการครั้งนี้ ก็ตั้งใจสนองพระเดชพระคุณ พระเจ้า เฮาฮุยเต้โดยสัตย์สุจริต อันสุมาเหลียงก็มิใช่ใครที่ไหน เป็นญาติกันสนิท แต่ดูทำการกำเริบหนักขึ้นทุกวัน หมายจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ด้วยได้อวยขวยไว้เป็นที่ปรึกษา คิดอ่านจะเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติ จงเร่งกำจัดเสียโดยเร็วจึงจะได้ สุมาเหลียงนั้นคิดการใหญ่ยิ่งกว่าเอียงจุ้นหลายเท่า…….”

นางเกียสีฮองเฮาได้ฟังสุมาอุยบอกความ ก็ตกใจถามว่าจะคิดประการใด สุมาอุยก็ว่า การจะกำจัดสุมาเหลียงนั้นไม่ยาก แต่เกรงความผิดด้วยไม่มีรับสั่ง นางฮองเฮาก็ว่าอย่าวิตกเลยเอาไว้เป็นธุระของนางเอง ขอให้สุมาอุยรีบไปจัดการกับสุมาเหลียงเสียโดยเร็วเถิด

สุมาอุยก็รีบกลับมาจัดทหารไปล้อมบ้านอวยขวนไว้ แล้วจับอวยขวนกับบุตรหลานและพรรคพวกรวมสิบเอ็ดคนออกมาบอกว่า ท่านเป็นขบถมีรับสั่งให้ตนจับมาฆ่าเสีย อวยขวนก็ว่า

“…….ข้าพเจ้าเข้ามาทำราชการสนองพระเดชพระคุณโดยสุจริต มิได้คิดขบถประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดินเลย เหตุไรจึงมีความขึ้นดังนี้ ขอเทพยดาจงเป็นพยานข้าพเจ้าผู้หาความผิดมิได้ด้วยเถิด……”

พูดได้เท่านั้นทหารก็ลงดาบ อวยขวนก็ถึงแก่ความตาย แล้วสุมาอุยก็คุมทหารไปล้อมบ้านสุมาเหลียงไว้ แล้วร้องบอกว่าสุมาเหลียงเป็นขบถ มีรับสั่งให้ตนมาจับฆ่าเสีย สุมาเหลียงสำคัญว่าเป็นรับสั่งจริง ด้วยความซื่อแม้ว่าตนจะไม่ได้ทำผิด แต่ฮ่องเต้จะประหารชีวิต ก็ต้องยอมตาย จึงออกจากบ้านมาให้ทหารจับแต่โดยดี และพูดว่า

“…….เราเข้ามาทำราชการโดยความสัตย์สุจริต มิได้คิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อทรงระแวงสงสัยว่าเป็นขบถจะประหารชีวิต ข้าพเจ้าจะให้เทพยดาและมนุษย์เห็นปรากฎ…….”

พูดแล้วก็ชักกระบี่ออกแหวะอกตนเองขาดใจตายไป ทหารที่เป็นพวกพ้องของนางเกียสีฮองเฮา ก็เอาความที่อวยขวนและสุมาเหลียงพูดก่อนตาย ไปเล่าให้ฮองเฮาฟังทุกประการ ฮองเฮาได้ฟังก็ตกใจ รู้ว่าตนเสียกลแก่สุมาอุยแล้ว นางก็เป็นทุกข์อยู่นอนไม่หลับจนสว่าง

ครั้นรุ่งเช้าฮ่องเต้เสด็จมาถึงตึกของฮองเฮา พร้อมด้วยเกียเอ๊กผู้เป็นน้องชายของนางเกียสีฮองเฮา ทอดพระเนตรเห็นนางนั่งเป็นทุกข์อยู่โดยมิได้นอน จึงทรงถามไถ่เรื่องราว นางเกียสีฮองเฮา ก็คุกเข่าลงถวายบังคม แล้วกราบทูลรับสารภาพผิด ที่ได้แอบอ้างรับสั่งให้สุมาอุย ไปฆ่าอวยขวนกับสุมาเหลียงโดยไม่มีความผิด ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“…….อันสุมาเหลียงกับอวยขวน เราก็ได้เห็นใจมาช้านานแล้ว คนทั้งสองนี้สัตย์ซื่อมั่นคง ไม่ควรจะตายน่าเสียดายนัก เพราะเจ้าเชื่อคนง่าย ๆ จะทำการสิ่งไรไม่ตรึกตรองให้รอบคอบก่อน เกิดเหตุขึ้นดังนี้แล้ว บ้านเมืองจะไม่เป็นสุข สุมาอุยแต่แรกเราคิดว่าเป็นคนดี มิรู้เป็นคนโกงทีเดียว……..”

เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกไปที่ว่าราชการข้างหน้า สุมาอุยก็ถือกระบี่เข้ามาถึงหน้าที่นั่ง กราบทูลว่า สุมาเหลียงกับอวยขวนเป็นขบถ ตนได้ไปฆ่าเสียแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงขัดเคืองมาก แต่สู้ระงับไว้เอาพระทัยดีต่อ แล้วตรัสว่า

“…….ครั้งนี้หมดแล้ว ไม่เห็นใครที่จะเป็นผู้ใหญ่ช่วยดูแลราชการบ้านเมือง ยังเห็นอยู่แต่ท่านผู้เดียวเท่านี้ พอจะเป็นผู้ใหญ่ได้ จะต้องประชุมปรึกษากันดู……”

แล้วฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าข้างใน สุมาอุยกลับมาบ้านก็มีความยินดี หมายใจว่าคราวนี้คงได้เป็นใหญ่ สำเร็จราชการทั้งแผ่นดินเป็นแน่ แต่ฮ่องเต้ทรงปรึกษากับนางเกียสีฮองเฮา และ เกียเอ๊กน้องชายของฮองเฮาแล้ว ก็มีรับสั่งให้เตียโฮ้เข้ามาเฝ้า และตรัสปรึกษาว่า

“…….สุมาอุยแต่เดิมเราก็คิดว่าเป็นคนดี มีกตัญญูต่อแผ่นดิน จึงได้เอามาไว้เป็นนายทหารรักษาพระองค์ บัดนี้ไม่มีกตัญญูคิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ทำการบังอาจล่วงเกินแอบรับสั่ง ไปฆ่าสุมาเหลียงกับอวยขวนเสีย แล้วสะพายกระบี่เข้ามาจนถึงที่ห้าม ทำการบังอาจเหลือเกินนัก เอาไว้ไม่ได้นานไปคงจะเป็นขบถขึ้น เราหาท่านมาทั้งนี้หวังจะให้ช่วยคิดอ่านกำจัดสุมาอุยเสีย…..”

เตียโฮ้ก็กราบทูลว่า

“…….สุมาอุยไปกำจัดสุมาเหลียงกับอวนขวยนั้น สำคัญว่ามีควาามชอบ ยังไม่รู้สึกตัวว่ากระทำความผิด ถ้าพระองค์จะกำจัดสุมาอุยแล้วให้รีบทำเสียโดยเร็ว แม้นทิ้งไว้ช้าวันไป สุมาอุยรู้ตัวจะทำยาก อันสุมาอุยทำการดังนี้เห็นชัดแล้วว่าเป็นขบถ จะต้องคิดอ่านใช้อุบายจับฆ่าเสียจึงจะได้……..”

แล้วเตียโฮ้ก็บอกอุบายให้ฮ่องเต้มีรับสั่ง ให้ทหารรักษาพระองค์จับตัวสุมาอุยกับกีเสียวคู่คิด และพรรคพวกที่ร่วมมือกันฆ่าสุมาเหลียงกับอวยขวน มาประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น แล้วฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้ สุมายุ้น เป็นนายทหารรักษาพระองค์ และจะแต่งตั้งให้เตียโฮ้เป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการทั้งแผ่นดิน แต่เตียโฮ้ก็ไม่ยอมรับ พระเจ้าเฮาฮุยเต้จึงให้ เกียเอ๊กกับเกียหมอและ โปยงุ่ยช่วยกันว่าราชการบ้านเมือง และให้เตียโฮ้เป็นที่ปรึกษานอกตำแหน่ง ถ้ามีราชการจึงให้หาเข้ามา ถ้าไม่มีราชการจะมามิมาก็ตามใจ

เมื่อเสด็จเข้าข้างในแล้ว ฮ่องเต้ก็ไปหานางอวยสีสนมเอกบุตรของอวยขวน นางก็ร้องไห้กราบทูลว่า

“……..สุมาเหลียงกับบิดาข้าพเจ้าเข้ามาทำราชการ สนองพระเดชพระคุณโดยสุจริต ไม่มีระแวงผิดด้วยข้อราชการสิ่งใด สุมาอุยแอบอ้างว่าสุมาเหลียงกับบิดาข้าพเจ้าเป็นขบถ รับสั่งให้ฆ่าเสีย สุมาเหลียงกับบิดาข้าพเจ้าตายด้วยอาญาขบถ คนทั้งปวงที่มิได้ล่วงรู้ความ ก็ เข้าใจว่าสุมาเหลียงกับบิดาข้าพเจ้าเป็นขบถจริง ดีและชั่วแอบแฝงกันอยู่ดังนี้ ซึ่งจะทำการฝังศพ สุมาเหลียงกับบิดาข้าพเจ้านั้น ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะควร ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพเจ้าทราบความชัด จะได้ทำการฝังศพให้ถูกต้องตามอย่างตามธรรมเนียม……..”

ฮ่องเต้ได้ฟังนางอวยสีกราบทูลถูกต้องตามทางความ ก็มีรับสั่งเรียกเตียโฮ้มาปรึกษาว่า การนี้จะทำอย่างไร เตียโฮ้ก็กราบทูลว่า

“…….สุมาเหลียงกับอวยขวนเป็นคนซื่อสัตย์ มิได้เป็นขบถประทุษร้ายต่อแผ่นดิน เมื่อสุมาอุยกับกีเสียวแอบอ้างว่าเป็นขบถรับสั่งให้ฆ่าเสียนั้น สุมาเหลียงกับอวยขวนสำคัญว่าจริงมิได้คิดอ่านสู้รบ และไม่ได้กล่าวคำหยาบช้า ยอมตายด้วยความสัตย์ คนชนิดนี้หายาก ขอพระองค์จงโปรดให้สุมาเหลียงเป็นที่บุนเสงอ๋อง ทำการฝังศพอย่างเจ้าต่างกรม อวยขวนนั้นให้เป็นที่ อวยเซงเฮ้า ทำการฝังศพอย่างขุนนางผู้ใหญ่……”

ฮ่องเต้ก็โปรดให้จัดการตามที่เตียโฮ้ทูลนั้นทุกประการ ต่อมาก็ทรงแต่งตั้งให้เตียโฮ้เป็นที่บูกุนก๋งไทเปา ขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการแผ่นดิน ตั้งแต่นั้นมาบ้านเมืองก็ค่อยเป็นปกติเรียบร้อยมาได้หลายปี พวกพาลซึ่งเคยเป็นโจรผู้ร้ายนั้นค่อยเบาบางลง หัวเมืองใหญ่น้อยที่มีกำเริบ คิดตั้งตัวเป็นใหญ่ก็สงบไป ด้วยยำเกรงสติปัญญาของเตียโฮ้

และพระเจ้าเฮาฮุยเต้ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินไซจิ้นนี้ แม้จะมีพระสติปัญญาน้อย ใครทำอะไรก็ไม่รู้เท่าทัน มักเชื่อคำคนง่าย ๆ ไม่ใคร่จะตรึกตรองให้รอบคอบ ทั้งนางเกียสีฮองเฮาเล่าก็เป็นหญิงชั่ว กระทำแต่การไม่ดีต่าง ๆ ใจก็ไม่โอบอ้อมอารีมีแต่การอิจฉา อันกษัตริย์และมเหสีเป็นดังนี้ที่เมืองใดแล้ว เมืองนั้นก็ไม่เป็นปกติย่อมเกิดวิบัติอันตรายต่าง ๆ

แต่ในกาลนั้นแผ่นดินไซจิ้นยังไม่ถึงที่จะเสื่อมสูญ จึงเผอิญให้เอาเตียโฮ้มาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการแผ่นดิน เตียโฮ้เป็นคนมีอัธยาศัยดีไม่เจือปนด้วยโลภและหลง อิจฉาพยาบาท ไม่มีความปรารถนาลาภและยศ ว่าราชการโดยสัตย์สุจริตเป็นธรรม มิได้เอาอำนาจและอาญาข่มขี่แก่คนทั้งหลาย ขุนนางและราษฎรจึงได้นิยมนับถือกลัวเกรงโดยสุภาพ

ประการหนึ่งพระเจ้าเฮาฮุยเต้ ก็มิได้ประหัตประหารด้วยถ้อยคำให้เจ็บช้ำบาดหมาง เตียโฮ้จึงได้ว่ากล่าวการงานลุล่วงไปได้ทุกอย่าง บ้านเมืองและราษฎรจึงมีความสุขความเจริญ ปราศจากข้าศึกศัตรูมาได้หลายปี.

#########




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2552 8:07:45 น.
Counter : 613 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.