Group Blog
 
All Blogs
 

ตอนที่ ๑๙ ฮ่องเต้ของไต้ฮั่น

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๙ ฮ่องเต้ของไต้ฮั่น

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อพระเจ้ามกเต้แห่งแผ่นดินเฮงโนก๊ก ยกทัพมาช่วยอวงจุนเจ้าเมืองฮิวจิวแล้ว ก็มีทหารรวมกันถึงสามสิบห้าหมื่น เจียเล็กแม่ทัพหน้าและ อองหนี แม่ทัพหลวง ของฮั่นอ๋องเองก็ครั่นคร้ามที่จะต้องรบกับทัพของฮ่องเต้เมืองฮวน สุดท้ายก็แตกพ่ายกระจัดกระจายคุมกันไม่ติด อองหนีเตลิดไปทางหนึ่ง เจียเล็กไปอีกทางหนึ่ง ไพร่พลก็ล้มตายลงมากนัก ที่เหลือรอดก็ยอม สามิภักดิ์ต่อข้าศึก ฝ่ายเมืองฮิวจิวเก็บเครื่องสาตราวุธได้หลายสิบเล่มเกวียน

เจียเล็กนั้นหนีเข้าไปอยู่ในเมืองเซียงตัง พระเจ้ามกเต้ก็ยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้ แล้วมีหนังสือเข้าไปว่า ให้เจียเล็กออกมาอ่อนน้อมเสียโดยดี ถ้าไม่ออกมาจะให้ทหารพังประตูทำลายกำแพงเข้าไปเอาตัวให้จงได้ เจียเล็กก็มีหนังสือตอบมาว่าขอผลัดปรึกษากันสักสามวันก่อน พระเจ้ามกเต้ก็ทรงทราบชัดว่าเจียเล็กคิดจะหนี จึงแต่งทหารให้ไปคอยสกัดอยู่ต้นทาง ที่จะไปเมืองจอเสีย พอเวลากลางคืนเจียเล็กก็คุมทหารเปิดประตูเมือง ฟันฝ่าข้าศึกที่ล้อมเมืองอยู่นั้น รอดออกไปได้ พอถึงกลางทางก็พบกับกองทัพอองหนี ต่างก็ดีใจพากันรีบหนีไปอีก แต่ก็พบกับทหารของพระเจ้ามกเต้ที่ส่งมาดักไว้ ต้องสู้รบกันเป็นสามารถ ทั้งสองแม่ทัพก็ตีหักออกไปได้ จึงรวบรวมทหารที่เหลือตายรีบกลับไปเมืองจอเสีย

อวงจุนเจ้าเมืองฮิวจิวเห็นได้ทีจึงชวนพระเจ้ามกเต้ ยกกองทัพไปตีเมืองจอเสียเลยจะดีกว่า แต่พระเจ้ามกเต้ก็ว่า

“…….ซึ่งท่านคิดจะให้เราไปตีเมืองจอเสียนั้น เห็นว่าหนทางไกลกันดารนัก กว่าจะไปถึงเมืองจอเสียทางถึงสี่สิบวัน แล้วมิใช่ว่าเป็นบ้านเล็กเมืองน้อย อาณาเขตเขาใหญ่กว้าง ทั้งทแกล้วทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งก็มีมาก ใช่จะตีเอาได้โดยง่ายเมื่อไหร่ เราจะลาท่านกลับไปก่อน แต่เมืองฮิวจิวนั้น เราจะรับเป็นธุระไม่ให้ฮั่นอ๋องมาย่ำยีได้อีก……..”

แล้วก็สั่งให้ยกกองทัพกลับเมืองซูหงวน อวนจุนก็ทำหนังสือบอกแจ้งข้อราชการทัพ เข้าไปเมืองหลวงให้เจ้าพนักงานนำขึ้นกราบทูลพรเจ้าเฮาฮวยเต้ ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าเฮาฮวยเต้ ก็มีหนังสือและสิ่งของพระราชทานต่าง ๆ ให้ขุนนางนำไปคำนับขอบคุณพระเจ้ามกเต้ ที่เมืองซูหงวน มีความว่า

ซึ่งเตงไซอ๋องยกกองทัพมาช่วยอวงจุน กำจัดข้าศึกนั้นขอบใจนัก อวงจุนได้มีหนังสือบอกมาสรรเสริญคุณและสติปัญญาท่านเป็นอันมาก และในแผ่นดินไซจิ้นทุกวันนี้ ก็ไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อน ด้วยเจ้านายและขุนนางผู้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินนั้น มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม คิดทำลายล้างกันเอง หัวเมืองใหญ่น้อยก็กระด้างกระเดื่อง ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่หลายตำบล แผ่นดินไซจิ้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่ก็จริงอยู่ แต่ดูคับแคบไปเสียแล้ว แผ่นดินเฮงโนก๊กถึงเล็กก็เหมือนใหญ่กว้าง เพราะขุนนางและพระเจ้าแผ่นดิน รักใคร่ซื่อสัตย์ต่อกันพร้อมเพรียง จึงมีความสุขสบาย การที่จะเจริญไม่เจริญนั้น ก็เพราะความสุจริตและไม่สุจริตนี้เป็นต้น

พระเจ้ามกเต้แจ้งแล้วก็มีความยินดี จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะมาเลี้ยงผู้นำสาร ให้สมเกียรติยศขุนนางเมืองหลวง ทั้งเมืองลกเอี๋ยงกับเมืองซูหงวนก็มีไมตรีต่อกันเป็นอันดี

ฝ่ายฮั่นอ๋องเมื่อกองทัพที่ไปตีเมืองฮิวจิวแตกยับเยินมา ก็เสียใจว่าได้ให้ยกกองทัพไปตีหัวเมือง ในเขตแผ่นดินไซจิ้นสองครั้งแล้ว ก็เสียทัพกลับมาทั้งสองครั้ง อันเมืองขึ้นแก่เมือง ลกเอี๋ยงนี้มีมาก จะคิดไปตีเมื่อไรจะหมด ต้องยกกองทัพลอบไปตีเมืองลกเอี๋ยงเสียทีเดียวจะดีกว่า แม้นตีได้เมืองลกเอี๋ยงแล้ว เมืองขึ้นเหล่านั้นก็ต้องยอมอยู่เอง ถ้าเมืองใดไม่ยอมจึงค่อยไปปราบปรามต่อภายหลัง แล้วฮั่นอ๋องก็เตรียมฝึกซ้อมทหารให้ชำนาญในขบวนรบ เตรียมเครื่องสาตราวุธเสบียงอาหารพร้อมเสร็จ แล้วให้เจียเล็กเป็นทัพหน้า อองหนีเป็นทัพหลวง คุมทหารสามสิบหมื่นยกตรงไปเมืองลกเอี๋ยง ผ่านไปทางแม่น้ำอีซุย ใกล้เมืองเสเหลียง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองลกเอี๋ยง

เจ้าเมืองเสเหลียงก็จะยกทหาร ออกไปโจมตีกองทัพของฮั่นอ๋อง แต่นายทหารท้วงไว้ว่า ซึ่งจะรบกับข้าศึกด้วยกำลังทแกล้วทหารที่อยู่เมืองนี้ การแพ้ชนะจะก้ำกึ่งกันอยู่ แม้นเราชนะใครเขาจะเห็นด้วย อย่าเพ่อรบเลย คอยเมื่อกองทัพข้าศึกยกเข้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว เราจึงยกไปช่วยตีขนาบหลัง เห็นแต่ชนะฝ่ายเดียว เจ้าเมืองก็เห็นชอบด้วย จึงคอยทีอยู่ในเมือง กองทัพของ เจียเล็กกับอองหนี ก็ยกเลยล่วงเข้าไปถึงเมืองลกเอี๋ยง แล้วให้ทหารล้อมไว้ทั้งสามด้าน

พระเจ้าเฮาฮวยเต้ก็ตกพระทัย ด้วยทหารในเมืองลกเอี๋ยงมีน้อย เกณฑ์ทหารได้เพียงเจ็ดหมื่น ก็รับสั่งให้อองเอี๋ยนเป็นนายทัพ จัดทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินเตรียมสู้รบ อองหนีกับเจียเล็กกำลังให้ทหารเอาไฟเผาประตูเมือง ก็พอดีกองทัพเมืองเสเหลียงยกมากระหนาบหลัง และอองเอี๋ยนก็เปิดประตูเมืองออกมาตีกระทบเข้าไป กองทัพของฮั่นอ๋องก็แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีคุมกันไม่ติด แยกกันหนีไปคนละทาง อองหนีพาทหารเหลือตายไปทางเมืองเพงเอี๋ยง แล้วคิดว่าตนอาสาฮั่นอ๋องเป็นแม่ทัพยกมาทำศึกสองครั้งก็มีแต่เสียที เกรงฮั่นอ๋องจะลงโทษ จึงไม่กลับไปเมืองจอเสีย แต่อยู่ที่เมืองเพงเอี๋ยงนั้นเอง

เจียเล็กนั้นหนีอ้อมไปทางอื่นเที่ยวแวะตีบ้านเล็กเมืองน้อย เก็บริบทรัพย์สมบัติสิ่งของทองเงิน และกวาดต้อนครอบครัวมาเป็นเชลยได้หลายหมื่น เลือกเอาชายฉกรรจ์ไว้ฝึกหัดเป็นทหารได้เจ็ดหมื่น นอกนั้นปล่อยไปทำมาหากินอยู่ในแผ่นดินฮั่นทั้งสิ้น

ครั้นฮั่นอ๋องได้ทราบความว่า อองหนีไปอยู่เมืองเพงเอี๋ยงด้วยกลัวความผิด จึงให้ม้าใช้ถือหนังสือไปหาอองหนีมีความว่า

อองหนีอย่าเพ่อเสียใจ ให้กลับมาคิดอ่านกันใหม่ อันธรรมดาทำศึกสงคราม จะมุ่งเอาชนะแต่ฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ถึงตัวเราทำศึกมาแต่ก่อนก้เหมือนกัน ถ้าเสียท่วงทีแล้วก็ต้องแพ้ เป็นธรรมดามีมาแต่โบราณดังนี้

อองหนีแจ้งความในหนังสือแล้ว ก็ค่อยคลายใจพาทหารกลับมาหาฮั่นอ๋อง และได้รับการแต่งตั้งให้มียศใหญ่ยิ่งขึ้น

ส่วนเจียเล็กนั้น เมื่อฮั่นอ๋องทราบความว่าได้รอดกลับมา แต่ตีบ้านเล็กเมืองน้อย เก็บทรัพย์สิ่งของเงินทองมาเป็นอาณาประโยชน์ ก็ติเตียนว่าประพฤติเหมือนโจร ทำให้เสียเกียรติยศแก่ฮั่นอ่อง เจียเล็กแจ้งว่าฮั่นอ๋องติเตียนก็น้อยใจว่า ตนอาสาทำศึกมาหลายครั้ง ไม่คิดแก่ความเหนื่อยยากลำบากกาย เอาตัวออกฝ่าคมอาวุธหมายจะหาความชอบ กลับจะมีความผิดเสียอีก ตั้งแต่นั้นมาเจียเล็กก็คิดโทมนัสน้อยใจในฮั่นอ๋องเป็นอันมาก

ต่อมามีชายชาวประมงผู้หนึ่ง ทอดแหอยู่ในแม่น้ำเพงเอี๋ยง ทอดลงไปในที่แห่งหนึ่งแหติดอยู่ดึงไม่ขึ้น จึงโดดน้ำลงไปงม ได้ตราหยกสำหรับฮ่องเต้ ของพระเจ้าเฮาฮวยเต้ที่หายไป ตั้งแต่ครั้งที่ออกจากเมืองลกเอี๋ยงไปอยู่ที่ตำบลเงียบเสีย จึงเอาตราหยกนั้นไปให้แก่ฮั่นอ๋อง ซึ่งฮั่นอ๋องก็มีความยินดี ให้เงินทองสิ่งของเป็นรางวัลแก่ชาวประมงนั้นเป็นอันมาก แล้วจึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาประชุมพร้อมกัน ปรึกษาว่าตราหยกดวงนี้เป็นของสำหรับกษัตริย์สืบมาแต่ก่อน บัดนี้มีผู้เอามาให้ ท่านจะคิดประการใด ขุนนางก็ว่า

“……ท่านมีบุญวาสนามากควรเป็นกษัตริย์อันประเสริฐ จึงเผอิญให้ได้ตราหยกนี้ไว้…..”

ขุนนางฝ่ายโหรก็ทำนายว่า

“…….ในปีนี้ชะตาแผ่นดินฮั่นตกอยู่ โดยทำศึกสงคราม จะเอาชัยชนะยาก ต่อถึงปีหน้าชะตาแผ่นดินฮั่นจะขึ้นไปอีกหลายปี ดูราศรีเมืองหลวงไปผุดปรากฎที่ภูเกียเสีย ทางไกลจากเมืองจอเสียสองร้อยลี้…..”

ฮั่นอ๋องก็ว่าตำบลภูเกียเสียดูภูมิฐานที่ทางชอบกล มีแม่น้ำล้อมรอบ ถ้าจะตั้งเมืองที่ตำบลนี้เห็นจะดี ขุนนางก็เห็นว่า ถ้าจะตั้งเป็นเมืองหลวงก็จะดีกว่าที่นี่ ฮั่นอ๋องก็เห็นด้วย จึงให้ไปสร้างเมืองและทำวัง ตั้งตำหนักน้อยใหญ่อย่างเมืองหลวง ที่ตำบลภูเกียเสีย ปีหนึ่งจึงสำเร็จแล้วยกไปอยู่เมืองใหม่ ให้ชื่อเมืองตามเดิม ตั้งนามแผ่นดินว่าไต้ฮั่น ตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่าพระเจ้าฮั่นฮ่องเต้

กิตติศัพท์ก็เลื่องลือไปในนานาประเทศ แต่บรรดาคนที่อยู่นอกอาณาเขตไต้ฮั่น เห็นว่าฮั่นอ๋องมีใจกำเริบเกินไปไม่สมควร จึงกลับเรียกชื่อเดิมว่าเล่าง่วนไฮ้ จะเรียกว่าฮ่องเต้ก้แต่คนในแผ่นดินไต้ฮั่นเท่านั้น

ฝ่ายเจียเล็กเมื่อถูกพระเจ้าฮั่นฮ่องเต้ติเตียน ก็ไม่มีความสบายใจ คิดว่าตนอายุมากขึ้นทุกวันทุกคืน เดือนปีกินอายุไปเสียเปล่า จะหาความชอบก็ไม่ได้ ตนเองนั้นเปรียบเหมือนนอนอยู่บนคมอาวุธ สู้รับอาสาทำศึกแต่ละครั้งเจียนจะถึงแก่ชีวิต แล้วยังไม่มีความชอบ ยิ่งคิดไปก็ยิ่งน้อยใจไม่สบาย ที่ปรึกษาก็ออกความเห็นว่าจะอยู่อย่างนี้ทำไม เข้าไปรับอาสาออกไปเที่ยวตีบ้านเมือง ในแดนไซจิ้นจะดีกว่าอยู่นิ่ง ๆ เจียเล็กก็เห็นชอบด้วย แต่ตรึกตรองหาหนทางอยู่

ขณะนั้นมีชายหกคน เป็นเพื่อนฝูงชอบอัชฌาสัยกัน มี เตียปิน เป็นหัวหน้า และมีสมัครพรรคพวกคนละร้อยสองร้อย เที่ยวหาเจ้านายจะทำราชการอยู่ด้วย ครั้นได้ข่าวว่าเจียเล็กเป็นคนดีอารีอารอบ ทั้งฝีมือเข้มแข็งก็มีใจรัก จึงพากันเข้าไปหาเจียเล็ก ปรึกษาหารือว่า เมือง คือเต๊กกับเมืองเซียงซันนี้ บริบูรณ์ด้วยเสบียงอาหาร ถ้าได้เป็นของพวกเราแล้วก็อาจตั้งตัวได้ ครั้นเห็นพร้อมกันแล้ว เจียเล็กก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าฮั่นฮ่องเต้ ทูลว่า

“………ข้าพเจ้าอาสาทำศึกมาสองครั้งแล้ว ก็มีแต่ปราชัย บัดนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเมืองคือเต๊กกับเมืองเซียงซันให้จงได้…….”

ฮ่องเต้ได้ฟังก็ดีพระทัย จึงรับสั่งให้เกณฑ์ทหารสิบหมื่น พร้อมด้วยเครื่องสาตราวุธมอบให้เจียเล็กจัดกองทัพ เจียเล็กก็ตั้งให้เตียปินเป็นที่ปรึกษา เพื่อนทั้งห้านายเป็นนายทหาร เสร็จแล้วก็ยกไปเมืองคือเต๊ก การศึกครั้งนี้กองทัพของเจียเล็กได้ชัยชนะ แล้วก็กำชับทหารมิให้เก็บริบเอาทรัพย์สินของราษฎร แม้แต่ด้ายเส้นเข็มเล่มหนึ่งขึ้นไป ถ้าเป็นของกินโดยที่สุดแต่ผลไม้ผลหนึ่ง ก็ไม่ให้เอาของผู้ใด

ขณะเมื่อสู้รบกันอยู่นั้น ราษฎรที่ตกใจกลัว ก็เก็บทรัพย์สินเงินทอง แต่ที่เอาไปได้หนีเข้าป่าไป นอกนั้นทิ้งไว้ที่บ้านเรือน ครั้นทัพศึกเงียบสงบแล้วราษฎรที่หนีไป ก็พากันกลับมาบ้านเรือนดังเก่า เห็นสิ่งของที่ทิ้งไว้ไม่หายหกตกหล่นก็มีความยินดี เจียเล็กจัดแจงการบ้านเมืองเรียบร้อยราบคาบแล้ว ก็ตั้งเจ้าเมืองใหม่ ทหารในเมืองนั้นถ้าผู้ใดจะสมัครเป็นทหารตามเดิม ก็เพิ่มเติมเบี้ยหวัดเงินเดือนให้ ถ้าผู้ใดไม่สมัคร จะลาออกไปทำมาหากิน แม้นขัดสนด้วยเสบียงอาหารก็เจือจานเกื้อหนุนไป ภาษีอากรสำหรับเมืองนั้นก็สั่งให้ลดหย่อนลงกว่าแต่ก่อน ราษฎรทั้งหลายก็พากันนิยมนับถือเจียเล็กมาก

แต่บรรดาหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองคือเต๊กได้ยินกิตติศัพท์ว่า เจียเล็กโอบอ้อมอารีมีเมตตาแก่อาณาประชาราษฎร ต่างก็มาอ่อนน้อมยอมเข้าอยู่ด้วยถึงสิบเจ็ดเมือง.

##########




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2552 6:10:42 น.
Counter : 822 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๘ สองแซ่คู่อาฆาต

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๘ สองแซ่คู่อาฆาต

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ที่เมืองฮุนหนำยังมีชายผู้หนึ่งชื่อ เจียกุ้ย เป็นพ่อค้าทางเกวียน มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ เจียเล็ก เมื่อเจียเล็กอายุประมาณเก้าขวบ เจียกุ้ยผู้บิดาบรรทุกของไปขายเมืองฮวนก็เอา เจียเล็กไปด้วย ครั้งนั้นเมืองฮวนมีศึกสงคราม เจียกุ้ยค้าขายยังไม่หมดจึงติดค้างอยู่ในเมือง พอดีป่วยตายลง เจียเล็กจึงเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อนอยู่ในเมืองฮวน

แม่ทัพแผ่นดินไซจิ้นได้ชัยชนะก็ให้ทหารกวาดต้อนครัวพวกฮวน ในบ้านเล็กเมืองน้อยที่อยู่ตามรายทาง ได้ประมาณห้าหมื่นเศษ เจียเล็กก็ตกอยู่ในพวกเชลยนั้นด้วย เมื่อมาถึง แผ่นดินไซจิ้นก็จ่ายแจกพวกเชลยฮวน ให้ไปอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อไม่ให้รวมตัวกันเป็นขบถได้ ทหารก็เอาเชลยที่กวาดต้อนมา ขายเอาเงินเสียที่ตามหัวเมืองรายทาง เจียเล็กกับฮวนเด็ก ๆ หลายคนก็ตกอยู่ที่บ้านเพงซุ้ยแขวงเมืองซัวตั๋ง ด้วยซือหัวได้ซื้อไว้เป็นราคาคนละสามตำลึง เอาไปเลี้ยงไว้ใช้สอย

ตั้งแต่ได้อยู่กับซือหัวแล้ว เจียเล็กก็กินอยู่สบายค่อยอ้วนพีมีเนื้อขึ้น เจียเล็กมี นิสสัยใจทหารสันดานดุร้าย ไปเที่ยวเล่นกับเด็ก ๆ ชาวบ้านมักรังแกเพื่อน พวกเด็กเหล่านั้นจะชกตีก็สู้เจียเล็กไม่ได้ พากันร้องไห้มาหาบิดามารดา ซือหัวก็ถูกต่อว่าอยู่เนือง ๆ ซือหัวเห็นว่าเจียเล็กดุร้ายนัก กลัวจะหาความมาให้ จึงเรียกมาหาแล้วว่า

“…….เอ็งจะไปข้างไหนก็ตามใจเถิด เราเลี้ยงไว้ไม่ได้แล้ว คนทั้งปวงเขาพลอยเกลียดชังเราไปด้วย…..”

เจียเล็กก็ว่า

“……ท่านไล่เสียแล้ว ข้าพเจ้าจะได้อะไรกินเล่า ต้องขอเสบียงไปกินตามทางบ้าง…”

ภรรยาของซือหัวก็ว่า

“……จะไล่มันไปทำไม แม้นไปทำความขึ้นแล้วก็จะไม่พ้นตัวเรา เอาไปให้กิบซวงดีกว่า เขามีอำนาจจึงจะเลี้ยงมันได้ ด้วยมันเป็นคนดุร้ายใจฉกรรจ์……”

ซือหัวจึงเอาเจียเล็กไปให้กิบซวงเลี้ยงไว้ จนถึงกำหนดกิมซวงจะไปซ้อมฝีมือทหารที่ในเมืองลกเอี๋ยงก็เอาเจียเล็กไปด้วย

ขณะนั้นเจียเล็กอายุได้สิบห้าปี มีพวกชาวบ้านพากันมาดูการสอบฝีมือทหารกันมาก มีซินแสคนหนึ่งมาดูอยู่ด้วยเห็นเจียเล็กรูปร่างดีมีลักษณะ จึงพูดว่าเด็กคนนี้นานไปจะมีวาสนาพวกชาวบ้านได้ฟังก็พากันหัวเราะแล้วว่า คนอย่างเจียเล็กนี้จะดีอะไร เป็นฮวนเชลยเขาเอามาขายไว้ให้แก่ซือหัว มันซุกซนจนเขาเลี้ยงไม่ได้ ต้องเอามาให้กิบซวงเสีย

ซินแสได้ฟังชาวบ้านว่าดังนั้น จึงว่าอย่าประมาท มีอะไรก็ให้ทานกินเถิดไม่เสียเปล่าดอก

ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อ เกาะเกง ได้ยินซินแสพูดดังนั้นก็คิดว่า ซินแสคนนี้ดูแน่นัก ได้เคยเชื่อมาหลายครั้งแล้ว เด็กคนนี้คงจะดีเป็นแน่ ตั้งแต่วันนั้นมาถ้ามีของสิ่งไรเหลือเกาะเกงก้เอาไปให้เจียเล็กกิน เจียเล็กก็มีความกตัญญู ถ้าเห็นเกาะเกงทำการสิ่งใด ก็อุตส่าห์ไปช่วยมิได้คิดแก่เหน็ดเหนื่อย

วันหนึ่งเจียเล็กไปช่วยเกาะเกงทำนาตั้งแต่เช้าจนเย็น ได้ยินเสียงดังในหูคล้ายเสียงจิ้งหรีด เจียเล็กก็ตกใจรีบมาหาภรรยาเกาะเกง แล้วบอกว่า

“………ข้าพเจ้าทำนาอยู่ดี ๆ ได้ยินเสียงอะไรดังอยู่ในหู ฟังดูคล้ายเสียงจิ้งหรีด ข้าพเจ้าจะตายดอกกระมัง……”

ภรรยาเกาะเกงก็บอกว่า

“……..อย่าตกใจไม่เป็นไรดอก เจ้าทำการมามากตั้งแต่เช้าจนเย็น ไม่ได้กินอาหารลมกำเริบออกทางหู……”

พูดแล้วก็เอาข้าวมาให้เจียเล็กกิน

วันหนึ่งเจียเล็กออกจากบ้าน เจอกวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้า เจียเล็กก็วิ่งตามไปแต่ไม่ทันกวางหายไปในป่า เจียเล็กก็เดินไปตามทางจนถึงเขากิบจุยซัว ก็พบอาจารย์ผู้หนึ่งสอนศิษย์เรียนวิชาเพลงอาวุธอยู่ที่นั่น เจียเล็กก็เข้าไปหาอาจารย์นั้น ขอเรียนเพลงอาวุธอาจารย์ก็รับไว้ เจียเล็กเรียนได้คล่องแคล่วว่องไวดีกว่าศิษย์ทั้งปวง

เรียนอยู่ที่สำนักนี้จนอายุได้สิบเก้าปี มีเพื่อนฝูงมาก จึงคบกันเป็นโจร และให้เจียเล็กเป็นนายโจรมีบริวารมากขึ้นประมาณหมื่นเศษ

เมื่อเจียเล็กได้ข่าวว่ากิบซวงยกทัพมาตั้งอยู่ที่ตำบลนั้น จึงพาบริวารเข้ามาอ่อนน้อมยอมอยู่กับกิบซวง แล้วก็เล่าความเก่าตั้งแต่ต้นจนปลาย กิบซวงก็มีความยินดีบอกว่า

“…….บัดนี้ฮั่นอ๋องให้เรายกกองทัพไปตีเมืองแซจิว จงไปด้วยกันเถิด ถ้าสำเร็จการศึกแล้ว เราจะเสนอความชอบให้ท่านมียศศักดิ์…….”

เจียเล็กก็ว่า

“…….เดิมข้าพเจ้าก็คิดจะทำราชการอยู่ด้วยฮั่นอ๋อง แต่ยังไม่มีช่อง บัดนี้พบท่านเข้าแล้วก็สมที่คิดไว้ ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก……..”

แล้วกิบซวงก็ยกกองทัพไปเมืองแซจิว ขณะนั้นพระเจ้าเฮาฮวยเต้เสวยราชสมบัติได้สี่ปี เมื่อกิบซวงกับเจียเล็กยกทัพไปถึงเมืองแซจิวแล้ว ทางเมืองแซจิวก็แต่งทหารออกมารบหลายครั้ง แต่สู้ฝีมือเจียเล็กไม่ได้ เลยสักครั้งเดียว จึงนิ่งเฉยเสียไม่ออกมารบอีก แต่ให้รักษาค่ายมั่นไว้ แล้วมีหนังสือไปขอกองทัพจากเมืองลกเอี๋ยง กิบซวงกับเจียเล็กคุมทหารเข้าตีหักเอาค่ายไม่ได้ ก็ตั้งรอกันอยู่

เมื่อทางเมืองลกเอี๋ยงส่งทหารมาช่วยแล้ว ก็สู้รบกันเป็นสามารถ แต่ต่างก็เอาชนะกันไม่ได้ จึงตั้งยันกันอยู่อย่างนั้นถึงสี่เดือน

ฝ่ายฮั่นอ๋องคอยฟังข่าวกองทัพของกิบซวงอยู่เป็นเวลานาน ครั้นแจ้งว่าทางเมืองลกเอี๋ยงจัดทัพมาช่วยเมืองแซจิว ก็ให้เตียเฮงนายทหารเอกจัดทหารอีกห้าหมื่น ยกไปช่วยกิบซวงตีเมืองแซจิว แต่เมื่อไปถึงกองทัพของกิบซวงและเจียเล็กถูกทหารฝ่ายลกเอี๋ยงตีแตกไปแล้ว กิบซวงตายในที่รบ เจียเล็กเหลือทหารประมาณสองร้อยคน ก็เอาศพกิบซวงไปฝังไว้ที่เมืองลักเผง พอดีเตียเฮงคุมทหารมาถึง เจียเล็กก็เล่าความให้ฟัง แล้วว่า

“……..กิบซวงกับข้าพเจ้ายกกองทัพมาตีเมืองแซจิวครั้งนี้ เสียเสบียงอาหารและไพร่พลเครื่องสาตราวุธเป็นอันมาก กิบซวงก็ตาย กองทัพที่ท่านยกมานี้มีทหารเพียงห้าหมื่น จะไปทานกำลังข้าศึกได้ที่ไหน ต้องกลับไปแจ้งแก่ฮั่นอ๋องให้ทราบเสียก่อน เมื่อว่าประการใดแล้ว จึงค่อยกลับมาแก้แค้นต่อภายหลัง……..”

เตียเฮงก็เห็นชอบด้วย จึงยกกองทัพกลับมาเมืองจอเสีย เตียเฮงก็พาเจียเล็กเข้าไปหาฮั่นอ๋อง แจ้งความให้ฟังตั้งแต่เจียเล็กสมัครเข้าอยู่กับกิบซวง และยกกองทัพไปตีเมืองแซจิว เสียทีแก่ข้าศึก กิบซวงก็ถึงแก่ความตายในที่รบ ให้ทราบทุกประการ

ฮั่นอ๋องพิเคราะห์ดูรูปร่าง เจียเล็ก เห็นล่ำสันสมเป็นนายทหารก็คิดรักใคร่ จึงตั้งให้เป็นขุนนางนายทหารใหญ่

ต่อมาอีกไม่นาน ฮั่นอ๋องซึ่งมีความเจ็บแค้นตั้งแต่ตีเมืองแซจิว แล้วแตกยับเยินมาไม่หาย คิดจะไปแก้แค้นให้จงได้ ด้วยใจฮั่นอ๋องนั้นมีความพยาบาทพวกแซ่สุมาอยู่เป็นนิจ หมายจะทำลายล้างเสียอย่างเดียว จึงแต่งให้เจียเล็กเป็นทัพหน้า อูเอี๋ยนฮิวเป็นปีกซ้าย เกาก๊วงเป็นปีกขวา อองหนีเป็นแม่ทัพคุมทหารสามสิบหมื่น ยกไปตีเมืองฮิวจิวของแผ่นดินไซจิ้นอีก

คราวนี้ อวงจุน เจ้าเมืองไปขอความช่วยเหลือจากแผ่นดินเฮงโนก๊ก พระเจ้ามกเต้แห่งเมืองซูหงวนได้รับหนังสือจากเจ้าเมืองฮิวจิว มีความว่า

ข้าพเจ้าอวงจุนเจ้าเมืองฮิวจิว ขอคำนับมายังขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองซูหงวน ได้นำขึ้นกราบทูลพระเจ้ามกเต้ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเฮงโนก๊ก ได้ทรงทราบ ด้วยบัดนี้เล่าง่วนไฮ้ ซึ่งตั้งตัวขึ้นเป็นที่ฮั่นอ๋อง มีใจกำเริบคิดจะเอาแผ่นดินไซจิ้น แต่งให้อองหนีเป็นแม่ทัพยกมาตีเมืองฮิวจิว ครั้นข้าพเจ้าจะบอกขอกองทัพ เข้าไปในเมืองลกเอี๋ยงให้ยกมาช่วย ก็เป็นทางไกลกลัวจะไม่ทันท่วงที เมืองฮิวจิวใกล้เคียงกับอาณาเขตเมืองซูหงวน ข้าพเจ้าเห็นว่าแผ่นดินเฮงโนก๊ก กับแผ่นดินไซจิ้นเป็นพระราชไมตรีกันมาช้านานแล้ว จึงได้แต่งกรมการถือหนังสือบอกมา เพื่อจะขอกองทัพให้ยกไปช่วย แม้นพระองค์ทรงเห็นแก่พระราชไมตรี ของพระเจ้าแผ่นดินไซจิ้นแต่ก่อน ๆ นั้นแล้ว ขอได้โปรดจัดกองทัพยกไปช่วยโดยเร็ว

พระเจ้ามกเต้ได้ทราบแล้วจึงตรัสถามว่า อองหนียกพลทหารมากนักหรือ จึงได้มีหนังสือมาขอกองทัพให้เรายกไปช่วย กรมการเมืองฮิวจิวทูลว่า กองทัพยกมาครั้งนี้คนถึงสามสิบหมื่น ทหารในเมืองฮิวจิวมีเพียงสิบห้าหมื่นเท่านั้น อวงจุนเห็นว่าน้อยกว่ากันนัก จึงให้ถือหนังสือมากราบทูลขอกองทัพไปช่วย พระเจ้ามกเต้ก็ตรัสว่า

“…….จงไปบอกแก่อวงจุนเถิด ไม่เป็นไรดอก อันพระเจ้าแผ่นดินไซจิ้นนั้น ได้เป็นไมตรีกับแผ่นดินเฮงโนก๊ก แต่ครั้งพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้มาจนทุกวันนี้ ถึงตัวอวงจุนเจ้าเมืองฮิวจิวกับเราก็ได้ชอบพอรักใคร่กันมาแต่ก่อน คงจะไปช่วยได้สำเร็จ……”

เมื่อฮ่องเต้มีรับสั่งให้ทำหนังสือตอบเจ้าเมืองฮิวจิวแล้ว ก็ให้โคจูเป็นทัพหน้า เตียยิด เป็นปลัดทัพ พระเจ้ามกเต้เป็นทัพหลวง คุมทหารยี่สิบหมื่นคอยหาฤกษ์จะยกไป ขุนนางผู้ใหญ่ก็ทูลว่า

“……กองทัพฮั่นอ๋องให้มาตีเมืองฮิวจิวครั้งนี้ ไม่สู้เป็นศึกใหญ่นัก คนเพียงสามสิบหมื่น แล้วฮั่นอ๋องก็ไม่ได้มาเอง ให้แต่นายทหารคุมพวกพลยกมา ไม่ควรที่พระองค์จะต้องเสด็จไปให้ลำบาก ให้แต่ทหารที่ฝีมือเข้มแข็ง ประกอบด้วยสติปัญญา เป็นแม่ทัพยกไปก็จะได้…….”

พระเจ้ามกเต้ก็ตรัสว่า เราไม่ได้ทำศึกมานานแล้ว จะไปทำศึกเล่นให้สบายใจสักครั้งหนึ่ง ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกกองทัพรอนแรมไปตามระยะทาง จนถึงเมืองฮิวจิว

###########




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2552 5:32:23 น.
Counter : 1550 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๗ ลูกหลานแซ่เล่า

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๗ ลูกหลานแซ่เล่า

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ในสมัยสามก๊กตอนปลาย ซึ่งแซ่โจชิงราชสมบัติจากฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่น ตั้งเป็นราชวงศ์วุย และแซ่เล่าตั้งตัวเป็นฮ่องเต้สืบต่อราชวงศ์ฮั่น ที่เมืองเสฉวน แล้วสุมาเจียวมหาอุปราชของแซ่โจ ให้เตงงายเป็นแม่ทัพยกมาตีเมืองเสฉวนแตก ต่อมาสุมาเอี๋ยนบุตรของสุมาเจียว ชิงราชสมบัติจากฮ่องเต้ราชวงศ์วุย ตั้งเป็นราชวงศ์จิ้น และรวมสามก๊กเป็นแผ่นดินเดียว เรียกว่าแผ่นดินไซจิ้น

ที่เมืองเฮงเหนามีชายคนหนึ่งชื่อ เล่าเอียด มีภรรยาเป็นพวกฮวนชื่อ นางอูเอียนสี มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ เล่าง่วนไฮ้ เล่าเอียดนั้นสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ฮั่นถึงห้าชั่วคน เมื่อเมืองเสฉวนต้องตกเป็นของแซ่สุมาเริ่มพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้เป็นปฐมวงศ์นั้น เล่าง่วนไฮ้ยังเป็นเด็กอยู่ ครั้นเจริญวัยขึ้นจนอายุสิบหกปี รู้ว่าแซ่สุมาทำลายล้างแผ่นดินฮั่น อันสืบมาแต่แซ่เล่า ก็มีความพยาบาทแซ่สุมาอยู่มิได้ขาด จึงออกจากเมืองเฮงเหนา มาอยู่แผ่นดินจิ้น เที่ยวเรียนเพลงอาวุธได้ชำนิชำนาญดี เข้าทำราชการมีความชอบ ได้เป็นเจ้าเมืองจอเสียในแผ่นดินไซจิ้น

เมื่อสุมาเท็กมหาอุปราชของพระเจ้าเฮาฮุยเต้ พาฮ่องเต้ไปอยู่ที่เมืองเงียบเสียนั้น อยากจะได้เล่าง่วนไฮ้ไว้เป็นพวก จึงกราบทูลฮ่องเต้ให้มีรับสั่งเรียกตัวเล่าง่วนไฮ้มาเฝ้า แล้วฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“…….บัดนี้หัวเมืองใหญ่น้อย ตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นหลายตำบล เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมมากกว่าแต่ก่อน ท่านจงเข้ามาช่วยเอาใจใส่อย่าให้เกิดอันตรายขึ้นได้……..”

แล้วก็ตั้งให้เล่าง่วนไฮ้เป็นที่จอเฮียนอ๋อง เล่าง่วนไฮ้ก็ถวายบังคมลามาหาสุมาเท็กแล้วก็สั่งให้คนใช้ยกโต๊ะและสุรามาเลี้ยงฉลองตำแหน่ง เล่าง่วนไฮ้จึงพูดว่า ท่านจะมานั่งคอยท่าอะไรอยู่อีกเล่า เหตุใดจึงไม่เอาราชสมบัติ สุมาเท็กก็ว่าจะไปไหนเสีย ทำใจเร็วไปก็ไม่สู้ดี เล่าง่วนไฮ้ก็ไม่ว่าประการใด เมื่อลากลับมาที่อยู่ เล่าซวง คนสนิทก็มาหาแล้วบอกว่า

“…….เดิมท่านเป็นแต่เจ้าเมืองจอเสีย บัดนี้โปรดตั้งให้เป็นที่จอเฮียนอ๋อง มียศใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่าแต่ก่อนก็จริง แต่ต้องอยู่ในเมืองหลวง จะมีอำนาจใหญ่ไปที่ไหนได้ ด้วยสุมาเท็กเขาสำเร็จราชการอยู่ ถ้าท่านได้กลับออกไปเมืองจอเสียตามเดิมแล้ว ก็จะมีอำนาจมากขึ้น ด้วยเมืองจอเสียนั้นเมื่อครั้งแผ่นดินเลียดก๊กเรียกว่าเมืองเตียว ชัยภูมิบ้านเมืองแข็งแรงมีเสบียงอาหารบริบูรณ์……”

เล่าง่วนไฮ้ก็เห็นจริงด้วย จึงปรึกษากันที่จะคิดอ่านกลับไปเป็นใหญ่ในบ้านเมืองของตน เล่าซวงก็ไปหา โอเอียนฮิว ให้ไปลวงสุมาเท็กว่าเมืองเฮงเหนากับเมืองโงวป๋า ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองจอเสียนั้น รู้ข่าวว่าในเมืองลกเอี๋ยงเกิดวุ่นวายต่าง ๆ บัดนี้คิดจะยกกองทัพเข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยง ถ้ามีกองทัพไปตั้งขัดอยู่ที่เมืองจอเสียแล้ว กองทัพทั้งสองเมืองนั้นก็จะยกเข้ามาเมืองหลวงไม่ได้ สุมาเท็กได้ฟังก็ตกใจจึงเชิญเล่าง่วนไฮ้มาปรึกษา ว่าความที่โอเอียนฮิวว่านั้นการจะเป็นจริงหรืออย่างไร

เล่าง่วนไฮ้ก็ว่า เมื่อตนจะเข้ามาก็ได้ทราบข่าวอยู่บ้างแล้ว เล่าง่วนไฮ้ก็ว่าซึ่งจะไปตั้งขัดทัพที่เมืองจอเสียนั้น จะให้ตนไปหรือสุมาเท็กจะไปเองก็ตามใจ สุมาเท็กไม่อยากจะห่างฮ่องเต้ ก็เข้าเฝ้ากราบทูลว่า

“…….เดิมข้าพเจ้าทูลพระองค์ให้มีรับสั่งหาเล่าง่วนไฮ้เจ้าเมืองจอเสีย เข้ามาตั้งเป็นที่จอเฮียนอ๋อง ปรารถนาจะให้อยู่ป้องกันศัตรู บัดนี้ได้ข่าวว่าเมืองเฮงเหนาเมืองโงวป๋า จะยกกองทัพเข้ามาตีเมืองลกเอี๋ยง จะต้องให้เล่าง่วนไฮ้ออกไปอยู่เมืองจอเสียตามเดิม ด้วยเมืองจอเสียเป็นต้นทางสำคัญนัก ถ้าเล่าง่วนไฮ้ออกไปตั้งขัดแล้ว กองทัพเมืองเฮงเหนาเมืองโงวป๋าเห็นจะมาไม่ได้………”

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็ตรัสว่าตามใจเถิด สุดแท้แต่จะเห็นสมควร สุมาเท็กก็กลับมาบอกเล่าง่วนไฮ้ตามที่ได้กราบทูลนั้นทุกประการ เล่าง่วนไฮ้มีความยินดีจึงกระซิบบอกว่า การที่ตนพูดไว้ว่าให้สุมาเท็กคิดเอาราชสมบัตินั้น อย่านิ่งนอนใจ แล้วก็ไปกราบถวายบังคมลาฮ่องเต้ กลับไปอยู่เมืองจอเสียตามเดิม

เมื่อเล่าง่วนไฮ้ออกมาอยู่เมืองจอเสียแล้ว ก็เกลี้ยกล่อมหัวเมืองใหญ่น้อย มาอ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้นมา และรวบรวมไพร่พลทหารได้หลายสิบหมื่น ด้วยมีใจโอบอ้อมอารีจานเจือเผื่อแผ่แก่ไพร่บ้านพลเมือง ได้อยู่เย็นเป็นสุขปราศจากโจรผู้ร้าย ข้าวปลาอาหารมีบริบูรณ์ กิตติศัพท์เล่าลือสรรเสริญความดีไปถึงหัวเมืองใหญ่น้อยก็พากันมาเข้าเป็นพวกโดยมาก เล่าซวงจึงมาหาเล่าง่วนไฮ้แล้วพูดว่า

“……..อันแซ่เล่าตั้งแต่พระเจ้าเล่าปี่ ตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ในเมืองเสฉวน จนถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนสิ้นบุญแล้ว แซ่เล่าก็มีแต่จะเสื่อมน้อยถอยยศลงไปทุกที ไม่เห็นมีผู้ใดเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีแต่ได้ความอัปยศแก่แซ่อื่น ๆ มาหลายสิบปีแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านประกอบด้วยสติปัญญา มีอำนาจวาสนาแผ่อาณาเขตออกได้กว้างขวาง ควรจะตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นสักก๊กหนึ่ง จะได้เป็นที่พึ่งแก่แซ่เล่าต่อไป ข้าพเจ้าขอยกท่านขึ้นเป็นฮั่นอ๋อง ตามวงศ์ฮั่นมาแต่ก่อน…….”

เล่าง่วนไฮ้จึงว่า

“……..ซึ่งท่านพูดนี้เราขอบใจแล้ว แต่จะยกเราขึ้นเป็นฮั่นอ๋องนั้นยังไม่ได้ เรานึกขัดใจพวกแซ่สุมามากอยู่ ด้วยยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนของพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว มิหนำซ้ำถอดยศลงให้เป็นแต่อันลักก๋ง จะต้องตั้งหอไทเปียวขึ้น แล้วทำป้ายจารึกพระนามพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เป็นที่เฮาหวยฮ่องเต้ ตามพระนามเดิม เชิญขึ้นไว้ในหอไทเปี้ยวเสียก่อน แล้วจึงจะยอมให้ท่านยกเราขึ้นเป็นฮั่นอ๋อง ใครจะเห็นอย่างไร…….”

ขุนนางก็ว่า

“…..ซึ่งท่านจะทำป้ายจารึกนามพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามเดิมนั้นก็ควรแล้ว ต้องทำตั้งแต่พระเจ้าฮั่นโกโจเป็นลำดับกันลงมา จนถึงวงศ์พระเจ้าฮั่นกองบู๊ แล้วต่อมาอีกถึงพระเจ้าเล่าปี่ และพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงจะได้…….”

เล่าง่วนไฮ้ก็เห็นชอบด้วย จึงให้เจ้าพนักงานสร้างหอไทเปียว แล้วทำป้ายจารึกพระนามฮ่องเต้แซ่เล่าทั้งหมด เชิญขึ้นไว้บนหอเป็นที่คำนับบูชา

ครันถึงวันฤกษ์ดี ขุนนางนายทหารผู้ใหญ่ ผู้น้อย และหัวเมืองขึ้นทั้งสิบเอ็ดหัวเมือง มาประชุมพร้อมกันแล้ว ก็ตั้งบวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน และผู้ซึ่งมีคุณได้อุปถัมภ์บำรุงแซ่เล่ามาแต่ก่อน ๆ นั้น จงช่วยคุ้มครองรักษาเล่าง่วนไฮ้ ซึ่งเป็นที่ฮั่นอ๋อง ครองแผ่นดินฮั่นให้เจริญอยู่ในยุติธรรม ปกป้องขุนนางและราษฎรทั้งปวง ให้ได้อยู่เย็นเป็นสุขรื่นเริงทั่วกันเถิด

ครั้นอธิษฐานบวงสรวงแล้ว ก็ยกเล่าง่วนไฮ้ขึ้นเป็นที่ ฮั่นอ๋อง จึงให้ปล่อยนักโทษ และป่าวร้องให้ปล่อยสัตว์สี่เท้าสองเท้า ตามประเพณีทั่วทั้งอาณาเขต ให้ใช้ศักราชใหม่ กับตั้งเล่าซวงเป็นที่มหาอุปราช และตั้งขุนนางนายทหารครบตามตำแหน่งเหมือนเมืองลกเอี๋ยงแล้ว ก็ตั้งบุตรทั้งห้าคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ส่วน เล่าเอี๋ยว บุตรเลี้ยงนั้นเป็นแม่ทัพใหญ่

เล่าเอี๋ยว นี้เป็นหลานของพระเจ้าเล่าเสี้ยน เมื่อเมืองเสฉวนแตกนั้น นางนมพาหนีไปไว้กับเล่าบุ๋น ซึ่งเป็นพระราชบุตรองค์ที่สี่ของพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองฮุนหลำ เล่าบุ๋นอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงไว้จนอายุได้สิบห้าปี รู้ความว่าพวกแซ่สุมาแย่งชิงเอาราชสมบัติ ของพระเจ้าเล่าเสี้ยนผู้เป็นอัยกาก็มีความโกรธ ชวนเล่าบุ๋นผู้เป็นลุงจะให้คิดการใหญ่ คืนเอาเมืองเสฉวน เล่าบุ๋นไม่ตามใจว่ากำลังน้อยคิดไปไม่ตลอด เล่าเอี๋ยนจึงมาอยู่กับเล่าง่วนไฮ้ และเล่าง่วนไฮ้ก็รักเป็นบุตรเลี้ยงแต่นั้นมา

เมื่ออายุได้สิบสี่ปี เล่าง่วนไฮ้พาทหารไปล่าสัตว์ในป่า เอาเล่าเอี๋ยวไปด้วย เวลานั้นฝนตกพรำ ๆ ฟ้าผ่าลงมาถูกต้นไม้ ใกล้กันกับที่เล่าง่วนไฮ้และพวกทหารยืนม้าอยู่ ทหารทั้งปวงบรรดาซึ่งไปด้วยนั้น ตกใจกลัวตัวสั่น บางคนพลัดตกจากหลังม้า แต่เล่าเอี๋ยวคนเดียวขี่ม้ายืนเฉยอยู่ ไม่สะดุ้งตกใจ เล่าง่วนไฮ้ถามว่าเหตุใดเจ้าไม่ตกใจกลัว เล่าเอี๋ยวก็ว่า

“……..ธรรมดาฟ้าไม่เหมือนอาวุธอื่น ๆ ซึ่งจะหลบหลีกไปเสียให้พ้นนั้นไม่ได้ ถ้าถึงวาระที่ฟ้าจะผ่าตายแล้ว ผู้ที่กลัวและกล้าก็ต้องตายเหมือนกัน ข้าพเจ้าเห็นดังนี้แล้วจึงมิได้กลัว…….”

เล่าง่วนไฮ้ก็สรรเสริญว่าเป็นเด็กก็จริงแต่ใจเหี้ยมหาญ พูดจาเฉลียวฉลาดนัก ตั้งแต่นั้นมาเล่าง่วนไฮ้ก็รักใคร่ เสมอกับบุตรทั้งปวง

ต่อมาอีกไม่นาน สุมาโงวกับพวกก็ยกพลไปตีตำบลเงียบเสีย สุมาเท็กแตกหนีไปได้แล้วก็ป่วยลงด้วยความตรอมใจถึงเสียจริต กัดนิ้วมือตนเองด้วนไปหลายนิ้ว สุมาโงวจึงพาฮ่องเต้ไป อยู่ที่เมืองเซียงอาน สุมาอวดก็ยกพลมาตี สุมาโงวแตกหนีไปอีก แล้วเชิญเสด็จฮ่องเต้กลับมาอยู่เมือง ลกเอี๋ยงตามเดิม

สุมาอวดก็ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสุดท้ายก็ให้ขันที เอายาพิษใส่ในเครื่องเสวยนำไปถวายฮ่องเต้ พระเจ้าเฮาฮุยเต้เสวยเข้าไปก็ประชวร กระสับกระส่ายอยู่ครู่เดียวก็สวรรคต

เมื่อพระเจ้าเฮาฮุยเต้สวรรคตนั้น พระชนม์ได้สี่สิบแปดปี อยู่ในราชสมบัติสิบเจ็ดปี ขุนนางข้าราชการไม่มีผู้ใดรู้ว่าฮ่องเต้ถูกยาพิษ สำคัญว่าประชวรพระโรคปัจจุบัน จึงเชิญ สุมาจี้ ผู้หลานฮ่องเต้ตำแหน่งฮ่องไทตี๋ขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าเฮาฮวยเต้ สุมาอวดก็เป็นผู้สำเร็จราชการตามเดิม

สุมาเท็กซึ่งแตกทัพและถูกถอดเป็นไพร่ จึงไปอยู่กับกงซือพวน ซึ่งเป็นโจรอยู่ที่ตำบลปักจี้หอ ถูกเจ้าเมืองกุนจิวยกทหารไปตีแตก ถูกจับตัวส่งไปให้สุมาเฮาที่เมืองเงียบเสีย สุมาเฮาสงสาร ก็เลี้ยงไว้ แต่เมื่อสุมาเฮาป่วยเป็นไข้พิษถึงแก่กรรม พวกศัตรูเก่าที่เมืองลกเอี๋ยงก็ปลอมรับสั่งพระเจ้าเฮาฮวยเต้ ส่งยาพิษมาให้สุมาเท็กกินถึงแก่ความตายไป

สุมาโงวซึ่งแตกทัพจากเมืองเชียงอาน ไปอาศัยอยู่กับเตียกวางที่เมืองซุนเอี๋ยง เมื่อ สุมาอวดได้ข่าวก็กราบทูลฮ่องเต้ ให้กลับมารับราชการในเมืองหลวง แต่พอสุมาโงวเดินทางมากลางทางก็ถูกพวกโจร ดักตีปล้นและจับสุมาโงวฆ่าตายไปอีกคนหนึ่ง

ฝ่ายเล่าง่วนไฮ้ซึ่งตั้งตัวขึ้นเป็นฮั่นอ๋อง ครั้นแจ้งความว่า พระเจ้าเฮาฮุยเต้สวรรคตแล้ว ขุนนางยกสุมาจี้ฮ่องไทตี๋ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเฮาฮวยเต้ จึงปรึกษาขุนนางว่า

“…….พระเจ้าเฮาฮวยเต้พึ่งได้ราชสมบัติใหม่ ๆ หัวเมืองทั้งปวงยังไม่เรียบร้อยเป็นปกติ เราคิดว่าถ้ายกกองทัพไปตีเอาเมืองแซจิวเห็นจะได้โดยง่าย แม้นได้เมืองแซจิวแล้ว เมืองตุนจิวก้เหมือนอยู่ในเงื้อมมือเรา……….”

ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย ฮั่นอ๋องจึงแต่งให้ กิบซวง คุมทหารสิบหมื่นยกไป ครั้นกิบซวงเดินกองทัพมาถึงเขากิบจุยซัว และพักกองทัพอยู่ที่ตำบลนั้น ก็มีนายโจรคนหนึ่งพาพวกบริวารประมาณหมื่นเศษ มาอ่อนน้อมกับกิบซวง อาสาไปรบด้วย.

###########




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2552 6:31:58 น.
Counter : 1775 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๖ จุดจบของคนชั่ว

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๖ จุดจบของคนชั่ว

“ เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย สุมาก๊วง เจ้าเมืองแซจิว ได้ทราบว่าสุมาลุนกับซุนซิว ถอดพระเจ้าเฮาฮุยเต้ ออกเสียจากราชสมบัติ เนรเทศให้ไปอยู่ตำบลกิมหยง และสุมาลุนก็ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ ให้ซุนซิวเป็น ผู้สำเร็จราชการ ก็มีความโกรธนัก จึงคิดว่าสุมาลุนนี้แต่ก่อนก็นึกว่าจะเป็นคนดี มีกตัญญูต่อ แผ่นดิน ตนจึงได้เข้าไปช่วยกำจัดนางเกียสี หมายจะให้บ้านเมืองเป็นสุข แล้วสุมาลุนก็ได้เป็นผู้สำเร็จราชการ ว่าที่มหาอุปราชขึ้น แล้วก็เพิกเฉยเสียจะได้เห็นบุญคุณตน ที่ได้อุปถัมภ์ช่วยจัดแจงให้จนได้ดีนั้นก็หาไม่ ถึงกระนั้นก็ตามทีเถิด กลับเป็นขบถชิงเอาราชสมบัติมีความผิดมาก

สุมาก๊วงจึงให้หาเฮงหงีเข้ามาปรึกษาว่า เดี๋ยวนี้สุมาลุนเป็นขบถ เราจะคิดกำจัดเสีย ท่านจะเห็นประการใด เฮงหงีก็ว่า

“…….ซึ่งท่านคิดนี้ก็ชอบแล้ว แต่เป็นการใหญ่สำคัญอยู่ กำลังไพร่พลทหารของเรายังน้อยนัก จะต้องมีหนังสือบอกข้อความไปถึงเชื้อพระวงศ์ และเจ้าเมืองซึ่งชอบอัชฌาสัยกับท่านให้มาช่วยจึงจะได้ ถ้าแม้นกำจัดสุมาลุนกับซุนซิวได้แล้ว จงไปเชิญพระเจ้าเฮาฮุยเต้ให้กลับเข้ามาครองราชสมบัติดังเก่า จึงจะเป็นคนมีกตัญญู ตัวท่านจะได้มีชื่อเสียง……”

สุมาก๊วงจึงทำหนังสือขึ้นหกฉบับเนื้อความเดียวกันให้ม้าใช้ถือแยกไปถึง สุมาโงว เจ้าเมืองฮอกัน สุมาเท็ก เจ้าเมืองเซงโต สุมาหงี เจ้าเมืองเซียงซัน สุมาอิ๋ม เจ้าเมืองเล็กเอีย และ เล่าง่วนไฮ้ ซึ่งไปตั้งขัดทัพ อยู่ปลายแดนต่อเมืองกิมหยง กับ เล็กหมุย ซึ่งตั้งตัวเป็นพระเจ้า ซินหงวนฮ่องเต้ ผู้ครองแผ่นดินเฮงโนก๊ก แจ้งความเรื่องสุมาลุนกับซุนซิวเป็นขบถ ขอให้ช่วยยก กองทัพไปกำจัดเสียให้จงได้ เมื่อทุกคนได้ทราบความแล้ว จึงทำหนังสือตอบมาว่า ถ้าจะยกกองทัพไปเมื่อไร ก็ให้มีกำหนดนัดมาเถิด จะได้ยกมาช่วยพร้อมกัน

เมื่อถึงกำหนดนัดเจ้าเมืองทั้งหลายต่างก็ยกพล เมืองละยี่สิบหมื่นไปรวมกันที่เมืองแซจิว เว้นแต่เล่าง่วนไฮ้ กับพระเจ้าซินหงวน ให้นายทหารคุมพลมา สุมาก๊วงก็ให้สุมาหงีเป็นทัพหน้า ให้สุมาอิ้มไปรักษาพระเจ้าเฮาฮุยเต้ที่ตำบลกิมหยง ให้สุมาโงวเป็นกองลำเลียง ส่วนตนกับสุมาเท็กคุมทหารคนละยี่สิบหมื่น เป็นทัพหลวงยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงนครหลวง

ฝ่ายม้าใช้กองสอดแนมข่าวราชการ ครั้นรู้ว่ากองทัพยกมาเป็นอันมาก จึงรีบเอาเนื้อความไปบอกเจ้าพนักงาน ให้แจ้งแก่สุมาลุนเจ้าแผ่นดินให้ทราบทุกประการ สุมาลุนก็ปรึกษากับซุนซิวเตรียมการต่อสู้ทำศึกต่อไป

ในการต่อสู้กู้แผ่นดินครั้งนี้ ผลัดกันแพ้ชนะหลายครั้ง สุดท้ายกองทัพของเมืองหลวงแตกพ่าย นายทหารเอกตายในที่รบสี่คน เตียฮอแม่ทัพใหญ่หนีรอดไปได้ ซุนหวยบุตรซุนซิวถูกจับตัวเป็นเชลย กองทัพฝ่ายหัวเมืองก็ล้อมเมืองหลวงไว้ สุมาลุนกับซุนซิวก็เกณฑ์ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เข้มแข็ง แต่บรรดาขุนนางที่ไม่เห็นด้วย กับการที่สุมาลุนถอดฮ่องเต้ครั้งก่อน เป็นไส้ศึก

ค่ำวันหนึ่งเวลาดึกประมาณสองยาม ก็จุดเพลิงขึ้นที่ยุ้งข้าวบ้านซุนซิว แล้วจุดพลุขึ้นเป็นสำคัญ ทหารที่เป็นพวกไส้ศึกก็เปิดประตูเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้ ให้ทหารของสุมาก๊วงยกเข้าเมืองได้ ไล่ฆ่าฟันทหารในเมืองหลวง แตกตื่นล้มตายลงเป็นอันมาก ในที่สุดก็ยึดเมืองหลวงได้ สุมาลุนกับซุนซิวก็ถูกจับตัวไว้ทั้งคู่

ครั้นเวลารุ่งเช้า สุมาก๊วงออกที่ประชุมนายทัพนายกอง ขุนนางที่เป็นไส้ศึก ก็เอาตัวสุมาลุนกับซุนซิว ใส่กรงเหล็กมามอบให้ สุมาก๊วงก็ถามสุมาลุนว่า

“…….แต่เดิมเราก็เห็นว่าท่านเป็นคนดี มีกตัญญูต่อแผ่นดิน จึงได้ช่วยคิดการกำจัดนางเกียสีเสีย เหตุใดภายหลังมาเป็นคนทรยศ ขบถต่อพระเจ้าแผ่นดินชิงเอาราชสมบัติเล่า…”

สุมาลุนตอบก็ว่า

“…….การอันนี้ข้าพเจ้าจะไดคิดอ่านหามิได้ ซุนซิวคิดเองทั้งนั้น…..”

เมื่อสุมาก๊วงถามซุนซิว ก็ตอบว่า

“…….ข้าพเจ้าเป็นบ่าวสุมาลุน ต้องทำนุบำรุงเจ้านายไปตามสติกำลัง เมื่อไม่ตลอดไปได้ก็ต้องจนใจอยู่ ธรรมดาเป็นบ่าวแล้วก็ต้องมีความกตัญญูต่อเจ้านาย ซึ่งข้าพเจ้าทำการทั้งนี้ ก็ปรารถนาจะให้สุมาลุนผู้เป็นเจ้านายได้ดีมียศขึ้น ความข้อนี้มีด้วยกันทุกคน ถ้าเป็นบ่าว ท่านผู้ใดแล้ว ก็ต้องอยากให้ท่านผู้นั้นเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าทำทั้งนี้จะผิดชอบประการใด แล้วแต่จะโปรด…….”

สุมาก๊วงจึงว่า

“…….ซึ่งเจ้าจงรักภักดีต่อเจ้านาย ด้วยความกตัญญูนั้นก็ชอบดอก แต่ผู้ซึ่งแสวงหาลาภและยศ ให้แก่เจ้านายของตัวด้วยการไม่ยุติธรรมนั้น จะเรียกว่ามีความกตัญญูด้วยหรือ จะเป็นคนอกตัญญูต่อเจ้านายของตัวเสียอีก เหมือนหนึ่งเจ้าคิดอ่านทำการใหญ่ ให้สุมาลุนเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นดังนี้ แต่ล้วนความทุจริตทั้งนั้น จะเรียกว่ากตัญญูอย่างไรได้ ถ้าแสวงหาลาภยศให้แก่เจ้านายนั้น ก็ย่อมหาแต่การที่ประกอบด้วยยุติธรรม จึงจะเรียกว่าคนดีมีกตัญญูต่อเจ้านาย…..”

ซุนซิวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ มิรู้จะโต้ตอบประการใด เพราะสิ่งใดที่นางเกียสี และฮ่องเต้ หรือสุมาลุนได้ทำมาแล้วนั้น ตนก็มีส่วนรู้เห็นอยู่ด้วยทุกเรื่อง

สุมาก๊วงจึงสั่งให้เอาสุมาลุนไปขังไว้ แล้วให้คนเที่ยวเป่าร้องตามเจ้านายขุนนางและราษฎรทั้งปวงว่า ซึ่งซุนซิวทำข่มเหงแก่ผู้ใดให้ได้ความเดือดร้อนบ้าง จงพากันไปด่าว่าเฆี่ยนตีเอาตามชอบใจ ให้สมกับที่ซุนซิวทำให้เจ็บแค้นนั้นเถิด ผู้คนที่เคยถูกซุนซิวข่มเหงรังแก ก็พากันมาทุบตีด่าว่าเยาะเย้ยต่าง ๆ

ครั้นสุมาก๊วงจัดการบ้านเมืองเรียบร้อย ตกแต่งพระราชวังข้างหน้าข้างในเสร็จแล้ว จึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย จัดแจงไพร่พลทหารเป็นกระบวนแห่ นำราชรถสำหรับกษัตริย์พร้อมด้วยเครื่องสูง ไปรับพระเจ้าเฮาฮุยเต้ให้เสด็จกลับเข้ามาเมืองหลวง และให้สุมาอิ้มซึ่งตั้งทัพล้อมวงรักษาฮ่องเต้อยู่นั้น จัดขบวนทหารพิทักษ์รักษาฮ่องเต้ แห่แหนกลับคืนนครหลวงด้วย

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็มีพระทัยยินดี เสด็จขึ้นสู่ราชรถพร้อมด้วยมเหสีและนางสนม ออกจากตำบลกิมหยง เสด็จรอนแรมมาตามทาง ซึ่งมีที่ประทับพักทุกระยะยี่สิบลี้ จนถึงลกเอี๋ยงเมืองหลวง ราษฎรและและขุนนางทั้งปวงก็ตกแต่งโต๊ะคำนับรับเสด็จ ตามวิถีทางหลวงจนถึงประตูพระราชวัง

ครั้นราชรถถึงที่ประทับ สุมาก๊วงก็เชิญเสด็จพระเจ้าเฮาฮุยเต้ ขึ้นบนพระที่นั่งสำหรับกษัตริย์ ถวายราชสมบัติให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป

ขุนนางเก่าประมาณแปดสิบคน ที่จำใจต้องรับราชการอยู่กับสุมาลุน ต่างก็มัดตัวเข้ามาเฝ้าทุกคน แล้วกราบทูลว่า พวกตนทั้งหลายมีข้อผิดใหญ่ ด้วยเข้าทำราชการในสุมาลุน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรด ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้แก้มัดออกแล้วตรัสว่า

“…….ท่านทั้งปวงเหล่านี้ ใช่จะมีความยินดีเต็มใจทำราชการ ด้วยสุมาลุนนั้นหามิได้ แต่เป็นการจำใจเราก็ย่อมรู้อยู่ อย่าทุกข์ร้อนตกใจไปเลย เราจะชุบเลี้ยงไว้ให้รับราชการตามตำแหน่งซึ่งได้เคยทำมาแต่ก่อน……”

แล้วฮ่องเต้ก็ตรัสต่อไปว่า การครั้งนี้สุมาก๊วงกับสุมาเท็กสุมาโงวสุมาอิ้ม ทำนุบำรุงเจ้านาย ช่วยกู้แผ่นดินไว้มีความชอบมากนัก เปรียบเหมือนเมื่อครั้งแผ่นดินสามก๊ก สุมาอี้ สุมาสู สุมาเจียว และสุมาเอี๋ยน บรรพบุรุษของพระองค์ ได้ทำนุบำรุงเชื้อพระวงศ์พระเจ้าโจผี สืบมาได้หลายชั่ว ตรัสแล้วจึงรับสั่งตั้งสุมาก๊วงเป็นที่มหาอุปราช สุมาเท็กเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายขวา สุมาโงวสำเร็จราชการฝ่ายซ้าย สุมาอิ้มเป็นเจ้าผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน แล้วพระราชทานรางวัลแก่ ขุนนางและทหารผู้ใหญ่ผู้น้อย ที่มีความชอบตามสมควร

สุมาก๊วงในตำแหน่งมหาอุปราช จึงให้เอาตัวสุมาลุน ซุนซิว ซุนหวย มาถวายฮ่องเต้แล้วกราบทูลว่าคนเหล่านี้จะโปรดประการใด พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็ตรัสว่าท่านทั้งปวงจงปรึกษาโทษดู ตามพระราชกำหนดกฎหมายสำหรับแผ่นดิน เมื่อเห็นควรประการใดก็ตามแต่ท่านทั้งปวงเถิด สุมาก๊วงก็กราบทูลว่า

“……..ผู้ซึ่งเป็นขบถดังนี้แล้ว ก็ต้องตายตลอดถึงบุตรภรรยาและหลานเหลน แต่ซุนหวยนั้นเป็นสามีนางสุมาต๊กกงจู๊ ผู้เป็นพระราชธิดา จะโปรดประการใด…….”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“…….แต่เดิมเมื่อซุนซิวมาขอ เราก็ไม่เต็มใจแต่ขัดไม่ได้จึงต้องให้ ท่านจงหาตัวนางสุมาต๊กกงจู๊มาถามดูเถิดเขาจะว่าอย่างไร ถ้ารักผัวมากกว่าพ่อจะขอชีวิตไว้ก็ตามใจ……”

สุมาก๊วงจึงให้มาตัวนางสุมาต๊กกงจู๊ มาถามหน้าที่นั่งตามรับสั่ง นางก็ว่า

“…..แต่เดิมข้าพเจ้าจะได้รู้จักรักใคร่ซุนหวยก็หามิได้ แต่โปรดพระราชทานให้แก่เขา ข้าพเจ้าเป็นบุตรก็ต้องยอมไปเป็นภรรยาซุนหวยตามรับสั่ง มาบัดนี้มีเหตุขึ้นแล้วก็ต้องเป็นไปตามการ ซึ่งข้าพเจ้าจะกลับใจสมัครรักใคร่ ห้ามหวงขอร้องเอาไว้ ให้ล่วงพระราชกำหนดกฎหมายนั้น หามิได้ จิตเดิมของข้าพเจ้าอย่างไรก็เสมออยู่อย่างนั้น ขอท่านจัดแจงการให้ถูกต้องตามธรรมเนียมแผ่นดินเถิด…….”

ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้นก็ให้เอาไปประหารชีวิตเสีย สุมาก๊วงจึงให้เอาตัวสุมาลุนกับซุนซิว ทั้งบุตรภรรยาพวกพ้องและซุนหวยไปประหารชีวิต ทหารก็ตัดศรีษะ สุมาลุนกับซุนหวย แล้วเอาตัวซุนซิวออกมัดประจานไว้ ขุนนางและราษฎรที่เจ็บแค้นซุนซิว ก็พากันมาด่าว่าเตะถีบเฆี่ยนตี บางคนเอามีดเชือดเนื้อเถือหนัง ทำถึงสาหัสจนขาดใจตายไป ตามกรรมของตน

แล้วสุมาก๊วงก็กราบทูลพระเจ้าเฮาฮุยเต้ว่า ได้ให้เจ้าพนักงานเอาตัวพวกขบถไปประหารชีวิต กับทั้งทั้งสมัครพรรคพวก บุตรภรรยาหลานเหลนสิ้นแล้ว ฮ่องเต้จึงรับสั่งถามว่า ที่เอาไปฆ่าเสียนั้นจะเป็นคนสักเท่าไร ที่สู้รบกันนั้นตายสักเท่าไร

สุมาก๊วงก็ให้เจ้าพนักงานตรวจดูตามบัญชี ตั้งแต่หัวหน้าขบถ ขุนนางตัวนายที่ร่วมคิด บุตรภรรยาญาติพี่น้อง และสมัครพรรคพวกที่ถูกประหาร มีจำนวนทั้งสิ้น เก้าร้อยเก้าสิบสามคน ที่สู้รบฆ่าฟันกันตายทั้งสองฝ่ายนั้น ได้สิบหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบสองคน รวมเป็นคนตายครั้งนี้ สิบหมื่นสองพันหนึ่งร้อยห้าคน ฮ่องเต้ทรงทราบแล้วก็สลดพระทัยนัก

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็ได้ครองราชสมบัติต่อไปอีกหลายปี กว่าจะสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์ .

##########




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2552 5:49:46 น.
Counter : 776 Pageviews.  

ตอนที่ ๑๕ ฮ่องเต้สิ้นอำนาจ

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๑๕ ฮ่องเต้สิ้นอำนาจ

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อสุมาลุนและซุนซิวมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในแผ่นดินนั้น ขุนนางที่เป็นกังฉินก็เข้าประจบประแจง ฝากตัวอยู่กับทั้งสองนั้นเป็นจำนวนมาก ขุนนางที่เป็นตงฉินต่างก็พากันลาออกจากราชการ อพยพยกหนีไปเสียให้ห่างไกลจากเมืองหลวง ส่วนขุนนางและราษฎรที่ขัดเคือง และหมิ่นประมาทซุนซิวมาแต่ก่อนนั้น ที่กลัวอำนาจก็หนีเอาตัวรอด ที่หนีไม่ทันก็ถูกซุนซิวให้ทหารไปจับฆ่าเสียสิ้น

หัวเมืองใหญ่น้อยซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ถ้าว่างเปล่าไม่มีเจ้าเมืองแล้ว สุมาลุน กับ ซุนซิวก็กราบทูลฮ่องเต้ เอาพวกพ้องตั้งแต่งออกไปเป็นเจ้าเมือง ครั้นอยู่มาพวกนี้ก็มีใจกำเริบคิดตั้งตัวเป็นใหญ่ หัวเมืองใกล้เคียงรู้ความก็บอกเข้ามายังเมืองหลวง สุมาลุนกับซุนซิวก็ไม่นำหนังสือบอกขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ ด้วยเป็นพวกพ้องที่ตัวแต่งตั้งออกไป จึงปิดเนื้อความเสีย

ฝ่ายสุมาลุนเห็นว่าซุนซิวได้นางสุมาห้อตงกงจู๊ ผู้เป็นราชธิดาฮ่องเต้มาเป็นบุตรสะใภ้ แล้วเอานางเอียวสีซึ่งเป็นพวกพ้องเข้าไปถวาย ได้เป็นที่ฮองเฮาขึ้น ซุนซิวก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับฮ่องเต้ เพราะเกี่ยวดองกันถึงสองฝ่าย นานไปอาจจะเอาใจออกห่าง จึงให้คนใช้ไปเชิญซุนซิวมาว่าจะปรึกษาข้อราชการด้วย เมื่อซุนซิวมาถึงบ้านสุมาลุนก็พูดว่า

“…….ทุกวันนี้เรากับท่านมีบุญวาสนามาก ยกเสียแต่พระเจ้าแผ่นดินแล้วไม่มีผู้ใดเสมอ แต่ก่อนเราก็ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน อุตส่าห์เข้าทำราชการจนได้ดี แต่กาลต่อไปข้างหน้านั้น เราตรองไปไม่ตลอด ท่านเห็นอย่างไรบ้าง……”

ซุนซิวก็ว่า

“……ตัวท่านกำลังมีวาสนา จะทำการสิ่งไรก็อาจสำเร็จได้ทุกอย่าง ไม่มีที่กีดขวาง โดยจะคิดเอาราชสมบัติก็จะได้ ด้วยท่านเป็นเชื้อกษัตริย์ ถ้าจะเอาแล้วต้องคิดอ่านเสียโดยเร็ว ด้วยแซ่สุมานั้นยังมีอยู่ข้างนอกหลายคน ข้าพเจ้าคิดเห็นการดังนี้ ท่านจงตรึกตรองดูเถิด……….”

สุมาลุนจึงว่า

“…….ท่านพูดมานี้ชอบแล้ว แต่เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินยังไม่มีข้อผิด เราจะคิดเอาราชสมบัติ ขุนนางทั้งปวงเขาคงไม่ยอม จะเกิดการหยุกหยิกกันขึ้นดอกกระมัง…….”

ซุนซิวก็ว่า

“…….ท่านอย่าวิตก พระเจ้าเฮาฮุยเต้มีความผิดหลายข้อ ถ้าจะกล่าวขึ้นแล้ว ขุนนางเหล่านั้นคงเห็นจริงด้วยเราทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจะทำเรื่องราวกล่าวเป็นคำประกาศ ยกข้อผิด พระเจ้าเฮาฮุยเต้ให้ขุนนางรู้ทั่วกัน ถ้าขุนนางผู้ใดไม่เห็นด้วยเราจึงจับตัวฆ่าเสีย……”

เมื่อซุนซิวเอาประกาศโทษของฮ่องเต้มาให้สุมาลุนดู และเห็นชอบด้วยแล้ว จึงเชิญขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง มากินโต๊ะที่บ้านพร้อมกัน ขณะที่ขุนนางทั้งปวงนั่งกินโต๊ะอยู่นั้น ซุนซิวก็ถือกระบี่เดินเข้ามา เอาประกาศให้ขุนนางทั้งปวงดู ซึ่งมีข้อผิดของฮ่องเต้อยู่หลายประการ สรุปได้ว่า

เดิมพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ ดำริว่าฮ่องไทจือสุมาซองเป็นคนโฉดเขลา จึงจะเปลี่ยนเป็นสุมาเต๊ก แต่สวรรคตเสียก่อน สุมาซองจึงได้ราชสมบัติเป็นพระเจ้าเฮาฮุยเต้

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมราชการบ้านเมือง ใครบอกอะไรมิได้ตรึกตรองดูว่าจริงหรือเท็จ สุดแต่ผู้ใดพูดเข้าหูก่อนก็พลอยเห็นด้วย

ฮ่องเต้หลงใหลเชื่อฟังแต่นางเกียสีฮองเฮา แม้จะทำการไม่ดีเที่ยวหาผู้ชายที่ รูปงามไพร่บ้างขุนนางบ้าง เอาเข้ามาหลับนอนในพระราชวัง ก็ไม่รู้บ้างเลย เมื่อเวลาออกว่าราชการ ก็เอานางเกียสีฮองเฮาออกไปว่าด้วย

นางเกียสีฮองเฮายุยงกล่าวโทษยกข้อผิดฮองไทเฮา ผู้เป็นพระราชมารดาให้เป็นโทษต้องถอด แล้วลอบใส่ยาพิษให้กินจนตาย ฮ่องเต้ยอมให้นางทำได้ เพราะปราศจากกตัญญู

นางเกียสีฮองเฮาสั่งให้สุมาอุย ไปฆ่าสุมาเหลียงกับอวยขวย ผู้หาความผิดมิได้ ตายสิ้นทั้งบุตรภรรยา ฮ่องเต้ทราบแล้วก็ไม่ชำระโทษนางเกียสี เพราะเป็นคนอยุติธรรม รักแต่เมียของตัว

นางเกียสีเอาบุตรนางเกียหงอ มาปลอมว่าเป็นราชบุตรก็ไม่รู้เท่า หลงเลี้ยงอยู่หลายปี เพราะเป็นคนโง่งมงาย ปราศจากปัญญา

นางเกียสีฮองเฮาคบคิดกับนางเกียหงอและฮั่นซิว แกล้งเอาความเท็จยุยงให้ถอดฮ่องไทจือ และเนรเทศให้ไปอยู่ตำบลกิมหยง แล้วนางเกียสีก็แอบรับสั่งให้ไปฆ่าเสีย ฮ่องเต้ไม่ได้ชำระ เห็นผิดเป็นชอบ หูเบาใจเบา ปราศจากความเมตตาแก่บุตร

พิเคราะห์ดูแต่มารดาและบุตรอันเป็นที่รักแล้ว ยังทำได้ถึงเพียงนี้ จะป่วยการกล่าวไปใยถึงเจ้านายขุนนางและราษฎรทั้งปวง ซึ่งเป็นผู้อื่นหรือจะไม่ทำให้ยับเยิน ท่านทั้งหลายจะหมายเอาเป็นที่พึ่งอย่างไรได้ ถ้าแม้นฮองเฮาเกลียดชังผู้ใดแล้ว แกล้งยุยงกล่าวโทษเอาเปล่า ๆ เปลือย ๆ ก็คงจะเชื่อฟัง ถ้าขืนให้พระเจ้าเฮาฮุยเต้ครองราชสมบัติต่อไป พระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางราษฎร จะมิได้ความเดือดร้อนทั่วทั้งแผ่นดินหรือ

แล้วซุนซิวก็สรุปว่า

“…….เราเห็นว่าพระเจ้าเฮาฮุยเต้ มีความผิดใหญ่หลายข้อ ไม่ควรจะเอาไว้ ต้องให้ออกเสียจากราชสมบัติ ทุกวันนี้ไม่เห็นมีผู้ใดที่จะประกอบด้วยสติปัญญา ใจโอบอ้อมอารีมีความเมตตาแก่ราษฎร เห็นแต่มหาอุปราชผู้เดียว สมควรจะเป็นเจ้าแผ่นดินได้ ขอให้ท่านทั้งปวงตรึกตรองดูเถิด……”

ขุนนางเหล่านั้นได้ฟังซุนซิวว่า ก็ตกใจนิ่งตลึงอยู่ ไม่รู้ที่จะว่าประการใด ด้วยกลัวอำนาจซุนซิว ครั้นตรองไปดูในเรื่องราวก็เห็นจริงทุกข้อ จึงว่าพระเจ้าเฮาฮุยเต้มีความผิดหลายข้อ จริงเหมือนกล่าว จะยกออกเสียจากราชสมบัติ ให้มหาอุปราชเป็นเจ้าแผ่นดินก็สมควรอยู่แล้ว

สุมาลุนได้ฟังดังนั้น จึงแกล้งพูดถ่อมตัวว่า

“…….ตัวเรานี้ใช่จะปรารถนาสมบัติพัสถานนั้นมิได้ แต่จนใจด้วยไม่เห็นผู้ใด ที่จะว่าราชการบ้านเมืองก็ต้องจำเป็น อนึ่งตัวเรานี้วาสนาบารมีน้อยนัก ไม่คู่ควรที่จะเป็นเจ้าแผ่นดินดอก แต่นึกว่าจะรักษาเอาไว้ถ้าท่านผู้ใดมีบุญญาภินิหารมากแล้ว ก็จะมอบราชสมบัติให้แก่ท่าน ผู้นั้น…….”

ขุนนางทั้งปวงได้ฟังก็รู้เท่าทัน แต่ก็คิดว่าทุกวันนี้สุมาลุนกับซุนซิวมีอำนาจมาก ครั้นจะขืนขัดแข็งไปก็จะมีภัยต่าง ๆ เขาจะทำอย่างไรก็ตามใจ เรารักษาแต่ตัวไว้ ให้รอดจากความตายไปคราวหนึ่ง สุมาลุนจะเป็นเจ้าแผ่นดินก็ไม่ได้สักกี่วัน คงจะมีผู้มาทำลายล้างดอก จงคอยดู ถ้าผู้ที่จะมานั้นมีอำนาจแข็งแรงมาก จึงพากันเข้ากับผู้นั้นจะดีกว่าขัดขืนในเดี๋ยวนี้

ซุนซิวจึงนัดว่า เวลาพรุ่งนี้เข้าไปในวังให้พร้อมกันอย่าให้ขาดได้ ถ้าผู้ใดไม่เข้าไปจะเอาโทษ ขุนนางทั้งหลายต่างก็คำนับลาสุมาลุนกลับไปบ้าน

ครั้นเวลารุ่งเช้า พระเจ้าเฮาฮุยเต้เสด็จออกตามธรรมเนียม ขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้าไปเฝ้าพร้อมกัน รวมทั้งสุมาลุนกับซุนซิว แล้วซุนซิวจึงกราบทูลว่า

“……ทุกวันนี้ พระองค์ทรงพระชราแล้ว พระราชบุตรก็ไม่มี ราชการบ้านเมืองมหาอุปราชได้ว่าทั้งนั้น บัดนี้จะยกพระองค์ขึ้นเป็นไทเซียงฮอง ขอให้มหาอุปราชเป็นเจ้าแผ่นดินสืบไป…”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังจึงตรัสถามขุนนางว่า ซุนซิวมาพูดเช่นนี้จะควรหรือไม่ ใครเห็นอย่างไรให้ว่าไป ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็นิ่งแลดูตากันอยู่ ไม่รู้ที่จะกราบทูลประการใดได้ ซุนซิวจึงตวาดว่า เหตุใดจึงนิ่งเสียไม่กราบทูล ขุนนางทั้งหลายกลัวสุมาลุนกับซุนซิว จึงกราบทูลว่าซึ่งจะให้พระองค์เป็นที่ไทเซียงฮอง จะเอามหาอุปราชเป็นเจ้าแผ่นดินนั้นควรแล้ว

ฮ่องเต้ได้ฟังขุนนางว่าดังนี้ ครั้นจะขัดแข็งไปขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ก็เห็นด้วยซุนซิวทั้งนั้น ก็จำต้องยอม คิดแล้วจึงตรัสว่า ตามแต่ท่านทั้งปวงจะเห็นดีเถิด ซุวซิวฟังรับสั่งดังนั้น จึงเชิญพระเจ้าเฮาฮุยเต้ลงเสียจากพระแท่นที่กษัตริย์ แล้วให้มหาอุปราชแต่งตัวด้วยเครื่องสำหรับเจ้าแผ่นดิน เชิญให้ขึ้นนั่งบนพระแท่น ขุนนางทั้งปวงก็ถวายบังคม

แล้วซุนซิวก็เอาประกาศกล่าวโทษ ยกข้อผิดซึ่งเขียนไว้นั้น ออกมาอ่านให้ฟังในที่ประชุมตั้งแต่ต้นจนจบ พระเจ้าเฮาฮุยเต้ก็มีความอายอดสูแก่ขุนนางข้าราชการยิ่งนัก คิดไปก็ให้โทมนัสอัดอั้นตันพระทัย น้ำพระเนตรไหลลงอาบพระพักตร์ ซุนซิวจึงว่า

“…….อันธรรมดาพระอาทิตย์ซึ่งบังเกิดสำหรับโลกนี้ ก็ย่อมมีแต่ดวงเดียว ซึ่งจะมีเป็นสองดวงนั้นหามิได้ อันกษัตริย์ผู้ซึ่งดำรงแผ่นดินก็ย่อมมีแต่พระองค์เดียว บัดนี้พระเจ้าเฮาฮุยเต้มีความผิดหลายข้อต้องที่ถอดเสีย ครั้นจะทำโทษเล่า ก็เห็นว่าได้ครองราชสมบัติมาช้านานหลายปี พระเดชพระคุณก็ยังมีอยู่แก่เราเป็นอันมาก จึงต้องยกไว้ให้เป็นที่ไทเซียงฮอง ซึ่งจะให้อยู่เมืองหลวงนั้นไม่ได้ ต้องเนรเทศให้ไปอยู่ตำบลกิมหยง ถ้าไม่มีรับสั่งให้เข้ามาในเมืองหลวง ก็อย่าได้เข้ามาเลยเป็นอันขาด…….”

แล้วซุนซิวก็ให้ทหารเชิญไทเซียงฮองสุมาซอง กับมเหสีซึ่งตนเป็นผู้นำมาถวายเองและพระสนมกับบริวารใกล้ชิด ขึ้นรถไปไว้ที่ตำบลกิมหยง เช่นเดียวกับผู้ที่ต้องถอดทั้งหลาย โดยไม่คำนึงถึงความผูกพันเกี่ยวดองกัน โดยพระราชธิดาของฮ่องเต้ ก็เป็นบุตรสะใภ้ของตนอีกด้วย มุ่งหวังแต่จะเชิดชูสุมาลุนนายของตน ให้ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินถ่ายเดียว

สุมาลุนก็แต่งตั้งขุนนางแต่ที่เป็นพวกพ้อง ให้เลื่อนยศขึ้นไปเต็มตามตำแหน่งแล้ว จึงมีหมายประกาศไปตามหัวเมืองใหญ่น้อย ในราชอาณาเขตให้รู้ทั่วกันว่า พระเจ้าเฮาฮุยเต้ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางและราษฎรเห็นพร้อมกัน เชิญพระเจ้าเฮาฮุยเต้ให้ออกจากราชสมบัติ ยกเราผู้ชื่อว่าสุมาลุนขึ้นเป็นกษัตริย์ ครอบครองแผ่นดินสืบเชื้อวงศ์ต่อไป

พระเจ้าสุมาลุนฮ่องเต้ จะครอบครองแผ่นดินไซจิ้นไปได้นานสักเพียงใด ก็ต้องคอยดูกันต่อไป.

#########




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 6:48:16 น.
Counter : 672 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.