เด็กขี้สงสัยโต๊ะ79
Group Blog
 
All Blogs
 
รัสเซียตอนที่ ๙ เมื่อผู้เขียนป่วย จนต้องไปโรงพยาบาล





รัสเซียตอนที่ ๙
เมื่อผู้เขียนป่วย จนต้องไปโรงพยาบาล
กล่าวนำ

ความจริงจะใช้ชื่อตอนว่า “โรงพยาบาลในกรุงมอสโก” แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะผู้เขียนไปแค่เพียงโรงพยาบาลเดียว เลยเขียนเกี่ยวกับโรงพยาบาลแห่งนี้ให้ผู้อ่านได้รับทราบ คำกล่าวที่ว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” หรืออะไรทำนองนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เขียนหรือกะเหรี่ยงต่างแดนท่านอื่นๆ ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน โดยเฉพาะในรัสเซียนั้น ถ้าป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่เป็นไร แค่ทานยาที่ติดตัวมาจากเมืองไทยหรือไปหาซื้อยาจากร้านขายยาทั่วไปของรัสเซีย (ร้านขายยาเรียกว่า แอบติก้า มีป้ายกากบาทสีเขียวอยู่หน้าร้าน สังเกตได้ง่าย) ก็คงจะพอจะแก้ขัดไปได้บ้าง ถ้าหากท่านป่วยมาก ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่เอาการ ความจริงการที่ผู้เขียนป่วยจนถึงขนาดต้องไปโรงพยาบาลนี้ก็ได้ประโยชน์หลายอย่างคือ ประการแรก ได้ทราบอาการโรคที่แท้จริงว่า ผู้เขียนป่วยอะไรกันแน่ ประการที่สอง ได้มีโอกาสไปใช้บริการด้านสาธารณสุขของรัสเซีย และประการสุดท้าย ได้มีเรื่องมาเขียนให้ท่านผู้สนใจเกี่ยวกับรัสเซียได้ทราบประสบการณ์บางอย่างที่ผู้เขียนไปเจอมา ในตอนนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงอาการป่วยของตนเองเท่านั้น

สาเหตุการป่วยของผู้เขียน

ตั้งแต่มาอยู่รัสเซียนี้ ผู้เขียนป่วยไปแล้วสองครั้ง ครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นตอนที่ผู้เขียนมาอยู่ที่รัสเซียได้ประมาณ ๒ เดือน และสภาพอากาศที่รัสเซียค่อนข้างหนาว อาการป่วยเหมือนจะเป็นหวัด แต่ที่แปลกคือไม่มีไข้ แต่ปวดศีรษะ และเจ็บคอ เป็นประมาณกว่า ๒ อาทิตย์ก็หายไป ครั้งแรกนี้ทานยาแก้ไข้ (พาราเซตตามอล และยาแอนตี้ไบโอติค) ไปเกือบสองสัปดาห์ พูดง่ายๆ ผู้เขียนติดนิสัยไม่อยากไปหาหมอ จัดยากินเอาเอง มาดามของผู้เขียนบ่นจนเลิกบ่นไปเอง แต่เธอก็บังคับให้ผู้เขียนทานวิตามินซีวันละ ๑๐๐๐ มก.(ของแบลคมอร์ ยี่ห้ออื่นลองทานดูแล้ว ผู้เขียนมีความเห็นส่วนตัวว่าไม่ค่อยได้ผล) ส่วนครั้งที่สองนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนช่วงสงกรานต์นี้เอง ผู้เขียนมีอาการปวดศีรษะ มีไข้เป็นบางวัน ไม่เจ็บคอ แต่น้ำมูกไหลทั้งวัน ที่สำคัญคือปวดศีรษะมาก เช่นเดียวกันผู้เขียนก็ทานยาพาราเซตตามอล ยาลดน้ำมูก และวิตามินซีดังเดิม แต่ที่แปลกคืออาการไม่ดีขึ้น ปวดศีรษะมาก และอยากนอนหลับทั้งวัน ไม่ค่อยสดชื่นเลย ทำงานก็ง่วงทั้งวัน เป็นอย่างนี้เกือบ ๑๐ วัน เลยชักไม่แน่ใจว่า ตนเองเป็นอะไร เพราะปวดศีรษะมาก จึงไปเอาเครื่องวัดความดันของมาดามที่ซื้อมาจากเมืองไทยมาวัดความดันของตนเอง ปรากฏว่าวัดได้ ๑๖๐/๑๐๐ ผู้เขียนก็เลยนึกว่า ตนเองเป็นความดันโลหิตสูง (ความจริงไม่ใช่ เครื่องวัดดังกล่าวห่วย ไม่สมกับราคาแพงที่ซื้อมา ดังนั้นหากท่านใดคิดจะซื้อเครื่องวัดความดันโลหิต ก็ขอให้ทำตามคำแนะนำของหมอดีกว่า อย่าไปเลือกซื้อตามร้านอย่างที่ผู้เขียนทำ ไม่ใช่ว่า ของแพงจะดีเสมอไป) ผู้เขียนก็เลยไปค้นยาลดความดันมาทาน (นิสัยเสียที่ไม่อยากไปหาหมอ) มันก็ไม่ได้ผล จนกระทั่งคนรัสเซียในที่ทำงานของผู้เขียน เขานำเครื่องวัดความดันมาวัดให้ (คนรัสเซียส่วนมากจะเก่งในเรื่องการดูแลตนเอง) เขาบอกว่า ผู้เขียนไม่ได้เป็นความดันโลหิตสูง ผู้เขียนก็เลยถูกมาดามบ่นอีก และบังคับว่าต้องไปหาหมอ ซึ่งก็คงต้องไป เพราะปวดศีรษะ น้ำมูกก็ไหล และง่วงนอนทั้งวัน

สาเหตุที่ผู้เขียนป่วยน่าจะสรุปได้ ๓ สาเหตุคือ ประการแรก เกิดจากความเครียด บางคนกล่าวว่าการไปทำงานต่างแดนได้มีโอกาสพักผ่อน เป็นตัวของตัวเอง ได้เที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ความจริงมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับที่รัสเซียนี้ สภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด ภาษา และอาหารการกินน่าจะก่อให้เกิดความเครียดได้ง่าย ถ้ามาเที่ยวก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามาอยู่แล้ว ท่านจะต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด นอกจากนั้น ผู้เขียนกดดันตนเองในการทำงานมากไปด้วย งานในหน้าที่ และงานตามฟังชั่น (งานสังคม) มากจริงๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงได้ง่าย ประการที่สอง สภาพอากาศที่เปลี่ยนไปจากเมืองไทย ที่นี่อากาศหนาวเย็นจัด ตอนที่เขียนบทความนี้เป็นวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๘ (เวลาตีหนึ่ง) อากาศยังติดลบ เมื่อวานตอนเย็น หิมะยังตกปรอยๆ อยู่เลย (แตกต่างจากที่เมืองไทย ซึ่งร้อนจัด) นอกจากนั้น คนรัสเซียที่ทำงานด้วยกันยังบอกผู้เขียนว่า สภาพร่างกายของผู้เขียนยังปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่นี่ไม่ได้ เขาแนะนำว่า เท้ากับศีรษะของผู้เขียนเป็นสิ่งที่ต้องปกป้องให้อบอุ่น ไม่อย่างนั้น จะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย ประการที่สาม ผู้เขียนไม่ออกกำลังกายเลย ประการนี้เองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ป่วย ตอนอยู่เมืองไทย ผู้เขียนออกกำลังกายอาทิตย์ละประมาณ ๓ ถึง ๔ วัน อาทิ ว่ายน้ำ วิ่ง ฟิตเนส แต่พอมาที่นี่บอกได้ตามตรง รองเท้าวิ่งยังอยู่ในกล่อง ใครจะออกไปวิ่ง หนาวก็หนาว ผู้เขียนไปซื้อจักรยานออกกำลังกายมาหนึ่งเครื่อง ก็ปั่นได้สักสองสามครั้งก็เบื่อ กลายเป็นอุปกรณ์ประดับห้องไป อีกอย่างหนึ่ง ผู้เขียนคิดว่า ตนเองยังอายุไม่มาก ยังแข็งแรง เจ็บป่วยก็หายเร็ว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่หรอก เจ็บป่วยที่รัสเซียนี้ หายยากมาก

โรงพยาบาลของรัสเซีย

ในที่สุดผู้เขียนก็ตัดสินใจเด็ดขาดไปหาหมอ แต่ไม่ถึงขนาดต้องไปโรงพยาบาลราคาแพงหรือโรงพยาบาลชั้นหนึ่งของกรุงมอสโกนะครับ (โรงพยาบาลชั้นนำของกรุงมอสโกซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับบรรดาชาวต่างประเทศ ผู้มีอันจะกินหรือผู้ที่มีประกันสุขภาพชั้นหนึ่งได้แก่ European Medical Center หรือ American Medical Center) เพราะแค่ค่าลงทะเบียนประวัติกับค่าตรวจขั้นต้นก็ประมาณ ๔๐๐ เหรียญแล้ว แต่ข้อดีคือ มีแพทย์ชั้นนำ เจ้าหน้าที่และแพทย์พูดภาษาอังกฤษได้ คนไข้จะรู้สึกสบายใจ ผู้เขียนยังคิดว่า ตนเองเป็นหวัดมากกว่า จึงเลือกไปโรงพยาบาลสำหรับนักการทูตที่ราคาไม่แพงมาก (แต่ถ้าเทียบกับบ้านเราแล้ว แพงเหมือนกัน) ก่อนไปโรงพยาบาล คนชาวรัสเซียที่ทำงานด้วยกันบอกผู้เขียนให้เตรียมรูปถ่ายไปด้วยสองใบ และค่าใช้จ่ายเป็นเงินรูเบิลอีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลสำหรับบริการเจ้าหน้าที่หรือนักการทูต (เขาใช้ชื่อว่า UPDK Medical Center) ก็เข้าไปสอบถามที่แผนกประชาสัมพันธ์ที่ชั้นล่าง เจ้าหน้าที่ผู้หญิงรัสเซีย (ไม่มียิ้ม) ก็บอกว่า ให้ไปกรอกทะเบียนประวัติ และทำบัตรโรงพยาบาลที่อีกห้องหนึ่งในชั้นเดียวกัน ไม่เหมือนบ้านเราที่เห็นป้ายบอกไว้ว่า แผนกลงทะเบียนคนไข้ แต่ที่นี่ต้องใช้การสอบถามว่า ห้องหมายเลขอะไรเป็นภาษารัสเซีย เมื่อไปถึงห้องนั้น เจ้าหน้าที่ผู้หญิงซึ่งท่าทางใจดี ก็ขอบัตรประจำตัวของผู้เขียน (เป็นภาษารัสเซีย)และรูปถ่ายสองใบไปกรอกรายละเอียดลงในคอมพิวเตอร์ ประมาณ ๕ นาทีก็เสร็จ แล้วเธอก็ส่งเอกสารในการจ่ายเงินสำหรับการลงทะเบียน และบัตรประจำตัวคนไข้มาให้ ซึ่งผู้เขียนก็ไปจ่ายเงินที่ห้องจ่ายเงินชั้นล่าง หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็บอกให้ไปพบแพทย์ที่ห้องที่กำหนด (ชั้น ๔) ซึ่งก็น่าจะเป็นอายุรกรรมแพทย์ พอไปถึงหน้าห้อง จะเห็นคนไข้นั่งรอพบแพทย์อยู่หน้าห้องตรวจโรคเหมือนโรงพยาบาลบ้านเรา แต่ที่แตกต่างคือ เราจะต้องถามว่า ใครเป็นคนสุดท้ายที่รอคิว แล้วเราก็จำไว้ว่า เราจะต้องต่อคิวคนๆ นั้น โรงพยาบาลที่บ้านเรา นางพยาบาลจะออกมาเรียกชื่อคนไข้ให้เข้าไปพบแพทย์ แต่ที่นี่คนไข้ต้องรู้กันเองว่า ใครก่อนใครหลัง เขาทราบคิวของตัวเอง และไม่มีการแทรกคิวแบบบ้านเราหรอกครับ ผู้เขียนยังนึกอยู่เลย บ้านเมืองรัสเซียนั้นคนเขาเคารพลำดับก่อนหลังกันดีจริงๆ ไม่มีลัดคิวให้เห็นเหมือนบางประเทศ ถ้าหากระหว่างรอ คนไข้จะไปห้องน้ำ เขาก็จะบอกฝากกันไว้ ซึ่งก็ไม่มีใครลัดคิวให้เห็นอีกนั่นแหล่ะ หมอที่นี่ตรวจนานมาก คนไข้ที่เข้าไป กว่าจะออกมาได้ กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๒๐ นาทีสักคน และในที่สุด ก็ถึงคิวของผู้เขียน เมื่อคนก่อนหน้าผู้เขียนออกมาจากห้องตรวจโรค

ห้องตรวจโรคเหมือนบ้านเรา แต่ค่อนข้างใหญ่ กว้างขวาง ด้านข้างเป็นชั้นวางหนังสือแพทย์แบบบ้านเรา ตรงกลางห้องเป็นโต๊ะใหญ่มีแพทย์ผู้หญิง สูงอายุมาก และนางพยาบาลอีก ๑ คน (ทั้งสองคนนั่งทำงานด้วยกัน ไม่เหมือนบ้านเราที่หมอนั่งโต๊ะทำงาน แต่พยาบาลยืนคอยฟังคำสั่ง) ท่าทางใจดีทั้งคู่ เช่นเดิมทั้งสองคนไม่มีการยิ้ม ไม่มีการทักทาย ผู้เขียนนั่งสวดชินะบัญชรคาถาไปด้วย ภาวนาว่าอย่าให้เป็นโรคร้ายใดๆ เลย จากนั้นแพทย์ก็ถามอาการป่วย กรอกทะเบียนประวัติ ซักถามประวัติส่วนตัวผู้เขียน การแพ้ยา และประวัติการผ่าตัด รวมทั้งประวัติบิดามารดา ประมาณ ๕ นาที จากนั้นก็ตรวจความดัน ซึ่งก็บอกว่าความดันปกติ เสร็จแล้วให้ถอดเสื้อออก (แปลกดี) และใช้หูฟังการหายใจ เขาตรวจละเอียดจริงๆ ฟังช้าๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ให้หายใจทั้งแบบธรรมดา และแบบหายใจแรงๆ ประมาณ ๓-๔ นาทีได้ จากนั้นก็ตรวจช่องปาก และวัดปรอท บอกก่อนนะครับ ปรอทที่นี่เขาไม่อมไว้ใต้ลิ้นแบบบ้านเรา แต่ให้เสียบไว้ที่รักแร้ วัดนานมากครับประมาณ ๔-๕ นาทีได้ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่มีไข้ จากนั้นแพทย์ก็เขียนใบสั่งแพทย์บอกให้ไปเอ็กซเรย์โพรงจมูกเพราะผู้เขียนมีน้ำมูกไหล และปวดศีรษะมาก โดยบอกว่า ถ้าเอ็กซเรย์เสร็จให้กลับมาหาหมออีกครั้งหนึ่ง

ผู้เขียนไปที่แผนกรังสีกรรมเพื่อเอ็กซเรย์โพรงจมูกที่ชั้น ๕ ไม่นานครับ ประมาณ ๑๕ นาที ก็ได้ผล แต่ที่สำคัญคือต้องไปจ่ายเงินค่าตรวจแพทย์และค่าเอ็กซเรย์ก่อน ก็แปลกดี ทำไมไม่จ่ายทีเดียวก็ไม่ทราบ หลังจากนั้น ก็มาพบแพทย์ที่ห้องเดิม ไม่ต้องรอคิว เพียงแค่คนไข้ในห้องตรวจโรคออกมา เราก็ใช้สิทธิ์เข้าไปพบแพทย์ได้เลย คนไข้ที่รออยู่ก็ไม่มีใครออกอาการไม่พอใจ แสดงว่าระบบการพบแพทย์ที่นี่เป็นเช่นนี้ แพทย์คนเดิมมองแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์แล้วก็บอกว่า สาเหตุที่ป่วยเกิดจากโพรงจมูกมีปัญหา ให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางอีกคนหนึ่ง จากนั้นเธอก็โทรไปนัดให้ และบอกหมายเลขห้องให้เสร็จเรียบร้อย ผู้เขียนเลยถึงบางอ้อว่า ตนเองที่น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ และง่วงนอนตลอดเวลาเกิดจาก โพรงจมูกอักเสบนี่เอง ถ้ายังดื้อทานยาลดน้ำมูก (แอคติเฟต) และยาแก้ปวดศีรษะ อีกชาตินึงก็ไม่หาย จึงนึกขอบคุณความน่ารักของมาดามอยู่ในใจ ถ้าคุณเธอไม่บ่น ผู้เขียนก็คงทานยาเองเหมือนเดิม และก็คงไม่หายแน่ๆ

แพทย์เฉพาะทางด้านโพรงจมูกอยู่ที่ชั้นสองซึ่งก็น่าจะเป็นแผนกหู คอ จมูกแบบบ้านเรา ปรากฎว่าไม่มีคนไข้รอมากนัก แต่แพทย์ก็ไม่ออกมาเรียกใครเข้าไป (หน้าห้องแพทย์มีแผ่นป้ายระบุว่า ห้ามเข้าไปเอง โดยไม่ได้เรียก) ผู้เขียนรอประมาณเกือบชั่วโมง ก็มีพยาบาลสาวออกมาเรียก พอเข้าไปก็พบแพทย์ผู้หญิง อายุมาก ท่าทางใจดี เธอตรวจช่องปาก โพรงจมูก รูหู จากนั้นก็ดูแผ่นฟิล์ม แล้วถามว่า จะรักษาโดยการผ่าตัดหรือทานยา ผู้เขียนก็เลยอึ้ง หันไปมองหน้าคนรัสเซียที่มาด้วยและเป็นล่ามแปล เขาก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจอะไร แสดงว่าที่รัสเซียนี่ การรักษาโดยการผ่าตัดเป็นเรื่องปกติ แต่บ้านเราน่าจะเป็นวิธีการสุดท้าย ผู้เขียนบอกว่า ทานยา คนรัสเซียที่มาด้วยยังบอกผู้เขียนอีกว่า น่าจะผ่าตัด กินเวลาแค่ ๒๐ นาทีเอง ผู้เขียนก็บอกว่า ไม่เอา กินยาดีกว่า แพทย์ก็ใจดีบอกว่า จะทำความสะอาดโพรงจมูกให้ จะได้หายใจได้สะดวก จากนั้นก็เรียกพยาบาลสาวน้อยมาช่วย และอธิบายว่า ถ้าเธอพ่นยาในช่องจมูก ให้หายใจทางปาก และทำเสียงกุ๊กกรูๆ ห้ามกลืนเสลดที่ไหลออกมา ให้บ้วนลงในถาดที่พยาบาลมาคอยช่วยจับ ผู้เขียนทำตามเสียงนั้นไม่ได้หรอกครับ ได้แต่ทำเสียงกลั้วคอ เธอทำเสร็จไปครั้งหนึ่ง เธอก็ถามว่าดีไหม ก็ดีจริงๆ ครับ โล่งจมูกไปมาก แต่ก็ยังไม่เหมือนปกติ จากนั้นให้ผู้เขียนสั่งน้ำมูกออกมา แพทย์คนนี้เธอก็พ่นน้ำยาในโพรงจมูกให้อีกครั้ง แล้วเขียนใบสั่งแล้วก็บอกให้ไปทำบำบัดด้วยการหายใจในน้ำยาลดการอักเสบของโพรงจมูกที่อีกห้องหนึ่ง นอกจากนั้นเธอยังเขียนใบสั่งยามาให้ด้วย

ผู้เขียนใช้เวลารอหน้าห้องใหม่นี้ไม่นานครับ ประมาณ ๕ นาที พอเข้าไปพบพยาบาลในห้องนี้ เธอก็เตรียมอุปกรณ์หายใจให้เรียบร้อย ซึ่งผู้เขียนต้องเข้าไปนั่งในห้องกระจกสี่เหลี่ยมแคบๆ และมีอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนอ่างล้างหน้า จากนั้นเธอก็อธิบายวิธีการหายใจผ่านอุปกรณ์นั้น โดยผู้เขียนต้องสูดหายใจแบบปกติผ่านน้ำยาเป็นเวลา ๑๐ นาที ซึ่งเธอวางนาฬิกาทรายไว้ให้สังเกต แปลกดีครับ ใช้การจับเวลาที่ง่ายดีและได้ผลด้วย ถ้าทรายไหลหมดหนึ่งรอบก็เป็นเวลาประมาณ ๕ นาที แล้วกลับอีกด้านหนึ่งก็จะครบ ๑๐ นาที เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ผู้เขียนก็ไปจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลที่ชั้นล่าง แล้วก็ไปยังห้องซื้อยา ส่งใบสั่งยาให้พยาบาลและจ่ายเงินค่ายา ยาทั้งหมดเป็นภาษารัสเซียอีกนั่นแหล่ะ คงต้องกลับไปให้คนรัสเซียที่ทำงานช่วยแปลวิธีการใช้ให้ ผู้เขียนใช้เวลาในโรงพยาบาลทั้งหมดเกือบ ๔ ชั่วโมง แต่ก็ดีได้รับรู้ว่า การมาหาหมอที่นี่ ได้ประสบการณ์ที่ดีๆ อีกมาก ภาพเดิมๆ ที่เคยคิดว่า โรงพยาบาลของรัสเซียเก่า อุปกรณ์ไม่สะอาดนั้น เลิกคิดไปเลย ผู้เขียนไปพบโรงพยาบาลที่เหมือนโรงพยาบาลเอกชนบ้านเรา ห้องลงทะเบียน ห้องแพทย์ ห้องจ่ายเงิน ห้องจ่ายยา มีเครื่องคอมพิวเตอร์ครบครัน ที่น่าแปลกใจคือ จอมอนิเตอร์เป็นแบบจอแบนครับ อุปกรณ์ในแต่ละสถานที่ก็ค่อนข้างสะอาด

ท้ายที่สุด

ผู้เขียนขอให้ข้อสังเกตบางอย่างแก่ท่านผู้อ่านที่อาจจะมาเที่ยวรัสเซียว่า ประการแรก โรงพยาบาลที่ผู้เขียนไป แม้มีภาษาอังกฤษประกอบกับภาษารัสเซีย แต่เอกสารทุกชนิด แพทย์และพยาบาลใช้ภาษารัสเซียอย่างเดียว ขนาดผู้เขียนป่วยเป็นโรคง่ายๆ ยังใช้กระบวนการเกือบ ๔ ชั่วโมง และต้องอาศัยล่ามจากคนรัสเซียด้วย ซึ่งล่ามของผู้เขียนบอกว่า ถ้าผู้เขียนป่วยโดยโรคยากกว่านี้ เขาก็ไม่รู้จะแปลอย่างไร

ประการที่สอง แพทย์ที่นี่ตรวจละเอียด วิเคราะห์จริงจังมาก และดูท่าทางมีจรรยาบรรณในการเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วย เขาไม่แน่ใจอะไร เขาจะสั่งเอ็กซเรย์ และให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางทันที แต่ก็นั่นแหล่ะ ที่โรงพยาบาลนี้ อาจจะไม่ใช่ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เพราะค่าตรวจกับค่ารักษามีราคาแพงพอสมควร เทียบได้พอๆ กับโรงพยาบาลเอกชน ผู้เขียนยังเชื่ออีกว่า ถ้าหากมีประกันสุขภาพ น่าจะสะดวกกว่านี้ เพราะต้องจ่ายเงินหลังจากที่ไปรับบริการอย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อน จึงจะไปบริการตรวจจากอีกแห่งหนึ่งได้

ประการที่สาม อย่าป่วยเลยครับ ท่านผู้อ่านที่จะมาอยู่รัสเซีย ผู้เขียนขอแนะนำว่า ให้ตรวจสุขภาพให้ดี รักษาฟันให้เรียบร้อย และควรจะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้เขียนตั้งใจไว้แล้วว่า ไม่ว่ารัสเซียจะหนาวอย่างไร ผู้เขียนก็จะพยายามออกกำลังกายให้มากขึ้น ผ่อนคลายการทำงานให้สมดุลดีกว่า เพราะป่วยแล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย งานเขียนหนังสือและงานสังคมชะงักไปเกือบ ๒ สัปดาห์ รองเท้าวิ่งของผู้เขียนคงจะหลุดออกมาจากกล่อง และจักรยานออกกำลังกายเครื่องที่ซื้อมานั้นคงจะสึกมากกว่าเดิม

พ.อ.สนธิชัย ตุ้มหิรัญ
24 Apr 2005




จากเว็บ //www.geocities.com/rasputin9004



Create Date : 19 พฤษภาคม 2549
Last Update : 19 พฤษภาคม 2549 21:14:40 น. 0 comments
Counter : 925 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

RBZ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




เป็นเดะสีลม(เซนต์โย สีลม)ตอนป.๑ เรียนอยู่สองอาทิตย์ เค้าหาว่าหนูซนเลยต้องย้ายมาเซนต์โยบางนา ตอนนี้อยู่ธรรมศาสตร์ ขึ้นปีสาม แต่อยากเป็นเด็กปีหนึ่ง ตอนนี้กลับไปเป็นเด็กสีลมเหมือนเดิม (โต๊ะสีลม Color of the wind)

เลือกได้ระหว่างอ่าน blog หรือ space
http://spaces.msn.com/ongchun

chivalrysilk [ at ] gmail.com

icq57152514 [ at ] hotmail.com
สำหรับเล่น MSN เท่านั้น
Friends' blogs
[Add RBZ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.