Group Blog
 
All blogs
 

A Dirty Shame (2004): ก๊วนรั่วขอชวนสยิว


A Dirty Shame (2004) :
ถ้าจะเอ่ยถึง ผกก.John Waters ขึ้นมาล่ะก็ คอหนังส่วนใหญ่คงจะนึกไปถึงหนังเรื่อง Pink Flamingos (1972) ที่มีฉาก'กระเทยควายหม่ำขี้หมาสด'อันลือลั่นเป็นอันดับแรกแน่ๆ ซึ่งความบ้าคอแตกของหนังก็เป็นที่โจษจันในแวดวงคอหนังคัลต์กันมาจนถึงทุกวันนี้ (และก็จะโจษจันกันต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน) เรียกได้ว่านั่นคือหนังไฟต์บังคับที่คอหนังคัลต์ทุกคนต้องดูเลยก็ว่าได้


ที่เห็นน่ะ..'เต้า'นะนั่น!?
ส่วนเรื่องนี้คือผลงานเรื่องล่าสุดของป๋าเขาล่ะ (นี่ก็หลายปีมาแล้วนะ) ซึ่งก็ยังคงเปี่ยมด้วยความบ้าบอคอแตกและเอาเรื่องเพศมาเล่นชนิดโจ๋งครึ่มอยู่เช่นเดิม จนหนังติดเรท NC-17 (ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 17 ขวบเข้าชม) มาตามฟอร์มหนังของป๋าเขา ซึ่งผู้สร้างส่วนใหญ่เขามักไม่อยากได้เรทนี้กัน เพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงคนดูในวงกว้าง (กลัวหนังเจ๊งว่างั้นเหอะ) แต่ป๋าเราเขาไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว แถมยังออกมากัดซะอีกว่าถ้าหากหั่นหนังออกตามที่ MPAA (คณะกรรมการจัดเรทหนังของอเมริกา) บอกเพื่อที่จะได้เรท R มาแทนล่ะก็ หนังคงจะเหลือสั้นแค่ 10 นาทีเป็นแน่ (ฮา)


หนังเต็มไปด้วยตัวละครรั่วๆ
ส่วนพล็อตเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องราวการเขม่นกันระหว่างคนสองกลุ่มบนถนน Harford อันดูเหมือนว่าจะสงบสุข ซึ่งก็คือพวกที่ถูกขนานนามว่า 'พวกไร้เพศ'หรือเหล่าชาวบ้านที่ต่อต้านพวกรักร่วมเพศและรังเกียจเรื่องเพศยิ่งนัก และอีกพวกคือ 'พวกบ้าเซ็กซ์' ที่จำนวนน้อยกว่า แต่ก็พยายามจะครองโลก (ป๊าด!!) โดยการปลุกสัญชาตญาณหื่นของทุกคนบนพื้นพิภพให้ลุกโชนขึ้นมาให้จงได้ (ป๊าด!!!)


ดูกันจะๆ อีกครั้งว่านั่นน่ะ 'เต้า'
ถึงหนังเหมือนจะบ้าบอสุดขีดและไร้สาระซะเต็มเหนี่ยว แต่จริงๆ แล้วก็ถือว่าสามารถกัดจิก ประชดประชัน บรรดาพวกมือถือสากปากถือศีลเกี่ยวกับเรื่องเพศได้อย่างแสบสันต์ แถมที่ฮาคือช่วงท้ายเมื่อพวกบ้าเซ็กซ์ยกโขยงไปยึดถนนนั้นก็ให้อารมณ์คล้ายหนังซอมบี้ชอบกล (เพียงแต่เปลี่ยนซอมบี้เป็นพวกบ้าเซ็กซ์แทนเท่านั้น) ส่วนเรื่องอารมณ์ขันห่ามๆ และความโป๊แบบต๊องๆ นั้นก็สุดแล้วแต่รสนิยมของท่านด้วยว่าจะถูกจริตกับอะไรแบบนี้หรือไม่ด้วยแหล่ะ


นักร้อง Chris Isaak ก็มาร่วมรั่วกับเขาด้วย
เพราะเป็นหนังตลกสไตล์ป๋าเขา อะไรก็เลยต้อง เสื่อมๆ เวอร์ๆ สุดกู่อย่างที่เห็น ซึ่งจะว่าไปแล้วอะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะเนอะ โดยเฉพาะในที่นี้ก็คือเรื่อง 'เซ็กซ์' ซึ่งก็หวังว่าพี่น้องจะหาทางสายกลางของท่านเจอเน้อ ไม่งั้นชีวิตท่านอาจจะยุ่งยาก อิรุงตุงนัง แบบผู้คนในหนังของป๋า Waters เรื่องนี้ก็เป็นได้นะ (แต่ชีวิตจริงคงจะฮาไม่ออกเหมือนในหนังแน่ๆ) เหอๆ
  • จุดเด่น: เป็นผลงานเรื่องล่าของ ผกก.หนังคัลต์ในตำนาน (ที่ยังมีลมหายใจอยู่) ที่ยังครบถ้วนเรื่องความบ้าบอเช่นเดิม คอหนังแปลก หนังคัลต์ ทราบแล้วเปลี่ยน
  • จุดด้อย: หนังเหมือนจะบ้าบอไร้สาระ และเสื่อมได้อีก ดังนั้นถ้าไม่ถูกจริตกับอะไรแบบนี้อยู่แล้ว คงจะต้องรู้สึกว่าหนังมันห่วยมากๆ แน่นอน






 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2554 6:45:26 น.
Counter : 4069 Pageviews.  

Due Date (2010): เพราะเรานั้น...คู่กรรม


Due Date (2010) :
เป็นเพราะผลงานเรื่องก่อนของ ผกก.Todd Phillips อย่าง The Hangover (2009) ฮิตถล่มทลายซะขนาดนั้น (ทำเงินไป 467 ล้านเหรียญทั่วโลก) เขาจึงขอกลับมาพร้อมพี่ตุ้ยเคราดก Zach Galifianakis (ที่ก็แจ้งเกิดจากเรื่องที่ว่าเช่นเดียวกัน) อีกครั้ง โดยคราวนี้ได้ Iron Man เอ๊ย Robert Downey Jr. ที่กำลังดังขึ้นหม้อใน พ.ศ.นี้ มาช่วยกันเรียกเสียงฮา (และเรียกตังค์จากกระเป๋าคนดู) ด้วยนะเออ


ดูเหมือนสองหน่อนี้จะรักกันมากนะ
Peter Highman (Downey, Jr.) สถาปนิกหนุ่มใหญ่กำลังจะเดินทางจาก แอตแลนต้า ตรงกลับบ้านที่ แอลเอ เพื่อให้ทันกำหนดคลอดของลูกคนแรกที่กำลังจะลืมตาดูโลกอยู่รอมร่อ แต่แล้วเขาก็ต้องถูกขึ้นบัญชีดำห้ามขึ้นเครื่องบินเพราะความป่วนพาซวยของ Ethan Tremblay (Galifianakis) นักแสดงโนเนมที่เพิ่งพบกัน แล้วต่อมากรรมพาวาสนาถีบส่งให้ทั้งสองหน่อต่างขั้วคู่นี้ต้องเดินทางข้ามซีกประเทศไป แอลเอ ด้วยกัน จนเกิดเรื่องราววุ่นๆ ฮาๆ ตามมามากมายเชียว


สิ่งที่พึงปฏิบัติยามพบเห็นการ'ง่วงแล้วขับ'
ผกก.Phillips ยังมาด้วยหนังแนวโร้ดมูวี่ของคู่ซี้คนละขั้วสูตรเดิมๆ ที่เราเคยดูกันมานักต่อนักแล้ว (โดยเฉพาะหนัง Planes, Trains and Automobiles [1987] ของ Steve Martin) ซึ่งอันที่จริงหนังก็ค่อนข้างชวนให้นึกถึง The Hang Over ในหลายส่วนเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าไม่บ้าเท่า ไม่ฮาเท่า (เรียบร้อยกว่าว่างั้นเหอะ) แถมยังมีจุดโหว่หลายจุดเสียด้วย อาทิเช่นการที่ตำรวจเม็กซิกันสามารถขับรถไล่พวกพระเอกเข้ามาในเขตแดนอเมริกาได้หน้าตาเฉยเป็นต้น

หมาตัวนี้คือตัวขโมยซีน
แต่เชื่อว่าคนดูคงจะยังแฮปปี้กับหนังได้อยู่ เพราะหนังมาพร้อมคู่นักแสดงนำที่เปี่ยมเสน่ห์ซื้อใจคนดูได้อยู่หมัด ซึ่งนี่ก็คือสิ่งสำคัญชี้เป็นชี้ตายที่สุดของหนังแนวนี้เลยทีเดียวแหล่ะ และเช่นเดิมที่ต้องมีเหล่าดารารับเชิญหน้าคุ้นๆ โผล่มาช่วยกันสร้างสีสันกันคนละนิดคนละหน่อยให้พอได้ยิ้ม (ตัว ผกก.ก็ยังโผล่มาเล่นในบทพ่อค้ากัญชาด้วยนะเออ) เมื่อมาเจอวิวทิวทัศน์สวยๆ ของอเมริกา เพลงประกอบโจ๊ะๆ โดนๆ ตามสไตล์หนังของ ผกก.รายนี้ มันก็เลยเป็นอะไรที่ทำให้หนังดูเพลินๆ ขึ้นมาได้เยอะเลยทีเดียว

เฮีย Jamie Foxx ก็โผล่มาช่วยสร้างสีสันด้วย
ดูเหมือนว่าท่าน Downey, Jr. เขาจะว่างเว้นมาจากหนังตลกมานานโขแล้ว (จนคนแทบจะลืมไปแล้วว่าเขาโตมากับหนังตลก) ดังนั้นจึงเป็นการดีที่ได้เห็นเขาในหนังสไตล์นี้อีกครั้ง ซึ่งดูจากตัวหนังที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่และรายได้ของหนังที่ฟันไปกว่า 209 ล้านเหรียญทั่วโลกแล้ว คิดว่าเราก็คงจะได้เห็นเขาในหนังตลกแบบนี้อีกเป็นแน่เชียวครับ พ่อแม่พี่น้องที่รักทั้งหลาย
  • จุดเด่น: เป็นหนังตลก/โร้ดมูวี่ ที่ดูได้เพลินๆ ขำๆ วิวสวยงาม เฮีย Downey, Jr. เขาการันตีความเพลินเลยจ้า
  • จุดด้อย: หนังออกแนวกั๊กๆ แบบพยายามจะเรียบร้อย และไม่ถึงกับฮามากมาย ซึ่งถ้าไม่มีพลังดารามาช่วย รับรองว่าหนังฝืดกว่านี้เยอะเชียวล่ะ




*ช่วงเพลงในหนัง*

Band of Horses
จุดเด่นอย่างหนึ่งในหนังของ ผกก.Todd Phillips ก็คือการรู้จักเลือกใช้เพลงที่โดนๆ มาส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้เป็นอย่างดี ซึ่งในหนังก็เต็มไปด้วยภาพวิวทิวทัศน์สองข้างทางของชนบทอเมริกา เลยต้องใช้เพลงออกไปแนวโฟล์ค/คันทรี่ร็อคซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเพลง 'Mykonos' ของ Fleet Foxes ในฉากที่พี่อ้วนเคราดกกำลังจะหลับใน 'Is There a Ghost' ของ Band of Horses ในฉากขับรถไปถึงแกรนด์ แคนย่อน หรือเพลงที่ออกจะร็อคๆ หน่อยอย่าง 'New Moon Rising' ของ Wolfmother ในตอนที่พี่อ้วนได้กัญชามาใหม่ๆ ว่าแล้วเราก็มีมาให้ฟังเพื่อเป็นการระลึกชาติด้วยจ้า

MP3: Band of Horses - Is There a Ghost

MP3: Wolfmother - New Moon Rising




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 17 มีนาคม 2554 2:29:44 น.
Counter : 2934 Pageviews.  

Fair Game (2010): เกมนี้ไม่มีแฟร์


Fair Game (2010):
ผกก.Doug Liman เป็นที่รู้จักจากหนังขวัญใจคนหนุ่มสาวยุค 90 อย่าง Swingers (1996) กับ Go (1999) ก่อนที่จะมาดังสุดๆ ในฐานะผกก.หนังแอ็คชั่นสุดฮิตอย่าง The Bourne Identity (2002) กับ Mr. & Mrs. Smith (2005) และหลังจากที่ Jumper (2009) ผลงานเรื่องก่อนของเขาไม่เป็นที่ต้อนรับจากบรรดานักวิจารณ์และคนดูสักเท่าไหร่ (แต่ก็ยังทำเงินได้บานอยู่ดี) คราวนี้เขาจึงของดบู๊เข้าพรรษาเปลี่ยนแนวมาทำหนังแนวทริลเลอร์การเมืองเนื้อหาหนักๆ กันบ้างล่ะ


เจ๊ Naomi Watts ในวัย 43 ขวบก็ยังเป็นนางเอกได้อยู่
หนังสร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกากำลังจะบุกอิรักในระหว่างปี ค.ศ.2002-2003 เมื่อ Valerie Plame (รับบทโดย Naomi Watts) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA และ Joseph C. Wilson สามีซึ่งเป็นอดีตนักการทูต (รับบทโดย Sean Penn) ล่วงรู้ความจริงว่าอิรักไม่ได้มีอาวุธร้ายแรงไว้ครอบครองอย่างที่ทั่น ปธน.George W. Bush ใช้กล่าวอ้างเป็นเหตุผลเด็ดให้อเมริกาบุกถล่มอิรักเพื่อโค่นอำนาจ Saddam Hussein อย่างสะดวกโยธิน


เฮีย Sean Penn กำลังขำกิ๊กอะไรบางอย่าง
ฝ่ายคุณสามีเกิดรับไม่ได้ เลยออกมาแฉความจริงนี้ผ่านทางหนังสือพิมพ์ จนเป็นเหตุให้พวกเขาโดนเล่นงานกลับโดยถูกมือมืดป้ายสีดิสเครดิตและเปิดเผยตัวตนของนางเอกว่าเป็น CIA (ซึ่งมันต้องเป็นความลับ) ผ่านทางสื่อบ้าง จนชาวบ้านร้านตลาดพากันเกลียดขี้หน้าผัวเมียคู่นี้ไปทั่ว (หลายคนถึงกับตราหน้าว่าพวกเขาทรยศต่อประเทศชาติเลยทีเดียว) ทั้งคู่จึงได้ตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของตนคืน แม้ว่าศัตรูของพวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกเลยก็ตามที

เจ๊กำลังเครียดเพราะทำข้อสอบไม่ได้
นี่เป็นหนังที่สร้างออกมาได้อย่างขึงขังจริงจังและเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึก โดยไม่รั้งรอที่จะเป็นอีกหนึ่งในแนวร่วมขบวนการหนังด่าบุชเกี่ยวกับการบุกอิรัก แถมยังเหนือกว่าเรื่องอื่นๆ ตรงที่สร้างมาจากเรื่องจริงๆ ของคนที่มีตัวตนจริงๆ กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ใช่เรื่องแต่งเหมือนเรื่องอื่นๆ (แต่ถึงยังไงเราก็ไม่ควรเชื่อหนัง 100% อยู่ดี) ทว่าถึงหนังจะมาพร้อมงานสร้างระดับเยี่ยม ดาราระดับฝีมือสักแค่ไหน หนังก็ยังประสบปัญหาข้อมูลล้น แบบที่เต็มไปด้วยบทสนทนา ไม่สามารถทำให้รู้สึกผูกพันกับตัวละคร และขาดแคลนฉากตื่นเต้นที่จะทำให้คนดูหายง่วงได้บ้าง


สังเกตมั้ยว่าหนังเรื่องนี้มีแต่คนทำหน้าเครียด
ดังนั้นถ้าไม่ใช่คอหนังการเมืองหรือไม่ใช่คนมะกันก็คงจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้น้อยลงหน่อย นี่จึงเป็นหนังดีอีกเรื่องที่ดูไม่ค่อยสนุกสำหรับคอหนังทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะมีอะไรที่น่าเอามาคิดบ้างก็คงจะเป็นเรื่องเสรีภาพของคนมะกันเขาที่ถึงจะไม่เต็มร้อยซะทีเดียวแต่เท่าที่มีก็หรูแล้ว เพราะลองถ้าเป็นบ้านเรา การจะทำหนังด่ารัฐบาลและอดีตผู้นำประเทศแบบเขาบ้างนั้น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แน่เชียว โถ...กะอีแค่การจะเอาชื่อลูกอดีตนายกมาล้อแบบขำๆ ก็ยังไม่ได้เล๊ย เราก็เลยจำต้องพึ่งอินทรีแดงให้ออกเล่นงานบรรดานักการเมืองชั่วๆ ไปพลางๆ ก่อนละกัน (ดีกว่าทำอะไรไม่ได้เลยเนอะ) เหอๆ
  • จุดเด่น: เป็นหนังทริลเลอร์การเมืองด่าบุช ข้อมูลเพียบ งานสร้างดูดี แถมสร้างจากเรื่องจริงเสียด้วยนะ
  • จุดด้อย: เป็นหนังดีแต่ไม่สนุก เพราะหนังเต็มไปด้วยบทสนทนา เลยค่อนข้างจะน่าเบื่อไปสักนิด ถ้าท่านไม่ใช่คอหนังการเมืองตัวจริงเสียงจริง




*ช่วงโปรดอย่าหยิบผิด*
Fair Game (1995) เวอร์ชั่นอึ๋มเอ็กซ์
โปรดอย่าหยิบผิดเรื่อง(คงจะมีหรอกนะ) คว้าเอาหนังแอ็คชั่นตีหัวเข้าบ้านปี 1995 เรื่องนี้มาแทนซะล่ะ ไม่งั้นแทนที่ท่านจะได้ดูหนังทริลเลอร์การเมืองด่าบุชสุดจริงจัง ท่านก็จะได้ดูหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ดาดๆ ที่มีนางเอกหุ่นอึ๋ม Cindy Crawford อดีตนางแบบชื่อดังจากยุค 90 มาวิ่งโชว์อึ๋มให้ดูตลอดทั้งเรื่องแทน ซึ่งคุณภาพของหนังนั้นก็แจ่มเกินทนจนได้รับการก่นด่าจากคอหนังอย่างดุษฏี เล่นเอาเจ๊ Crawford ผันตัวจากแคทวอล์คไปหากินต่อในวงการหนังไม่สำเร็จ และค่อยๆ หายจากสารบบบันเทิงไปโดยปริยายเอย




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2554 0:10:25 น.
Counter : 3838 Pageviews.  

The Tourist (2010): เที่ยวเวนิสทั้งที ต้องมีซ้อ


The Tourist (2010) :
หนังโรแมนติก ทริลเลอร์ ที่เป็นการรีเมคมาจากหนังฝรั่งเศส Anthony Zimmer (2005) เรื่องนี้นับว่าเป็นหนังที่มีการวางตัวดาราและได้เปลืองที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะมีดาราดังๆ อย่าง Tom Cruise, Sam Worthington, Charlize Theron เคยขึ้นชื่อในบทนำมาแล้ว แต่สุดท้ายก็มาลงเอาที่เฮีย Johnny Depp และซ้อ Angelina Jolie ซะงั้น ซึ่งด้วยบารมีของทั้งสองก็เลยทำให้หนังกวาดเงินไปได้กว่า 224 ล้านเหรียญเชียวนะ ขอบอก


เคยคุยกับคนแปลกหน้าบนรถไฟมั้ย?
หนังเล่าเรื่องของ Frank (Depp) ครูสอนเลขชาวมะกันที่กำลังเดินทางไปท่องเที่ยวที่อิตาลี ซึ่งจู่ๆ ก็มีสาวงามนามว่า Elise (Jolie) เข้ามาตีซี้ตลอดทริป จนเล่นเอาเฮียถึงกับเคลิ้มไปเลยทีเดียว แต่แล้วเขาก็ต้องเจอะกับเรื่องราววุ่นๆ มากมาย เพราะดันมีทั้งเหล่าตำรวจและก๊วนมาเฟียคอยตามมาปฏิบัติการจองเวร เนื่องด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเขานั่นแหล่ะคืออาชญากรตัวเป้งซึ่งเป็นสามีของซ้อ Elise ตัวจริงเสียงจริงที่ไปเข้า รพ.ยันฮี เพื่อผ่าตัดทำหน้าใหม่มาซะงั้น


เฮียเดปป์กำลังมองซ้ออย่างมีเลศนัย
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าหน้าหนัง(ที่ไม่ใช่หนังหน้า)เรื่องนี้แข็งแรงเอามากๆ เพราะเป็นหนังที่นำแสดงโดยดาราชายหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในยุคนี้อย่างเฮีย Depp และซ้อ Jolie รวมทั้งได้ Florian Henckel von Donnersmarck ผกก.ชื่อย๊าวยาวชาวเยอรมันเจ้าของหนังคุณภาพเรื่อง The Lives of Others (2006) มาดูแลด้วย แถมหนังยังมีโลเคชั่นวิวสวย สุดโรแมนติค ทั้งในฝรั่งเศสและอิตาลีอีกต่างหาก นี่จึงเป็นหนังที่หลายคนหมายหัวไว้เลยว่าจะไม่พลาดแน่นอน เลยอาจเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมหนังถึงได้ทำเงินซะขนาดนั้น


เรือคือพาหนะสำคัญในหนังเรื่องนี้
แต่ว่าน่าเสียดายที่หนังเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไปซะงั้น คือจะโรแมนติกก็ไม่ จะสนุกตื่นเต้นก็ไม่ เคมีระหว่างพระนางก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเวิร์คสักเท่าไหร่ ส่วนการหักมุมอะไรก็ดูไม่น่าตื่นเต้น หรือสร้างความแปลกใจให้ได้เลย (หลายๆ คนคงจะเดาได้ตั้งแต่กลางเรื่องแล้วด้วยซ้ำ) ถึงกระนั้นหนังก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้ายอะไรหรอกนะ มันแค่ธรรมดาไปหน่อยเท่านั้น แต่เอาน่า แค่ได้เห็นสองพระนางขวัญใจมหาชนมาขึ้นจอพร้อมกัน และการได้ดูวิวทิวทัศน์งามๆ ของเวนิส กับฝรั่งเศส แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการดูหนังเรื่องนี้แล้วล่ะเนอะ ว่ามั้ย?


เอาแค่ดูสองพระนางและวิวสวยๆ ก็คุ้มแล้วสำหรับหนังเรื่องนี้
  • จุดเด่น: การขึ้นจอพร้อมกันของเฮีย Depp และซ้อ Jolie ในบรรยากาศสุดโรแมนติกของฝรั่งเศสและ เวนิส อิตาลี
  • จุดด้อย: หนังเล่าเรื่องได้ธรรมดาถึงขั้นเฉยไปหน่อย โดยเฉพาะถ้าวัดกันจากชื่อชั้นของทั้ง ผกก.และดาราแล้ว





*ช่วงเพลงในหนัง*

Katie Melua
หนังใช้เพลงของสาว Katie Melua ที่ชื่อ No Fear of Heights ในฉากที่ซ้อ Jolie ตัดสินใจปล่อยเฮีย Depp ให้กลับบ้านไปเสีย เพราะเธอเริ่มจะมีใจให้เขาและไม่อยากให้เขาต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตรายรอบตัวเธออีกต่อไป ซึ่งถึงแม้จะเปิดให้ฟังกันแค่แป๊บเดียวแต่ก็สร้างอารมณ์หงอยๆ เศร้าๆ แก่หนังได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกเพลงที่น่าพูดถึงก็คือเพลงของ Muse ที่ชื่อ Starlight ที่ถูกใช้ในช่วงเอนด์เครดิตได้อย่างเท่ปนคึกคักดีซะจริง ว่าแล้วเราก็มีทั้งสองเพลงมาให้ฟังกันตามฟอร์มจ้า

MP3: Katie Melua - No Fear of Heights

MP3: Muse - Starlight




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2554 0:05:23 น.
Counter : 2545 Pageviews.  

Gulliver's Travels (2010): อ้วนพริ้วตะลุยแดนคนจิ๋ว

Gulliver's Travels (2010) :
ดูเหมือนว่าพี่ตุ้ยพริ้ว Jack Black จะปวารณาตนเป็นนักแสดงขวัญใจคุณหนูๆ อย่างเต็มตัวซะแล้ว เพราะว่านี่คือหนังเอาใจครอบครัวที่ขายชื่อของเขาแบบสุดๆ เป็นเรื่องแรกเลยก็ว่าได้ (ไม่นับหนังการ์ตูนที่เขาให้เสียงพากย์เน้อ) แถมหนังยังออกฉายต้อนรับเทศกาลคริสตมาสจนทำเงินเถิดเทิงไปได้กว่า 180 ล้านเหรียญเลยทีเดียว (จากทุนสร้าง 120 ล้าน) ดีใจด้วยจ้าพี่ตุ้ย


เฮียตุ้ยขอฉายเดี่ยวแบบบิ๊กๆ
และอย่างที่รู้กันว่าหนังดัดแปลงเรื่องราวมาจากนิยายคลาสสิคของ Jonathan Swift ที่ออกตีพิมพ์ตั้งแต่ ค.ศ.1726 เลยโน่น โดยได้โยกเรื่องราวให้มาเกิดขึ้นในปัจจุบัน เมื่อ Lemuel Gulliver (Black) หนุ่มขี้แพ้ร่างตุ้ยดันจับพลัดจับผลูโผล่ไปนอนอืดเป็นปลาพะยูนเกยตื้นยังดินแดนคนจิ๋วอันลี้ลับ จนเกิดเรื่องราวสนุกๆ สไตล์พี่ตุ้ยเกิดขึ้นตามมาอีกมากมายเลยทีเดียวเชียว


เอฟเฟกต์แสนตระการตา(ตรงไหน?)
ต้องเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้ถูกสร้างมาเพื่อเอาใจเด็กๆ โดยเฉพาะ ดังนั้นอะไรๆ ในหนังจึงออกมาง่ายๆ ไม่ซีเรียส ไม่ต้องมีเหตุผลให้มากนัก ผกก.Rob Letterman ที่เคยทำแต่อนิเมชั่นมาตลอด (อาทิ Monsters vs Aliens และ Shark Tale) ก็ทำหน้าที่พอไปได้ แบบที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่มีอะไรให้ฮือฮา เพราะจะว่าไปแล้วหนังเขาตั้งใจขายเสน่ห์ของพี่ตุ้ยแบบเน้นๆ เสียแต่ว่าบทหนังก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาวาดลวดลายได้มากนัก (เพราะอาจจะเกรงว่าหนังจะแรงเกินเรท PG ก็เป็นได้) เล่นเอางานนี้ถ้าไม่ได้รักกันจริงชอบกันจริงก็คงจะเหม็นเบื่อกับพฤติกรรมของพี่ตุ้ยเขาได้ไม่ยากเลยล่ะ เหอๆ


คู่ใครคู่มันไปเลยล่ะงานนี้
นอกจากปริมาณความสนุกอันเบาบางของหนังแล้ว หนังก็ยังพอมีอะไรให้ยิ้มอยู่บ้าง อย่างเช่นการใช้ประโยชน์จากการเป็นหนังของ 20th Century Fox เลยทำให้สามารถหยิบเอาหนังดังๆ ของที่นี่อย่าง Star Wars, Avatar และ Titanic (และอีกหลายเรื่อง) มาแซวแบบขำๆ ได้อยู่ แต่จะว่าไปแล้ว หนังยังมีประเด็นเกี่ยวกับคนที่โลกเมิน คนที่ใครๆ ก็ไม่เห็นค่าที่อยากจะเป็น Somebody ให้ทุกคนหันมายกย่องและเห็นความสำคัญบ้าง ซึ่งถ้าหนังต้องการจะพูดถึงประเด็นนี้จริงๆ ล่ะก็ เท่าที่เห็นนี่ยังถือว่าสอบไม่ผ่านนะจ้ะ พี่ตุ้ย


อย่าแหย่ให้เฮียโกรธก็แล้วกัน
  • จุดเด่น: เป็นหนังครอบครัว ขายเสน่ห์พี่ตุ้ย แบบไม่มีพิษมีภัยที่ออกมาดูได้เพลินๆ พอใช้ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องมีสาระ (อ้าว?)
  • จุดด้อย: หย่อนความสนุก ไม่มีอะไรเด็ดๆ แบบที่แม้แต่กับเด็กๆ ที่ก็ยังดูไปหาวไปเป็นระยะๆ เลย




*ช่วงเพลงในหนัง*

วง Kiss
ถ้าดูหนังพี่ตุ้ยเขามาตลอดจะรู้ดีว่าเขาเป็นขาร็อค ที่เคยตั้งวงออกอัลบั้มมาแล้ว (ดังนั้นในหนังหลายๆ เรื่องของเขาเราจึงมักได้เห็นเขาโชว์ลีลาร้องเล่นเพลงอยู่เรื่อย) และชื่นชอบวงร็อครุ่นลายครามจากยุค 70 อย่าง Kiss มากมายขนาดไหน ซึ่งในหนังเรื่องนี้เราก็จะได้ยินเพลงร็อคคลาสสิคของ Kiss อย่าง Rock and Roll All Nite ในฉากเล่นเกม รวมทั้งเพลงที่ชื่อ Kiss ของ Prince ในช่วงช่วยเพื่อนจีบสาว ว่าแล้วเราก็มาฟังสองเพลงที่ว่ากันดีกว่าจ้า





 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 0:15:41 น.
Counter : 4921 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.