Group Blog
 
All blogs
 

Thursday (1998): โคตรระห่ำแม้วันมามาก

Thursday (1998) :
Casey (Thomas Jane จาก The Mist [2007]) อดีตพ่อค้ายาจอมโหดจากแอลเอ ตัดสินใจกลับตัวกลับใจล้างมือจากวงการ หลบไปแต่งงานอยู่กินกับแฟนสาวคนสวยในย่านชานเมืองอันแสนสงบสุข โดยปิดบังอดีตของตนไว้ไม่ให้ใครรู้ แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนเก่าร่วมโฉดอย่าง Nick (Aaron Eckhart จาก Battle: Los Angeles [2011]) ก็โผล่มาเยี่ยมเยียนถึงบ้านพร้อมกับได้พาเรื่องวุ่นๆ มากมายติดไม้ติดมือมาเป็นของฝากด้วยอีกต่างหาก จนเล่นเอางานนี้พระเอกเราแทบไม่ไหวจะเคลียร์กันเลยทีเดียว


นี่คือผลงานสมัยที่สองคนนี้ยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว
หนังอาชญากรรมปนตลกร้ายเรื่องนี้เป็นผลงานในช่วงที่สองหน่อข้างต้นเขายังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวกันอยู่เลย (นี่เป็นผลงานเรื่องแรกๆ ของเฮีย Eckhart เสียด้วยซ้ำ) หนังใช้นักแสดงเพียงไม่กี่คน (ป๋า Mickey Rourke ก็โผล่มาด้วยในสภาพที่ยังไม่เยินเยี่ยงในปัจจุบัน) แถมยังใช้ฉากแค่สองสามฉาก แต่ผกก./มือเขียนบท Skip Woods ก็ควบหน้าที่ประเดิมผลงานเรื่องแรกของเขานี้ได้อย่างน่าชื่นชม เพราะสามารถทำหนังให้ออกมาดูเพลิน เปี่ยมอารมณ์ขัน แต่ก็ยังโหดได้อยู่


ตอนนั้น Mickey Rourke ยังไม่ค่อยเยินเท่าไหร่เลย
ดูเหมือนหนังจะได้รับอิทธิพลหรือมีอารมณ์ใกล้เคียงกับหนังของป๋า Quentin Tarantino ไม่ก็สองพี่น้อง Coen อยู่บ้าง (แต่ก็คงไม่เด็ดเท่าหรอกนะ) จึงนับเป็นหนังเล็กๆ ที่คุณภาพไม่เล็ก และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ได้เห็นลีลาสมัยที่สองหนุ่ม Eckhart และ Jane เพิ่งเริ่มตั้งหลักในอาชีพนักแสดง ซึ่งไปๆ มาๆ ทุกวันนี้เฮีย Eckhart ที่เล่นเป็นแค่บทเพื่อนพระเอกในคราวนั้นจะมีชื่อเสียงกว่าพระเอกเราไปแล้วซะงั้น นี่ขนาดยังไม่นับป๋า Rourke ที่ลุกจากหลุมกลับมาดังได้อีกครั้งด้วยนะเนี่ย อนาคตอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้จริงๆ ครับพี่น้อง เหอๆ

*ปล.หนังเรื่องนี้ก็มีให้ดูใน Youtube จ้า*
  • + เป็นหนังอาชญากรรมปนตลกร้ายที่ทำได้ดี มีสไตล์ ดูเพลิดเพลิน แถมเป็นผลงานช่วงแรกๆ ของสองหนุ่มที่เอ่ยถึงข้างต้นอีกต่างหาก น่าสนใจๆ
  • - ไม่ใช่หนังบู๊ดูเอามันส์ หรือเข้มข้นลุ้นจนฉี่เหนียว แถมเล่นกันไม่กี่คน และใช้ฉากไม่กี่ฉากอีกต่างหาก




+รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ Aaron Eckhart ภายในบล็อก+




 

Create Date : 18 เมษายน 2554    
Last Update : 18 เมษายน 2554 11:37:38 น.
Counter : 2206 Pageviews.  

The Rite (2011): คนเฉ่งผี


The Rite (2011) :
ช่วงนี้หนังหนังแนวภูติผีปีศาจส่งเสริมความเชื่อคริสเตียนกำลังมาแรง เพราะเรื่องไหนเรื่องนั้นก็ล้วนทำเงินเป็นกอบเป็นกำทั้งสิ้นไม่ว่าจะ Devil (2010), The Last Exorcism (2010), The Exorcism of Emily Rose (2005) ว่าแล้วผู้สร้างเรื่องหลังสุดก็เลยขอทำหนังแนวนี้ออกมาอีกสักเรื่อง โดยคราวนี้ได้ทั่นเซอร์ (ที่ไม่เซ่อ) Anthony Hopkins มาเป็นตัวเรียกแขกซะด้วยนะ


มาดขับผีของคุณพ่อ Anthony Hopkins
หนังสร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง เมื่อวาติกันเปิดสอนหลักสูตรการขับผีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นเรื่องภูติผีปีศาจจึงไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแน่นอน ว่าแล้วหนังก็ตามไปดูเรื่องราวของ Michael (Colin O'Donoghue) นักเรียนบาทหลวงหนุ่มชาวมะกันที่กำลังประสบวิกฤตทางความเชื่อ และบาทหลวงนักขับผีตัวยงอย่างคุณพ่อ Lucas (Hopkins) ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายตัวพ่อที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาอยู่ทุกขณะจิต จนเล่นทั้งคู่เอาต้องงัดไม้กางเขนขึ้นมาต่อกรแทบไม่ทันเลยทีเดียว


สองนักแสดงนำของเรื่อง
ผกก.Mikael Håfström ที่เคยทำหนังผีสุดหลอนเรื่อง 1408 (2007) กลับมาพร้อมหนังแนวผีสางอีกครั้ง โดยคราวนี้ เขาขอเล่นกับประเด็นเรื่องเล่ห์กลของปีศาจ และความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้ากันแบบเน้นๆ เลยทีเดียว ในขณะที่ด้านความตื่นเต้นน่ากลัวมุกผีหลอกตุ๊งแช่นั้นก็ออกมาพื้นๆ แบบที่เคยเห็นมานักต่อนักในหนังแนวนี้นั่นแหล่ะ ซึ่งเราเข้าใจว่า ผกก.เขาคงไม่อยากเน้นตรงจุดนี้ให้เป็นจุดขายมากนัก ดังนั้นหนังจึงคงไม่ค่อยน่าจะเป็นที่โดนใจคอหนังสยองส่วนใหญ่เป็นแน่


หนังเรื่องนี้ถูกสร้างมาเพื่อชาวคริสเตียนนะจ้ะ
แต่ถ้าหากท่านเป็นผู้ที่เชื่อพระเจ้าไม่ว่าจะฝั่งแคทอลิคหรือโปรเทสแตนท์แล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้ช่างเข้าท่ายิ่งนัก เพราะทั้งส่งเสริมความเชื่อในพระเจ้า ทำให้ตระหนักถึงกิจการและเล่ห์เหลี่ยมของมารซาตานมากขึ้น ยิ่งรู้ว่ามาจากเรื่องจริงด้วยแล้วเนี่ย ไม่ซูฮกไม่ได้แล้ว และหนังก็ยังคงมีสาส์นเดียวกับหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ ก็คือ "ถ้าหากว่าเชื่อว่ามีปีศาจก็ต้องเชื่อว่ามีพระเจ้า และถ้าหากเชื่อว่ามีพระเจ้า ก็ต้องเชื่อว่ามีปีศาจเช่นเดียวกัน" แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อว่ามีปีศาจหรือไม่ นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ท่านพ้นจากการปองร้ายของมันเลย นอกจากจะให้ความเชื่อในพระเยซูช่วยคุ้มครองท่านนั่นแล ทราบแล้วเปลี่ยนจ้า


ยืนคิดอะไรอยู่ครับลุง
  • + หนังส่งเสริมความเชื่อคริสเตียน เนื้อหาดี การแสดงเด่น แถมมาจากเรื่องจริงอีกต่างหาก
  • - ฉากผีหลอกออกมาพื้นๆ ซึ่งสำหรับขาจรทั่วไปแล้ว คงเห็นว่าหนังมันก็งั้นๆ แหล่ะ






*รีวิวหนังของ ผกก.Mikael Håfström ทั่น Anthony Hopkins และหนังเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*




 

Create Date : 16 เมษายน 2554    
Last Update : 16 เมษายน 2554 8:25:10 น.
Counter : 2868 Pageviews.  

Battle: Los Angeles (2011): วัน นย.กู้โลก

Battle: Los Angeles (2011) :
ช่วงที่ผ่านมามีหนังเอเลี่ยนบุกแอลเอ (ลอสแองเจิลลิส นะไม่ใช่ ร้อยเอ็ด) ออกมาฉายไล่ๆ กันอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ Skyline (2010) อันเป็นที่ลือลั่นถึงความห่วย (แต่เราชอบ) ที่สร้างออกมาฉายตัดหน้าก่อนตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และคราวนี้ก็มาถึงคิวของเรื่องที่สองนี้ซึ่งหน้าหนังก็ดูดีมีราศีกว่ากันเยอะเชียว (ทุนสร้างก็หนากว่าเยอะ) นับเป็นอีกเรื่องของปีนี้ที่คอหนังหลายคนตั้งตารออยู่เลยล่ะ


นี่คือหนังโปรนาวิกโยธินก็ว่าได้
ใน Skyline เขาเล่าเรื่องผ่านมุมมองของชาวบ้านกันไปแล้ว ถึงคราวของ Battle ก็ขอเสนอมุมมองของเหล่าทหารนาวิกโยธิน (ที่เรียกย่อๆ ว่า นย.) ที่ต้องไปทำภารกิจบู๊แหลกลาญในวันที่แอลเอและหัวเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก (ยกเว้นกรุงเทพ อิอิ) ถูกเอเลี่ยนพันธุ์บ้าสงครามยกพลมาถล่มเพราะมันต้องการยึดโลก ยึดทรัพยากรสำคัญซึ่งนั่นก็คือ'น้ำ'ที่มีปกคลุมโลกอยู่กว่า 70% นั่นเอง ซึ่งงานนี้ก็ต้องลุ้นกันล่ะว่าพี่หารของเราเขาจะกอบกู้โลกไว้ได้ยังไง จะทำให้คนดูชีช้ำใจเหมือนในคราว Skyline หรือไม่ โปรดติดตามๆ

เจ๊ Michelle Rodriguez มากับบทบาทสาวห้าว(อีกแล้ว)
ผกก. Jonathan Liebesman (The Texas Chainsaw Massacre: The Beginning [2006]) ขอหันมาทำหนังสงครามไซไฟแบกกล้องถ่ายฉวัดเฉวียนชวนเวียนหัวบ้าง และยังยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าหนังได้รับอิทธิพลมาจากหนังสงครามดังๆอย่าง Black Hawk Down (2001), Saving Private Ryan (1998) กับอีกหลายเรื่อง โดยมีทีมสร้างเอฟเฟกต์ระดับฝีมือมาเนรมิตเหล่าเอเลี่ยนและภาพเมืองแอลเอในสภาพลุกเป็นไฟได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แถมยังได้เฮีย Aaron Eckhart (The Dark Knight [2008]) มาเล่นเป็นพระเอกเสริมโหงวเฮ้งให้กับหนังอีกด้วย


เชื่อหรือไม่ว่าเมืองเยินขนาดนี้ยังมีไฟฟ้าให้ใช้เน็ตให้เล่นได้อยู่
การที่หนังช่างชวนให้นึกถึงหนังเรื่องต่างๆ ที่เอ่ยถึงในข้างต้น รวมถึงหนังแนวเอเลี่ยนถล่มโลกเรื่องอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีอะไรใหม่ๆ แหล่มๆ เกินคาด มาให้ได้เห็นนัก ในขณะที่หนังมีเวลาปูคาแร็คเตอร์ตัวละครหลักหลายคนด้วยระยะเวลาจำกัดเพียง 20 นาที ก่อนเข้าสู่ช่วงตื่นเต้นที่ลากยาวตลอดเรื่อง จึงทำให้แต่ละคนดูลึกมีมิติชวนให้ท่านผู้ชมผูกพันไม่ได้อยู่แล้ว ในขณะที่เหล่าเอเลี่ยนก็น่าจะมีกลยุทธ์ยึดโลกที่เหนือชั้นมากกว่านี้นะ (แบบนี้มันลูกทุ่งไปนิดนะ ว่ามั้ย?) และกลับกลายเป็นว่าช่วงที่ชวนลุ้นที่สุดของหนังกลับกลายเป็นช่วงก่อนการเผชิญหน้ากับเหล่าเอเลี่ยนไปซะงั้นนี่

เอฟเฟกต์ดูดีสมราคาเชียว
ถ้าจะดูแบบจับผิดคิดมากก็คงจะมีอะไรให้คาใจเยอะ อย่างเช่นการที่แอลเอถูกถล่มหนักซะปานนั้น แต่ไฟฟ้าอินเตอร์เนตกลับยังมีบริการให้พวกพระเอกไปดูข่าวหาจุดอ่อนเอเลี่ยนได้พร้อมสรรพซะงั้น ยังไงก็เอาเป็นว่าหากว่าคาดหวังจะดูแต่ฉากบู๊ เอฟเฟกต์กันอย่างเดียวล่ะก็ถูกใจใช่เลย โดยเฉพาะกับบรรดาคอเกมที่คงจะเห็นหนังเรื่องนี้เหมือนฝันเปียกที่กลายเป็นจริง นี่จึงเป็นหนังเอเลี่ยนบุกโลก โปร นย.ที่ดูเอามันส์ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอฟเฟกต์แจ่ม ตามประสาหนังฮอลลีวู้ดพิมพ์นิยมเขาล่ะจ้า
  • + เอฟเฟกต์ดี บู๊กระหน่ำ ดูได้เพลินๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก คอหนังสงครามและคอเกมส์คงจะปลื้มกันเป็นพิเศษ นย.สู้ๆ!
  • - ไม่มีอะไรพิสดารไปกว่าหนังแนวเอเลี่ยนบุกโลกเรื่องอื่นๆ และบู๊กันอย่างเดียวไม่มีอะไรให้ซึมซับมากไปกว่านั้น



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก (คลิกเพื่ออ่าน)*




 

Create Date : 15 เมษายน 2554    
Last Update : 15 เมษายน 2554 17:26:26 น.
Counter : 3516 Pageviews.  

The Eagle (2011): อินทรีทองเร้นรัก


The Eagle (2011) :
Channing Tatum เป็นนักแสดงหนุ่มหุ่นล่ำมาแรงชาวมะกันที่ทำท่าจะดังเต็มเหนี่ยวตั้งแต่ครั้งสมัย G.I. Joe: The Rise of Cobra (2009) แล้ว แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่รุ่งสมใจหวังเสียที คราวนี้เขากลับมาอีกครั้งโดยขอร่วมงานกับ Kevin Macdonald ผกก.คุณภาพคับไหชาวสก็อตแลนด์ เจ้าของผลงานสุดลือลั่นอย่าง The Last King of Scotland (2006) นั่นเองจ้า


หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นโคลนสาบเกย์
หนังพาย้อนไปยุคโรมันเรืองอำนาจในปี ค.ศ.140 เมื่อ Marcus Flavius Aquila (Tatum) ผู้บังคับการทหารโรมันหนุ่มไฟแรง ตัดสินใจดอดเข้าไปยังเขตแดนคนเถื่อนในตอนเหนือของเกาะบริเทน (อังกฤษในปัจจุบัน) เพื่อหวังจะตามหาตราสัญลักษณ์อินทรีทองที่หายสาบสูญไปพร้อมกับทหารกองพลที่ 9 เป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยพระเอกเราหวังว่าการเสี่ยงตายของเขาครั้งนี้นอกจะเป็นการกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวโรมันให้กลับคืนมาแล้ว ยังเป็นการกู้ชื่อพ่อของตนที่เป็นผู้บังคับบัญชาของกองพลที่ 9 ในครั้งนั้นอีกด้วย


สองหนุ่มประจำเรื่อง
ปีที่แล้วเราก็เพิ่งจะได้ดูหนังที่เกี่ยวกับทหารโรมัน 'กองพลที่ 9' อย่าง Centurion กันมาหยกๆ แต่ว่าทั้งสองเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีพล็อตที่เหมือนกับลอกการบ้านกันมาหรอกนะ เพราะหนังเรื่องล่าสุดนี้เป็นการเล่าเรื่องที่ทิ้งห่างจากเหตุการณ์ในเรื่องแรกกว่า 20 ปี ซึ่งถ้าจะเอามาดูเป็นหนังภาคต่อกันเลยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่โหดเลือดสาดเท่า และออกจะเกย์ๆ เสียด้วยซ้ำไป (?!)

แถวอังกฤษเขามีอินเดียนแดงด้วยรึ?!
ที่บอกไปเช่นนั้นก็เพราะว่าหนังมีแต่ตัวละครหลักที่เป็นชาย ซึ่งมักจ้องหน้ากันอย่างมีความหมาย ดังนั้นเลยอาจจะพาลทำให้ได้กลิ่นโคลนสาบเกย์อยู่บ้าง และแทบจะชวนให้นึกว่าเป็น Brokeback Mountain เวอร์ชั่นโรมันไปซะแล้วด้วยซ้ำ (ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะการรักร่วมเพศมันก็เป็นเรื่องปกติวิสัยในสมัยโรมันอยู่แล้วนิ) แต่ก็ไม่ถึงขนาดแจ่มแจ้งม่วงแจ๋แต่ประการใด (ถ้าไม่คิดมากคงไม่สังเกตเห็นตรงจุดนี้)

เสื้อผ้าหน้าผมดูดีมีราคา
ทว่าการที่หนังดูเกย์หรือไม่เกย์นั้นคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เมื่อเทียบกับการที่หนังเปิดตัวได้อย่างน่าติดตามแต่ดันค่อยๆ หย่อนความสนุกลงไปในช่วงต่อๆ มา และเมื่อมาเจอการแสดงแบบเดิมๆ มาดเดิมๆ พร้อมสำเนียงอเมริกันจ๋าของพระเอกเรา (ในบทนายทหารโรมันเนี่ยนะ?) เข้าไปอีก เลยยิ่งลดความน่าติดตามลงไปใหญ่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังโดยรวมก็ยังไม่เรียกว่าห่วยหรอกจ้า เพียงแต่ว่ามันเฉยไปนิด คนที่ชอบดูหนังย้อนยุคสมัยโรมันฟันดาบโช๊งเช๊ง ที่เสื้อผ้าหน้าผมดูดี วิวสวยงาม วายหน่อยๆ ก็คงจะดูกันได้เพลินๆ อยู่แหล่ะนะ ขอบอก

ปล.การหายไปของกองพลที่ 9 เป็นเรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวในหนังเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการต่อยอดที่สร้างจากนิยายอีกต่อหนึ่งเน้อ ไม่ใช่เรื่องจริงจ้า

  • + งานสร้างดูดี วิวทิวทัศน์งดงาม วายหน่อยๆ ดูกันได้เพลินๆ
  • - สนุกช่วงแรกแต่กลับจืดลงไปในช่วงต่อๆ มา กับพล็อตเรื่องที่แสนธรรมดา ใครคาดหวังความยิ่งใหญ่ของฉากรบก็มองข้ามไปได้เลยจ้า




*รีวิวหนังของ ผกก.Kevin Macdonald หนุ่ม Channing Tatum และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*




 

Create Date : 14 เมษายน 2554    
Last Update : 14 เมษายน 2554 17:27:15 น.
Counter : 4923 Pageviews.  

Hobo with a Shotgun (2011): ไอ้แก่ลูกซองโหด


Hobo with a Shotgun (2011):
นี่คือหนังยาวเรื่องที่สองต่อจาก Machete (2010) ที่ถูกต่อยอดจากการเป็นหนังเทรลเลอร์กำมะลอที่ฉายคั่นในหนังควบ Grindhouse (2007) ของเสี่ย Quentin Tarantino (Death Proof) และ Robert Rodriguez (Planet Terror) ซึ่งถึงแม้ศักดิ์ศรีและหน้าหนังจะด้อยกว่าเขา แต่ก็ออกมาถูกใจแฟนๆ จนถูกยกย่องว่าทำได้โหดมันส์ฮากว่าสามเรื่องที่เอ่ยมาข้างตนเสียอีกด้วยซ้ำไป


ลุง Rutger Hauer ขอเป็นพระเอกบ้างเถ๊อะ
ส่วนเรื่องราวก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คือ Hobo (รับบทโดยป๋า Rutger Hauer) อิตาลุงคนเร่ร่อนที่เพิ่งเดินทางมายังเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาก็พบว่าเมืองนี้ช่างเต็มไปด้วยปัญหาอาชญากรรม อันธพาลครองเมือง ชาวบ้านถูกข่มเหง และด้วยความที่เขาเป็นพระเอก (อ่ะนะ) เลยอดที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ จึงได้ลุกขึ้นมาตั้งตนเป็นศาลเตี้ยพิพากษาเหล่าคนพาลให้ตายตกไปตามกันด้วยปืนลูกซองที่ยิงยังไงกระสุนก็ไม่ยอมหมดซะที (ป๊าด!?)


ลูกบ้ามีมาให้ตรึม
ผกก.Jason Eisener ยังคงคอนเส็ปท์หนัง Grindhouse กันเต็มที่ด้วยการพยายามทำออกมาให้เหมือนหนังเกรดบีสมัยก่อน โดยการใช้สีสันเข้มๆ ฉูดฉาด, การแต่งกายและดนตรียุค 80 และฉากบู๊ๆ โหดๆ เลือดสาด ที่เน้นโหดมันส์ฮา เทคนิคที่ดูปลอมๆ ไม่สนความสมจริงทั้งสิ้น เมื่อผนวกกับการที่หนังทุนต่ำไร้ดาราดัง หนังจึงออกมาดูเกรดบีจริงๆ ไม่ได้พยายามเสแสร้งแกล้งเกรดบีเหมือนในรายของ Machete หรือ Grindhouse เขาแต่อย่างใด


เลือดสาดกันเต็มเหนี่ยว
และแน่นอนว่าหนังสไตล์นี้คงจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชมจากมหาชนคนดูหนังส่วนใหญ่หรอก มันขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละท่านล้วนๆ เลย เอาเป็นว่าถ้าพี่น้องชอบหนังคัลต์เลือดสาด โหดมันส์ฮา เต็มไปด้วยลูกบ้า ไม่สนใจความสมจริงแล้วล่ะก็คงจะถูกใจหนังเรื่องนี้กันแน่ แต่ถ้าเป็นคอหนังทั่วๆ ไปแล้วก็จะพบว่านี่ช่างเป็นหนังเกรดบีที่ห่วยแตกและไร้สาระเสียนี่กระไร (ส่วนเราเห็นว่ามันก็ดูเข้าท่าดีอยู่นะ อิอิ)


หุ่นยนต์ก็ยังมีมาด้วย
  • + โหด มันส์ ฮา บ้าบอ ถูกใจคอหนังคัลต์แน่นอน
  • - ดูทุนต่ำ ไม่มีดาราดังๆ มาเรียกแขก เลยดูเป็นหนังเกรดบีของคอหนังเฉพาะกลุ่ม ที่หลายคนคงจะมองข้ามไปในที่สุด





*รีวิวหนังที่สร้างจากเทรลเล่อร์หนังกำมะลอจาก Grindhouse อีกเรื่องภายในบล็อก (คลิกรูปเพื่ออ่าน)*




 

Create Date : 07 เมษายน 2554    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2554 23:24:18 น.
Counter : 3134 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.