Group Blog
 
All blogs
 

Fast Five (2011): ปล้นกระจุย ซิ่งกระจาย

Fast Five (2011) :
นอกจากหนังแฟรนไชส์ Fast & Furious แล้ว ดูเหมือนว่าผลงานเรื่องอื่นๆ ของเฮีย Vin Diesel และเฮีย Paul Walker เขาจะไม่ค่อยรุ่งกันสักเท่าไหร่ จนทำให้ทั้งคู่ต้องวกเวียนกลับมาหากินกับหนังแฟรนไชส์ซิ่งไม่แคร์ตำหนวดเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยนี่ก็ปาไปถึงภาคที่ห้าแล้ว ซึ่งคราวนี้เฮียแกทำเก๋โดยการรวมศิษย์เก่าจากภาคก่อนๆ มาคืนสู่เหย้ากันอย่างชื่นมื่นเชียว


Ocean Eleven เวอร์ชั่นเสื้อยืดกางเกงยีนส์
เฮียเหม่งและพรรคพวกย้ายสำมะโนครัวซิ่งไปวาดลวดลายกันที่บราซิล ด้วยอารมณ์หนังที่หันไปเน้นด้านการวางแผนโจรกรรมเหมือนเป็น Ocean Eleven หรือ Italian Job เวอร์ชั่นจิ๊กโก๋ และลดฉากแข่งรถซิ่งรถ เติมแอ็คชั่นมันส์ๆ เข้าไป เหยาะด้วยอารมณ์ขัน ตัวละครหน้าเดิมๆ จากภาคเก่าๆ แต่เปี่ยมเสน่ห์ที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง โดยมีทีเด็ดอีกอย่างคือการได้ตัวพี่ถึก Dwayne Johnson มาร่วมแจมในบท จนท.ทางการสุดบ้าพลังที่คอยตามล่าพวกพระเอกชนิดกัดตูดไม่ปล่อยเลยทีเดียว

ลิงก์
เมื่อสองเหม่งต้องมาประสานสายตากันปิ๊งๆ
ฟังๆ ดูเหมือนผู้สร้างจะหมดมุกและไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ แต่ ผกก.Justin Lin (ผกก.จากภาค 3 และ 4) และทีมงานก็สามารถทำหนังออกมาได้สนุกสุดมันส์ ดูเพลิดเพลินเอามากๆ ส่วนการที่ตัดสินใจลดฉากการแข่งรถลงแล้วหันไปเน้นด้านการโจรกรรมแทนก็เป็นการตัดสินใจที่เข้าท่าและเหมาะเจาะ ซึ่งก็คงจะสามารถเปิดลู่ทางทำมาหากินใหม่ๆ ให้แฟรนไชส์นี้ได้อยู่คู่กับคนดูไปอีกนานแหล่ะนะ


นี่คืองานรวมศิษย์เก่า Fast & Furious
ไฮไลท์ของหนังมีหลายฉากหลายตอน แต่ที่เด็ดสุดก็คงจะเป็นช่วงที่สองเหม่ง Diesel และ Johnson มีโอกาสได้ฉะกันตัวๆ ที่ต้องทำให้คอหนังหลายคนถึงกับครางงื้ดๆ ในลำคอด้วยความสะใจกันเลยทีเดียว ส่วนฉากอื่นๆ ถึงแม้จะชวนให้นึกถึงเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ที แต่ก็ทำออกมาได้มันส์พะยะค่ะ วินาศสันตะโร จนคนดูยินดีพร้อมใจกันลืมจับผิดความเว่อร์ที่อัดเข้ามาเต็มเท้า(ตีน)ไปเลยล่ะ

เฮีย Han ก็กลับมาร่วมแจมได้อีกครั้ง
ก็เพราะหนังออกมาสนุกเกินคาดเช่นนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าหลายคนจะซูฮกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดและสนุกที่สุด จนทำเงินระเบิดระเบ้อในทุกที่ๆ ฉาย รวมถึงบ้านเราที่หลายคนถูกใจมากและต้องไปดูเป็นรอบที่สอง นี่เห็นว่าล่าสุดเฮียวินเขาประกาศสร้างภาค 6 ต่อแล้ว โดยยังหนีบพี่ถึก Johnson มาร่วมแรงร่วมบู๊กันอีกครั้งด้วย แฟนๆ คงต่างรอชมกันอย่างใจจดใจจ่อเป็นแน่เลยงานนี้

อิตาคนเนี้ย อดมาร่วมแจมเลยเนี่ย
แต่ว่าก็ว่าเหอะในช่วง 20 นาทีสุดท้ายมีฉากวินาศสันตะโรที่รถโจร+ตำรวจ+ชาวบ้านถูกอัดพังยับเพียบโดยฝีมือของพวกพระเอก ที่น่าจะมีประมาณทั้งสิ้น 20 กว่าคัน (เสียดายรถวุ้ย) ซึ่งตอนดูก็มันก็สนุกดีหรอก แต่พอมาคิดๆ ดูอีกทีแล้ว ถ้าหากรถตำรวจมีคนนั่งคันละสองคน มันก็คงต้องมีคนตายเหยียบๆ 40 คน เลยทีเดียวนะเนี่ย (นี่ดีนะที่เป็นแค่ในหนังไม่ใช่เรื่องจริง ไม่งั้นคงสนุกไม่ออกแน่) โห! พี่วินแกก็ตีนผีไม่เบาเลยนะเนี่ย แพรวาหลบไป พี่วินมาแว้ว เหอๆ
  • + หันมาเน้นแนวโจรกรรมได้ชนิดสุดมันส์ เต็มไปด้วยเสน่ห์ ได้ใจไปเลยจ้า
  • - ชวนให้คิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ และเว่อร์ซะจนคนจริงจังกับชีวิตคาใจ





*ช่วงเพลงในหนัง*
Ludacris
เป็นธรรมเนียมของหนังชุดนี้อยู่แล้วที่เพลงประกอบต้องเต็มไปด้วยเพลงแนวฮิพฮอพเก๋ๆ ซึ่งในภาคนี้นอกจากจะมีเพลงแร็พตรึมเช่นเดิมแล้วยังมีเพลงที่ออกไปในทางลาตินตามโลเกชั่น ที่เด็ดคือมีศิลปินเพลงแร็พมาเล่นเป็นพวกพระเอกอยู่ถึงสี่คนด้วยกันเลยทีเดียว (ป๊าด!) คือ Tyrese Gibson (Roman Pearce), Ludacris (Tej Parker), Don Omar (Rico Santos) และ Tego Calderón (Tego Leo) ซึ่งในรายของ Ludacris และ Don Omar ก็มีผลงานเพลงประกอบในซาวน์แทร็คเรื่องนี้ด้วย ว่าแล้วเราก็ขอเลือกบางเพลงจากหนังมาฝากกันตามฟอร์มจ้า


MP3: Ludacris - Furiously Dangerous (feat. Slaughterhouse & Claret Jai)



*รีวิวหนังของเฮียเหม่ง Vin Diesel และ Paul Walker เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 12 มิถุนายน 2554 5:18:47 น.
Counter : 3877 Pageviews.  

I am Number Four (2011): หนีเรียนไปกู้โลก

I am Number Four (2011) :
หนังวัยรุ่นพลังเอเลี่ยนเอาใจวัยทีนที่สร้างจากนิยายขายดีของ Pittacus Lore (นามแฝงของ James Frey และ Jobie Hughes ที่ประสานพลังกันแต่ง) เรื่องนี้ ถูกตั้งความหวังไว้ว่าจะเปิดแฟรนไชส์ใหม่ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นบรรดาวัยทีนที่เคยปลื้ม Twilight โดยถ้าเกิดฮิตติดลมบนขึ้นมาล่ะก็คงจะมีภาคต่อออกมาให้ดูกันยาวเลยทีเดียวล่ะงานนี้


งานนี้พระเอกเราไม่ต้องเสียเงินซื้อไฟฉายเลย
ภาคแรกนี้ว่ากันด้วยเรื่องราวของ John Smith (รับบทโดย Alex Pettyfer ที่ไม่เห็นกันแป๊บเดียวก็กลายเป็นหนุ่มล่ำเต็มตัวซะแล้ว) หนึ่งในเอเลี่ยนเก้าตัวสุดท้ายของดาวดวงหนึ่งที่หลบหนีการตามฆ่าล้างโคตรของศัตรูจอมโหดมากบดานยังโลกมนุษย์ โดยนอกจากเขาจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในฐานะวัยทีนริจะมีกิ๊กแล้วยังต้องคอยรับมือกับภยันตรายจากแก๊งเอเลี่ยนหัวโล้นที่กำลังตามล่าเขาเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วด้วย


หนังเต็มไปด้วยคนหน้าตาดี (ไม่ดีไม่ให้แสดง)
D.J. Caruso (Eagle Eye [2008]) ที่หายหน้าไปซะหลายปีกลับมาอีกครั้งด้วยหนังที่มีตัวละครนำเป็นวัยทีน ม.ปลาย หลังจากที่เขาเคยทำไว้ได้ดีมาแล้วใน Disturbia (2007) ซึ่งในเรื่องนี้ก็เน้นไปที่เรื่องราวของวัยรุ่นแปลกถิ่น (ในที่นี้คือการเป็นมนุษย์ต่างดาว) ผู้พยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคม และริจะมีความรัก แทรกด้วยเรื่องราวแอ็คชั่นตื่นเต้นเข้ามาเป็นระยะๆ และปิดท้ายด้วยฉากจบที่เต็มไปด้วยความหวังเพื่อบิ้วท์อารมณ์ไว้สำหรับภาคต่อ (ถ้ามีนะ)


สาวคนซ้ายมาเพื่อขโมยซีนโดยเฉพาะ
หนังเดินเรื่องตามฟอร์มและขนบของหนังแนวนี้ไปแบบเรื่อยๆ ซึ่งถึงแม้จะดูกันได้เพลินๆ แต่ก็ไม่ได้แปลกแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ตรงไหน (หรือที่เรียกว่าซ้ำซากนั่นเอง) แต่ก็ยังดีที่หนังได้บรรดานักแสดงวัยทีนหน้าตาดีและมีเสน่ห์มาดึงคนดูให้เอาใจช่วยได้ เรื่องราวเงื่อนงำในหนังที่พอจะสามารถสร้างความหวังว่าคงจะมีอะไรแจ่มๆ มาโชว์ในอนาคตข้างหน้า แถมด้วยงานด้านสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์และคิวบู๊ที่แจ่มดูดีเกินคาดทีเดียว ผลลัพธ์สุดท้ายของหนังจึงถือว่าสอบผ่านไปได้ในที่สุด


พระเอกมีวิทยายุทธฝ่ามือหยุดตำหนวด
นี่จึงเป็นหนังอีกเรื่องที่ถึงจะถูกก่นด่าจากคนที่คาดว่าจะเห็นอะไรแปลกใหม่หรืออะไรที่เด็ดขาดกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันหนังก็ยังสามารถตอบสนองผู้ชมที่คาดหวังความบันเทิงที่ไม่ต้องปวดหมองอะไรมากมาย ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็คงไม่มีใครผิดใครถูกหรอกขอรับพ่อแม่พี่น้อง มันเป็นเรื่องของรสนิยมและแนวคิดของแต่ละคน ทว่าสำหรับเราแล้ว คงต้องบอกว่าหนังสนุกกว่าหนังที่มีเนื้อหาใกล้ๆ กันอย่าง Push (2009) และขอชมว่าน้องหมาในเรื่องเขาแสดงดีจริงๆ อยากดูภาคต่อเร็วๆ จังวุ้ย อิอิ
  • + หนังทำออกมาได้ดูเพลินๆ ดีแท้ คิวบู๊แจ่ม เอฟเฟกต์ดี แถมมีแต่หนุ่มๆ สาวๆ หน้าตาดีอีกต่างหาก
  • - ยังค่อนข้างเดินตามสูตรที่ซ้ำซากไปบ้าง กว่าจะมันส์กันก็ปลายเรื่องซะแล้ว






*รีวิวหนังของ ผกก.D.J. Caruso และหนังเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*



*ช่วงเพลงในหนัง*

Kings of Leon
เป็นหนังเอาใจวัยทีนเช่นนี้จึงจำเป็นต้องมีแต่เพลงโดนๆ ของศิลปินดังๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Radioactive ของ Kings of Leon ที่ใช้ในฉากเปิดตัวพระเอก หรือแทร็กที่โชว์พลังเสียงของสาว Adele ในฉากเปิดตัวสาวนัมเบอร์ 6 แต่เพลงช้าๆ โดนๆ ก็ยังมีมาให้ฟังอย่างเช่น Shelter ของวงอินดี้สุดแนว The xx ว่าแล้วเราก็มาฟังกันเลยจ้า





 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2554 19:46:28 น.
Counter : 3882 Pageviews.  

Thor (2011): ฟ้าส่งข้ามาทุบ


Thor (2011):
ซูเปอร์ฮีโร่จากยุทธจักร Marvel รายนี้ ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้ขึ้นมาโลดแล่นบนจอเงินฉายดูดตังค์คอหนังมาช้านาน โปรเจ็กท์เคยผ่านมือของคนทำหนังดังๆ อย่าง Sam Raimi, David S. Goyer, Matthew Vaughn มาแล้ว (ครั้งหนึ่ง Brad Pitt ก็เคยถูกเล็งๆ ไว้ในบทพระเอก) แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ฤกษ์สร้างลงตัวลงล็อคกันเสียที


ดูมาดพระเอกเราซะก่อน
จนกระทั่งในที่สุดหวยก็ไปออกที่ Kenneth Branagh ผกก.ชาวอังกฤษแฟนคลับเช็คสเปียร์ที่เคยมาแรงแซงทางโค้งในช่วงต้นยุค 90 (ก่อนที่จะแหกโค้งตกข้างทางไปในเวลาต่อมา) ซึ่งการที่ได้เขามากำกับก็สร้างความแปลกใจให้กับหลายๆ คนว่าแกมาได้ไงเนี่ย พอๆ กับครั้งสมัยที่หลายคนเคยมึนตึ๊บในตอนแรกว่า ผกก.Sam Raimi จะมากำกับ Spider-Man เลยทีเดียว


มารักกับเทพเจ้าอย่างพี่มั้ยน้อง?
ซึ่งการที่ทาง Marvel เลือกผกก.Branagh มานั้นก็นับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องราวของ Thor ภาคแรกนี้ก็ออกไปทางจักรๆ วงศ์ๆ คล้ายในละครของเช็คสเปียร์ที่ทางผกก.Branagh เขาช่ำชองและเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าเรื่องราวในหนังต้องถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างเข้มข้นน่าติดตาม หนักแน่นน่าเชื่อถือไม่ออกลิเกหรือแฟนตาซีจ๋าเกินเหตุแน่นอน


สามพ่อลูกตระกูลเทพ
แถมยังมีผลพลอยได้ในส่วนของชื่อเสียงของ ผกก.ที่ยังมีมนต์ขลังดึงดูดให้บรรดานักแสดงระดับคุณภาพทั้งหลาย ที่หลายท่านคงแทบไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นพวกเขาเหล่านี้ในหนังซัมเมอร์ซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ อย่างเช่นในรายของ Stellan Skarsgård, Anthony Hopkins และ ทาดานาบุ อาซาโน่ (ว้าว!) ที่ตัดสินใจตบเท้าเข้ามาร่วมสังฆกรรมครั้งนี้กันอย่างพร้อมเพรียงเป็นแน่


สองสาวงามประจำเรื่อง
หนังออกมาเข้าท่าน่าติดตามมากๆ ในส่วนของอาณาจักรแอสการ์ด แต่พอมาถึงในส่วนของโลกมนุษย์แล้วยังดูดร็อปลงไปนิด ซึ่งก็คงเป็นเพราะภาคแรกนี้เขาเน้นเรื่องราวดราม่าภายในครอบครัวของพระเอก ประมาณว่า พ่อไม่เข้าใจผม ผมไม่เข้าใจพ่อ พ่อลำเอียงนี่หว่า พี่น้องหักเหลี่ยมโหด ฯลฯ ส่วนฉากบู๊ระเบิดระเบ้อก็คงไม่หวือหวา มันส์สะใจ หรือสามารถตอบสนองความฝันของเด็กๆ ได้เท่ากับหนังฮีโร่รายอื่นๆ นัก แต่เท่าที่มีก็ไม่เลวนะ ในขณะที่งานสร้าง เสื้อผ้าหน้าผม เอฟเฟกต์ อะไรๆ ก็ออกมาระดับดีหนึ่งประเภทหนึ่งสมทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญอยู่แล้ว

เฮีย ทาดานาบุ อาซาโน่ ก็มากับเขาด้วย
หนังพยายามเติมอารมณ์ขันเข้าไปเพื่อไม่ให้ออกมาซีเรียสจนเกินไป ซึ่งก็เหมาะสมดี แต่ในบางช่วงบางตอนแล้วก็ยังดูประดักประเดิดไปบ้าง จนเป็นเหตุให้ลดทอนความเข้มข้นของเรื่องราวลงไปไม่น้อย เลยบิวท์กันได้ไม่สุด แต่หนังโดยรวมก็ยังออกมาน่าพอใจมากๆ อยู่ดี จนอนาคตของซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์ทุบรายนี้บนจอเงินคงจะสดใสซาบซ่านมิใช่น้อย (รวมทั้งอนาคตของ ผกก.Branagh ด้วย) เอาแค่การที่ได้เฮีย ทาดานาบุ อาซาโน่ มาคอยยืนตีหน้ามึนให้ดูเนี่ยก็ได้ใจเราไปเกินครึ่งแล้วล่ะเนี่ย อิอิ

ปล.ลำพังสำหรับตัวหนังเราให้ 3 ดาว แต่การที่มีทั่น ทาดานาบุ อาซาโน่ มาร่วมแจมเลยขอแถมคะแนนพิศวาสให้ไปอีกครึ่งดาวเลยเอ้า อิอิ
  • + Marvel ไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว หนังดูดีมีชาติการ์ตูน ดาราระดับคุณภาพคับจอมากันเพียบ น่าดูดีแท้
  • - ยังไม่มันส์สะใจหรือสนองจินตนาการของเด็กๆ ได้มากนัก และในส่วนโลกมนุษย์ยังแจ่มน้อยไปนิด






*ช่วงเพลงในหนัง*

Foo Fighters
ผกก.Kenneth Branagh เรียกคอมโพเซอร์คู่ใจที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่สมัยโด่งดังใหม่ๆ อย่าง Patrick Doyle คอมโพเซอร์ชาวสก็อตแลนด์มาทำสกอร์ให้ ซึ่งอารมณ์โดยรวมของเพลงประกอบหนังจะออกไปทางดราม่า หรือจะแสดงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแอสการ์ด มากกว่าจะเน้นไปที่คิวเพลงตื่นเต้น ซึ่งก็ออกมาไพเราะ นุ่มนวล ได้ใจดีแท้ ชอบๆ

และในระหว่างที่เราทนนั่งทู่ซี้ดูเอนท์เครดิตหลังหนังจบเพื่อรอดูทีเด็ดทิ้งท้าย (ที่ไม่ค่อยเด็ดสักเท่าไหร่) ก็จะได้ยินเพลงร็อคมันส์ๆ เนื้อหาดีๆ ที่ชื่อ Walk ของ
Foo Fighters วงอัลเทอร์เนทีฟร็อคชื่อดังจากอเมริกาที่เพิ่งออกอัลบั้มชุดล่าสุดมา ซึ่งทางผู้สร้างได้ฟังแล้วชอบก็เลยขอยืมมาใช้ซะเลย ว่าแล้วเราก็มีมาให้ฟังกันอีกทีจ้า




*รีวิวหนังฮีโร่จากยุทธจักร Marvel เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก (คลิกรูปเพื่ออ่าน)*





 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2554 6:39:30 น.
Counter : 2860 Pageviews.  

The Lincoln Lawyer (2011): กระตุกหนวดหมอความ

ลิงก์
The Lincoln Lawyer (2011) :
ดูเหมือนผลงานระยะหลังๆ ของเฮีย Matthew McConaughey จะออกไปทางหนังตลกกุ๊กกิ๊กนุ้งนิ้งกรุ้มกริ่มซะจนชาวประชาแทบจะลืมไปเสียแล้วว่าตอนเฮียเขาดังใหม่ๆ ในช่วงกลางยุค 90 นั้น ก็ดังมากับหนังแนวดราม่าขึ้นโรงขึ้นศาลขายฝีมือการแสดงสุดเข้มข้นอย่าง A Time to Kill (1996) นั่นเอง


รถสวยนะเพ่
แล้ววันดีคืนดีเฮียก็ขอกลับมาเล่นหนังแนวขึ้นโรงขึ้นศาลอีกครั้งกับผลงานที่สร้างจากนิยายขายดีของ Michael Connelly อันเกี่ยวกับทนายความสุดเก๋าที่ใช้รถลินคอล์นของตนต่างออฟฟิศ ผู้ถนัดในการว่าความให้กับบรรดาลูกความที่เป็นจิ๊กโก๋และพวกค้ายาทั้งหลาย แต่แล้วเมื่อต้องมาว่าความให้หนุ่มหน้าอ่อนลูกเศรษฐีคนหนึ่งเข้า (รับบทโดยนาย Ryan Phillippe) ก็เล่นเอาเฮียเราถึงกับมึนจนแทบไปไม่ถูกเลยทีเดียว ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าเขาจะงัดไม้เด็ดอะไรออกมาเคลียร์ใจเคลียร์คดีครั้งนี้ลงให้ได้ล่ะนะ


Ryan Phillippe พาหน้าซื่อๆ มาพบท่านผู้ชมอีกครั้ง
ไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไง ก็ช่างน่ายินดียิ่งนักที่ได้เห็นเฮียเขากลับมาเล่นหนังแนวนี้อีกครั้ง แถมแกก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีเสียด้วยสิ เพราะโชว์ลีลาได้เด็ดขาดทั้งมาดกะล่อนของทนายความหัวหมอ หรือสีหน้าท่าทางเวลากดดันปวดหมองจวนสติแตก ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ได้เห็นแกแสดงแบบนี้มานานโขแล้ว ยิ่งมาเจอเรื่องราวแนวสืบสวนสอบสวน ขึ้นโรงขึ้นศาลที่ค่อนข้างจะเข้มข้นน่าติดตาม พร้อมทั้งบรรดานักแสดงสมทบดังๆ อีกหลายคนเข้าไปอีก ผลลัพธ์ของหนังจึงเป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว


เจ๊ Marisa Tomei แก่ขึ้นเยอะ แต่ก็ยังดูดีอยู่
แต่ก็อย่างว่า หนังแนวนี้ก็ไม่ใช่แนวที่เป็นที่นิยมของตลาดในทุกวันนี้ (โดยเฉพาะนอกอเมริกา) เรื่องราวเงื่อนงำในหนังก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนจนเกินคาดเดา ซึ่งเป็นอะไรที่หาดูในซีรี่ส์ดีๆ สักเรื่องทางทีวีได้แทบทุกสัปดาห์อยู่แล้ว หนังจึงอาจจะขาดแรงดึงดูดไปบ้าง ดังนั้นถ้าไม่ได้เป็นแฟนนิยายชุดนี้หรือเป็นแฟนหนังของเฮียแล้วล่ะก็คงจะไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือกับหนังได้สักเท่าไหร่ นี่เห็นว่าหนังสร้างจากนิยายเล่มแรกในหลายๆ เล่มของชุด ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ที่เราจะได้ดูภาคต่อกัน แต่ก็อย่าเพิ่งเปลี่ยนพระเอกก็แล้วกันเน้อ เพราะเฮีย McConaughey เขาเกิดมาเพื่อบทประมาณนี้จริงๆ นะ ขอบอก


อิตา Josh Lucas ยังมีชีวิตอยู่นะขอบอก
  • + การได้เห็นพระเอก McConaughey ในหนังแนวจริงจังกับชีวิตอีกครั้งบ้าง ก็ไม่เลวเลยทีเดียวนะ แถมมีแต่ดาราระดับฝีมือคับจออีกต่างหาก น่าดูๆ
  • - หนังแนวขึ้นโรงขึ้นศาลที่ไม่ได้มีเงื่อนงำอะไรเกินคาดเดา แบบที่มีให้ดูในซีรี่ส์ทางทีวีอยู่เสมอ





*รีวิวหนังของพระเอก Matthew McConaughey และหนังแนวขึ้นโรงขึ้นศาลเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 9 สิงหาคม 2554 20:50:06 น.
Counter : 3400 Pageviews.  

Insidious (2010): ผีอวดคน


Insidious (2011) :
หลังจากตัดสินใจจบแฟรนไชส์ Saw ซึ่งเปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของคู่หูดูโอ้ James Wan และ Leigh Whannell ไปแล้วที่ภาค 7 (จริงเหร๊อ?) บรรดาแฟนหนังก็ต่างจับตามองว่าผลงานต่อไปของพวกเขาจะเป็นไปในทิศทางไหน ซึ่งผลที่ออกมาก็คือทั้งคู่ขอกลับไปทำหนังผีตุ้งแช่อีกครั้งหลังจากที่เคยทำ Dead Silence (2007) ออกมาเจ๊งไปทีแล้วเมื่อสามสี่ปีที่ผ่านมา


ผีเรื่องนี้ดูเผินๆ นึกว่าเฟรดดี้
หนังมาพร้อมกับพล็อตที่เหมือนหนังแนวบ้านผีหลอกวิญญาณหลอนอย่างเช่น Poltergeist (1982) ไปยันหนังชุด Paranormal Activity กันเลยเชียว เมื่อครอบครัวพระเอกที่เพิ่งย้ายเข้าบ้านหลังหนึ่งต้องพบกับเรื่องราวสุดหลอนมากมาย เลยต้องอัญเชิญเหล่าผู้เชี่ยวชาญเรื่องผีๆ สางๆ (ที่ไม่ใช่ ริว จิตสัมผัส) มาช่วยปัดเป่าบรรเทาทุกข์ จนงานนี้มีได้วิ่งหนีผีกันจ้าละหวั่นไม่แพ้ในหนังบ้านผีปอบบ้านเราเลยล่ะ อิอิ


นางเอกกำลังฟังวิทยุลุ้นผลหวย
คอหนังผีทั้งหลายคงจะคุ้นเคยกับพล็อตของหนังดี ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีอะไรใหม่ๆ มาอวดนัก ถึงกระนั้นหนังก็ยังไม่ถึงกับน่าเบื่อ และมุกผีหลอกบางมุกก็ยังเวิร์คชวนตกสะดุ้งได้อยู่ โดยไม่ต้องใช้ภาพแหว่ะๆ หรือเลือดสาดมาเรียกความสยองแต่อย่างใด (หนังได้เรท PG-13) ทว่าพอถึงช่วงท้ายๆ ของหนังที่มีการฉายให้เห็นผีแบบจะๆ นั้น มันค่อนข้างก้ำกึ่งระหว่างความน่ากลัวกับความน่าขันอยู่นะ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่มุมมองของคนดูแต่ละท่านล่ะว่าจะมองผีเรื่องนี้กันยังไง


เห็นอะไรเข้าแล้วล่ะนั่นป้า
ผลงานของสองหน่อเรื่องนี้จึงอยู่ในขั้นดูกันได้เพลินๆ ใช้ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรเด็ดๆ มาฝากเช่นกัน แถมยังออกจะเป็นแค่เวอร์ชั่นอัพเดตหนังอย่าง Poltergeist ประมาณนั้น ซึ่งสำหรับเราแล้วคิดว่าผีเรื่องนี้ไม่ค่อยจะน่ากลัว สู้ผีเอเซียเราไม่ได้เลย แต่ยังไงซะก็คงต้องคอยติดตามกันต่อไปว่าพวกเขาจะมีทีเด็ดอะไรมาฝากอีกในอนาคต หรือว่าจะต้องหันกลับไปหากินกับบุญเก่าในหนังชุด Saw กันอีกครั้ง โปรดติดตามด้วยใจระทึกจ้า
  • + หนังผีหลอกวิญญาณหลอนที่บางมุกใช้ได้ บรรยากาศชวนหลอน ดูเพลินๆ ได้อยู่
  • -ไม่มีอะไรเด็ดๆ เกินกว่าหนังแนวนี้ที่ผ่านมา แถมผียังไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไหร่นักโดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ เรื่อง




*รีวิวหนังของคู่หู James Wan และ Leigh Whannell และหนังแนวผีหลอกคาบ้านเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก (คลิกรูปเพื่ออ่าน)*




 

Create Date : 30 เมษายน 2554    
Last Update : 19 กันยายน 2554 7:43:58 น.
Counter : 3467 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.