Group Blog
 
All blogs
 

Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief (2010): หัวอกของคนเป็นลูก(เทพเจ้า)


Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief (2010) :
มาอีกเรื่องแล้วครับพี่น้อง สำหรับหนังฮอลลีวู้ดที่สร้างจากวรรณกรรมแฟนตาซีสุดฮิต ซึ่งเล่มไหนเด็ดเล่มไหนดังก็จะถูกจับมาสร้างขึ้นจอใหญ่ซะหมด นัยว่าแต่ละสตูดิโอล้วนอยากจะมีแฟรนไชส์หนังสุดฮิตเหมือน The Lords of the Ring หรือไม่ก็ Harry Potter เป็นของตัวเองบ้าง ซึ่งที่สร้างๆ กันมาส่วนใหญ่ก็ล้วนแป้กกันเกือบทั้งนั้น และดูเหมือนหนังเรื่องนี้ที่ดัดแปลงจากเล่มแรก(จากทั้งหมดห้าเล่ม)ในหนังสือชุด Percy Jackson & the Olympians ของ Rick Riordan (ที่ฮิตไม่ใช่ย่อยในแวดวงคอหนังสือ) จะไม่ตูมตามอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ ที่สำคัญคือหนังถูกก่นด่าจากบรรดาแฟนหนังสือซะกระจุยกระจายเลยเชียวล่ะ


เจ๊เมดูซ่ามัวแต่เพลิดเพลินกับไอโฟนจนกำลังจะเจอดีเข้าแล้ว
ที่ถูกด่าคงเป็นเพราะตัดทอนเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในหนังสือซะอุตลุด จนแฟนๆ รับไม่ได้ ส่วนเนื้อเรื่องในเวอร์ชั่นหนังก็ประมาณว่า ในยุคปัจจุบันเทพเจ้าโพเซดอน กับ เทพเจ้าซีอุส ฮึ่มๆ ใส่กันเพราะฝ่ายหลังโทษว่าฝ่ายแรกให้ Percy Jackson (Logan Lerman จาก Gamer [2009])ลูกชายที่เป็นครึ่งคนครึ่งเทพเจ้าดอดไปขโมยสายฟ้ามา ว่าแล้วก็ให้เวลา 14 วันเพื่อเอามาคืนไม่งั้นจะเปิดศึกเทพเจ้าให้โลกวุ่นวายแน่ ทางด้านหนุ่มน้อย Jackson ที่ไม่เคยรู้ฐานะอันแท้จริงของตนมาก่อนว่าเป็นลูกไผ ก็จะได้รู้กันล่ะทีนี้เพราะเหล่าทวยเทพต่างอยากได้สายฟ้านั้นไว้ครอบครอง และส่งสมุนมาตามล่าพระเอกเราจนเป็นเหตุให้แม่ของเขาถูกจับไปโดย Hades เทพเจ้าแห่งยมโลก ซึ่งหนุ่มน้อยของเราก็ต้องพยายามสุดฤทธิ์ที่จะช่วยแม่และหาทางหยุดยั้งสงครามเทพเจ้าที่กำลังจะบังเกิดขึ้นให้จงได้เอย


มิสเตอร์บอนด์ก็มากับเขาด้วย
ทางเราไม่เคยอ่านหนังสือ จึงขอว่ากันเฉพาะในส่วนของหนังอย่างเดียวก็แล้วกัน ผกก.Chris Columbus จาก Harry Potter สองตอนแรก กลับมาในหนังแนวนี้อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้น้าเขาไม่อ้อยสร้อยให้มากความ เพราะหนังเดินเรื่องเร็วมาก แค่ไม่เกินนาทีที่ 15 ก็เริ่มมีฉากตื่นเต้นซะแล้ว ที่เป็นแบบนี้คงเพราะหนังมีเรื่องจะเล่าเยอะแต่เวลาจำกัดเลยทำให้ทุกอย่างดูปุบปับๆ จึงไม่สามารถทำให้คนดูได้มีเวลาผูกพันกับตัวละคร แต่จะรู้สึกว่าหนังตั้งหน้าตั้งตาเดินดุ่ยๆ จนขาดความรู้สึกและหย่อนความสนุกไปหน่อยแทน ส่วนการเลื่อนอายุพระเอกให้เป็น 16 แทนที่จะเป็น 12 ขวบเหมือนในหนังสือคงเพราะอยากให้หนังดูผู้ใหญ่ขึ้น(หมายถึงฐานคนดูที่กว้างขึ้นด้วย) ซึ่งอันนั้นก็ว่ากันไป


น้องเขาสามารถปั้นน้ำให้เป็นตรีศูล(สามง่าม)
เหล่านักแสดงก็ไปของเขาเรื่อยๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น (บท Grover เพื่อนซี้พระเอกออกแนวน่ารำคาญมากว่าน่าขำ) แต่คนที่พอจะน่าจดจำหน่อยก็เจ๊ Uma Thurman ในบท Medusa (เสียดายที่เป็นแค่บทรองๆ) ในขณะที่งานด้านอื่นๆ ล้วนอยู่ในขั้นดีตามมาตรฐานฮอลลีวู้ด ถ้าเป็นแฟนหนังสือมาดูหนังเรื่องนี้คงจะไม่ค่อยชอบกันนัก เพราะเปลี่ยนแปลงหลายอย่างจนเกินงาม แต่ถ้าไม่เคยอ่านหนังสือชุดนี้มาก่อนจะพบว่าเป็นหนังแฟนตาซีสำหรับครอบครัวที่พอดูได้เพลินๆ ก็ต้องดูกันต่อไปว่าหนังภาคต่อจะออกมาให้ดูเมื่อไหร่ ยังไงก็หวังว่าจะสนุกกว่าภาคนี้เน้อ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแฟนตาซีสำหรับครอบครัวที่ดูได้เพลินๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: ถ้าเป็นแฟนตัวจริงของหนังสือมาดูคงจะมีเคือง และหนังไปดุ่ยๆ ดูจบแล้วก็แล้วกันไป






 

Create Date : 09 มีนาคม 2553    
Last Update : 9 มีนาคม 2553 9:24:19 น.
Counter : 2835 Pageviews.  

The Descent: Part 2 (2009): สยองขวัญสไตล์เฟมินิสต์(ยกที่2)


The Descent: Part 2 (2009) :
ภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 2005 ถือเป็นหนังสยองขวัญพลังหญิงลุยเหล่าอสูรกายที่เข้าท่า และก็เป็นที่เลื่องลือในแวดวงคอหนังสยองอย่างยิ่ง จนส่งผลให้ ผกก.Neil Marshall ได้ทำหนังที่ใหญ่ขึ้นอย่าง Doomsday (2008) และแล้วก็เป็นไปตามธรรมเนียมที่หนังสยองดังๆ ย่อมต้องถูกสร้างภาคต่อออกมาดูดเงินแฟนๆ เข้ากระเป๋าผู้สร้างอีกโดยไม่สนใจล่ะว่าภาคแรกจะจบยังไงมา ซึ่งคราวนี้ตัวคุณ Marshall ก็ขอหลบฉากไปทำหน้าที่ Executive producer โดยปล่อยหน้าที่กำกับให้ตกเป็นของ Jon Harris มือตัดต่อจากภาคแรกที่เคยตัดต่อให้กับหนังอังกฤษดังๆ มาแล้วเพียบ อาทิ Stardust (2007), Layer Cake (2004), Snatch (2000) เป็นต้น

ภาคนี้มีผู้ชายมาเป็นเหยื่อตั้งหลายคนแน่ะ
ภาคนี้เล่าเรื่องทิ้งช่วงจากเหตุการณ์ในภาคแรกสองวัน โดย Sarah (กลับมารับบทเดิมอีกครั้งโดย Shauna Macdonald) สามารถออกจากถ้ำนรกมาได้สำเร็จ และก็ถูกนำตัวส่ง รพ. แต่เธอก็ช็อคอย่างหนักจนจำความอะไรเกี่ยวกับในถ้ำไม่ได้เลย นายอำเภอจึงบังคับให้เธอลงไปกับทีมช่วยเหลือเพื่อตามหาคนอื่นๆ ในถ้ำอีกครั้ง เผื่อว่าจะจำอะไรที่มีประโยชน์แก่ทีมช่วยเหลือขึ้นมาได้บ้าง ทางเธอก็ต้องลงไปแบบเอ๋อๆ ซึ่งกว่าจะเริ่มจำความได้ มันก็อาจสายเกินไปทีจะถอยหลังกลับซะแล้ว งานนี้เธอกับทีมช่วยเหลือดวงซวย เลยต้องหนีตายจากเหล่าอสูรกายตาบอดจอมกระหายเลือดกันชนิดสะบักสะบอมเพื่อหาทางเอาตัวรอดออกมาจากถ้ำให้ได้


ตัวละครจากภาคแรกยังโผล่กันมาอย่างครึกครื้น
จากภาคแรกที่จบได้แหล่มอยู่แล้ว ผู้สร้างก็อุตส่าห์แถหาเรื่องให้กลับเข้าไปในถ้ำอีกจนได้ ซึ่งเหล่าตัวละครหน้าใหม่ในภาคนี้แต่ละคนก็มากันอย่างฉาบฉวย (ภาคนี้มีผู้ชายมาด้วยตั้งสามคนแน่ะ) ไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกเอาใจช่วยได้เหมือนในคราวภาคแรก ยังดีหน่อยที่ตัวละครจากภาคแรกยังเข้าท่าได้อยู่(ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ได้มีแค่ Sarah เท่านั้นที่กลับมา) ภาคนี้มีฉากแหว่ะเลือดพุ่งมากขึ้นกว่าภาคแรก แต่บรรยากาศน่ากลัวกลับสู้ภาคแรกไม่ได้เลย แถมยังคาดเดาเรื่องราวได้ตลอดซะด้วยสิ ยังไงซะก็ยังถือว่าเป็นภาคต่อที่ทำได้อย่างน่าพอใจในระดับหนึ่ง ดูได้เพลินๆ ไม่ต้องคิดมาก และถือว่าดีกว่าหนังสยองขวัญภาคต่อทั่วๆ ไปอยู่นะ จะบอกให้

สภาพแต่ละคนสะบักสะบอมซะจริง
ในภาคนี้ก็ยังคงความเฟมินิสต์อยู่อย่างครบถ้วน เพราะเต็มไปด้วยหญิงเก่งที่ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย ในขณะที่เหล่าผู้ชายก็ซื่อบื้อกันได้ใจและต้องเป็นฝ่ายพึ่งผู้หญิงซะอีก ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือเหล่าอสูรกายในภาคนี้เหมือนจะมีแต่ตัวผู้นะ(ตัวเมียโผล่มาตัวเดียว) เลยยิ่งรู้สึกเฟมินิสต์หนักเข้าไปอีก(หรือเราจะคิดมากไปหรือเปล่าเนี่ย?) จะยังไงซะก็เตรียมตัวสยองขวัญสไตล์เฟมินิสต์กันต่อในภาคสามที่จะมีสร้างออกมาแน่นอนจ้า

  • น่าดูเพราะ: ทำได้ไม่เลวสำหรับหนังภาคต่อ ที่ถึงแม้จะสู้ภาคแรกไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็มีดีอยู่พอตัวในระดับดูได้เพลินๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: คนที่เห็นว่าภาคแรกจบสมบรูณ์แล้วมาเจอภาคนี้อาจขัดใจที่ผู้สร้างแถเรื่องราวต่อไปอีกแถมทำด้อยกว่าภาคแรกในทุกด้านซะด้วยสิ




 

Create Date : 09 มีนาคม 2553    
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 5:53:48 น.
Counter : 6156 Pageviews.  

Possession (2009): สวมวิญญาณรัก

Possession (2009) :
หนังมะกันอีกเรื่องที่เอาหนังเกาหลีมารีเมค โดยคราวนี้จับเอาหนังดราม่าพล็อตสร้างสรรค์ของพระเอก ลีบยองฮุน (G.I. Joe: The Rise of Cobra [2009]) เรื่อง Addicted (2002) มายำใหม่สไตล์มะกัน โดยได้นางเอก Sarah Michelle Gellar (The Grudge [2004]) และ Lee Pace (The Fall [2006]) มารับบทนำ ส่วน ผกก.Joel Bergvall กับ Simon Sandquist นั้นก็อิมพอร์ทกันมาเป็นแพ็คคู่จากสวีเดนเชียวนะ

เจ๊ Michelle Gellar กับหนังในช่วงขาลงของอาชีพ
พล็อตเรื่องก็ประมาณว่า Jessica (เจ๊ Michelle Gellar) มีสามีแสนดีนาม Ryan (Michael Landes) ที่ขยันโรแมนติคใส่ภรรยาได้ตลอดชนิดที่ว่าสาวใดได้สามีแบบนี้คงหลงหัวปักหัวปำแย่เลย (เช่นนางเอก) เสียแต่ว่า Roman (Lee Pace) น้องสามีที่เป็นพวกจิ๊กโก๋ขี้คุกนิสัยหยาบต้องมาอาศัยอยู่ด้วยระยะหนึ่ง ชอบทำให้เสียอารมณ์โรแมนติคอยู่เรื่อย(กขค.) และแล้ววันหนึ่งสองพี่น้องก็ประสบอุบัติเหตุรถชนกันจนต้องนอนโคม่าทั้งคู่ หลังจากหนึ่งปีผ่านไป Roman ก็ฟื้นขึ้นมาจากโคม่าในขณะที่พี่ชายยังพะงาบๆ ต่อไป แต่คราวนี้เขาเปลี่ยนไป เพราะเคลมว่าตนนี่แหล่ะคือ Ryan ซึ่งตอนแรกนางเอกเราก็โกรธอย่างแรงแต่พอเห็นท่าที อาการ นิสัย หลายๆ อย่างของ Roman ที่เปลี่ยนไปเหมือน Ryan ตัวจริงซะจนน่าประหลาดใจ แถมเขายังรู้เรื่องลับเฉพาะคนรู้ใจของเธอกับสามีอย่างดีด้วย เธอจึงเริ่มคิดหนักว่า เอ..หรือนี่จะเป็นสามีเราจริงๆ ที่วิญญาณมาครองร่างของน้องชายกันหนอ? (น่ากินทั้งพี่ทั้งน้องล่ะสิเจ๊ เหอๆ)

พี่น้องคู่นี้เร้าใจสาวๆ ไปคนละแบบ
จากเวอร์ชั่นเดิมที่มาในรูปของหนังรักที่เอาเรื่องราวลึกลับชวนพิศวงมาผสมผสานได้อย่างน่าสนใจ เวอร์ชั่นมะกันนี้กลับมาในบรรยากาศทริลเลอร์กันเต็มที่ ทั้งดนตรีที่เน้นสร้างบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ มุกชวนสะดุ้ง(แต่ไม่ค่อยจะน่าสะดุ้งน่ะสิ) แถมยังเปลี่ยนตอนจบให้เป็นสไตล์ฮอลลีวู้ดจ๋าซะอีก แต่ ผกก.แพ็คคู่เราก็ยังมีวิชั่นที่น่าสนใจมานำเสนอได้อยู่ ในขณะที่นักแสดงนำก็ทำหน้าที่กันได้ดีตามมาตรฐานฮอลลีวู้ด รวมๆ แล้วก็เป็นหนังที่รีเมคมาแบบพอใช้ได้ไม่ได้ย่ำแย่ และก็ไม่ได้ดีเท่าต้นฉบับ ซึ่งการที่เน้นทริลเลอร์ซะขนาดนี้เลยทำให้หนังกลายเป็นหนังทริลเลอร์ธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

*ปล.ที่จริงหนังมีโปรแกรมจะฉายโรงตั้งแต่ต้นปี 2008 แต่เจอปัญหาสารพัดเลยโดนเลื่อนฉายมาตลอด จนนี่เพิ่งจะได้ปล่อยลงแผ่นเลยในเดือนนี้เองจ้า*


จะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออยู่ๆ น้องสามีก็มาเรียกเราว่า "เมียจ๋า"
  • น่าดูเพราะ: ใครอยากเห็นเวอร์ชั่นมะกันของ Addicted ที่มีพ่อหนุ่ม Lee Pace มาโชว์หุ่นล่ำๆ น่ากินล่ะก็ไม่ควรพลาดนะจ้ะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: ดัดแปลงให้เป็นสไตล์มะกัน จนกลายเป็นหนังทริลเลอร์ธรรมดาๆ เรื่องหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย





*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*
นี่คือเวอร์ชั่นต้นฉบับในปี 2002
Addicted (2002):
หนังเรื่องนี้เข้ามาในบ้านเราในช่วงที่กระแสเกาหลีกำลังมา นับเป็นหนังรักที่มีไอเดียแจ่มซึ่งเป็นจุดแข็งของหนังเกาหลี ถึงแม้ตัวหนังจะไม่ได้รับความนิยมหรือถูกพูดถึงในบ้านเราสักเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้พ่อหนุ่ม ลีบยองฮุน เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ที่ว่าเขาเป็นดาราคุณภาพที่รับเล่นหนังแต่ละเรื่องได้อย่างน่าสนใจ จนอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่จับตามองจากฮอลลีวู้ด และได้โกอินเตอร์ในทุกวันนี้นั่นเอง




 

Create Date : 07 มีนาคม 2553    
Last Update : 7 มีนาคม 2553 19:14:40 น.
Counter : 4732 Pageviews.  

Harry Brown (2009): อย่าแหย่ให้หง่อมโหด


Harry Brown (2009) :
คิดว่าหลายๆ คนที่เคยติดใจ Gran Torino (2009) ของปู่ Clint Eastwood (79 ขวบ) คงจะแอบอยากเห็นฉากที่ปู่เขาลุกขึ้นมาจัดการเหล่าจิ๊กโก๋แบบตาต่อตาฟันต่อฟันชนิดบู๊กระจายบ้าง (แต่วิธีของปู่คลินต์ก็เหมาะในแบบของเขาแล้ว) มาวันนี้ฝันของทั่นจะกลายเป็นจริงแล้ว เมื่อหนังของปู่ Michael Caine (ย่าง 77 ขวบ) เรื่องนี้จะขอเป็น Gran Torino เวอร์ชั่นอังกฤษ ที่มีฉากบู๊ยิงกันเลือดพุ่งมากำนัล แถมคุณภาพของหนังยังแจ่มแจ๋วไม่ใช่น้อยซะด้วย

ปู่เขา 76 ขวบแล้วยังลุกขึ้นมาบู๊ได้อยู่
Harry Brown (ปู่ Caine) อดีตนาวิกโยธินที่ปัจจุบันแก่หง่อมแถมยังมีโรคประจำตัวเป็นถุงลมโป่งพองอีกด้วย ส่วนภรรยาของปู่ก็นอนป่วยอาการหนักอยู่ รพ. ปู่อาศัยอยู่ในชุมชนอพาร์ทเม้นท์แถบลอนดอนใต้ ที่ถือว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรม เพราะมีแก๊งค์วัยรุ่นกวนเมืองที่ค้ายาเสพติดและยังข่มเหงชาวบ้านอย่างคึกคะนองเป็นประจำ ซึ่งทางตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ส่วนปู่เขาก็พยามยามอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่อยากยุ่งหรือมีปัญหากับใคร เพราะสำนึกตนว่าหง่อมได้ที่แล้ว

กิจวัตรของปู่คือนั่งโขกหมากรุกกับสหายหง่อม
จนมาวันที่ภรรยาปู่จากไปโดยที่แกไปดูใจไม่ทัน ซึ่งปู่รู้สึกชีช้ำยิ่งนัก เพราะดันเลือกที่จะเดินทางอ้อมไป รพ. แทนที่จะไปทางปกติเหตุเพราะมีแก๊งค์วัยรุ่นตั้งด่านป่วนอยู่ ส่วนเพื่อนรักคนเดียวที่มีก็โดนวัยรุ่นรุมทำร้ายร่างกายจนตายศพไม่สวย เมื่อปู่ไม่เหลือใครอีกต่อไป ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แกจึงลุกขึ้นมาสวมบทเป็นเพชฌฆาตหง่อม ออกจัดการแก๊งค์วัยรุ่นถ่อยผู้ฆ่าเพื่อนรักแกให้ตายตกไปตามๆ กัน โดยมีอุปสรรคสำคัญคือความหง่อมของปู่เอง ที่แค่หายใจก็เหนื่อยแฮ่กแล้ว(กรรม)


เพราะวัยรุ่นกวนเมืองปู่เลยต้องลุกขึ้นมาจัดการซะให้เรียบ
แค่หนังเริ่มต้นมาก็จับความสนใจได้อย่างชะงัดและชวนช็อคแล้ว เพราะแสดงให้เห็นถึงกลุ่มวัยรุ่นที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดจนเที่ยวยิงชาวบ้านอย่างคึกคะนอง หนังเสนอตนเองอย่างจริงจัง หนักแน่น และวางเงื่อนไขให้ปู่ลุกขึ้นมาโหดได้ดี แต่ก็ไม่เร่งเร้า หวือหวา ส่วนฉากยิงกันนั้นก็เด็ดขาดได้ใจ ทางด้านปู่ Caine นั้นก็ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ที่แกมาในมาดคนแก่หง่อมที่ดูไร้พิษภัยทั่วๆ ไป แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาโหดและบู๊ได้อย่างน่าเชื่อถือ ไม่ได้เก่งเว่อร์ และก็ไม่หง่อมจนทำอะไรไม่ไหว ในขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ล้วนส่งเสริมความเจ๋งให้กับตัวหนังได้เป็นอย่างดี


ดูกันอีกทีกับมาดเพชฌฆาตหง่อมของปู่
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นดราม่าจากอังกฤษที่คุณภาพแจ่มแจ๋ว อาจจะเรียกว่าเป็น Gran Torino เวอร์ชั่นยิงสนั่นก็ยังได้
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังหง่อมบู๊เนี่ยนะ ใครจะไปอยากดูคุณปู่ไล่ยิงเหล่าจิ๊กโก๋กันเนี่ย(แต่ก็มีนะ อิอิ)




 

Create Date : 03 มีนาคม 2553    
Last Update : 3 มีนาคม 2553 16:34:38 น.
Counter : 6545 Pageviews.  

The Fourth Kind (2009): สาวประเภท 4 (?!)

The Fourth Kind (2009) :
คล้อยหลังจากหนังแนวแอบถ่ายผีที่ประสบความสำเร็จโคตรๆ อย่าง Paranormal Activity (2007) ไม่นานก็มีหนังที่ใช้วิธีการนำเสนอคล้ายๆ กันเยี่ยงเรื่องนี้ออกมา ที่ว่าคล้ายกันในที่นี้ก็คือ เป็นหนังที่อ้างว่าถ่ายทำหรือสร้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยได้แสดงฟุตเตจจากกล้องวีดีโอเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน และใช้เทคนิคการตลาดแบบปากต่อปาก (Viral Marketing) อย่างได้ผลจนทำให้หนังประสบความสำเร็จกันไปถ้วนหน้า แม้ว่าเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จน้อยกว่าหนังแอบถ่ายผีเรื่องนั้นอยู่เยอะ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่แหล่มทั้งคู่เลยล่ะ


เจ๊ Jovovich ในบทนักจิตวิทยา(?!)
หนังอ้างว่าสร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ณ เมือง Nome รัฐ Alaska ประเทศอเมริกาในระหว่างวันที่ 1-9 ต.ค.2000 โดยมีฟุตเตจวีดีโอและคลิปเสียงที่ถูกบันทึกโดยนักจิตวิทยานาม ดร. Abigail Tyler มายืนยัน สลับกับการใช้นักแสดงมาร่วมกันจำลองเหตุการณ์นั้นๆ ให้ดูไปด้วย ซึ่งตัว ดร.Tyler (รับบทโดย Milla Jovovich จาก Resident Evil [2002]) ได้เจอกับเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ นาๆ เมื่อเหล่าคนไข้ของเธอต่างก็ประสบปัญหานอนไม่หลับพร้อมๆ กันโดยไม่ได้นัดหมาย พร้อมกับบรรยายว่าเห็นนกเค้าแมวสีขาวจ้องมองมาที่พวกเขาทุกคืน ในช่วงเวลาเดียวกันเป๊ะๆ อีกด้วย ซึ่งไปๆ มาๆ มันอาจโยงใยไปถึงเรื่องราวของการลักพาตัวจากเหล่ามนุษย์ต่างดาวก็เป็นได้


ดูหน้าเจ๊ก็พอจะรู้แล้วว่าหนังระทึกแค่ไหน
หนังบอกกันโต้งๆ แต่แรกว่าจะจำลองเรื่องราวจากเหตุการณ์จริงๆ แถมมีภาพฟุตเตจและคลิปเสียงจากเหตุการณ์จริงมาให้ดูให้ฟังกันตลอดด้วย โดยนำเสนอสลับกันกับการแสดง ซึ่งบางทีก็นำเสนอพร้อมๆ กันไปเลย (นำเสนอแบบแบ่งเฟรมสไตล์หนังซีรีย์เรื่อง 24 ซะด้วย) เพื่อยืนยันให้เห็นว่าหนังได้จำลองจากเหตุการณ์จริงแบบเป๊ะๆ ชนิดคำต่อคำเลย ซึ่งก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เรื่องราวได้เป็นอย่างดี ถึงกระนั้นเหตุการณ์ในหนังก็ไม่ได้ดูเป็นสารคดีที่น่าเบื่อ หากแต่เล่าเรื่องได้อย่างระทึกขวัญ (ถ้าดูเผินๆ อาจนึกว่าหนังผี) พอมีฟุตเตจจริงมายืนยันก็ยิ่งระทึกกันไปใหญ่นะสิครับทั่น


ยังอุตส่าห์มีโชว์หวิวเล็กๆ น้อยๆ
คุณ Jovovich ก็มาในมาดคุณแม่นักจิตวิทยาได้อย่างมีนัยยะ ซึ่งเข้าใจ(ไปเอง)ว่าผู้สร้างจงใจเลือกเธอมาให้ไม่เหมาะกับบท เพราะเธอดูเป็นสาวแกร่งและดูเป็นดาราเกินไป ซึ่งตัดกับบุคลิกของดร.ตัวจริงๆ ในฟุตเตจ ที่แสนจะโทรมและเปราะบาง (แถมให้คุณ Jovovich ออกมาประกาศแต่แรกว่าฉันจะมาเล่นเป็น ดร.นะจ้ะ) ทั้งนี้คงเพราะตั้งใจให้ในส่วนของหนังดูเป็น 'หนัง' ซึ่งความดูเป็นหนังของมันได้กลับส่งเสริมความสมจริงให้กับฟุตเตจที่นำเสนอควบคู่กันมากขึ้นไปอีก (ฉลาดนะเนี่ย) ถึงดูเผินๆ ก็คงไม่พ้นหนังแนวระทึกขวัญเกี่ยวกับเอเลี่ยนทั่วๆ ไป แต่ถ้ามองในมุมไอเดียการนำเสนอแล้วถือว่าเข้าท่า โดยเฉพาะการทำให้ฟุตเตจหลอกๆ ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาได้เพราะหนังหลอกๆ อีกที(ป๊าด) ถ้าหากว่า Paranormal Activity สามารถทำให้คนเชื่อว่าภูติผีปีศาจมีอยู่จริง หนังเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จในการทำให้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริงเช่นเดียวกัน

ปล.ขอย้ำอีกครั้งว่า ฟุตเตจและคลิปเสียงที่เห็นในหนังก็เป็นของปลอมที่ทำขึ้นมานะจ้ะ (อ้าว?)

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังเรื่องจริงผ่านจอกำมะลอที่มีไอเดียนำเสนอที่น่าซื้อ นี่ถ้าในหนังเป็นคลิปจริงๆ ล่ะก็คงได้ดาวจากเราเพิ่มเป็นแน่เชียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: เป็นหนังที่มาแต่น้อย ไม่โฉ่งฉ่าง ซึ่งบางทีดูแล้วเหมือนไม่มีอะไร ถ้าไม่ซื้อไอเดียล่ะก็ งานนี้วัยรุ่นเซ็งแน่เชียว



*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

ลักษณะของมะนาวต่างดุ๊ด
ชื่อหนัง The Fourth Kind มาจากประเภทที่ 4 ของการพบเห็นมนุษย์ต่างดาวระยะต่างๆ ซึ่งมีกันทั้งหมดถึง 7 ประเภท (แต่เดิมมีแค่ 3 ประเภท) ดังต่อไปนี้
  • Close Encounter of the First kind: คือการพบเห็นวัตถุบินได้ที่ไม่อาจระบุที่มา หรือเทคโนโลยี รวมทั้งลำแสงประหลาดทั้งหลาย ในระยะไกล
  • Close Encounter of the Second kind: คือประเภทที่พบ UFO และหลักฐานที่แสดงถีง UFO เช่น รังสีหรือความร้อน, ร่องรอยความเสียหายของพื้นที่, สัตว์ที่ตื่นกลัว, มีคลื่นรบกวนเครื่องจักรหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
  • Close Encounter of the Third kind: คือประเภทที่ได้เห็น UFO ในระดับใกล้ชิด หรืออาจจะเข้าไปในยานและออกมาโดยที่ยังจำความได้ รวมทั้งการพบเห็นตัวเป็นๆ ของเอเลี่ยนด้วย
  • Close Encounter of the Fourth kind: ที่มาของชื่อหนัง คือประเภทที่โดนเอเลี่ยนลักพาตัวไป และออกมาทั้งในสภาพที่จำหรือจำความไม่ได้ หรือแม้แต่การเกิดภาพหลอนหรือฝันเกี่ยวกับการเจอเอเลี่ยนด้วย
  • Close Encounter of the Fifth kind: คือประเภทที่ติดต่อสื่อสารกับเอเลี่ยนแบบเป็นกิจลักษณะ
  • Close Encounter of the Sixth kind: คือประเภทที่พบ UFO เกิดอุบัติเหตุ เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงการพบเอเลี่ยนบาดเจ็บหรือล้มตายเป็นศพ
  • Close Encounter of the Seventh kind: คือประเภทที่ มนุษย์กับเอเลี่ยน ใช้เทคโนโลยีร่วมกัน เช่นในทฤษฏีที่ว่าคนยุคโบราณ อย่างชาวแอตแลนติส ใช้เทคโนโลยีต่างดาวได้

*แปลมั่วๆ จาก wikipedia ผิดพลาดประการได้โปรดเพิ่มเติมนะจ้ะ*




 

Create Date : 01 มีนาคม 2553    
Last Update : 27 กันยายน 2554 12:20:32 น.
Counter : 4819 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.