Group Blog
 
All blogs
 

Dorian Gray (2009): สุภาพบุรุษเทครัว

Dorian Gray (2009) :
เป็นหนังเวอร์ชั่นที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของนิยายคลาสสิกเรื่อง The Picture of Dorian Gray ของ Oscar Wilde ที่ออกตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1890 โน่น โดยหนังเวอร์ชั่นนี้ได้พ่อหนุ่มผมดกปรกไหล่สุดหล่อวัย 28 ขวบอย่าง Ben Barnes (Stardust [2007]) มารับบท Dorian Gray และหนังกำกับ ผกก.ที่นิยมนำนิยายคลาสสิกมาทำเป็นหนังอย่าง Oliver Parker (An Ideal Husband [1999]) นะจ้ะ


เรื่องนี้พระเอกเราหล่อได้ใจเชียว
Dorian Gray (Barnes) หนุ่มรูปงาม แถมร่ำรวยซะ ได้เดินทางมาลอนดอน และได้เป็นแบบให้กับศิลปินนาม Basil Hallward (Ben Chaplin จาก The Truth About Cats & Dogs [1996]) โดยรูปที่วาดออกมาก็เหมือนจริงเอามากๆ ต่อมาจากการโน้มน้าวของลอร์ด Henry Wotton (Colin Firth จาก Love Actually [2003]) ทำให้พระเอกเราขายวิญญาณตนเพื่อแลกกับความอมตะไม่รู้จักเจ็บป่วยแก่เฒ่า ให้หล่อเนี้ยบเหมือนในรูปวาดไปตลอดกาล ซึ่งก็ดันเป็นแบบนั้นจริงๆ ว่าแล้วเขาก็หลงระเริงในตัณหาราคะ ฟันไม่เลือก(เด็ก สตรี คนชรา แม้แต่ไม้ป่าเดียวกันก็ไม่เว้น) ใช้ชีวิตหยำเป จนกลายเป็นคนไร้หัวใจไปในที่สุด แต่ทุกครั้งที่เขาทำบาป รูปภาพของเขาก็จะค่อยๆ อัปลักษณ์ขึ้น และแก่ขึ้นตามวันเวลา เรียกได้ว่า เขากลายเป็นรูป และรูปคือตัวตนที่แท้จริงของเขา ว่างั้นเหอะ


คนหล่อๆ รวยๆ มักจะมีสาวๆ มารุมล้อม
สำหรับคนที่ไม่เคยดูเวอร์ชั่นอื่นๆ หรือเคยอ่านนิยายมาก่อนแล้วจะพบว่าหนังช่างมีพล็อตโบราณเสียจริง (ก็นิยายเขาก็ตั้งร้อยกว่าปีแล้วนิ) แต่ประเด็นที่สอดแทรกอยู่ในหนังก็เป็นอะไรที่ยังน่าคิดอยู่ในสมัยนี้ คุณ Barnes พระเอกเราก็กำลังหล่อขึ้นหม้อเลยในบทบาทเด็กหนุ่มจิตใจดีที่ค่อยๆ กลายสภาพเป็นเพลย์บอยไร้หัวใจ ซึ่งน่าจะถูกใจคุณสาวๆ ประเภทหนึ่งและประเภทสองแน่ๆ และเมื่อหนังว่ากันด้วยเรื่องของตัณหา กามารมณ์ ก็ต้องมีโป๊ให้ดูกันพอดู แต่ก็ไม่ได้โจ๋งครึ่มนัก ส่วนจุดพลิกผัน หรือความสนุกน่าติดตามของเนื้อเรื่องก็ดัดแปลงจากตัวนิยายมาอยู่ในระดับที่สนุกพอใช้ แต่คนเรานี่ก็แปลกเนอะ พอแก่ก็อยากหนุ่มสาวไปตลอด พอไม่รู้จักแก่เฒ่าก็อยากแก่เฒ่า นี่ล่ะหนอมนุษย์ ไม่เคยพอใจในตนเองเลยจริงๆ

  • น่าดูเพราะ: พระเอกหล่อ สาวตรึม มีอะไรให้คิดตามอยู่บ้าง
  • ไม่น่าดูเพราะ: เนื้อเรื่องธรรมดา หนังดูได้ในระดับพอใช้ เปลี่ยนเรื่องราวจากนิยายไปพอสมควร ดูแล้วอาจมีเคือง แต่พระเอกหล่อนะคุณสาวๆ (ย้ำอีกที อิอิ)




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2552    
Last Update : 24 กรกฎาคม 2553 19:22:09 น.
Counter : 3425 Pageviews.  

The Messenger (2009): ชีวิตของคนส่งข่าวร้าย



The Messenger (2009) :
ช่วงหลายปีมานี้ฮอลลีวู้ดนิยมสร้างหนังดราม่าที่เกี่ยวกับผลพวงของการส่งทหารไปอิรัก ที่ทหารผู้อยู่ในแนวหลังก็ได้รับความกดดันไม่แพ้พวกที่อยู่แนวหน้าเลย เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำได้อย่างถึงคุณภาพจนตระเวนกวาดรางวัลต่างๆ ซะมากมาย และยังได้เข้าชิงลูกโลกทองคำซะอีก ซึ่งนับว่าไม่เลวเลยสำหรับฝีมือการกำกับครั้งแรกของคุณ Oren Moverman ผู้เคยเขียนบทเรื่อง I'm Not There (2007) มาแล้วนั่นเอง


ป๋า Harrelson แสดงได้ดีเข้าตากรรมการอีกแล้วครับทั่น
หนังเล่าเรื่องของคุณจ่า Will Montgomery (Ben Foster จาก Pandorum [2009]) แห่งกองทัพบกสหรัฐ ที่เพิ่งกลับมาจากประจำการที่อิรักแบบมีแผลใจติดตัวมาด้วย ถูกย้ายไปทำหน้าที่ "จนท.แจ้งการเสียชีวิตของทหาร" แก่ครอบครัวของทหารเหล่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่ได้เต็มใจนัก โดยเฉพาะเมื่อต้องมาเจอเพื่อนร่วมงานจอมบงการอย่าง จนท.Tony Stone (Woody Harrelson จาก Zombieland [2009]) แถมทำหน้าที่ไปมา ก็ดันไปปิ๊งคุณแม่ลุกติด (Samantha Morton จาก Minority Report [2002]) ที่เขาเพิ่งไปแจ้งการเสียชีวิตของสามีหล่อนเข้าให้อีกล่ะ วุ่นจริงๆ ชีวิตของจ่าเขาเนี่ย


คุณ Foster เรา เรื่องนี้หน้าตาออกจิตนิดๆ
ถึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทหารแต่ก็ไม่ได้มีอะไรบู๊ๆ ให้ดูกันเลยสักนิด เพราะเน้นดราม่า เน้นบทสนทนากันอย่างเดียว แต่ก็ยังสะเทือนใจนิดๆ ได้อยู่ โดยเฉพาะการได้เห็นบรรดาญาติมิตรของทหารหาญที่เสียชีวิตไป เข่าอ่อนทรุดลงไปร้องห่มร้องไห้เมื่อทราบข่าวการจากไปของผู้เป็นที่รักของตน นักแสดงนำทั้งสองคนก็ต่างทำหน้าที่ของตนได้อย่างน่าจดจำ ในขณะที่นักแสดงสมทบก็ล้วนเป็นนักแสดงคุณภาพที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี แต่ความที่หนังนิ่งๆ เรื่อยๆ แบบตั้งกล้องถ่ายนิ่งๆ เช่นนี้ถ้าไม่ตั้งใจดูอาจจะเห็นว่าน่าเบื่อก็ได้ โดยรวมแล้วเป็นหนังดราม่าที่ดี การแสดงเด่น มีอะไรให้ขบคิดตาม โดยเฉพาะความจริงที่ว่าทหารที่ทำหน้าที่นี้ก็ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทหารที่อยู่ในแนวหน้าไปสักเท่าไหร่เลย เมื่อคุณต้องตระเวนไปทั่วเพื่อบอกกับครอบครัวทหาร ครอบครัวแล้วครอบครัวเล่าในทุกๆ วันว่า "ลูกชาย/ลูกสาวคุณได้เสียชีวิตไปแล้วครับ" อืมม..เป็นหน้าที่ที่ไม่น่าพิสมัยเอาเลยเนอะ


สองคนนี้โดดเด่นตลอดทั้งเรื่อง

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่าที่มีคุณภาพ การแสดงโดดเด่น มีอะไรให้ได้คิดตาม
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังนิ่งๆ เต็มไปด้วยบทสนทนา ฟังดูน่าเบื่อออก





 

Create Date : 23 ธันวาคม 2552    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 14:26:35 น.
Counter : 2670 Pageviews.  

Avatar (2009): มหาสงครามไล่ที่สะท้านดวงดาว


Avatar (2009) :
เป็นหนังที่ใครๆ ต่างก็รอคอยจริงๆ สำหรับหนังแอ็คชั่นไซไฟซึ่่งเป็นผลงานเรื่องล่าสุดของ James Cameron (Aliens [1986]) สุดยอด ผกก.ที่มีคติประจำใจว่า "เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ก็ไม่ แต่ต้องใหญ่โคตรๆ ถึงจะทำ" ที่ปลุกปั้นกันมากว่าสี่ปี เพราะเป็นหนังที่เน้นงานด้านซีจีแบบโคตรๆ และทำกันเป็นหนังสามมิติโดยเฉพาะ (แต่ก็มีแบบสองมิติให้ดูกันด้วยนะ) ป๋าเขาก็หมั่นออกมาคุยฟุ้งว่าหนังจะเปิดมิติใหม่ทางด้านภาพที่จะทำให้ผู้ชมต้องตะลึงตึงๆ แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน อืม...แบบนี้คงต้องไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะแล้วสิเนอะ


พระเอกของเราในทั้งสองเวอร์ชั่น
ในปี คศ.2154 มนุษย์ไปตั้งอาณานิคมบนดาวที่ชื่อ "แพนโดร่า" ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่าที่ชื่อ Unobtainium (ราคากิโลละ 20 ล้านเอง) แต่ปัญหาก็คือมีชนพื้นเมืองที่เรียกว่าชาว "นาวี" ดันอาศัยตั้งรกรากทับทำเลทองนั้นอยู่ งานนี้ทางฝั่งมนุษย์จอมโลภก็เลยต้องใช้ทั้งไม้นวมโดยการส่งอดีตนาวิกโยธินขาอัมพาตนาม Jake Sully (Sam Worthington จาก Terminator Salvation [2009]) ในร่างอวตารเพื่อไปตีซี้กับชาวนาวี และยังเตรียมไม้แข็งไว้โดยการจะบุกไปไล่ที่แบบบู๊ล้างผลาญมันซะเลย ซึ่งสุดท้ายชะตากรรมของชาวนาวี และอาจจะรวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนดาวดวงนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ Jake คนเดียวเท่านั้นว่าเขาจะเลือกใส่เสื้อสีอะไร สีฟ้า หรือ สีเขียว (งานนี้สีเหลือง-แดงไม่มีในช้อยส์ให้เลือกนะจ้ะ เหอๆ)


หนังผสมงานด้านซีจีกับคนจริงๆ ได้อย่างเนียนๆ
แม้เวอร์ชั่นที่ได้ดูจะเป็นเวอร์ชั่นสองมิติ แต่ก็สามารถทำให้ตื่นตาตื่นใจไปกับภาพที่เห็นได้เป็นอย่างดี สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหนังย่อมจะไม่พ้นงานด้านซีจีที่แม้จะไม่มีอะไรให้ต้องถึงกับซู้ดปากเมื่อได้เห็น แต่ก็ยอดเยี่ยมและสามารถทำให้เห็นถึงความอุตสาหะ และความใส่ใจในทุกรายละเอียดของผู้สร้างได้อย่างน่าชื่นชม ถึงแม้เรื่องราวในหนังไม่มีอะไรที่น่าจะเหนือการคาดเดาจากบรรดาคอหนัง แต่ ผกก.Cameron ก็เล่าเรื่องได้อย่างไม่น่าเบื่อเลยในระยะเวลากว่าสองชั่วโมงสี่สิบนาทีของหนัง ทางด้านนักแสดงก็น่าดีใจที่ได้เห็นเจ๊ Sigourney Weaver (Aliens [1986]) กลับมาร่วมงานกับ ผกก.คู่บุญอีกครั้ง สรุปว่านี่เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งของปี และถ้าจะให้ได้อรรถรสเต็มที่ล่ะก็ ดูในแบบสามมิติได้จะแจ่มมากเลยจ้ะ


คู่พระนางของหนังดูจะชอบสีฟ้าเหมือนกันนะ
  • น่าดูเพราะ: ซีจีเยี่ยม ดูได้ดูดี และนี่เป็นหนังของ James Cameron นะจ้ะ พลาดได้ไงอ่ะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: ถ้าเลี่ยนกับหนังขายซีจี และถ้าไม่ชอบดูหนังยาวๆ ก็เอาไว้ค่อยดูก็ได้มั้ง




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2552    
Last Update : 19 ธันวาคม 2552 18:32:19 น.
Counter : 2608 Pageviews.  

The Damned United (2009): สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า"ผจก.ทีมฟุตบอล"



The Damned United (2009) :
หนังดราม่ากีฬาฟุตบอลเรื่องนี้เสนอเรื่องราวของ Brian Clough ผจก.ทีมในตำนานของอังกฤษ ช่วงที่เขาได้เข้าไปคุมทีม Leeds United ซึ่งเป็นทีมสโมสรอันดับหนึ่งของเกาะอังกฤษในขณะนั้น(ประมาณช่วงยุค '70) แต่เขากลับทำหน้าที่ ผจก.ทีมได้เพียงแค่ 44 วันก็โดนเด้งออกจากตำแหน่งซะแล้ว งานนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรบางอย่างแน่ๆ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้นำข้อเท็จจริงบางอย่างมาแฉไว้เรียบร้อยแล้ว

มาคราวนี้พี่ Sheen เขาสวมบทเป็นผจก.ทีมฟุตบอลในตำนานนะจะบอกให้
คุณพี่ Michael Sheen (Underworld: Rise of the Lycans [2009]) ที่ถนัดสวมบทบาทคนที่มีตัวตนอยู่จริง มารับบท Clough สมัยยังหนุ่มๆ ได้อย่างเข้าท่าแบบที่สามารถหวังได้จากพี่เขาอยู่แล้ว ในขณะที่บทสมทบอื่นๆ ก็ล้วนทำหน้าที่ได้อย่างดีโดยนักแสดงอังกฤษที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่ แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนังดราม่ากีฬา แต่หนังก็เน้นไปที่ตัวของ Clough มากกว่าที่จะเน้นไปที่เกมการแข่งขันฟุตบอล ทั้งนี้ก็ต้องชื่นชมทีมสร้างที่สามารถพาคนดูย้อนยุคกลับไปในช่วงยุค '70 ได้อย่างน่าเชื่อถืออีกด้วย และที่ลืมไม่ได้เลยคือ ผกก.วัย 37 ขวบอย่าง Tom Hooper ที่ถึงแม้จะทำหนังโรงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก (หลังจากทำหนังทีวีมาตลอด) แต่เขาก็ทำออกมาได้อย่างมั่นใจ มีสไตล์ และถึงคุณภาพ น่าสนับสนุนจริงๆ นะคนเนี้ย

ผจก.ทีมที่ดีควรเกรี้ยวกราดในสนามและยิ้มแย้มนอกสนาม
สิ่งหนึ่งที่หนังพยายามย้ำให้เห็นอยู่ตลอดคือ ความทะเยอทะยานของ Clough ที่ถึงแม้เขาจะเป็น ผจก.ทีมฟุตบอลที่ฉลาดล้ำ และเก่งมาก แต่เขาก็ปล่อยให้ความทะเยอทะยานและความเคียดแค้นส่วนตัวของเขา มาเป็นแรงผลักดันในหน้าที่การงาน จริงอยู่ที่ระยะเริ่มแรกมันอาจจะส่งผลบวกให้เห็น แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เกือบจะทำให้เขาสูญสิ้นทุกอย่างไป ไม่ว่าหน้าที่การงาน หรือแม้แต่เพื่อนซี้ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปี บางคนเคยบอกว่า ฟุตบอลลูกกลมๆ มันไม่เข้าใครออกใคร เฉกเช่นเดียวกับ ความทะเยอทะยานและความเคียดแค้น มันก็ไม่เคยเข้าใครออกใครเหมือนกันนะจ้ะ


แม้จะเซ็งที่ลูกทีมเล่นแพ้กระจายสักแค่ไหนก็ต้องให้กำลังใจกันเมื่อจบเกมเสมอ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่ากีฬาฟุตบอลที่เข้าท่า แฟนฟุตบอลตัวจริงน่าจะชอบกัน
  • ไม่น่าดูเพราะ: ไม่เน้นเกมการเตะบอล ดูเอามันไม่ได้ และคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องบอลอาจดูแล้วเซ็ง




*ช่วงตัวเป็นๆ จากหนัง*

โฉมหน้า Brian Clough ตัวจริง
Brian Howard Clough (1935-2004) เป็นนักฟุตบอลและผจก.ทีมฟุตบอล เขาเคยคุมทีมสโมสร Derby County จนประสบความสำเร็จและเคยพา Nottingham Forest ซิวแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ แต่ที่ยังฉาวได้อีกคือการที่เขาเข้าไปคุมทีม Leeds United ได้เพียงแค่ 44 วันแล้วก็ถูกเด้งออกจากตำแหน่งเพราะไม่ได้การยอมรับจากเหล่าผู้เล่นในทีม จนเล่นแพ้กระจาย

ด้วยบุคลิกที่มีเสน่ห์ แต่ชอบพูดจาขวานผ่าซากและชอบโต้เถียง ทว่าก็มีฝีมือการคุมทีมที่ยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับการยกย่องให้เป็น ผจก.ทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษ และเป็น ผจก.ทีมที่ดีที่สุดที่ไม่ได้คุมทีมชาติ(ได้ไงเนี่ย?)

เขาเป็น ผจก.ทีมฟุตบอลอยู่จนเกษียณตัวเองในปี 1993 และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในกระเพาะ ในปี 2004 ขณะอายุได้ 69 ขวบ

*ข้อมูล wikipedia.org*





 

Create Date : 18 ธันวาคม 2552    
Last Update : 12 มิถุนายน 2554 4:51:25 น.
Counter : 4335 Pageviews.  

Halloween II (2009): มันโหดไม่มีเม้ม


Halloween II (2009) :
หลังจากที่เอาหนังสยองขวัญคลาสสิกเรื่อง Halloween (1978) มารีเมคจนประสบความสำเร็จด้านรายได้เป็นอย่างดีเมื่อสองปีที่แล้ว เฮีย Rob Zombie (The Devil's Rejects [2005]) ศิลปินร็อค/ผกก.จอมโหดเลยติดอกติดใจ ขอทำภาคสองออกมาอีก แต่ผลที่ออกมาก็ปรากฏว่าหนังทำเงินได้น้อยกว่าภาคแรกแยะ จนอนาคตของหนังรีเมคชุดนี้อาจจะไม่สดใสอย่างที่เฮียเขาวาดฝันเอาไว้ซะแล้ว


พี่โหดเขากลับมาอีกแล้วคราวนี้โหดไม่มีเม้มเหมือนเดิม
ภาคนี้ Michael Myers ก็ยังคงคอยตามล้างตามผลาญ Laurie Strode (Scout Taylor-Compton) น้องสาวของตนอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยระหว่างทางพี่แกก็แวะฆ่าคนด้วยลีลาสุดโหดแบบเรี่ยร่ายรายทางไปเรื่อย โดยมีสาวๆ มาโป๊ให้ดูกันเป็นระยะ จนพี่น้องได้พบกันในที่สุด จบ หนังความยาวสองชั่วโมงเนื้อเรื่องมีแค่นี้แหล่ะ (ฮ่วย)

นางเอกเรายังสะบักสะบอมได้อีกในภาคนี้
หนังเริ่มต้นโดยเล่าเรื่องต่อจากภาคแรกโดยทันที ซึ่งก็เล่นเอาคนที่เคยดูภาคแรกมานานจนลืมๆ ไปแล้วหรือคนที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน เอ๋อไปพักหนึ่งเลย (แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากก็คงไม่ยากจะปะติดปะต่อเรื่องราวหรอก) เรื่องความโหดเนี่ยไม่ต้องสืบ เพราะโหดเน้นๆ ไม่มีเม้ม เมื่อบวกกับสไตล์ภาพที่เหมือนมิวสิควีดีโอก็เพิ่มความหลอนและกดดันได้เป็นอย่างดี งานเทคนิคกับดนตรีอยู่ในระดับดีเมื่อเทียบกับหนังสยองขวัญด้วยกัน แต่สิ่งที่บั่นทอนหนังมากที่สุดกลับเป็นตัวนางเอก ที่ตัวละครของเธอเอาแต่สติแตก และพูดคำแจกฟักแฟงแตงกวาซะสองคำเกือบตลอดเรื่อง ทำตัวไม่น่ารักน่าสงสารแบบนี้ คนดูเลยอาจหมั่นไส้เธอและไม่อยากเอาใจช่วยเธอเท่าไหร่นัก นี่ถ้าตัดอาการสติแตกของนางเอกออกบ้าง หนังก็อาจจะสั้นกว่านี้ได้ครึ่งชั่วโมงได้เลยนะ เหอๆ


*ปล.ในที่นี้คือเวอร์ชั่น (Unrated Director's Cut)นะจ้ะ*

*ภาคสามที่จะออกฉายในปี 2011 จะกำกับโดย ผกก.ใหม่แกะกล่องนาม Patrick Lussier*


พี่แกจะกินเด็กหรือไม่โปรดติดตาม
  • น่าดูเพราะ: คอหนังโหด อยากดูอะไรโหดๆ คงสมหวัง
  • ไม่น่าดูเพราะ: เนื้อเรื่องไม่มีอะไร เพราะเขาตั้งใจขายโหด และสาวโป๊ นางเอกก็น่าหมั่นไส้ซะ

หน้าตาของ ผกก.(ตอนเมคอัพ)





 

Create Date : 17 ธันวาคม 2552    
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 6:12:14 น.
Counter : 2959 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.