Group Blog
 
All blogs
 

Gentlemen Broncos (2009): เรื่องเพี้ยนๆ ของคนเพี้ยนๆ

Gentlemen Broncos (2009) :
นี่คือผลงานล่าสุดของ ผกก.Jared Hess ที่แจ้งเกิดอย่างงดงามจากหนังตลกสุดคัลต์เรื่อง Napoleon Dynamite (2004) และหนังมวยปล้ำสุดฮาของเฮียตุ้ย Jack Black ที่ทำเอาเราติดอกติดใจหนักหนาอย่าง Nacho Libre (2006) ซึ่งก็แย่หน่อยที่ชะตากรรมของเรื่องนี้ไม่สดใสเท่าสองเรื่องที่กล่าวมาเพราะโดนนักวิจารณ์รุมสับเละเทะเลยทำให้ทางสตูดิโอต้องรีบถอดโปรแกรมฉายในวงกว้างแทบไม่ทันเลยทีเดียว(ทำเงินไปได้แสนเดียวจากทุนสร้างสิบล้านเหรียญ)


หนังเรื่องนี้กวางเขามีไว้ขี่
หนังว่าด้วยเรื่องราวของ Benjamin Purvis (Michael Angarano จาก The Forbidden Kingdom [2008])หนุ่มน้อยผู้ชอบเขียนนิยายไซไฟเป็นชีวิตจิตใจ ที่อาศัยอยู่กับคุณแม่ในเมืองเล็กๆ ไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาเขาได้ไปร่วมเวิร์คช็อปนักเขียนและได้ส่งงานเขียนของเขาเข้าร่วมประกวด แต่เขาหารู้ไม่ว่าผลงานของตนได้โดน Dr. Ronald Chevalier (Jemaine Clement) นักเขียนนิยายไซไฟชื่อดังที่เขาชื่นชอบอยู่ขโมยผลงานไปเป็นของตนเองและตีพิมพ์ออกขายซะงั้น งานนี้หนุ่มน้อย Benjy (แม่เขาเรียกว่างั้น)จะทำเช่นไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไป แต่บอกได้เลยว่าแต่ละคนในหนังนี่ไม่ค่อยจะปกติกันนักนะ เหอๆ

หนังเต็มไปด้วยตัวละครเพี้ยนๆ
คนที่เคยชื่นชอบ Héctor Jiménez หรือนายแห้งคู่หูพระเอกจาก Nacho Libre ก็คงจะดีใจที่ได้เห็นเขาตามมารับบท ผกก.แต๋วแตกในหนังเรื่องนี้ สำหรับตัวขโมยซีนประจำเรื่องก็คงจะเป็นนาย Mike White (The School of Rock [2003]) ที่มาในมาดไอ้หนุ่มผมยาวสุดหน้าตายคู่หูพระเอกเรา ส่วนเฮีย Sam Rockwell (Moon [2009])แม้จะโผล่มาแต่ในส่วนของภาพจินตนาการจากนิยาย แต่เฮียก็ยังดีดดิ้นไว้ใจได้อยู่ ส่วนคนอื่นๆ ก็เพี้ยนกันไปคนละแบบไม่ซ้ำแนวเลยล่ะ


คนซ้ายคือตัวขโมยซีนของเรื่อง
จะว่าไปแล้ว ผกก.เขาเก่งนะที่จับเอาประเด็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการ ที่คนอื่นเอาผลงานของเราไปปู้ยี่ปู้ยำซะจนน่าโมโห ไปทำเป็นหนังตลกได้แบบนี้ คนที่เคยดูผลงานก่อนๆ ของ ผกก.เราก็คงจะเดาทางกันออกว่าหนังมาด้วยมุกตลกหน้าตายของบรรดาตัวละครเพี้ยนๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งของแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะฮาหรือชอบกันได้ทุกคน มันขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนด้วยว่าจะซื้อมุกสไตล์นี้ที่หนังนำเสนอหรือเปล่าด้วย เพราะถ้าเกิดไม่ซื้อขึ้นมาล่ะก็จะพบว่าหนังช่างฝืดสนิทคนดูส่ายหน้าเสียจริง แต่ถ้าอะไรแบบนี้ต้องรสนิยมของท่านอยู่แล้ว งานนี้คงได้มีการปล่อยก๊ากกันบ้างแหล่ะน่า


เฮีย Sam Rockwell แกยังแต๋วแตกได้อีก
  • น่าดูเพราะ: คนที่เคยชอบ Napoleon Dynamite, Nacho Libre หรือหนังแนวตลกหน้าตายก็คงจะขำกับเรื่องนี้ได้อยู่จ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: ไม่ใช่หนังตลกที่จะดูแล้วขำสำหรับทุกคน และตลกน้อยกว่าสองเรื่องที่แล้วของ ผกก.ไปอยู่บ้างนะ




*ช่วงเพลงจากหนัง*

วง Scorpions กำลังเก๊กมาดเท่
มุกประจำใจอย่างหนึ่งในหนังของ ผกก.Jared Hess คือการนำเอาความเป็นยุค 70-80 ที่ดูเฉิ่มเชยไปแล้วสำหรับยุคนี้มาใช้ โดยการให้เหล่าตัวละครไว้ทรงผม แต่งกาย ขับรถ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นยุคนั้น ซึ่งก็ดันไม่มีใครในหนังรู้สึกผิดปกติอะไรกับความเชยเหล่านี้ซะด้วย จนได้ออกมาเป็นอารมณ์ขันอีกแบบ และแน่นอนว่าในหนังเรื่องนี้อะไรที่เป็นของยุคนั้นก็ยังมีให้เห็นอย่างเต็มเหนี่ยว โดยเฉพาะเพลงที่คัดมาแต่ดังๆ ในอดีตทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงโคตรดังของ Scorpions ที่คนไทยเรารู้จักกันดีอย่าง Wind of Change หรือเพลงของ Cher, Kansas แม้แต่ Black Sabbath ก็มากับเขาด้วย ว่าแล้วเราก็มาฟังกันเลยดีกว่าเนอะ

MP3: Scorpions - Wind of Change

MP3: Cher - Just Like Jesse James

MP3: Kansas - Carry On Wayward Son

MP3: Black Sabbath - Paranoid




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2553 16:44:05 น.
Counter : 2736 Pageviews.  

Control (2007): เรื่องหนักอกของคนพันธุ์ร็อค


Control (2007) :
ใครที่ชอบดูหนังชีวประวัติคนดังล่ะก็เชิญทางนี้เลย โดยเฉพาะเหล่าคอเพลงที่ชื่นชอบเพลงร็อคจากฝั่งอังกฤษอยู่เป็นทุนเดิมแล้วล่ะก็ต้องถูกอกถูกใจกันแน่เชียว เพราะเป็นหนังเกี่ยวกับคุณ Ian Curtis นักร้องนำผู้ล่วงลับแห่ง Joy Division วงร็อคในตำนานที่เคยดังคับเกาะอังกฤษ(กับอีกในหลายประเทศ)ในช่วงปลายยุค 70 ซึ่งมาทุกวันนี้งานของพวกเขาก็ยังเป็นที่ยกย่องอย่างสูงจากบรรดาคอเพลงและเป็นอิทธิพลให้แก่เหล่าศิลปินรุ่นหลังได้เดินตามอยู่เลย


หนังมาในแบบขาวดำที่ยังอาร์ตได้อยู่
หนังเล่าเรื่องราวชีวิตของคุณ Curtis ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1973-1980 นับตั้งแต่สมัยที่เขายังเรียน ม.ปลาย และตัดสินใจแต่งงานทันทีที่เรียนจบ ก่อนจะเข้าร่วมวงดนตรี ไต่เต้าบนถนนสายดนตรีจนกระทั่งประสบความสำเร็จ โดยหนังจะเน้นไปที่ปัญหาชีวิตด้านความรักและด้านสุขภาพของเขามากเป็นพิเศษ ซึ่งดูเหมือนสิ่งเหล่านี้ต่างก็ถาโถมเข้ากดดันจนส่งผลให้เขาตัดสินใจจบชีวิตตนเองลงด้วยวัยเพียง 23 ขวบเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นทางวงกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นสุดๆ เสียด้วยสิ


รักสองต้องห้าม(ถ้าเคลียร์ไม่ลงตัว)
ผกก.Anton Corbijn (The American [2010]) ผู้คลุกคลีในสายมิวสิควีดีโอมากว่า 15 ปี เปิดตัวผลงานหนังยาวเรื่องแรกของเขานี้ได้อย่างถึงคุณภาพ ด้วยการเลือกทำหนังที่เกี่ยวกับวงดนตรี(เกี่ยวกับเพลง งานถนัดเขาเลยล่ะ) ทำภาพเป็นขาวดำซึ่งให้อารมณ์ย้อนยุค(ถ่ายทำเป็นหนังสีแล้วค่อยมาแปลงเป็นขาวดำอีกที) ถึงกระนั้นหนังก็ไม่ได้กะเท่โชว์ออฟเทคนิคหวือหวาทางภาพหรือการตัดต่อใดๆ ให้ดูแนวจ๋าทั้งสิ้น หนังเล่าเรื่องแบบเป็นขั้นเป็นตอนดูไม่ยาก แต่ก็เข้มข้นและมีพลังพอที่จะสะกดคนดูให้จดจ่อไปกับหนังได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยทีเดียว


เต็มไปด้วยนักแสดงคุ้นหน้าทั้งนั้น
ด้านนักแสดงก็มีที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายคน ซึ่งก็ทำหน้าที่กันได้ดีทั้งนั้น โดยเฉพาะสี่คนที่มาเล่นเป็นเหล่าสมาชิกของวงก็หัดเล่นหัดร้องกันได้เหมือนวงตัวซะจริงๆ ไม่ต้องเปิดเพลงลิปซิงก์แต่ประการใด แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นคุณ Sam Riley ที่รับบทคุณ Curtis ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าสีหน้าท่าทาง ลีลาการแสดงที่โคตรจะคล้ายคลึงตัวจริงมากๆ และคุณ Samantha Morton (Minority Report [2002]) ที่ฝีมือหายห่วงได้เลยในบทภรรยาของ Curtis ซึ่งแต่งงานกันซะตั้งแต่เรียนจบ


เปรียบเทียบตัวปลอม(ซ้าย)และตัวจริง
อย่างที่บอกว่าหนังเน้นไปที่ปัญหาชีวิตส่วนตัวของ Curtis ซะเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดถึงการพยายามไต่เต้าสู่ความสำเร็จของทางวงมากเท่าไหร่ เลยรู้สึกว่าพวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายามมากก็ดังซะแล้ว (ซึ่งก็อาจจะแย้งได้ว่า ก็พวกเขาเก่งเทพปานนี้เลยไม่ต้องพยายามอะไรมากก็ได้เนอะ) แต่หนังทำออกมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าแจ่มมากแล้ว เพราะสามารถทำให้คนรุ่นหลังได้ทำความรู้จักกับศิลปินในตำนานวงนี้มากขึ้น(และอาจจะชอบไปเลยทีเดียว) ส่วนแฟนเพลงรุ่นเก่าก็ยังได้ระลึกถึงวงที่พวกเขารักได้อีกด้วยเช่นกัน ขอคารวะให้หนึ่งจอกเลยจ้า กรึ๊บ!

ปล.ชื่อหนังมาจากเพลง 'She's Lost Control' ของวง ซึ่งจะว่าไปแล้วการที่หนังพูดถึงการควบคุมชีวิตของตนไม่ได้ของ Curtis นั้น ก็ทำให้เพลงที่เขาแต่งขึ้นมานี้หมายถึงตัวเขาเองแบบตรงๆ จนถ้าจะเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น 'He's Lost Control' ก็ไม่น่าเกลียดแต่ประการใด

  • น่าดูเพราะ: ใครชอบดูหนังชีวิตคนดังหรืออยากทำความรู้จักกับวงในตำนานอย่าง Joy Division ล่ะก็เร่เข้ามาเลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: คงจะเป็นหนังเฉพาะกลุ่มที่หาดูยาก กับเรื่องราวของวงที่หลายคนได้ยินก็ต้องเกาหัวพร้อมกับพึมพำว่า 'จอยไหนฟะเนี่ย ไม่เห็นรู้จัก?' และอาจมองข้ามหนังไปอย่างน่าเสียดาย




*อันเนื่องมาจากหนัง*

เหล่าสมาชิกวง Joy Division (Curtis คือคนโย่งสุด)
สำหรับหลายคนที่เกิดไม่ทันวงนี้ หรือเกิดทันแต่ก็ยังไม่รู้จักอยู่ดีนั้น ทางบล็อกก็ขอนำประวัติย่อๆ และบางเพลงของทางวงมาฝากกัน ณ ที่นี้เลยจ้า

วงจาก แมนเชสเตอร์ อังกฤษ วงนี้ประกอบด้วย Ian Curtis (ร้องนำ/กีต้าร์), Bernard Summer (กีต้าร์/คีย์บอร์ด), Peter Hook (เบส/ร้องประสาน) และ Stephen Morris (กลอง/เพอร์คัสชั่น) พวกเขารวมตัวกันในปี 1976 (ซึ่งเป็นยุคที่เพลงพั้งค์ครองเมือง) ตั้งวงร็อคชื่อ 'Warsaw' (มาจากชื่อเพลง'Warszawa'ของ David Bowie ที่ Curtis ชื่นชอบ) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อวงมาเป็น 'Joy Division' ในต้นปี 1978 เพราะชื่อวงเดิมดันไปคล้ายกับชื่อวงพั้งค์วงหนึ่งเข้าพอดี


ปกอัลบั้ม Unknown Pleasures (1979)
ในปีนั้นพวกเขาออกอีพีที่ชื่อ An Ideal for Living และเริ่มเป็นที่รู้จักจากแฟนเพลง สื่อดนตรีก็พากันจับตามอง จนในปีถัดมาก็ออกอัลบั้มชุดแรก Unknown Pleasures (1979) ซึ่งก็ส่งผลให้พวกเขาดังระเบิด ด้วยแนวเพลงโพสต์พั้งค์ ที่มีลีลาการแสดงสดอันเร้าใจ ในขณะที่เนื้อหาของเพลงกลับหม่นหมองหดหู่ โศกเศร้าโศกาชวนจิตตกยิ่งนัก จนหลายคนยกให้เป็นเจ้าพ่อกอธิคร็อคไปอีกวงหนึ่งเลยทีเดียว


ปกอัลบั้ม Closer (1980)
ในปี 1980 หลังจากที่โหมทัวร์ยุโรปอย่างหนักและเตรียมตัวลุยอเมริกากันต่อ ทางวงก็เตรียมจะเข็นอัลบั้มชุดที่สองออกมา แต่ทางด้าน Curtis ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ(เป็นโรคลมชัก) ทั้งยังมีปัญหาระหองระแหงกับภรรยามานาน ก็จิตตกหาทางออกไม่ได้ จนตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอตายในห้องครัวที่บ้านในวันที่ 18 พ.ค.1980 ขณะมีอายุเพียง 23 ขวบเท่านั้น โดยทิ้งภรรยาและลูกน้อยไว้เบื้องหลัง(กับกิ๊กอีกหนึ่งคน)


สมาชิกที่เหลือสามคนตั้งวง New Order ขึ้นมาแทน
การเสียชีวิตของเขาสร้างความช็อกแก่ทุกคนที่ทราบข่าวเป็นอันมาก ดังนั้นกว่าอัลบั้มชุดที่สองที่ชื่อ Closer จะออกวางแผงเลยต้องเลื่อนไปออกกันช่วงเดือน ก.ค.แทน ซึ่งก็ได้รับการยกย่องอย่างสูงให้เป็นอัลบั้มสุดคลาสสิคอีกชุดหนึ่งของวงการเพลง ส่วนสมาชิกที่เหลือทั้งสามคนของวงก็ไปไม่ถูกอยู่พักหนึ่งเลยเหมือนกัน ต่อมาพวกเขาจึงได้ตัดสินใจทิ้งชื่อของ Joy Division ไว้เบื้องหลังแล้วฟอร์มวงใหม่ที่ชื่อ New Order ขึ้นมาและทำเพลงแนวอิเลคโทรนิคป็อปจนประสบความสำเร็จมาได้ด้วยดีจนทุกวันนี้


ลีลาการแสดงสดของทางวง
ส่วนชื่อของ Ian Curtis และ Joy Division ก็ยังคงถูกจดจำในฐานะบุคคลและวงร็อคในตำนานของวงการเพลงโลก ที่ถึงจะมีผลงานออกมาได้เพียงแค่สองอัลบั้ม แต่ก็ได้รับการยกย่องจากคอเพลงที่เคยฟังผลงานเพลงของพวกเขาอย่างสูงเสมอมา ผลงานของทางวงไม่มีคำว่าเชย และจะยังคงอยู่ในใจของคนรุ่นหลังต่อๆ ไปเป็นนิตย์เอย




*คัดข้อมูลบางส่วนมาจาก wikipedia*




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2553 20:48:01 น.
Counter : 7092 Pageviews.  

An American Crime และ The Girl Next Door: แม่เลวสอนลูกเลว

นอกจากหนังสองเรื่องนี้จะฉายในปีเดียวกันแล้ว ทั้งคู่ยังต่างสร้างมาจากคดีอื้อฉาวสุดสะเทือนขวัญของคนอเมริกันในช่วงกลางทศวรรษที่ 60 อีกด้วย โดยเรื่องแรกดัดแปลงมาจากคำให้การจริงในชั้นศาล ส่วนเรื่องหลังดัดแปลงมาจากนิยายสยองขวัญเรื่อง The Girl Next Door ของนักเขียนนิยายชาวมะกัน Jack Ketchum ที่ตัวนิยายก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคดีนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นไหนๆ หนังทั้งสองเรื่องก็มีเนื้อหาใกล้เคียงกันซะขนาดนี้แล้ว ทางบล็อกจึงขอนำมารีวิวไว้พร้อมกันซะเลยจ้า

An American Crime (2007) :
เรามาเริ่มกันที่ผลงานเรื่องนี้ของหนู Ellen Page (Inception [2010]) ที่ออกฉายในช่อง Showtime กันก่อน(ตอนแรกก็ตั้งใจทำออกฉายโรงแต่มีปัญหาบางอย่างเลยต้องมาลงจอแก้วแทน) ซึ่งตัวหนังก็ได้รับคำชมไปมากมายจน Catherine Keener ตัวร้ายของเรื่องได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลเอ็มมี่และรางวัลลูกโลกทองคำเลยทีเดียว(แต่ก็แห้วทั้งคู่) ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย

สองนักแสดงคุณภาพมาเจอะกันในเรื่องนี้
หนังเล่าเรื่องของ Sylvia Likens (Page) สาวน้อยวัย 16 และน้องสาวที่ขาเป็นโปลิโอต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวคุณแม่ลูกหก Gertrude Baniszewski (Keener) เนื่องด้วยพ่อแม่ของน้องเขาทำงานกับคณะ Carnival (งานวัดฝรั่ง?) จึงต้องเดินสายไปจัดงานตามที่ต่างๆ อยู่ตลอด ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจจ้างคุณนายให้ดูแลลูกๆ ของตนแลกกับค่าจ้างสัปดาห์ละ 20 เหรียญ เพื่อลูกๆ จะได้ไม่ต้องเสียการเรียน แต่แล้วไปๆ มาๆ คุณนายเราก็ค่อยๆ ออกลายแสดงความโหดมากขึ้นทุกที และเริ่มหาเรื่องทรมาน Sylvia กับน้องสาวต่างๆ นาๆ(โดยเฉพาะคนพี่ที่โดนไปเต็มๆ) จนงานนี้สองศรีพี่น้องเราต้องมาเจอกับนรกบนดินเข้าจนได้


น้อง Page เราสะบักสะบอมเต็มที่ในเรื่องนี้
ผกก.Tommy O'Haver (Ella Enchanted [2004]) ที่เคยทำแต่หนังใสๆ เอาใจวัยทีนมาตลอด หันมาทำหนังซีเรียสเป็นครั้งแรก โดยเขียนบทจากบันทึกคำให้การจริงในชั้นศาลของคดีนี้ แต่ก็ดัดแปลงเรื่องราวไปนิดๆ เพื่อไม่ให้หนังออกมาชีช้ำจนเกินไป (แต่เท่าที่เห็นก็ชีช้ำพอดูแล้วนะ) หนังเสนอเรื่องราวสลับไปมาระหว่างฉากคำให้การในศาลและแฟลชแบ็คย้อนไปเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งหนังก็ไม่ได้เน้นฉากทรมาน หรือทำให้พวกที่เป็นคนทรมานเป็นปีศาจร้ายอย่างเดียว ทุกคนมีมิติ มีแรงขับของตน ซึ่งดูแล้วหนังค่อนข้างจะรอมชอมให้กับเหล่าผู้กระทำผิดไปนิดหรือเปล่าหนอ(ตัวคุณนายก็ดูดีกว่าตัวจริงเยอะเชียว อิอิ) แต่ทั้งนี้ก็ต้องชมว่าหนู Page (ที่ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมแห้ง) และคุณ Keener ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ได้อย่างถึงอารมณ์ยิ่งนัก


เพื่อนของสไปเดอร์แมนมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย
ที่ชวนช็อคก็คือนอกจากตัวคุณนายที่เป็นคนทรมานน้องเขาต่างๆ นาๆ แล้ว ยังสนับสนุนให้ลูกๆ ของตนทำด้วย ซึ่งความที่ลูกๆ ของเธอยังเด็กๆ กันทั้งนั้นก็เลยพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย แถมยังชวนเพื่อนๆ แถวบ้านมาทำร้ายร่างกาย Sylvia กันอย่างคึกคะนองสนุกสนานเถิดเทิงเลยเชียว ที่น่าสนใจคือในหนังมีฉากหนึ่งที่อัยการถามเหล่าเด็กๆ เหล่านั้นที่ขึ้นให้การว่า 'ทำไมถึงได้ทำอย่างนั้นกับ Sylvia?' เด็กๆ เหล่านั้นต่างก็ทำหน้าอึ้งๆ แล้วก็ตอบเสียงอ่อยๆ แบบเดียวกันว่า 'ไม่รู้เหมือนกันครับ/ค่ะ' ซึ่งก็นะ ไม่ว่าจริงๆ แล้วตัว Sylvia จะเป็นนางตัวร้ายอย่างที่คุณนายกล่าวโทษหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณนายหรือใครๆ จะมีสิทธิ์กระทำเช่นนั้นกับน้องเขาเลย ดูแล้วก็อดสงสารเสียไม่ได้จริงๆ ครับพี่น้อง





The Girl Next Door (2007) :
มาถึงอีกเรื่องที่ถึงไม่ได้เดินตามเหตุการณ์จริงเป๊ะๆ เพราะเดินเรื่องตามฉบับนิยาย(ที่เปลี่ยนทั้งชื่อตัวละคร สถานที่และยุคสมัย)แต่ก็ยังคล้ายๆ กันได้อยู่ โดยคราวนี้เป็นเรื่องของสาว 16 ขวบ Blythe Auffarth (Meg Loughlin) และน้องสาวที่เป็นโปลิโอ(เหมือนเรื่องเมื่อกี้)ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เพิ่งจะเสียไปจากอุบัติเหตุ เลยทำให้ทั้งคู่ต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของป้า Ruth (Blanche Baker)คุณป้ามหาภัยสุดซาดิสม์ที่มีลูกชายอีกสามซึ่งก็ทรามไม่ใช่เล่น โดยหนังเล่าเหตุการณ์การทรมานทรกรรม Blythe ผ่านสายตาของคนนอกอย่างหนุ่มน้อยข้างบ้าน David Moran (Daniel Manche) ที่ดูจะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจสงสารนางเอกเรา และต้องการช่วยเหลือนางเอกจากนรกบนดินแห่งนี้ให้จงได้


ก๊วนเด็กทรามประจำเรื่อง
ผกก.Gregory Wilson ดัดแปลงเรื่องราวจากตัวนิยายนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งก็เน้นฉากทรมานทรกรรมมากกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ และถึงแม้ฉากทรมานจะไม่ได้โหดเท่าเหล่าหนังโหดๆ ส่วนใหญ่ในสมัยนี้ แต่ก็ยังดูแล้ว ชีช้ำ กดดัน หดหู่ จิตตก กันได้อยู่(จนถึงกับมีบางคนแนะนำว่าอย่าดูเรื่องนี้ก่อนเข้านอนเพราะจะนอนไม่หลับด้วยความชีช้ำของหนังเอา) ด้านตัวแสดงนอกจากตัวนางเอกที่ดูเป็นสาวเกินวัยแล้ว ตัวป้ามหาภัยเราก็ช่างดูโรคจิต อำมหิต ได้ใจจริงๆ เชียว


นางเอกและป้ามหาภัย
หนังมีจุดคาใจตรงที่ว่าไม่ได้แสดงให้เข้าใจว่าทำไมป้าถึงได้จงเกลียดจงชังสองพี่น้องนี้นักหนา ทั้งที่เป็นญาติกันแท้ๆ และมีหลายฉากที่พระเอกสามารถบอกให้ผู้ใหญ่คนอื่นๆ มาช่วยนางเอกได้แต่ก็ไม่ เลยเล่นเอาอึดอัดพอสมควร แต่มาคิดๆ ดูอีกทีก็เข้าใจได้ว่า เพราะพวกเขายังเด็กๆ กันทั้งนั้นมั้งเลยคิดอะไรไม่ค่อยออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังก็ยังเด่นเรื่องประเด็นไม่สั่งสอนเด็กในสิ่งที่ถูกต้อง และส่งเสริมให้ทำสิ่งที่ผิด จนได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ขึ้นมาจนได้ ซึ่งก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ยินได้เห็นเรื่องแบบนี้อีกแน่นอน จะเรียกว่านี่คือ Stand By Me เวอร์ชั่นทรมานทรกรรมก็ว่าได้ครับ พี่น้อง

*ปล.อย่าจำสับสนกับหนังชื่อเดียวกันเมื่อปี 2004 ของหนู Elisha Cuthbert เชียวล่ะเน้อ*





  • ผลสรุป: เอาเป็นว่าเป็นหนังที่น่าดูทั้งคู่ โดยเรื่องแรกดาราจะคุ้นหน้ามากกว่า การแสดงก็แจ่ม และเดินตามเหตุการณ์จริงมากกว่า ในขณะที่เรื่องหลังเขาเดินตามนิยาย ซึ่งจะเน้นฉากทรมานทรกรรมเยอะกว่า และดูแล้วหดหู่ สิ้นหวังกว่าเรื่องแรกอยู่นิดหนึ่ง (เรื่องแรกก็ใช่ย่อยอยู่นะ) ทราบแล้วเปลี่ยน


*อันเนื่องมาจากหนัง*

โฉมหน้าตัวจริงของเหยื่อและผู้กระทำผิด
สำหรับคนที่สงสัยว่าคดีของ Sylvia Likens เป็นยังไงมายังไงบ้างนั้น ทางบล็อกก็ขอนำรายละเอียดคร่าวๆ มาเล่าให้ฟังพอให้ได้รู้บ้างนิดหน่อยก็แล้วกัน


บ้านที่เกิดเหตุ
เริ่มต้นของเหตุการณ์เกิดจากการที่คุณนาย Gertrude Baniszewski เครียดจากการรับภาระเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งเจ็ดโดยลำพัง เลยหาเรื่องไปลงกับสองพี่น้อง ยิ่งเมื่อพ่อแม่ของสองพี่น้องส่งเงินค่าจ้างเลี้ยงดูมาให้คุณนายช้า ก็ยิ่งเข้าทางคุณนาย และเริ่มทุบตีทั้งคู่ โดยเฉพาะคนพี่ที่คุณนายหมั่นไส้เป็นพิเศษ เลยหาว่าขโมยขนมมาจากร้านค้าทั้งที่น้องเขาซื้อมาแท้ๆ และพอรู้ว่าน้องเขาเคยคบหากับผู้ชายมาก่อน ก็หาว่าตั้งท้องและเตะเข้าให้ที่อวัยวะเพศของน้อง ซึ่งพวกลูกๆ ของคุณนายก็ถูกชักชวนแกมบังคับให้มาร่วมแจม จน Sylvia ต้องยอมรับว่าท้องทั้งที่ไม่ได้ท้อง เพราะไม่อยากโดนทุบตีอีกต่อไป


แม่และน้องสาวของ Sylvia
แล้วพวกเด็กๆ ก็นึกสนุกไปชวนเพื่อนๆ แถวนั้นมาทำร้ายร่างกาย Sylvia โดยมีคุณนายเห็นดีเห็นงามด้วยตลอดงาน ไม่ว่าจะเอาบุหรี่จี้ บังคับให้แก้ผ้าแล้วเอาขวดโค้กยัดเข้าอวัยวะเพศตนเองอย่างน้อยสองครั้งสองคราด้วยกัน และยังกำชับ Jenny น้องสาวของ Sylvia ไม่ให้บอกใครไม่งั้นจะเจอดีเหมือนพี่สาวอีกด้วย


โฉมหน้าเด็กๆ ที่มีส่วนร่วมในการก่อเหตุ
ต่อมาก็ห้ามไม่ให้เธอไปโรงเรียน หรือแม้แต่ออกจากบ้าน และจากการที่น้องเขาถูกทุบตีมากเลยทำให้ไตมีปัญหา อั้นฉี่ไม่ค่อยอยู่ จนฉี่ใส่ที่นอน คุณนายก็โมโหจัด จับผลักลงบันไดห้องใต้ดินและขังไว้ที่นั่นโดยไม่ให้เข้าห้องน้ำ ให้แก้ผ้าตัวเปล่า วันดีคืนดีคุณนายและลูกชายวัย 12 ขวบก็บังคับให้กินปัสสาวะ อุจจาระตนเอง ซ้ำยังเอาน้ำร้อนลวก เอาเกลือละเลงใส่แผลพุพองบนร่างกายเธอ(เลวมาก)


ที่นอนของ Sylvia
ที่เด็ดสุดคือคุณนายเอาเข็มลนไฟ เขียนบนหน้าท้องของน้องเขาว่า 'ฉันมันโสเภณี และฉันภูมิใจมาก' โดยมีลูกสาววัย 10 ขวบและวัยรุ่นแถวนั้นที่มีอายุ 15 ขวบช่วยเขียนจนเสร็จ(ฮ่วย) ต่อมา Sylvia ก็ได้ยินคุณนายคุยกับลูกว่าจะเอาเธอไปโยนทิ้งในป่าแถวนั้น ก็เลยตัดสินใจหนี แต่หนีไปถึงแค่ประตูบ้านก็ถูกจับมัดไว้ใต้ถุนอีก และให้กินแต่เศษแครกเกอร์ แต่ไม่มีน้ำให้ดื่ม(ติดคอแย่สิงั้น)


ดูหน้าคุณนายแบบจะๆ กันอีกครั้ง
จนวันที่ 26 ต.ค.1965 หลังจากที่ Sylvia ต้องทนอยู่กับการโดนทุบตี ทำร้ายร่างกาย โดนไฟจี้หลายจุดในร่างกาย โดนน้ำร้อนลวก เธอก็สิ้นใจจากอาการ ตกเลือดในสมอง ช็อคและขาดสารอาหารอย่างรุนแรงไปในที่สุด


ตำรวจกำลังชี้โบ๊ชี้เบ๊ในที่เกิดเหตุ
เมื่อเด็กๆ มาพบร่างไร้วิญญาณของเธอก็สติแตกวิ่งโร่ไปแจ้งตำรวจ ซึ่งพอตำรวจมาคุณนายก็เตรียมการไว้เรียบร้อย โดยยื่นจดหมายที่บังคับให้ Sylvia เขียนตอนยังมีชีวิตไว้ให้ว่า ได้ยอมมีเซ็กส์กับพวกวัยรุ่นผู้ชายเพื่อแลกกับเงิน แล้วก็ถูกฉุดขึ้นรถไปทุบตี เอาไฟจี้ ต่างๆ นาๆ และเอามีดสลักบนผิวหนัง แต่ก่อนที่ตำรวจจะกลับ Jenny น้องสาวของ Sylvia ก็ตัดสินใจไปกระซิบบอกตำรวจว่า 'พาหนูออกไปจากที่นี่ที แล้วหนูจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง' ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็ล็อคตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องไปทันที


คุณนายกำลังทำหน้ามึนตอนขึ้นฟังศาลตัดสินคดี
จากการไต่สวนคดีบนชั้นศาล คุณนายปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และอ้างว่าตนมีปัญหาทางจิต สุขภาพก็ไม่ดีเลยไม่สามารถดูแลเด็กๆ อย่างทั่วถึง จนได้พากันก่อเหตุเหล่านั้นขึ้น(แน่ะ! โยนขี้ให้เด็กอีก) แต่คำให้การของเด็กๆ ล้วนชี้ตรงมายังคุณนายว่าเป็นผู้บงการตลอดงาน จนแม้แต่ทนายของคุณนายเองยังต้องส่ายหัว จิ๊ปาก ที่ต้องมาว่าความให้ฆาตกรสุดเลวอย่างเธอ


ปัจจุบันตัวบ้านถูกทุบทำที่จอดรถโบสถ์ไปแล้ว
สุดท้ายศาลตัดสินจำคุณคุณนายตลอดชีวิต ส่วนเด็กๆ ก็ไม่รอดโดนกันไปคนละปีสองปี(ลูกชายคุณนายได้ชื่อว่าเป็นผู้ต้องโทษที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐอินเดียน่าซึ่งก็คือ เอิ่ม..12 ขวบ) ต่อมาคุณนายก็ปฏิบัติตัวดีจนเป็นนักโทษชั้นดี เลยได้ออกจากคุกมาในปี 1985 แล้วก็เปลี่ยนชื่อแซ่ ย้ายไปอยู่รัฐไอโอว่า ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในอีกห้าปีต่อมาด้วยวัย 60 ขวบ ซึ่งก็สร้างความสะใจแก่เหล่าญาติๆ ของ Sylvia เป็นอย่างยิ่ง(โดยเฉพาะ Jenny)


สุสานของ Sylvia
มาถึงทุกวันนี้ชาวมะกันหลายคนก็ยังไม่ลืมคดีสะเทือนขวัญนี้ จนวันดีคืนดีก็มีคนนำมาสร้างเป็นหนังให้คนรุ่นหลังได้ดูกันอีก ซึ่งนอกจากจะทำให้เห็นว่าเรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาในสังคมแล้วยังเป็นการไว้อาลัยต่อคุณน้อง Sylvia อีกด้วย ซึ่งถ้ายังอยู่น้องเขาคงจะอายุ 61 ขวบแล้ว(และต้องเรียกว่าป้าแทนล่ะมั้งเนี่ย) พ่อแม่พี่น้องที่รัก


*รวบรวมข้อมูลจาก wikipedia เน้อ*




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 20 ตุลาคม 2554 7:44:26 น.
Counter : 11210 Pageviews.  

Scott Pilgrim vs. the World (2010): รักน้องต้องตึ้บกิ๊ก(เก่า)



Scott Pilgrim vs. the World (2010) :
ทุกวันนี้ถ้าจะให้นึกถึง ผกก.หนังตลกรุ่นใหม่ไฟแรงจากฝั่งอังกฤษแล้วล่ะก็ คงต้องนึกถึง ผกก.Edgar Wright เป็นอันดับต้นๆ เลย เพราะผลงานที่ผ่านของเขาอย่าง Shaun of the Dead (2004) กับ Hot Fuzz (2007) ก็ล้วนแต่เป็นที่ชื่นชอบของคอหนังและนักวิจารณ์ทั้งสิ้น และสำหรับผลงานเรื่องล่าสุดของเขานี้ก็เป็นการหยิบหนังสือการ์ตูนเด็กแนวชุด Scott Pilgrim ของ Bryan Lee O'Malley มาทำเป็นเวอร์ชั่นหนังโรง ซึ่งว่ากันว่าตัวหนังสือถูกซื้อลิขสิทธิ์มาสร้างเป็นหนังตั้งแต่เมื่อเล่มแรกเพิ่งวางตลาดได้ไม่นานเลยทีเดียวเชียว (โอ้ว!)


ปิ๊งสาวต้องใจกล้า(หน้าด้าน)
เวอร์ชั่นหนังนี้เกณฑ์ดาราวัยทีนมาเพียบ(ไม่ทีนก็เพียบเช่นกัน) ซึ่งนำทัพโดยพ่อหนุ่ม Michael Cera (Juno [2007]) และสาว Mary Elizabeth Winstead (Live Free or Die Hard [2007]) กับเรื่องราวสุดแนว(การ์ตูน)เกี่ยวกับยอดชายนาย Scott Pilgrim (Cera)หนุ่มมือเบสของวงร็อคต๊อกต๋อยในแคนาดาที่ชื่อ "Sex Bob-omb"ที่ดันไปหลงรัก Ramona Flowers (Winstead) สาวในฝัน(ในฝันจริงๆ นะ)ชาวมะกันสุดมั่นผู้นิยมเปลี่ยนสีผมตนทุกๆ สองสัปดาห์ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่แถบนั้นพอดี


เหล่าวัยทีนในเรื่อง
แต่ในขณะที่ความสัมพันธ์ทั้งคู่กำลังจะไปได้สวย พระเอกเราก็พบว่าบรรดากิ๊กเก่าผู้ชั่วร้ายทั้งเจ็ดคนของหล่อน(ป๊าด) ต่างพากันดาหน้ามาเล่นงานเขาชนิดกะให้เดี้ยงเลย ดังนั้นถ้าหากเขาอยากจะพิชิตใจเจ้าหล่อนและครองรักกันอย่างสุขสมอารมณ์หมายตลอดไปล่ะก็ เห็นทีจะต้องกำหราบคนเหล่านั้นให้ราบคาบเสียก่อน ซึ่งงานนี้คงได้บู๊กันแหลกสไตล์การ์ตูนชนิดที่เว่อร์น้องๆ เรื่องดราก้อนบอลแซดเลยทีเดียวล่ะครับ พี่น้องที่เคารพรัก


โฉมหน้ากิ๊กเก่าผู้ชั่วร้ายทั้งเจ็ดคน(โห)
ผกก.Wright จงใจทำหนังออกมาสำหรับคอหนังสือการ์ตูนและคอเกมรุ่นเก่าเต็มที่เลย(แค่ช่วงโลโก้ลูกโลกของยูนิเวอร์แซลตอนต้นเรื่องที่มากับเสียงดนตรี 8 บิตสุดกระป๋องก็ได้ใจแล้ว) โดยจะเห็นได้จากการใช้เทคนิคการแบ่งเฟรมเป็นช่องๆ การใส่ตัวหนังสือบรรยายแทนเสียงเตะต่อย ฉากแอ็คชั่นสุดเวอร์ที่ยังกับในเกมอาเขตหยอดเหรียญ การเดินเรื่องที่ฉับไว เมื่อมาเจอเหล่านักแสดงคุ้นหน้าที่มาช่วยกันสร้างสีสันตลอดเรื่อง และอารมณ์ขันกวนๆ อันล้นเหลือ อีกทั้งเพลงร็อคมันส์ๆ โจ๊ะๆ ด้วยแล้ว จึงเป็นอะไรที่ดูสนุกเพลิดเพลินถูกใจวัยมันส์ยิ่งนัก


ดูลีลาบู๊ของแต่ละคนซะก่อน
ถึงหนังจะมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยรายละเอียดสิ่งละพันอันละน้อยเรี่ยราดรายทางให้ได้คอยสังเกตอยู่ตลอดเรื่อง แต่กระนั้นด้วยความที่ดูเป็นการ์ตูนเกินไปแบบนี้เลยส่งผลให้หนังมั่วซั่ว ขาดความจริงจัง และเรียกความสนใจจากคนดูวงกว้างไม่ได้(นอกจากเหล่าวัยรุ่น คอหนังสือการ์ตูนและคอเกมรุ่นเก๋าทั้งหลาย) จนทำให้หนังไม่ทำเงินอย่างที่หวัง(ได้ 40 ล้านจากทุนสร้างประมาณ 60 ล้านเหรียญ)เล่นเอาอดฉายโรงบ้านเราและในอีกในหลายๆ ประเทศไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ความจริงหนังสนุกออกจะตายไป ยังไงก็หวังว่าหนังจะประสบความสำเร็จในตอนเป็นแผ่น ซึ่งก็เชื่อเลยว่าจะเป็นเช่นนั้นแน่ และคงจะขึ้นหิ้งหนังคัลต์คลาสสิคภายในอนาคตอันใกล้อีกด้วยเอย เจ๋งๆ


แบ่งเฟรมสไตล์หนังสือการ์ตูนเป๊ะ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังตลกวัยรุ่นที่สร้างจากการ์ตูนที่ทำได้ กวน เจ๋ง ดูเพลิน ตลก มีเสน่ห์ ถูกใจเด็กแนวจริงหนอ(ไม่แนวก็ชอบได้) ไม่เสียชื่อ ผกก.เขาเลยจริงๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: คงจะเหมาะกับแฟนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น คนดูในวงกว้างดูแล้วคงจะไม่สนุกไปด้วยมั้งเนี่ย




*ช่วงเพลงในหนัง*

เฮีย Beck มาดูแลเพลงให้กับหนัง
หนังวัยรุ่นกับเพลงร็อคเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะหนังวัยรุ่นที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวงดนตรีด้วยแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็โดดเด่นในส่วนนี้มากเสียด้วย เพราะเล่นเกณฑ์เหล่าศิลปินนักดนตรีชาวแคนาเดี้ยนดังๆ มาทำเพลงให้กับหนังตรึมเลย(เพราะท้องเรื่องคือแคนาดา การ์ตูนก็ของแคนาดา) ไม่ว่าจะเป็น Beck, Metric, Broken Social Scene ที่มาเล่นให้ในส่วนของวงดนตรีต่างๆ ในหนัง ทางด้านงานเพลงด้านสกอร์นั้นได้ศิลปินชาวอังกฤษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น'สมาชิกคนที่หกของ Radiohead' อย่าง Nigel Godrich มาดูแลให้ ซึ่งตัวอัลบั้มซาวน์แทร็คก็ทำออกมาสองชุดคือชุดปกแดงที่บรรจุเพลงร้องจากศิลปินต่างๆ และชุดปกฟ้าที่บรรจุเพลงสกอร์ที่เน้นไปที่แนวอิเลคโทรนิคเก๋ๆ ว่าแล้วเราก็ขอเลือกเพลงของ Sex Bob-Omb (วงพระเอก)จากชุดปกแดงมาฝากกันซะเลยจ้า





 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2553 3:24:02 น.
Counter : 6886 Pageviews.  

The American (2010): หัวอกคนเป็นนักฆ่า


The American (2010) :
ผลงานล่าสุดของเฮีย George Clooney (อดีต Batman เวอร์ชั่นที่เกย์ที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่าง Batman & Robin [1997])เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง A Very Private Gentleman ของนักเขียนชาวอังกฤษผู้ล่วงลับ Martin Booth โดยได้ Anton Corbijn ผกก.มิวสิควีดีโอผู้ช่ำชองมารับหน้าที่กำกับ ซึ่งก็ไปถ่ายทำตลอดงานกันถึงอิตาลีด้วยนะ ขอบอก


ดูท่าเฮียเขาจะส่องเจออะไรเด็ดๆ เข้าซะแล้ว
เรื่องนี้เฮียเขารับบทเป็นนักฆ่ามาดนิ่งชาวมะกัน ที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เพราะโดนตามเก็บอยู่ และเมื่อเขาได้ไปกบดานแถวชนบทในอิตาลี ก็ตัดสินใจว่าจะล้างมือจากวงการไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับแฟนสาวเสียที แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาต้องรับงานชิ้นสุดท้ายเสียก่อน ซึ่งก็แน่นอนว่างานชิ้นสั่งลาวงการนี้คงไม่ใช่งานง่ายๆ แบบปลอกกล้วยเข้าปากแน่นอน ยังไงก็โปรดตามลุ้นให้กำลังใจเฮียเขาว่าจะได้ไปครองรักกับแฟนอย่างสุขีสโมสรในท้ายที่สุดหรือไม่เอย จุ๊บๆ

เฮียเขาคงไม่อยากทำให้สาวคนข้างๆ โกรธเป็นแน่เชียว
สิ่งแรกที่ชวนแปลกใจก็คือการที่ ผกก.Corbijn ทำหนังออกมาได้เรื่อยๆ นิ่งๆ ไม่หวือหวา หรือเปี่ยมสไตล์ ซึ่งผิดวิสัยผกก.ที่มาจากสาย MV ส่วนใหญ่ยิ่งนัก แต่การที่ไม่หวือหวาเช่นนี้ก็จะดูเหมาะกับตัวหนังโดยรวมแล้ว และการที่ได้เฮีย Clooney มาเป็นพระเอกเนี่ยก็ช่วยให้หนังดูดีมีชาติการ์ตูนขึ้นมาเยอะเลย ซึ่งเฮียเขาทำหน้าที่ได้ดีในบทนักฆ่าผู้เปลี่ยวเหงาที่ต้องการใครสักคนมาเคียงข้าง(ถ้าเป็นคนอื่นมาเล่นหนังคงจะจืดลงไปแยะเลย) เมื่อมาเจอกับวิวทิวทัศน์งามๆ ของชนบทประเทศอิตาลีด้วยแล้ว ก็เลยดูเพลินขึ้นมาได้อีก


เฮียเขาถือปืนวิ่งขึ้นบันไดได้เท่มาก
ถึงหนังจะมีฉากยิงกันที่จริงจัง เด็ดขาด แต่ก็มีน้อยเอามากๆ ถึงน้อยที่สุด ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของหนังหมดไปกับการแสดงให้เห็นถึงชีวิตที่ขาดสันติสุข(ไม่ใช่พรหมศิริ) ของพระเอกที่ต้องคอยหวาดระแวงคนรอบข้าง จนทำให้เขากลายเป็นคนเดียวดาย เปลี่ยวเหงา ไม่เคยไว้วางใจใคร คิ้วก็ขมวดซะตลอดเวลา (ดูท่าเฮียเขาน่าจะท้องผูกด้วยนะ อิอิ) ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่ก็คงเป็นเหมือนกับ Up in the Air (2009) เวอร์ชั่นนักฆ่าสุดซีเรียสนั่นแหล่ะมั้ง ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย


วิวทิวทัศน์และสาวๆ ของอิตาลีเนี่ยแจ่มไปเลย
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังทริลเลอร์นิ่งๆ เรื่อยๆ แต่หนังก็ยังถือว่าดูดี มีกึ๋น เข้าท่าอยู่นะ เฮีย Clooney เอาหนังได้อยู่ วิวสวยอีกต่างหาก
  • ไม่น่าดูเพราะ: หย่อนความสนุก ตื่นเต้น และไม่มีอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ เลยพาลจะน่าเบื่อสำหรับคนที่หวังจะเห็นอะไรมันส์ๆ เอาได้




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2553    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2553 3:27:13 น.
Counter : 3147 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.