• ดูหนังภาษาอังกฤษ 2
• ดูหนังภาษาอังกฤษ 1
• ดูหนังยุโรป
• ดูหนังอเมริกาใต้
• ดูหนังเอเซีย
• หนังตะวันออกกลาง
• ดูหนังแอฟริกา
• หนังชาติอื่นๆ
• ดูหนังอนิเมชั่น
• ดูหนังสารคดี
• ดูหนังเก่า แต่ยังเก๋าอยู่
• ดูหนังซีรี่ส์
• เพลงอินดี้ที่น่าสนใจประจำสัปดาห์
• ฟังเพลง
• ฟังหนังดูเพลง
• ดูแล้วโปรดขำ
• อื่นๆ

The Time Traveler's Wife (2009): ท่องกาลเวลาไปหารัก The Time Traveler's Wife (2009) : หนังโรแมนติคดราม่าปนไซไฟที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ Audrey Niffenegger ที่ Brad Pitt ตามซื้อลิขสิทธิ์มาไว้สร้างเป็นหนังก่อนที่นิยายจะตีพิมพ์ในปี 2003 ซะอีก หนังกำกับโดย Robert Schwentke (Flightplan [2005]) นำแสดงโดย Eric Bana (Star Trek [2009]) และ Rachel McAdams (Sherlock Holmes [2009]) คู่นี้เขาหวานกันตลอดทั้งเรื่อง Henry DeTamble (Bana) บรรณารักษ์ในชิคาโกผู้มีปัญหาทางพันธุกรรมสุดพิลึกที่ทำให้เขาหายตัวชะแว๊บไปยังอดีตและอนาคตได้ เสียแต่ว่าเขาไม่สามารถควบคุมความสามารถพิเศษอันนี้ของตนได้เลย เขาจึงมักหายตัวไปโผล่ที่โน่นที่นี่ในสภาพเปลือยเปล่าเป็นประจำ(เสื้อผ้าไม่ยอมตามไป) แต่แล้ววันหนึ่งงานก็เข้าเมื่ออยู่ดีๆ สาวงามคนหนึ่ง(McAdams) ก็โผล่มาทึกทักว่าเธอกับเขารู้จักกันมาตั้งแต่เธอยังเด็กๆ แล้ว ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะเคยพบเธอเป็นครั้งแรก และแล้วเรื่องราวความรักที่ไม่ธรรมดาของทั้งคู่ ก็จะสร้างความโรแมนติค-ไซไฟ ให้ล้นจอในชนิดที่คุณสาวๆ จะลืมไม่ลงเลยทีเดียว วิวสวยดนตรีไพเราะพบได้ในหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาเอาใจคุณสาวๆ หัวใจโรแมนติคโดยเฉพาะ ดังนั้นหนังจึงออกมาโทนอบอุ่น วิวสวย ดนตรีไพเราะ ชวนซึ้ง อย่างไม่ต้องสงสัย แต่การบวกเอาเรื่องราวไซไฟเล็กๆ อย่างการท่องกาลเวลาเข้าไปก็ทำให้น่าสนใจขึ้นมาอีกขั้น สองพระนางก็เข้าขากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย โดยเฉพาะคุณ McAdams ที่ยังสวยขึ้นจอเช่นเดิม แต่เพราะหนังออกโทนนุ่มๆ นิ่มๆ ทำให้หนังดูจะนิ่งๆ ชวนเคลิ้มหลับอยู่พอสมควร ถึงกระนั้นผู้ชมสาวๆ อาจจะเทใจให้กับหนังเรื่องนี้ไปหมดหน้าตักแล้วก็เป็นได้ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแฟนคุณหายหัวไปเป็นประจำ น่าดูเพราะ: หนังรักชวนซึ้งแบบนี้น่าจะถูกใจสาวๆ หัวใจโรแมนติกแน่นอน ไม่น่าดูเพราะ: หนังนิ่งๆ อาจชวนน่าเบื่อสำหรับคนที่ชอบอะไรผาดโผนๆ *ช่วงรู้มั้ยเอ่ย(แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)* Adrien Brody กับ Eva Green เกือบจะได้มาสวมบทบาทคู่พระนางในเรื่องแล้ว   Create Date : 06 มกราคม 2553     Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 14:16:19 น. Counter : 3029 Pageviews.   4 comment Share Tweet

An Education (2009): เรียนไปปวดหัว... มีเธอดีกว่า An Education (2009) : หนังดราม่าอังกฤษเรื่องนี้ถูกกล่าวถึงในแง่ชื่นชมจากบรรดาสื่อ โดยเฉพาะการที่ Carey Mulligan (Public Enemies [2009]) ถูกเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำในสาขานำหญิง (และก็อีกหลายๆ รางวัล) ก็ยิ่งตอกย้ำว่าหนังเรื่องนี้มีดีจริง น่าสนใจทีเดียวสำหรับหนังอังกฤษแต่มี ผกก.เป็นชาวเดนมาร์กเรื่องนี้ เรียนไปปวดหัว มีกิ๊กดีกว่า หนังพาย้อนไปในอังกฤษปี 1961 เมื่อ Jenny (Mulligan) สาวม.ปลาย วัย 16 ขวบ ที่หัวดีแถมหน้าตาดีอีกต่างหาก กำลังหมายมั้นปั้นมือว่าจะต้องเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Oxford ให้จงได้ แต่ดันไปจะเอ๋ปิ๊งรักกับหนุ่มทรงเสน่ห์ผู้สูงวัยกว่าอย่าง David (Peter Sarsgaard จาก Orphan [2009]) ซึ่งการคบหากับเขาก็สามารถพาเธอหลุดพ้นออกจากสังคมอันคุ้นเคยที่แสนน่าเบื่อได้ จนมาถึงจุดหนึ่งที่เธอต้องตัดสินใจว่าจะทิ้งการเรียนและอนาคตที่เคยวาดฝันไว้เพื่อทำตามหัวใจของตนเองดีหรือไม่ สาวที่ไหนก็ฝันจะมีหนุ่มนิสัยดีขับราชรถมาเสย น้องหนู Mulligan รับบทนำของหนังได้อย่างดี เพราะนอกจากจะดูใสซื่อตามแบบวัยรุ่นแต่ก็ดูฉลาดอยู่ในทีด้วย ในขณะที่การเล่าเรื่องของ ผกก.ก็พาคนดูเพลิดเพลินไปกับความรักของคู่พระนางต่างวัยได้ แต่ไม่ได้พยายามหวานหยดย้อย พาฝันแบบเทพนิยาย เพราะจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ออกจะมองโลกในแง่ที่จริงจัง ซึ่งคงเป็นเพราะหนังสร้างจากประสบการณ์ชีวิตของนักข่าวชาวอังกฤษ Lynn Barber ถึงหนังจะไม่ถึงกับดีใจหาย แต่ก็ดีพอที่จะบอกให้เราเข้าใจว่า "นี่แหล่ะชีวิต" สาวคนนี้ได้เข้าชิงลูกโลกทองคำปีนี้ + เป็นหนัง Coming of Age ที่น่าสนใจ คุณภาพดี ควรค่าแก่การดู - เป็นหนังรักที่"จริง" ซึ่งไม่ค่อยจะเหมาะนัก สำหรับการดูเอาบันเทิงชวนเคลิบเคลิ้ม กลายเป็นภาพคลาสสิคของวงการหนังไปอีกภาพ *รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Lone Scherfig ภายในบล็อก*   Create Date : 05 มกราคม 2553     Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 18:11:51 น. Counter : 6470 Pageviews.   2 comment Share Tweet

The Invention of Lying (2009): ถ้าโลกนี้ไม่มีคำว่า"ขี้จุ๊" The Invention of Lying (2009) : คุณน้าอ้วนพริ้ว Ricky Gervais (Ghost Town [2008]) ผู้อยู่เบื้องหลังความประสบความสำเร็จของหนังทีวีอย่าง The Office และ Extras ขอเอาดีกับการเป็นพระเอกหนังโรแมนติคคอมเมดี้กับเขาบ้าง ซึ่งในเรื่อง Ghost Town นั้นดูหน่วยก้านแกก็พอไปได้อยู่ ว่าแล้วน้าคงติดใจเข็นหนังทำนองเดียวกันออกมาอีกเรื่องโดยคราวนี้ขอซ้อนสาม ทั้งแสดงนำ เขียนบท กำกับ แบบไม่แบ่งความดีความชอบให้ใครเลย ว่างั้น เห็นตุ้ยๆ หน้าตาเบื่อโลกแบบนี้เหอะ เป็นพระเอกมาหลายเรื่องละ น้าเขาไอเดียบรรเจิด เสนอเรื่องราวของโลกที่ไม่รู้จักการโกหก ทุกคนต่างพูดความจริง แต่แล้วอยู่ๆ น้าในบท Mark Bellison หนุ่มอ้วนตกงาน แถมรักคุด ก็คิดค้นการ "โกหก" ขึ้นมาได้เป็นคนแรกและอาจจะเป็นคนเดียวในโลกเลยก็ว่าได้ ด้วยเพราะไม่มีใครโกหกกัน ทุกคำที่เขาพูดทุกคนเลยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงไปซะหมด ว่าแล้วก็ขอใช้คำโกหกมดเท็จมาสร้างผลประโยชน์เข้าตัวเองซะเลย และการโกหกนี่เองที่ทำให้เขาร่ำรวย ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แม้แต่การสร้างศาสนาขึ้นมาให้แก่ชาวโลก!(ป๊าด) ดาราคุ้นหน้ามาร่วมแจมกันคับคั่ง น้าเขามาในบทบาทเดิมๆ ประมาณหนุ่มใหญ่ใจเปลี่ยวผู้มีสำเนียงอังกฤษจ๋า ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวมะกัน ถึงกระนั้นหนังเรื่องนี้ก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจอยู่พอสมควร อย่างเช่นการล้อเลียนศาสนา ที่อาจจะถึงขั้นลบหลู่ได้ เพราะน้ากำลังบอกว่าศาสนาอาจมาจากคำโกหกก้อนโตของคนบางคนก็เป็นได้(อ่ะนะ) และหนังยังได้ดาราดังๆ โผล่มาร่วมแจมคนละนิดคนละหน่อยชนิดที่คนดูได้ "เฮ้ย! หมอนี่นี่หว่า!?"แน่ แต่เสียดายที่หนังพยายามจะโรแมนติคคอมเมดี้ด้วย ซึ่งก็งั้นๆ เลยไปไม่ถึงที่สุด และการทำให้คนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักการโกหกดูเหมือนคนโง่ๆ ซื่อๆ ที่พร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่น้าพล่าม ก็ดูเหมือนจะเป็นการไม่ยุติธรรมนัก ที่ทำให้เห็นว่า คนโกหก=ฉลาด คนไม่โกหก=โง่ แบบนี้ แต่โดยรวมแล้วเป็นหนังที่มีแนวคิดพอใช้และเกือบจะดีได้แล้วเชียวนะจ้ะ เบื้องหลังเงินทองและความประสบความสำเร็จคือการขี้จุ๊?! น่าดูเพราะ: มีดาราดังๆ มาร่วมแจมให้ได้เฮกันเป็นระยะ และมีแนวคิดเรื่องการล้อเลียนความเชื่อของคนเราที่ดูเพลินพอใช้ได้ ไม่น่าดูเพราะ: หนังครึ่งๆ กลางๆ จะไปล้อก็ไม่สุด จะไปรักก็ไม่สุด สรุปว่าเกือบจะดีแล้วเชียว แต่พระเอกไม่หล่ออีกแบบนี้ งานนี้สาวเมิน   Create Date : 05 มกราคม 2553     Last Update : 29 เมษายน 2553 1:45:47 น. Counter : 3883 Pageviews.   3 comment Share Tweet

The Lovely Bones (2009): ความในใจของวิญญาณมีห่วง The Lovely Bones (2009) : ห่างหายจากการกำกับซะหลายปี ในที่สุดป๋า Peter Jackson (King Kong [2005]) ก็กลับมาพบแฟนๆ อีกครั้งกับหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ Alice Sebold ที่ออกตีพิมพ์เมื่อปี 2002 ซึ่งแน่นอนที่นี่ต้องเป็นหนังที่คอหนังแทบจะทุกคนต่างรอคอย เพราะนอกจากจะเป็นผลงานเรื่องล่าสุดของป๋าแล้ว ทั้งหน้าหนัง ทั้งดาราล้วนอยู่ในระดับเรียกแขกทั้งสิ้น น้องเขาโตเต็มตัวฉลาดเต็มวัยแล้วในเรื่องนี้ หนังเล่าเรื่องของ Susie Salmon (Saoirse Ronan จาก Atonement [2007]) สาวน้อยวัย 14 ผู้แสนจะสดใสและเป็นที่รักของทุกคน ที่ถูกข่มขืนแล้วฆ่า ซึ่งตำรวจต้องมืดแปดด้านเพราะหาศพก็ไม่เจอและจับมือใครดมไม่ได้ซะด้วย มารู้ตัวอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในดินแดนอันสวยงามที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสวรรค์และโลก ซึ่งจากที่นี่เธอได้แต่เพียงเฝ้าสังเกตครอบครัวที่เศร้าโศกของเธอ ทั้ง Jack (Mark Wahlberg จาก Shooter [2007])คุณพ่อผู้หมกมุ่นอยู่กับการหาตัวฆาตกรที่ทำกับลูกสาวของเขา และคุณแม่ Abigail (Rachel Weisz จาก The Fountain [2006]) ผู้พยายามหลบหนีจากความจริงอันปวดร้าว ในขณะเดียวกันก็ยังซูซี่ก็ยังมองไปยังฆาตกรที่ฆ่าเธอกำลังเตรียมการล่าเหยื่อรายต่อไปด้วย เธอจะทำยังไงเมื่อต้องเลือกระหว่างความปรารถนาที่อยากจะแก้แค้น และอยากให้ครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง โปรดติดตาม เรื่องนี้มีงานด้านภาพที่บรรเจิดอย่างยิ่ง แฟนหนังของป๋าคงจะรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังสถานที่อันแสนคุ้นเคยอีกครั้ง เพราะหนังมาพร้อมสไตล์การเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ของป๋า แม้โดยรวมหนังจะมาในเรื่องราวดราม่าหมองๆ แต่ป๋าซะอย่างที่ต้องมีงานด้าน CGI ที่สวยงามวิจิตรตระการตามาให้ตื่นตากันพอสมควร ทั้งยังมีอะไรระทึกๆ ให้ลุ้นกันอีกด้วย แต่ที่น่าชื่นชมที่สุดคือการแสดงของนางเอกเรา และนักแสดงเจ้าบทบาท Stanley Tucci (Julie & Julia [2009]) ที่น่าจะถูกกล่าวถึงในเวทีมอบรางวัลต่างๆ ได้ไม่น้อย ถึงจะไม่ถึงกับเด็ดขาดชนิดที่ดูแล้วอ้าปากหวอ และถ้าไม่คาดหวังอะไรมากมายเพราะเห็นว่าเป็นหนังของ Peter Jackson ล่ะก็ นี่นับเป็นหนังดีที่ดูได้ในระดับกำลังดีครับพี่น้อง ดาราเจ้าบทบาทตรึม น่าดูเพราะ: นักแสดงคุณภาพล้นจอ ดูได้ดูดีมีลุ้น งานด้านภาพสวยงามวิจิตรตระการตา และนี่เป็นหนังของผกก.ที่บิ๊กที่สุดคนหนึ่งของปัจจุบันนะ พลาดได้ไง ไม่น่าดูเพราะ: อาจผิดหวังถ้าคาดหวังไว้มากว่านี่เป็นหนังของ Peter Jackson เพราะหนังธรรมดาไปมั้ยสำหรับชื่อชั้น ผกก.ระดับนี้ *ช่วงรู้มั้ยเอ่ย(แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)* เดิมทีนักแสดงหนุ่ม Ryan Gosling (The Notebook [2004])ได้รับบทเป็นคุณพ่อของนางเอก ซึ่งเขาถึงกับลงทุนเพิ่มน้ำหนักตนเองและไว้หนวดเคราเพื่อบทบาทนี้ แต่ก่อนการถ่ายทำเพียงวันเดียวเขาก็ขอถอนตัว โดยให้เห็นผลว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ตรงกัน ว่าแล้วพี่ Mark Wahlberg ที่เพิ่งปิดกล้อง The Happening (2008) ซึ่งบังเอิญถ่ายทำที่รัฐ เพนซิลเวเนีย ด้วยกันพอดี เลยเข้าเสียบบทนี้โดยฉับพลัน ป๋า Jackson โผล่แว๊บๆ ในหนังด้วยนะ ดังนั้นจับตาดูให้ดีว่า ป๋าเขาจะมาตอนไหน เหอๆ *ข้อมูลจาก imdb*   Create Date : 04 มกราคม 2553     Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 14:20:04 น. Counter : 4821 Pageviews.   9 comment Share Tweet

Invictus (2009): รักบี้ช่วยชาติ Invictus (2009) : ระยะหลังๆ มานี้ ปู่ Clint Eastwood (Gran Torino [2008]) แกขยันจริงๆ แม้จะอายุปาเข้าไป 79 ขวบแล้ว แต่ก็ยังทำหนังออกมาติดๆ กันถี่ยิบ(ห้าเรื่องในสามปี) ชนิดที่ผกก.หนังรุ่นลูกรุ่นหลานยังต้องอายในความฟิตของแก แถมแต่ละเรื่องเนี่ยยังเป็นที่ต้อนรับจากทั้งนักวิจารณ์และคนดูทั้งนั้น (เรียกว่าได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องว่างั้นเหอะ) และนี่คือผลงานเรื่องล่าสุดของปู่ ที่ขอเล่าเรื่องราวของ ปธน.Nelson Mandela แห่งแอฟริกาใต้ ในช่วงสมัยเพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ซีเรียสอย่างที่ท่านคิดหรอกนะ หนังพาย้อนไปในปี 1994 เมื่อ ทั่น Mandela (Morgan Freeman จาก Wanted [2008]) เพิ่งชนะเลือกตั้งและได้เริ่มบริหารประเทศในฐานะ ปธน. ซึ่งใครๆ ก็พากันปรามาสว่าจะไหวเร๊อ เพราะตอนนั้นปัญหาต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การว่างงาน อาชญากรรม ก็รุมเร้าประเทศอยู่ ไหนจะความตึงเครียดระหว่างชาวผิวขาวกับชาวแอฟริกันพื้นเมืองที่อาจเกิดการจราจลได้ทุกเมื่ออีกล่ะ แต่สิ่งที่ทั่น ปธน.เลือกที่จะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือ เอิ่ม..."รักบี้" ถูกต้องแล้วครับ ท่านเลือกที่จะให้การสนับสนุนรักบี้ทีมชาติตนที่มีสถิติแพ้กระจายมาตลอด เพราะเล็งเห็นว่ารักบี้นี่ล่ะจะเป็นสิ่งที่สร้างความสมานฉันท์ให้แก่คนทั้งชาติได้ ประจวบเหมาะกับที่ในปี 1995 แอฟริกาใต้ได้เป็นเจ้าภาพรักบี้ชิงแชมป์โลกพอดี อนาคตของชาติจึงขึ้นอยู่กับการแข่งขันทัวร์นาเม้นท์นี้แล้ว โอ้ว เดิมพันครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก สองดาราดังมาเขย่ามือกันกลางสนามรักบี้ ฝีมือการกำกับของปู่ Clint ยังวางใจได้เช่นเดิม ถึงหนังจะยาวกว่า 130 นาทีแต่ปู่ก็เล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหลไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลย ป๋า Freeman ก็รับบท ปธน.Mandela ได้อย่างน่าชื่นชม ทั้งสำเนียง ท่าทาง ที่พยายามถอดแบบตัวจริงมาเต็มที่ (แต่ดูยังไงก็ยังเป็นป๋า Freeman ที่เราคุ้นเคยอยู่นั่นแหล่ะ) ส่วนพี่ Matt Damon (The Departed [2006]) ก็ฟิตหุ่นซะล่ำ(เตี้ย) ในบทกัปตันทีมชาติ ซึ่งก็ไปได้เรื่อยๆ ของพี่เขา ไม่มีอะไรให้ติกัน(ถ้าไม่ติดใจกับสำเนียงแปร่งๆ ที่พยายามจะเป็นแอฟริกาน่าของพี่เขา) ถึงหนังจะเล่าเรื่องราวที่เราๆ ท่านๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมายังไงในตอนจบ แต่ปู่ก็สามารถร่ายมนต์ทำให้เรารู้สึกลุ้นระทึกและเอาใจช่วยไปกับการแข่งขันรักบี้ในหนังได้ อีกทั้งยังได้งานด้านดนตรีที่ไพเราะของ Kyle Eastwood ลูกชายของปู่ กับเอฟเฟคท์ในการเติมคนดูหลายหมื่นให้เต็มสนามก็สามารถสร้างอารมณ์ร่วมแก่หนังได้เป็นอย่างดี ว่าแต่ว่าพี่ไทยเราจะใช้กีฬาเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติอย่างเขาบ้างก็ได้นะ ว่าแล้วก็จัดฟุตบอลประเพณีเหลือง-แดง ไปโลด เหอๆ (แต่สงสัยคงจะหนักกว่าเดิมซะมากกว่านะ) ป๋าและคณะกำลังขำกิ๊กยังกับกำลังดูตลกโปงลางสะออนอยู่งั้นแหล่ะ น่าดูเพราะ: เป็นหนังที่เต็มไปด้วยความหวัง แฟนปู่และคอหนังคุณภาพไม่ควรพลาดนะจ้ะ ไม่น่าดูเพราะ: ประสบปัญหาของหนังที่สร้างจากเรื่องจริงก็คือ คนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าหนังจะเป็นยังไงและจะจบลงยังไง *ช่วงรู้มั้ยเอ่ย (แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)* โฉมหน้า Scott และ Kyle ลูกชายสุดเลิฟของปู่ ปู่ดันลูกชายทั้งสองเต็มที่ โดยให้ Scott (23 ขวบ) เล่นเป็นหนึ่งในนักกีฬาในทีม และ Kyle (41 ขวบ) ก็ทำดนตรีให้พ่อมาหลายเรื่องอยู่แล้ว ในยุคนั้นคนพื้นเมืองนิยมกีฬาฟุตบอล แต่คนผิวขาวนิยมรักบี้ "invictus" เป็นภาษาลาตินที่แปลว่า "invincible" ซึ่งหนังยกมาจากชื่อกลอนสั้นๆ บทหนึ่งของกวีชาวอังกฤษ William Ernest Henley ที่แต่งไว้ตั้งแต่ปี 1875 โน่น Nelson Mandela ตัวจริงซึ่งเป็นเพื่อนของ Morgan Freeman มานานแล้ว บอกว่ามีแต่เพียง Freeman เท่านั้นที่เหมาะจะมารับบทเป็นเขา ตอนถ่ายทำฉากการแข่งขันหนังมีตัวประกอบเพียง 2,000 กว่าคน แต่ก็ใช้ CGI สร้างคนดูกว่า 62,000 คนให้ล้นสนามในภายหลังได้อย่างสมจริง ถ่ายทำไปถ่ายทำมาปู่ Clint ก็กลายเป็นแฟนกีฬารักบี้ไปซะงั้น (ก็นะ) *แปลแบบปลาๆ งูๆ จาก imdb เด้อ*   Create Date : 29 ธันวาคม 2552     Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2553 14:22:36 น. Counter : 3211 Pageviews.   9 comment Share Tweet

• Webmaster - BlogGang

• last fm.
• IMDB
• allmusic
• ไร้สาระนุกรม
• IGN
• Filmax
• Wikipedia
• Totalfilm
• BlogGang.com