หนังภาคแรกทำเงินไปกว่า 90 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ถือว่าทำเงินถล่มในสมัยนั้น จนต้องเข็นภาคสองออกมาอีกในปี 1986 ซึ่งก็ฮิตระเบิดทำเงินได้เยอะกว่าภาคแรกซะอีก (115 ล้านในอเมริกาและ 245 ล้านทั่วโลก) แต่พอภาคสามที่ออกฉายปี 1989 กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (38 ล้านในอเมริกา) เล่นเอาพระเอก Ralph Macchio ไปต่อไม่เป็นเลย (แล้วเขาก็ค่อยๆ หายไปในที่สุด) หนังอุตส่าห์แถสร้างกันต่อออกมาอีกสามภาคแน่ะ
แต่ดูเหมือนผู้สร้างจะยังไม่เข็ด โดยเข็นภาค 4 ออกมาในปี 1994 โดยคราวนี้เปลี่ยนตัวเอกเป็นผู้หญิงบ้าง (รับบทโดยเจ๊ Hilary Swank สมัยยังเอ๊าะ) ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเจ๊งระเบิดระเบ้อไปในที่สุด จนถือว่าเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลงแฟรนไชส์คาราเต้คิด กระทั่งวันดีคืนดีจู่ๆ ก็มีการสร้างเวอร์ชั่นรีเมคนี้ขึ้นมาตามกระแสนิยมรีเมคหนังยุค 80 ของฮอลลีวู้ดช่วงนี้ ซึ่งก็ทำเงินไปตามฟอร์ม เราก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าแฟรนไชส์คาราเต้คิดเวอร์ชั่น 2.0 จะอยู่ยงคงกระพันไปได้ถึงขนาดไหนกันล่ะจ้า
ที่มาของการสร้าง Karate Kid ฉบับปี 2010 และเราก็มีเพลงจากหนังมาฝากกันเช่นเดิม โดยเรื่องนี้มีเพลงคุ้นหูวัยจ๊าบบรรจุอยู่มากกมาย แต่เราขอเลือกเอามาฝากสักสองเพลงก็แล้วกัน ซึ่งก็คือเพลงของ John Mayer ที่เปิดในช่วงเดินทางไปจีนในช่วงต้นเรื่องและเพลงโปรโมทของหนังโดย Justin Bieber (ที่ได้ Jaden Smith มาร่วมแจมด้วย)ที่อยู่ในช่วงเอนด์เครดิต ว่าแล้วก็ไปฟังกันเลยจ้า
MP3: John Mayer - Say MP3: Justin Bieber - Never Say Never (feat. Jaden Smith) *ของแถม* ใครที่นึกสงสัยว่าพระเอกเวอร์ชั่นต้นฉบับอย่าง Ralph Macchio (ปัจจุบันอายุ 48 ขวบ) จะเป็นยังไงบ้างในตอนนี้ และเขามีความเห็นอย่างไรกับการรีเมคหนังที่เคยส่งให้เขาโด่งดังเมื่อช่วงกลางยุค 80 ขึ้นมา เราก็มีหนังสั้นขำๆ ที่เกี่ยวกับการที่เขาพยายามออกมาวาดลวดลายทุกอย่างเพื่อจะกลับมาดังอีกครั้ง มาให้ดูให้หายคิดถึงกันจ้า
โห... ไรเนี่ย พาหลานไปดูด้วยเหรอครับ
หลานผมยังเด็กไม่เต็มสองขวบเล๊ย อิอิ
ส่วนหนัง ก็ดูเพลินดีครับ ชอบแนวนี้ แต่ก็ตามนั้นล่ะ เนื้อเรื่องมันธรรมดาไปหน่อย ... ดีที่เฉินหลง กับ สมิธ มาช่วยสร้างสีสัน
..