Group Blog
 
All blogs
 

The Expendables (2010): รวมพลคนพันธุ์บู๊


The Expendables (2010) :
ลุง Sylvester Stallone (64 ขวบ) แกกลับมาดังอีกครั้งด้วยการขุดบุญเก่าอย่าง Rocky Balboa (2006) และ Rambo (2008) มาหากิน ซึ่งก็อย่าไปตำหนิลุงแกเลยเพราะหนังก็ไม่ได้ออกมาเลวร้ายอะไร แต่ก่อนที่คนจะค่อนขอดแกไปมากกว่านี้ ลุงก็เลยขอคิดการใหญ่ไอเดียกระฉูดโดยการรวบรวมบรรดาดาราบู๊เคยรุ่งช่วงยุค 80-90 มารวมตัวกันในเรื่องล่าสุดของแกซะเลย ซึ่งก็สร้างความฮือฮาวึ๊ดว๊ายกระตู้ฮู้ได้พอสมควร จนนับเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งของซัมเมอร์นี้ที่บรรดาคอหนังหลายคนหมายหัวไว้ว่าเสร็จตูแน่เลยทีเดียว


ลุงแกปูนนี้แล้วยังฟิตบู๊กระจายได้อยู่
และก็เป็นเหมือนอย่างคำพูดตอนที่ลุงเขาชวน Jean-Claude Van Damme มาเล่นที่บอกว่า"หนังโคตรมันส์ บู๊แหลกราญ และฮิตแน่นอน" นั่นแหล่ะ เพราะหนังก็ออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ คือเป็นหนังที่ทำออกมาเพื่อสนองตัณหาของคอหนังแอ็คชั่นแบบแมนๆ ที่นิยมใช้กำลังมากกว่าสมองโดยเฉพาะ ดังนั้นเนื้อหาสาระชั้นเชิงอะไรนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลย จึงทำให้หนังไม่มีอะไรใหม่ๆ มาฝาก แต่หนังก็มีจุดแข็ง(มากๆ)เข้ามาทดแทนซึ่งก็คือบรรดาดาราบู๊เคยรุ่งและยังรุ่งทั้งหลายที่โผล่กันมาสร้างสีสันคนละนิดคนละหน่อย และไดอะล็อคบทพูดที่เขียนออกมาได้มีสีสันดูเพลินไม่น้อยทีเดียวเชียว


เฮีย Jet Li ก็วาดลวยลายได้ดีไม่ใช่เล่น
ส่วนคนที่เด่นกว่าเพื่อนรองจากลุงในฐานะผู้นำแล้ว(แหงสิ)ก็คือพี่เหม่ง Jason Statham (Death Race [2008]) ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ยังมีช่วงเวลาของตนให้ได้โชว์ออฟกันอยู่(แม้แต่ท่าน Arnold Schwarzenegger และ Bruce Willis ที่โผล่มากันแว๊บเดียวก็เหอะ) ด้านคิวบู๊ก็โหดกระจายแบบเดียวกับ Rambo ตอนล่าสุด จนอาจถูกตำหนิว่ารุนแรงเกินความจำเป็นไปหน่อยก็ได้(แต่สะใจคอซาดิสม์ซะ) ในขณะที่ผู้หญิงก็เป็นเพียงไม้ประดับสำหรับหนุ่มๆ เหล่านี้เท่านั้น(เพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เป็นเกย์กันมั้ง อิอิ)


หนังได้นักแสดงชื่อดังมาร่วมแจมเพียบ
แม้จะบู๊เอามันส์กันอย่างเดียว แต่ก็ทำได้ถึง ถูกใจคอหนังบู๊กันแน่นอน โดยเฉพาะการที่ได้เห็นนักบู๊มากมายมารวมตัวกันมากมายขนาดนี้(ถึงแม้จะเริ่มหง่อมกันแล้วก็เหอะ) หาดูกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน จนเห็นท่าว่าหนังคงจะประสบความสำเร็จและมีสิทธิ์สูงที่เราอาจจะได้เห็นภาคต่อกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องยกเครดิตให้ลุงสไลเขาล่ะ ที่ดูเหมือนว่าแกจะยังมีดีพอที่จะไปได้อยู่ แต่ถึงกระนั้นแกก็รู้ตัวเองดีไม่ได้หลงตัวเองว่าข้าเจ๋งข้าแน่ ซึ่งดูได้จากในหนัง มีหลายๆ ฉากที่แกก็เกือบเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน ต้องขอให้นักบู๊รุ่นน้องช่วย แถมยังยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าแกแก่แล้ว คงไม่ไวเหมือนในอดีต ซึ่งตรงนี้นี่แหล่ะที่ทำให้ได้ใจคนดูยิ่งนัก สู้ต่อไปนะลุงสไล!!


สองคนนี้ก็ได้รับเทียบเชิญให้มาเล่นแต่ก็ปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย
  • น่าดูเพราะ: บู๊เถิดเทิง มันส์ซะจริง ดารานักบู๊ก็คับคั่ง ไม่ดูได้ไงล่ะเนี่ย
  • ไม่น่าดูเพราะ: นอกจากดาราแยะแล้ว ก็ไม่ใช่หนังบู๊ที่มีชั้นเชิงนักแถมก็รุนแรงซะ ซึ่งหลายคนคงไม่ชอบดูอะไรแบบนี้หรอก




*ช่วงเพลงในหนัง*

ลุงและพรรคพวกกำลังทำหน้าเคลิ้มถึงความสำเร็จของหนัง
นอกจากงานด้านสกอร์เพลงฝีมือของ Brian Tyler คอมโพเซอร์หนุ่มที่ถนัดทำเพลงให้หนังแอ็คชั่น ซึ่งเคยร่วมงานกับลุงสไลมาตั้งแต่ครั้ง Rambo (2008) แล้ว หนังก็ยังมีเพลงร็อคคลาสสิคให้ได้ยินในหนังด้วยไม่ว่าจะเป็นเพลงของ Creedence Clearwater Revival หรือเพลงสุดคลาสสิคอย่าง The Boys Are Back in Town ของ Thin Lizzy ที่ใช้ในช่วงเอนด์เครดิต ว่าแล้วเราก็มีเพลงหลังมาฝากกันตามฟอร์มจ้า

MP3: Thin Lizzy - The Boys Are Back In Town





 

Create Date : 27 สิงหาคม 2553    
Last Update : 27 สิงหาคม 2553 19:02:06 น.
Counter : 3077 Pageviews.  

The Experiment (2010): AF เวอร์ชั่นขังชาย

The Experiment (2010) :
และแล้วหนังคุกเทียมๆ แต่อยู่แล้วชีช้ำอย่าง Das Experiment (2001) ของ ผกก.ชาวเยอรมัน Oliver Hirschbiegel (Downfall [2004]) ก็ถูกฮอลลีวู้ดจับไปรีเมคเรียบร้อย แถมดาราที่มาเล่นก็ไม่ใช่ขี้ไก่มาจากไหน เพราะได้สองดารานำชายออสก้าร์อย่าง Adrien Brody (Predators [2010]) และ Forest Whitaker (Repo Men [2010]) มาเชือดเฉือนบทกันเชียวนะ อีกทั้งตัว ผกก.อย่าง Paul Scheuring ก็คุ้นเคยมากับหนังแนวคุกๆ แบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากการที่เป็นมือเขียนบทและอำนวยการสร้างให้กับซีรี่ส์แหกคุกสุดดังในอดีตอย่าง Prison Break (2005-2009) นั่นเอง


พี่เขาหัวโล้นมาเลยในเรื่องนี้
หนังเดินตามรอยต้นฉบับซึ่งว่าด้วยเรื่องของชาย 26 คนที่สมัครเข้าร่วมการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อแลกกับเงินก้อนงามเมื่อเสร็จสิ้นการทดลองนี้ โดยพวกเขาจะต้องถูกพาไปไว้ในสถานที่ห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างเลียนแบบคุกขึ้นมา ต่อมาพวกเขาก็ถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม พวกแรกจะต้องรับบทเป็นผู้คุม อีกพวกจะต้องรับบทเป็นนักโทษ ซึ่งพวกเขาจะต้องเล่นตามบทของตนไปเป็นเวลาสองสัปดาห์ โดยมีกล้อง cctv หลายตัวของผู้วิจัยคอยจับตาดูพฤติกรรมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง


น้าแกเหมาะกับบทคนบ้าอำนาจจริงๆ
วันแรกอะไรก็ยังขำๆ ชิวๆ ดีอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ก็ชักขำไม่ออกแล้วเมื่อเหล่าผู้คุม(ปลอมๆ)บางคนเกิดบ้าอำนาจขึ้นมา และเริ่มข่มเหงนักโทษ(ปลอมๆ)จนเครียดกันไปทั้งคุก(ปลอมๆ) แถมยังจะหนักข้อขึ้นทุกวันเสียด้วยสิ งานนี้เลยดูเหมือนว่าระยะเวลาสองสัปดาห์ของการทดลองครั้งนี้ช่างยาวนานเสียจริง ซึ่งก็ต้องมาลุ้นต่อไปว่าชะตากรรมของเหล่า AF เวอร์ชั่นคุกทั้งหลายจะเป็นยังไง? จะอยู่รอดจนถึงวันสุดท้ายหรือไม่? และงานนี้จะมีแหกคุกแบบใน Prison Break หรือเปล่า? โปรดติดตาม

ดูเหมือนพี่เขาจะโดนข่มเหงอีกแล้วนะงานนี้
ดูเหมือนว่าเวอร์ชั่นมะกันนี้จะเพิ่มความแรงความซกมกขึ้นมาและดัดแปลงบางอย่างจากต้นฉบับพอสมควร โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนตัวละครในคุก แต่กลับตัดบทบาทของเหล่านักวิทยาศาสตร์ออกไปเสีย ในขณะที่หนังก็ยาวเพียงชั่วโมงครึ่ง(ต้นฉบับยาวกว่าครึ่งชม.) เลยทำให้ไม่สามารถสร้างความกดดันได้เท่ากับต้นฉบับ ตัวละครหลายตัวก็ดูชั่วมาแต่ไกลเชียว ไม่เหมือนต้นฉบับที่แต่ละคนดูเหมือนคนบ้านๆ ทั่วไป(ที่ค่อยมาออกลายกันในคุกในเวลาต่อมา) รวมทั้งช่วงท้ายเรื่องที่จบแบบฮอลลีวู้ดจ๋าเชียว นี่ยังดีนะที่สองนักแสดงนำของหนังยังเล่นได้อย่างน่าประทับใจ ไม่งั้นคงจะจืดลงไปกว่านี้เยอะทีเดียว


ผู้คุมเขาก็เครียดเป็นเหมือนกันนะ
ทราบมาว่าตอนแรกผู้สร้างตั้งใจจะฉายโรงแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจส่งตรงลงแผ่นเลย ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยเพราะถึงแม้จะได้สองดาราใหญ่ระดับออสก้าร์มาร่วมแสดง แต่โดยรวมแล้วก็เป็นหนังเล็กๆ หน้าหนังขายยาก แม้แนวคิดจะดีแต่ผลลัพธ์ก็ยังธรรมดาไป โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยได้ดูต้นฉบับมาก่อนก็จะพบว่ายังสู้ต้นฉบับไม่ได้ (ทั้งที่ต้นฉบับก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรมากมาย) แต่สองฉบับก็ยังคงบอกสิ่งเดียวกันที่ว่า อำนาจสามารถทำให้คนเราร้ายกาจได้ถึงขนาดไหน อืม น่าคิดๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังรีเมคที่ดูได้ดูดี ให้ข้อคิด และดารานำก็ระดับออสก้าร์เชียวนะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: แต่ถ้าเผอิญเปรียบเทียบกับต้นฉบับก็จะพบว่า ต้นฉบับดีกว่า และน่าเสียดายที่หนังดูจะรวบรัดไปนิดเลยบิวท์อารมณ์ความเครียดของคนดูได้ไม่ถึงจุดนัก



*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*
Das Experiment (2001) :

ก่อนจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากหนังช่วงสุดท้ายของชีวิตฮิตเลอร์อย่าง Downfall (2004) ผกก.
Oliver Hirschbiegel ก็เป็นที่จับตามองขึ้นมาจากหนังเรื่องนี้แล โดยหนังสร้างขึ้นมาจากหนังสือ Black Box ของ Mario Giordano ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการทดลองจริงเมื่อปี 1971 ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อเมริกา อีกทีหนึ่ง


ดูเหมือนพี่เขาจะเครียดน่าดูนะเนี่ย
แม้หนังยังมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจงใจไปนิดแต่ ผกก.Hirschbiegel ก็สามารถแสดงฝีมือให้ประจักษ์ด้วยการเล่าเรื่องที่ค่อยๆ สร้างความกดดันให้แก่คนดูทีละน้อยๆ ไปจนถึงจุดแตกหักช่วงท้ายเรื่องได้ในที่สุด จนหนังเป็นที่ฮือฮาจากบรรดาคอหนังมาจนทุกวันนี้


โฉมหน้าบรรดาผู้คุมจำเป็นทั้งหลาย
แต่เสียดายที่การโกฮอลลีวู้ดของเขาด้วยหนังต่างดาวที่นำแสดงโดย Nicole Kidman อย่าง The Invasion (2007) จะแป้กเพราะถูกสตูดิโอยุ่มย่ามเอาไปตัดต่อใหม่โดยให้เหตุผลว่าหนังฉบับเขา"ไม่มันส์พอ" จนเล่นเอาเขาเข็ดขยาดฮอลลีวู้ดและถอยไปทำหนังเล็กๆ ที่อังกฤษอย่าง Five Minutes of Heaven (2009) ในเวลาต่อมา ซึ่งก็หวังว่าอนาคตเขาจะยังทำหนังดีๆ มาให้คอหนังได้ดูกันอีกเน้อ เอาใจช่วยๆ







 

Create Date : 26 สิงหาคม 2553    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2554 2:18:49 น.
Counter : 6920 Pageviews.  

Salt (2010): ผัวข้าใครอย่าแตะ

Salt (2010) :
เจ๊ Angelina Jolie (Wanted [2008]) ห่างหายไปจากหนังแอ็คชั่นบู๊ตูมตามที่มุ่งขายเธอเต็มๆ ในบทนำแบบไม่ต้องแชร์เครดิตให้ใครมานานนมแล้ว (ครั้งสุดท้ายก็ Lara Croft Tomb Raider: The Cradle of Life (2003) โน่นเลย) และหลังจากพิสูจน์ให้คอหนังเห็นอีกครั้งจาก Wanted แล้วว่าหน่วยก้านเธอยังใช้ได้อยู่ เราจึงได้เจอะเธอในหนังแอ็คชั่นสายลับเรื่องนี้ ที่แต่เดิมเคยวางตัวป๋า Tom Cruise ไว้ในบทนำอยู่แล้วเชียว


เรื่องนี้เจ๊เขาขอบู๊เต็มเหนี่ยวไปเลย
แต่ว่าป๋าเขาดันถอนตัวไปซะก่อน เพราะบทมันคล้ายๆ แบบที่เขาเคยเล่นมาแล้วในหนังชุด Mission: Impossible เกินไป โดยป๋าเขาหันไปเล่นหนังสายลับรักขำๆ อย่าง Knight and Day (2010) แทน ทางผู้สร้างเลยคิดใหม่ทำใหม่โดยการแก้บทนำเป็นผู้หญิงประชดป๋าทอมซะเลย แล้วจีบเจ๊ปากอิ่มเรามาเสียบแทนซะ ซึ่งก็เป็นทางออกที่เข้าท่าไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย


ก็คนมันสวยจะผมทรงไหนก็ยังคงดูสวยอยู่ดีนั่นแหล่ะ
หนังได้ ผกก. รุ่นเก๋าชาวออสเตรเลีย ที่ถนัดทำหนังแนวแอ็คชั่นสายลับเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่าง Phillip Noyce มารับผิดชอบ ซึ่งถึงลุงเขาจะห่างเหินจากหนังแอ็คชั่นใหญ่ๆ มาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ฝีมือก็ยังไว้ใจได้อยู่ เพราะสามารถทำหนังให้ออกมาดูสนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึกดี แม้เนื้อเรื่องจะมาแบบเดิมๆ เดาทางได้ไม่ยาก และหนังก็ดูจะสั้นเกินไปนิดจนไม่มีเวลาปูเรื่องให้แน่นกว่านี้ แถมเต็มไปด้วยความเว่อร์สุดๆ ก็ตามที แต่ก็ต้องยอมรับว่าถึงจะเว่อร์แต่ก็เว่อร์ได้ถึงใจ ไม่ได้ดูงี่เง่าแต่อย่างใด ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งหนังไม่มีเสียเวลาอ้อยอิ่ง เพราะเดินหน้าระดมฉากแอ็คชั่นเว่อร์ๆ มันส์ๆ ใส่ตลอดไม่มียั้ง จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีหนังก็จบซะแล้ว


ทั้งเก่งทั้งสวยแบบนี้หนุ่มๆ ก็ได้แต่ทำตาละห้อยมองตามแหล่ะ
เจ๊ปากอิ่มเราแสดงฉากบู๊ได้อย่างทะมัดทะแมงและดูฉลาดอย่างที่บทต้องการ แต่บางอารมณ์ก็ดูเก่งเว่อร์เกินไปนิดอยู่บ้าง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะหนังโดยรวมทำออกมาได้ดูสนุกแสนเพลิน ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครโดดเด่นขนาดที่สามารถมาขอเจียดรัศมีไปจากเจ๊ได้เลย จนบางทีก็ดูเหมือนกับเจ๊เขาไม่ได้เจอคู่ต่อกรที่ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงให้ได้ลุ้นสักเท่าไหร่ ส่วนงานสร้างอยู่ในระดับดีหนึ่งประเภทหนึ่งของฮอลลีวู้ด ซึ่งส่งเสริมความขึงขังจริงจังให้ตัวหนังได้เป็นอย่างดี

คนขวาถนัดนักในบทตัวประกอบดีเด่น
หลายคนดูแล้วก็อดที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับหนังสายลับของ Jason Bourne เสียมิได้ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรที่จะเปรียบเทียบ เพราะทั้งคู่มาในสไตล์ใช้สมองมากกว่ากำลังและก็ถูกทางการตามล่าเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้วัดกันตัวๆ แล้ว(ไม่ได้รวมถึงคุณภาพหนังนะ) ก็ถือว่าสายลับสาวปากอิ่มของเราคนนี้ดูจะเหนือกว่าอยู่นิดหน่อย ตรงที่เธอเป็นอิสตรีซึ่งรู้จักใช้เสน่ห์มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียน ที่ดูเหมือนไม่ว่าเธอจะใช้มันกับชายคนใด ก็คงมีอันต้องเสร็จเธอทุกรายไป นี่ล่ะข้อได้เปรียบของสายลับหญิงรายนี้ ไม่เชื่อถามเฮีย Brad Pitt ดูสิ อยู่ในโอวาทเจ๊เขาเชียว อิอิ


สงสารอิตาคนนี้จริงๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นสายลับหญิง ที่สนุก ดูเพลิดเพลิน ถึงจะเว่อร์แต่ก็ทำได้ถึง คอหนังแอ็คชั่นไม่มีผิดหวังแน่
  • ไม่น่าดูเพราะ: เว่อร์สุดๆ เนื้อเรื่องมาแบบเดิมๆ ที่เดาทางไม่ยากนัก และขาดการปูเรื่องราวให้หนักแน่นเท่าที่ควร เป็นหนังบู๊นอนสต๊อปดูเอามันส์แบบที่ดูจบแล้วก็จบกันไปไม่มีอะไรติดออกมาให้เก็บไปคิดสักเท่าไหร่




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2553    
Last Update : 20 สิงหาคม 2553 4:18:58 น.
Counter : 3290 Pageviews.  

Vampires Suck (2010): แวมไพร์ทไวรั่ว(ฉบับรั่วแล้วรั่วอีก)

Vampires Suck (2010) :
ในยุคที่ Twilight Saga ฮิตครองเมืองเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะโดนหนังหลายเรื่องหยิบเอาไปแซว อย่างปีที่แล้วก็มีหนังยำหนังเต้นอย่าง Dance Flick และหนังล้อเลียนทุนต่ำที่บ้าบอโคตรๆ อย่าง Taintlight มาปีนี้ก็ถึงคราวของ ผกก.คู่หูดูโอ้ Jason Friedberg และ Aaron Seltzer เจ้าเก่าที่ถนัดทำแต่หนังตระกูลยำหนังดังอย่าง Date Movie (2006), Epic Movie (2007), Meet the Spartans (2008) และ Disaster Movie (2008) ที่จะหยิบเอามายำกับเขาบ้างล่ะ(ไม่แปลกใจเล๊ย) ซึ่งจะทำออกมาแป๊กเหมือนเช่นเรื่องที่ผ่านๆ มาหรือไม่นั้นก็ต้องว่ากันอีกทีล่ะนะ


เอิ่ม...งานนี้เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเข้าทีมไหนดี
มาคราวนี้ทั้งคู่มาแปลกกว่าเรื่องที่ผ่านๆ มาตรงที่มุ่งล้อเลียนหนัง Twilight กันเต็มเหนี่ยว เพราะหนังเรื่องอื่นๆ แทบจะไม่ถูกนำมาแซวเลย โดยเนื้อเรื่องหลักเป็นเรื่องราวจาก Twilight และ New Moon ซึ่งก็ดีไปอย่าง คือหนังดูมีเอกภาพขึ้นมาหน่อย ไม่มั่วซั่ว เปะปะ เหมือนเรื่องก่อนๆ ในขณะที่มุกล้อเลียนต่างๆ ก็มีแป้กบ้างขำบ้างไปตามเรื่อง ซึ่งถ้าจะให้ดีก็คงต้องเป็นคนที่เคยผ่านตาหนังต้นฉบับมาก่อนและก็ไม่ใช่แฟนเดนตายถวายหัวของหนังชุดนี้ ถึงจะขำออกได้บ้างล่ะนะ

อิตาแปะคนนี้มาเป็นตัวขโมยซีนอีกแล้ว
ถึงจะเป็นหนังล้อเน้นตลกบ้าบอ แต่หลายมุกถือว่าเข้าท่าไม่ใช่น้อยเลย โดยเฉพาะมุกจิกกัด แฟน Twilight ทั้งหลาย หรือมุกล้อความฟูมฟายของนางเอกที่คูณสี่จากต้นฉบับเข้าไปได้ชนิดแสบๆ คันๆ ถูกใจหลายคนที่ก็เคยรู้สึกว่านางเอกเราเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆ หรือไม่ก็ก๊วน The Wolf Pack ที่แต๋วแตกซะ ซึ่งเข้าใจว่าผู้สร้างก็คงมีมุมมองต่อหนังชุดนี้ไม่ต่างไปจากคอหนังทั่วๆ ไป หลายมุกก็เลยตรงใจคนดูซะ ในขณะที่เหล่านักแสดงวัยรุ่นในเรื่องก็วาดลวดลายสนุกกันเต็มที่ ไม่มีขัดหูขัดตา โดยเฉพาะตัวนางเอกเราที่ถึงหน้าตาจะไม่คล้ายแต่ท่าทางบุคลิกนี่ใช่เลย (แถม Jacob เวอร์ชั่นนี้ออกจะดูดีกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับด้วยอีกต่างหาก เหอๆ)


ฉากสก๊อยประชดรักก็มีมาให้ดู
ส่วนงานสร้างก็ดูไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เลย (ถ้าไม่นับเอฟเฟกต์เลือดพุ่งที่ตั้งใจให้ดูปลอมๆ ตามสไตล์หนังตลกล้อเลียน) ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ที่ถอดแบบมาเป๊ะๆ แม้กระทั่งเพลงประกอบที่สามารถเอาเพลงต่างๆ จากเวอร์ชั่นต้นฉบับมาใช้ได้อย่างหน้าตาเฉยเชียว(เก๋ามั้ยล่ะ) แม้จะไม่ขำกิ๊ก ฮากลิ้ง แต่ผลลัพธ์โดยรวมแล้วถือว่าเป็นหนังล้อที่ใช้ได้เลยทีเดียว ซึ่งจะว่าไปแล้วบางคนอาจจะรู้สึกว่าดูเวอร์ชั่นล้อแบบนี้ยังจะสนุกกว่าดูเวอร์ชั่นต้นฉบับเป็นไหนๆ เสียอีกนะเนี่ย อิอิ

สามตัวนี้ก็มากับเขาด้วย
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังล้อเลียนหนังชุด Twilight ที่ทำออกมาแบบดูได้เพลินๆ หลายมุกนี่ถูกใจคอหนังซะจริง
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยมุกแป้ก ไร้สาระ และแฟน Twilight แบบเข้าเส้นคงดูแล้วไม่รู้สึกว่ามันน่าขำเท่าไหร่หรอกมั้ง






 

Create Date : 19 สิงหาคม 2553    
Last Update : 19 สิงหาคม 2553 2:44:04 น.
Counter : 6110 Pageviews.  

Centurion (2010): 7 หนีตายเพชรฆาตหน้าสวย


Centurion (2010) :
ผลงานเรื่องก่อนของ ผกก.หัวเหม่งชาวอังกฤษ Neil Marshall อย่าง Doomsday (2008) นั้นพาไปบู๊ระทึกเลือดสาดกันถึงในอนาคตซึ่งผลที่ออกมานั้นดูเหมือนคนดูส่วนมากจะไม่ค่อยโดนใจกับตัวหนังนัก พอมาถึงผลงานเรื่องล่าสุดของเฮียเขานี้ก็เลยขอพาย้อนอดีตไปบู๊ระทึกเลือดสาดกันในสมัยโรมันครองเมืองเลยโน่นดูบ้าง ซึ่งไม่ว่าแต่ละเรื่องของเฮียแกจะมาแบบต่างยุคต่างสมัยกันยังไงก็ตาม แต่แฟนหนังของแกต่างรู้ดีว่าทุกเรื่องต้องมีสิ่งที่เหมือนกันหมดเลยก็คือ 'ความเลือดสาด' นั่นเอง


เจ๊คนขวาล่ะคือสวยสังหารตัวจริงเลย
หนังพาย้อนไปในปี คศ.117 เมื่อกองทัพโรมันอันเกรียงไกรที่เป็นมหาอำนาจโลกในยุคนั้น ต้องเจอตอเข้าจนได้เมื่อครั้งพยายามบุกยึดเกาะอังกฤษที่มีชาว Picts (บรรพบุรุษของชาวสก็อตที่เป็นชนพื้นเมืองแต่เดิมในเกาะอังกฤษ)คอยรบแบบกองโจรให้โรมันต้องหนักใจมาตลอด จนในที่สุดทางโรมจึงส่ง 'กองพลที่ 9' ที่เป็นกองพลที่เจ๋งที่สุดมาเผด็จศึกซะเลย แต่ทว่าไพร่พลกว่า 4,000 นาย กลับพลาดท่าโดนกองทัพกองโจรถล่มซะเละตุ้มเป๊ะซะงั้น เหลือเพียงทหารเจ็ดนายที่รอดตายจากหายนะครั้งนี้ ที่ก็ต้องพยายามกระเสือกกระสนหนีตายจากนรกบนดินแห่งนี้เพื่อกลับไปยังมาตุภูมิให้จงได้


อย่าเพิ่งนึกว่ารูปขวาเป็นฉากหนึ่งจาก Gladiator ซะล่ะ
มาคราวนี้ ผกก.Marshall เขาทำการบ้านมาดี เพราะสามารถนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาผูกเป็นเรื่องราวแอ็คชั่นระทึกขวัญออกมาได้ดูสนุกและบู๊ระห่ำดีไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะฉากบู๊นี่แหล่ะ ที่เน้นความรุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อสุดๆ แบบที่มีแต่ฉากตัดคอฉับๆ เป็นตัดหยวกให้เห็นอยู่ตลอดเรื่อง ชนิดที่แฟนๆ หนังซาดิสม์คงจะได้สะใจกันเป็นแน่เชียว ในขณะที่งานสร้างด้านต่างๆ ก็ออกมาดูดีมีราศี เสริมสร้างบรรยากาศจริงจังให้กับตัวหนังได้เป็นอย่างดี

เจอสวยสังหารมาตามล่าแบบนี้เป็นใครก็ต้องวิ่งหนีหูตูบเช่นนี้แหล่ะ
ทางด้านนักแสดง คุณ Michael Fassbender (Inglourious Basterds [2009])รับบทพระเอกเต็มตัวในหนังแอ็คชั่นบู๊กระจายเรื่องแรกของเขาได้อย่างเข้าท่า เพราะนอกจากจะหน่วยก้านไม่เลวยามบู๊แล้วยังเก่งในการแสดงสีหน้าแววตาสื่ออารมณ์ตามประสานักแสดงสายดราม่าที่ดีอีกด้วย ในขณะที่สาวบอนด์อย่าง Olga Kurylenko (Quantum of Solace [2008]) ก็มาในมาด สวย โหด ดุ แบบเพียวๆ เลยไม่ได้เห็นเธอทำอะไรมากนักนอกจากทำหน้าโหดจะกินเลือดกินเนื้อไปวันๆ (แถมยังไม่มีบทพูดเลยสักคำเดียวอีกต่างหาก) ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครโดดเด่นเท่าสองคนนี้อีกแล้ว


หน้าจะมอมแค่ไหนชีก็ยังสวยได้อยู่
โดยรวมแล้วนอกจากฉากบู๊อันดุเดือดเลือดพุ่งและวิวอันน่าทึ่งแถบสก็อตแลนด์แล้ว หนังก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ หรือเด็ดๆ มามอบให้ แถมหลายๆ อย่างในหนังก็ดูจงใจไปนิดอีกด้วย (แต่ก็มีแง่คิดให้บ้างสำหรับคนที่มองเห็น) ดังนั้นผลงานที่เด็ดที่สุดของเฮียเหม่งเขาก็ยังคงเป็น The Descent (2005) อยู่เช่นเดิม ซึ่งว่าก็ว่าเถอะมาถึงตอนนี้แล้วนอกจากหนังทุกเรื่องของแกจะมี 'ความเลือดสาด'เป็นอาจิณแล้ว ยังล้วนแต่มีธีมที่เกี่ยวกับการหนีเอาชีวิตรอดของคนจำนวนหนึ่งที่ดันเข้าไปรุกล้ำอาณาเขตของผู้อื่นเข้าทั้งสิ้นเลย แบบนี้ต้องคอยดูสิว่าเรื่องต่อไปของแกจะพาเราบุกไปล้ำอาณาเขตของใครเขาได้อีก เหอๆ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญในบรรยากาศยุคโบราณ ฟันดาบโช้งเช้ง ที่ทำออกมาได้ดูสนุกในระดับหนึ่ง แถมบู๊ร่ะห่ำอีกต่างหาก คอหนังแอ็คชั่นเลือดพุ่งคงได้ถูกใจกันแน่เชียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: ใครไม่ถูกโรคกับหนังที่รุนแรง แบบที่มีแต่การฟันหัวแบะให้เห็น ก็พึงหลีกเลี่ยง และหนังก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ มาฝากสำหรับคนที่หวังความแปลกใหม่






 

Create Date : 12 สิงหาคม 2553    
Last Update : 14 เมษายน 2554 14:40:52 น.
Counter : 5494 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.