All Blog
เรื่อง แม่กวางกับลูก
เรื่อง แม่กวางกับลูก
 

เรื่อง แม่กวางกับลูก

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณชายป่าแห่งหนึ่ง มีแม่กวางตัวหนึ่งอาศัยอยู่แถว ๆ นี้มานานแล้วมันมีลูกเล็กอีกตัวหนึ่งที่ต้องคอยดูแล มันรู้ดีว่าตรงไหนเป็นแหล่งอาหารตรงไหนเป็นแหล่งอันตราย รู้จักเอาตัวรอดหรือปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์แม่กวางตัวนี้สามารถอยู่รอดในป่านี้ได้เป็นอย่างดี

วันหนึ่งขณะที่แม่กวางพาลูกเล็กออกหากินตามชายป่าแห่งนี้มันได้ยินเสียงหมาล่าเนื้อไม่ไกลจากที่มันยืนอยู่แม่กวางรีบบอกให้ลูกรีบหนีออกจากที่นั่นก่อนที่จะโดนหมาล่าเนื้อทำอันตรายถึงแก่ชีวิตลูกกวางสงสัยว่าทำไมแม่ของมันต้องยอมเป็นฝ่ายถอยหนีมากกว่าจะเป็นฝ่ายตั้งรับ

ลูกกวางถามแม่ว่าแม่จ๋าทำไมเราต้องหนีมันด้วยล่ะ มันเป็นตัวอะไรเหรอ เสียงของมันน่ากลัวจังแม่กวางตอบว่า มันคือหมาล่าเนื้อมันอาจจะทำอันตรายเราได้ทางที่ดีหลีกหนีให้ไกลจากมันน่าจะดีกว่า ลูกกวางยังสงสัยซักไซ้ถามต่อไปอีกว่าตัวของมันเป็นอย่างไรเหรอ

แม่กวางอธิบายลักษณะรูปร่างของหมาล่าเนื้อให้ลูกของมันฟังพลางพาลูกน้อยวิ่งหนีออกไปให้ไกลห่างจากเสียงของหมาล่าเนื้อด้วยแม่กวางยังเกรงกลัวอันตรายอยู่มากพอลูกกวางได้ยินคำตอบจากแม่ มันจึงบอกแม่จ๋าหยุดสักครู่เถอะลูกเหนื่อยและลูกอยากจะถามแม่อีกสักหน่อย

คำถามของลูกทำให้แม่กวางต้องหยุดคิดลูกกวางถามว่าทำไมแม่ต้องกลัวมันด้วยในเมื่อเราตัวโตกว่ามัน วิ่งเร็วกว่ามันมีเขาแหลมที่ปกป้องตัวเองและทำร้ายสัตว์อื่นได้ด้วย แม่กวางตอบว่านั่นซิทำไมแม่ต้องกลัวมัน แม่เห็นว่าสัตว์อื่น ๆกลัวมันทั้งนั้นแม่ก็เลยกลัวมันตามไปด้วย แม่ไม่ได้คิดหรอกและไม่เคยที่จะหยุดคิดด้วยว่าทำไมแม่ต้องกลัวมัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้คิดว่าความกลัวทำให้เราไม่คิดจะต่อสู้หรือทำในสิ่งที่ควรทำ คนที่ไม่เคยคิดจะสู้คงต้องหนีไปตลอดชีวิต

คนสมัยก่อนจะเกรงกลัวผู้มีอำนาจอย่างชนิดที่เรียกว่าขี้หดตดหายเลยทีเดียวอาจจะหมายถึงว่าคนที่กำลังอยากจะตดหรือปวดอึอยากจะอุจจาระเต็มแก่อยู่ก็หายปวดเป็นปลิดทิ้งไปทีเดียวเพราะความกลัวมีมากเสียเหลือเกินแล้ว

คนต่างชนชั้นในสมัยก่อนไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับผู้มีอำนาจมากกว่าตนหรือไม่กล้าอธิบายว่าตนไม่ใช่เป็นฝ่ายผิดที่โดนปรักปรำ บางทีไม่กล้าเถียงว่าความคิดของตนถูกต้องกว่าผิดกับสมัยนี้ที่เราสามารถมารวมตัวกับกลุ่มคนที่คิดเห็นเหมือนกันแล้วต่อรองกับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าหรือแม้แต่กล้าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเพื่อเรียกร้องความถูกต้องทางสังคมต่อผู้ที่ถือกฎหมายอยู่ในมือ

บางคนกลัวความคิดของตัวเองไม่กล้าที่จะคิดออกนอกกรอบ กลัวคนอื่นจะมาล่วงรู้ความคิดที่ผิดต่อความเชื่อของคนส่วนใหญ่บางคนยิ่งกว่านั้นกลัวแม้กระทั่งความฝันของตัวเอง พอตื่นขึ้นมาแสดงอาการหวาดกลัวหวาดผวาว่าตนฝันร้ายกลัวว่าสิ่งที่อยู่ในความฝันจะตามมาหลอกหลอนในชีวิตจริงต่อไป อย่างนี้จะเรียกว่าตีตนก่อนไข้ เพราะจะกังวลทุกข์ร้อนหรือหวาดกลัวก่อนที่เรื่องจริงจะเกิดขึ้นถึงขั้นที่ต้องมีการแก้ฝันหรือให้คนใกล้ตัวคอยบอกว่า ขอให้ฝันร้ายกลายเป็นดี

เสียงฟ้าร้องหรือแสงจากฟ้าผ่าเป็นสิ่งที่คนส่วนมากหวาดกลัวและมักจะถ่ายทอดความหวาดกลัวนี้ส่งต่อให้แก่ลูกหลานและคนใกล้ชิดโดยไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ว่าฟ้าผ่าจะทำอันตรายให้ถึงแก่ชีวิตในสถานการณ์ใดบ้างถ้าเราอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ไม่มีวันที่อันตรายจากฟ้าผ่าจะมาถึงได้เสียงจากฟ้าร้องอาจจะดังน่ากลัวแต่ถ้าเราแปรเปลี่ยนสิ่งที่น่ากลัวเสียใหม่ เช่นบอกลูกหลานว่าฟ้ากำลังร้องเพลงตุ้ม ๆ เด็กจะเข้าใจและฟังเสียงฟ้าร้องด้วยใจที่สงบขึ้นได้

 

จงอย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เรียนรู้

ถ้ารู้จริงจะไม่กลัวที่กลัวเพราะไม่รู้จริง

ต้องรู้ให้จริงถึงสาเหตุและผลที่จะตามมา

ทำจิตใจให้ตั้งมั่นในสิ่งที่รู้

แรก ๆอาจจะหวาดผวา

แต่ถ้ามั่นใจในสิ่งที่รู้แล้วความหวาดกลัวจะค่อยๆ ลดลง




Create Date : 26 พฤษภาคม 2562
Last Update : 26 พฤษภาคม 2562 3:54:41 น.
Counter : 1843 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments