Group Blog
 
All Blogs
 
Marcel Proust : In Search of Lost Time “การแสวงหาเวลาที่สูญหายของพรูสต์”



หลังจากที่จมหายกับ “In Search of Lost Time” (A la recherche du temps perdu) ของพรูสต์มา 3 เดือนเต็ม กับความยาว 4,347 หน้า ในฉบับแปลของ Moncrieff/Kilmartin/Enright (ทั้งหมด 6 เล่ม โดยเล่ม 5 ได้รวม 2 เล่มไว้ในเล่มเดียวกัน ได้แก่ The Captive และ The Fugitive) ในที่สุดผมก็อ่านจนจบ ทัศนะต่องานเขียนชิ้นเอกเล่มนี้กระจัดกระจายเป็นหลายประเด็น ขอเขียนแยกเป็นข้อๆครับ

1) ผมนึกไม่ออกว่ามีหนังสือเล่มไหนในโลกที่ดีกว่านี้ นี่เป็นหนังสือที่เยี่ยมยอดลึกซึ้งที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา มีหนังสืออันมากมายที่ผมรู้สึกดีเยี่ยม อาทิ The Brothers Karamazov, War and Peace, Madame Bovary, The Red and the Black, Crime and Punishment, The Magic Mountain แต่ไม่เคยรู้สึกถึงขนาดว่า “นึกไม่ออกจะมีหนังสือเล่มไหนในโลกที่ดีกว่านี้” หนังสือของพรูสต์มีความน่าหลงใหลอันพิเศษสุด เป็นมาสเตอร์พีซของมาสเตอร์พีซ เหมือน Sistine Chapel ของมิเคลันเจโล หรือซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโธเฟน

2) หนังสือเล่มนี้ให้แง่มุมอันลุ่มลึกต่อชีวิต, ธรรมชาติของความทรงจำ, กาลเวลา, ความรักความลุ่มหลง, ความตาย, ดนตรี, วรรณกรรม, ศิลปะ.. พรูสต์สอนให้เราสังเกตโลกรอบตัว สิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวันที่เราอาจหลงลืมไป ประโยคอันยืดยาวของเขาถักร้อยออกมาได้อย่างงดงาม ด้วยความยาวสี่พันหน้า หนังสือของเขาดูเหมือนมีพล็อตเรื่องน้อยมาก ผู้อ่านมักคุ้นเคยการเขียนจาก “เหตุการณ์แรก” ไปสู่ “เหตุการณ์ที่สอง” แต่ในหนังสือของพรูสต์ บ่อยครั้งที่เขียนถึงสถานการณ์หนึ่งแล้วบรรยายไว้นานมาก เขาเล่าผ่านประโยคยาวๆ เจาะลึกกับรายละเอียดของชีวิต

3) นวนิยายเขียนผ่านมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง “ผม” เป็นเสมือนกระจกสะท้อนพาผู้อ่านไปยังโลกในอดีต, วงสังคม, ศิลปะ และปรัชญา ส่วนสำคัญสุดคือหนังสือพาเราไปยังโลกแห่งความนึกคิดของผู้เล่าเรื่อง ผู้อ่านได้รับรู้สารพันเรื่องราวในจิตใจของเขา (ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความสูญเสีย ความหึงหวง อารมณ์อันอ่อนไหว แทบทุกความรู้สึกของมนุษย์) ผู้เล่าเรื่องมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักและศิลปะ เขาปรารถนาจะเป็นนักเขียน หนังสือทั้งหมดเป็นเรื่องราวชีวิตในอดีตก่อนที่เขาจะเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น เขาต้องเผชิญกับความรักที่ผ่านเข้ามาในชีวิต, ผู้คนในสังคม และความไม่เชื่อมั่นในความสามารถทางวรรณศิลป์ของตนเอง

4) พรูสต์เป็นนักเขียนที่เข้าใจถึงสิ่งเล็กสิ่งน้อยในชีวิต เขาเขียนได้อย่างงดงามถึงประสบการณ์ธรรมดาในชีวิตมนุษย์ สิ่งที่ผ่านไปในแต่ละวัน อาทิ การนอน, การทานอาหาร, การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่การจุมพิต นี่เป็นตอนที่เขาบรรยายจุมพิตแรกของ Swann ต่อ Odette

“And in an attitude that was doubtless habitual to her, one which she knew to be appropriate to such moments and was careful not to forget to assume, she seemed to need all her strength to hold her face back, as though some invisible force were drawing it towards Swann. And it was Swann who, before she allowed it, as though in spite of herself, to fall upon his lips, held it back for a moment longer, at a little distance, between his hands. He had wanted to leave time for his mind to catch up with him, to recognize the dream which it had so long cherished and to assist in its realization, like a relative invited as a spectator when a prize is being given to a child of whom she has been especially fond. Perhaps, too, he was fixing upon the face of an Odette not yet possessed, nor even kissed by him, which he was seeing for the last time, the comprehensive gaze with which, on the day of his departure, a traveler hopes to bear away with him in memory a landscape he is leaving for ever.”

5) ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องรู้ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสในช่วงที่พรูสต์เขียนขึ้น แค่รู้ Dreyfus Affair ก็เพียงพอ ซึ่งปกติคนเคยอ่านประวัติศาสตร์ยุโรปก็จะรู้ถึง Dreyfus Affair ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญของประเทศฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามถ้ารู้จักฝรั่งเศสในยุค Belle Epoque ก็น่าจะจินตนาการเห็นภาพชัดเจนขึ้น ยิ่งถ้าผู้อ่านเป็น Francophile จะยิ่งทวีความหลงใหลมากขึ้น

6) ผมอ่าน In Search of Lost Time ผ่านไปอย่างช้ามาก เป็นเพราะพรูสต์เขียนได้สวยงามเหลือเกิน หลายครั้งที่ผมอ่านจบย่อหน้าแล้วหวนกลับไปอ่านใหม่ในทันใด บางประโยคเขาบรรยายได้งดงามมาก บางประโยคก็แฝงนัยอันลึกซึ้งซับซ้อนจนผมต้องหวนกลับไปอ่าน พยายามเก็บสาส์นของเนื้อหาที่เขาต้องการสื่อ บางครั้งไม่ใช่อ่านทวนแค่หนเดียว อย่างเล่ม The Captive มีตอนเขียนถึงฉากที่ผู้เล่าเรื่องจ้องมอง Albertine กำลังนอนหลับไว้หลายหน้า ผมจำได้ว่าตัวเองเวียนกลับไปอ่านหลายรอบ อะไรจะลึกซึ้งสวยงามขนาดนั้น หนังสือของพรูสต์เต็มไปด้วย “ช่วงขณะอันตราตรึง” ที่ทำให้ผมต้องหยุดนิ่ง เหมือนฟังดนตรีท่อนโปรดแล้วหลุดจากกรอบของกาลเวลา

7) ผมรู้สึกว่าหลายตอนในหนังสือเป็น Essay ที่แฝงในรูปแบบนวนิยาย เส้นกั้นระหว่าง Essay และนวนิยายได้ถูกพรูสต์พังทลายสิ้น

อย่างข้อเขียนนี้ในเล่ม The Fugutive ทำให้ผมนึกถึงปาสกาลและมงแตนญ์

“Our intelligence is not the subtlest, most powerful, most appropriate instrument for grasping the truth… It is life that, little by little, case by case, enables us to observe that what is most important to our hearts or to our minds is taught us not by reasoning but by other powers. And then it is the intelligence itself which, acknowledging their superiority, abdicates to them through reasoning and consents to become their collaborator and their servant.”

8) ตั้งแต่เล่มแรกจนถึง Sodom and Gomorrah พรูสต์บรรยายถึงเรื่องราวชีวิตและวงสังคม โดยมีบทสนทนาแทรกไว้บ้างตามสมควร ทว่าตั้งแต่เล่ม The Captive ไปจนจบ เน้นหนักไปที่ “โลกแห่งความนึกคิด” บทบรรยายในสามเล่มสุดท้ายเต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์ โดยเฉพาะเล่มสุดท้าย Time Regained นั้นสุดยอด ความรู้สึกผมเหมือนกับขึ้นถึงยอดเขาอันสูงตระหง่าน มองลงมาเห็นทัศนียภาพเบื้องล่างช่างตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน พรูสต์นำทุกอย่างมาขมวดไว้ในเล่มสุดท้าย ซึ่งผู้เล่าเรื่องได้มองย้อนกลับไปยังชีวิตของตัวเอง กับเวลาที่คิดว่าสูญหายและไร้ค่าได้กลายเป็นวัตถุดิบในงานเขียนของเขา

9) ประโยคแรกของหนังสือเริ่มด้วยคำว่า “For a long time” และคำสุดท้ายของหนังสือคือ “Time” ประเด็นของ “เวลา” เป็นแกนเรื่องสำคัญในนวนิยายชิ้นนี้ หากคิดว่าโธมัส มันน์ เขียนถึง “ธรรมชาติของกาลเวลา” ไว้อย่างลุ่มลึกใน The Magic Mountain แล้ว พรูสต์ยิ่งขุดลึกไปกว่านั้นอีก ผมนึกถึงคำกล่าวของกามูส์ที่บอกว่า “หากอยากเป็นนักปรัชญา จงเขียนนวนิยาย” ใน “In Search of Lost Time” พรูสต์ได้เขียนถึงแง่มุมปรัชญาเกี่ยวกับ “เวลา” พูดถึง “เวลา” เรามักนึกถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่แท้จริงแล้ว “ปัจจุบัน” เป็นสิ่งสมมติ ไม่ใช่ reality ทุกวินาทีที่ผ่านไปล้วนกลายเป็นอดีต ตรงนี้พรูสต์เข้าใจดี บางตอนเหมือนเขาใช้นวนิยายไขปัญหา Metaphysics เกี่ยวกับการดำรงอยู่, ความทรงจำ และกาลเวลา

10) ในหนังสือมีตัวละคร Bergotte (นักเขียน), Elstir (จิตรกร), Berma (นักแสดงละคร), Vinteuil (นักประพันธ์ดนตรี) ซึ่งเป็นตัวแทนของศิลปะในแขนงต่างๆให้พรูสต์ได้หยิบยกมาพูดถึง ผมชอบเวลาที่เขาเขียนถึงศิลปะ ช่างลึกซึ้งจริงๆ สำหรับพรูสต์ ความรัก (ไม่ว่าระหว่างเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน) ไม่ใช่สิ่งจีรัง และชีวิตมนุษย์ต้องจบลงด้วยความตาย มีเพียง “ศิลปะ” (ดนตรี, วรรณกรรม, จิตรกรรรม) ที่อยู่ยั้งยืนยง เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของมนุษย์

11) Graham Greene เคยบอกไว้ว่า "Proust was the greatest novelist of the twentieth century, just as Tolstoy was in the nineteenth." เป็นการเปรียบเทียบได้น่าสนใจ ส่วนตัวผมคิดว่า ตอลสตอยดูรอบด้านช่ำชองทางโลกมากกว่า เขาเขียนได้ทั้งเรื่องราวในสังคมชั้นสูง, ชาวบ้านชนบท, สงคราม ฯลฯ Scope โลกภายนอกของพรูสต์ไม่กว้างขวางเท่าตอลสตอย แต่พรูสต์เปี่ยมด้วยความเข้าใจตัวตนมนุษย์แบบลึกซึ้งสุดๆ สำหรับกลวิธีการเขียน ใน Anna Karenina และ War and Peace ตอลสตอยใช้มุมมอง omniscient สามารถสลับไปมาในจิตใจตัวละครต่างๆ (ยากมากหากนักเขียนคนนั้นไม่เก่งจริง) ส่วนพรูสต์เล่าผ่านมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง ผมเชื่อว่าในส่วนลึกของทั้งพรูสต์และตอลสตอยมีแรงขับที่ต้องการมีชีวิตนิรันดร์ เป็นความนิรันดร์ผ่านผลงานรังสรรค์ทางศิลปะ งานของทั้งคู่จึง comprehensive และ ambitious มาก

12) พรูสต์เป็นนักเขียนที่ฉลาดมาก เขามีทั้งความละเอียดอ่อนในอารมณ์ความรู้สึก และความฉลาดล้ำลึกทางศิลปะ หานักเขียนน้อยคนในโลกที่มีพรสวรรค์แบบนี้ ผมเห็นด้วยกับจอร์จ สไตเนอร์ ที่บอกว่า

“Proust's place in intellectual life would remain eminent. He is, after Aristotle and Kant, one of the seminal thinkers on aesthetics, on the theoretical and pragmatic relations between form and meaning. His analyses of the psychosomatic texture of human emotions, of the phenomenology of experience, are of compelling philosophical interest. Even in his lifetime, it became a cliche to set "Proust on time" beside Einstein and the new Physics. "A la Recherche du Temp Perdu" is interwoven with motif of epistemology, philosophy of art (including music), and ethical debate which nevertheless have their own independent status.”

13) ผมคิดว่าหากจะซาบซึ้งในคุณค่างานเขียนของพรูสต์ ต้องอ่านครบทุกเล่ม ไม่สามารถอ่านเพียงเล่มใดเล่มหนึ่งได้ เหมือนกับฟังซิมโฟนี ไม่สามารถวัดคุณค่าจากการฟังเพียง movement เดียวได้ ต้องอ่านทั้งหมดจึงจะเข้าใจความสมบูรณ์ของผลงาน นอกจากความยาวของหนังสือที่ทำให้ผู้คนมองข้ามผลงานชิ้นนี้แล้ว สำหรับคนที่ได้ลองหยิบมาอ่าน ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่จะไม่ชอบหนังสือของพรูสต์ ตรงนี้ผมเข้าใจได้ ปัจจุบันในยุคอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือที่ทุกอย่างถูกตอบสนองด้วยความรวดเร็ว ผู้คนย่อมไม่มีความอดทนต่อการอ่านงานเขียนแบบนี้ โลกของพรูสต์เป็นโลกที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งต้องใช้ความอดทน ใช้ความละเมียดในการอ่าน เปรียบเหมือนการละเลียดจิบไวน์รสเลิศ ซึ่งต่างจากดื่มเบียร์ราคาถูก นั่นเป็นสาเหตุที่ผู้คนจำนวนมากพลาดคุณค่าอันเลอเลิศของวรรณกรรมชิ้นนี้

14) ข้อเสียของหนังสือเล่มนี้ก็มีเช่นกัน แต่ไม่ใช่ข้อเสียของตัวหนังสือ แต่เป็นผลกระทบจากหนังสือ ผมนึกถึงข้อเขียนของ “มงแตนญ์” ที่บอกว่าหนังสือให้คุณค่าต่อความคิดจิตใจ ทว่าละเลยในส่วนของร่างกาย หนังสือของพรูสต์ที่ทำให้ผมติดหนึบเล่มนี้ทำให้ผมขาดการไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส จากเดิมที่เคยไปสัปดาห์ละหลายครั้ง กลายเป็นว่าตั้งแต่เริ่มอ่าน ผมโดดเป็นประจำ เลิกงานมุ่งหน้ากลับบ้านไปอ่านหนังสือแทน .. และมีอยู่วันหนึ่งที่ผมยืนอ่านบนรถไฟฟ้า BTS ตอนเช้าขณะที่ไปทำงาน อ่านเพลินจนเลยสถานีไปสองป้าย ยังดีที่วันนั้นมาทำงานทัน

15) ผมเสียดายที่ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่อายุน้อยๆ เช่น วัย 17-18 แต่มาคิดอีกที ในวัยที่เพิ่มขึ้น ได้มีประสบการณ์ชีวิตที่มากขึ้น เคยผ่านความผิดหวังในความรัก ได้พบห้วงเวลาสูญเปล่าของชีวิต เคยนั่งทบทวนอดีตที่ผ่านมาของตนเอง อาจทำให้ซาบซึ้งกับหนังสือเล่มนี้ได้ดีกว่าตอนที่อายุน้อยๆ ผมกะว่าอนาคตข้างหน้าจะหวนกลับมาอ่านงานยิ่งใหญ่ชิ้นนี้อีก อยากรู้ว่าถึงตอนนั้น ในวัยที่มากขึ้น ผมจะรู้สึกอย่างไรกับหนังสือเล่มนี้

16) พรูสต์บอกได้ถูกต้องว่า ข้อแตกต่างของหนังสือดีอยู่ที่ wisdom ที่เราได้รับหลังจากที่วางหนังสือเล่มนั้นลง "We feel very strongly that our own wisdom begins where that of the author leaves off." และหนังสือเล่มนี้ได้พิสูจน์ข้อความดังกล่าว ยามที่ผมอ่าน “In Search of Lost Time” ผมมองโลกของพรูสต์ด้วยสายตาของพรูสต์ เมื่อผมอ่านจบ บางทีโดยไม่รู้ตัว ผมได้มองโลกของตัวเองด้วยสายตาของพรูสต์

พรูสต์บอกไว้ว่า

“The only true voyage, the only bath in the Fountain of Youth, would be not to visit strange lands but to possess other eyes, to see the universe through the eyes of another, of a hundred others, to see the hundred universes that each of them sees, that each of them is; and this we can do with an Elstir, with a Vinteuil; with men like these we do really fly from star to star.”

17) ผมดีใจที่ในชีวิตมีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ สำหรับคนที่เคยอ่านพรูสต์ ผมปลื้มใจแทน “คุณอยู่ในกลุ่มคนที่โชคดีเหลือเกิน” และจะบอกกับคนที่ยังไม่เคยอ่านว่า “อย่าตายหากยังไม่ได้อ่านพรูสต์”


Create Date : 26 สิงหาคม 2552
Last Update : 28 สิงหาคม 2552 19:36:35 น. 4 comments
Counter : 8356 Pageviews.

 
สุดยอดมากกกกก...

ตอนนี้ผมอ่านเล่มแรกยังไม่จบเลยครับ การอ่านเคลื่อนตัวไปได้ช้ามาก(ๆๆๆๆ) มัวแต่หลงระเริงอยู่กับตัวหนังสือของ Proust ... ละเลียด ล้ำลึก ยิ่งนัก

สุดท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ที่อ่าน In Search of Lost Time จบแล้ว สุดยอดจริงๆครับ ขอคารวะ


โดย: Tentty วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:1:43:51 น.  

 
บอกแล้วไงคะ ว่าต้องอ่าน จริงๆอ่านตอนอายุน้อยๆยังไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ ต้องน่าจะซักสามสิบกว่าขึ้นไป คืออ่านหนังสือมาเยอะพอควรเสียก่อน แล้วถึงค่อยสรุปด้วยพรูสต์ แล้วถึงจะรู้ว่ามันดียังไง ไม่อยากจะบอกเลยว่าต่อให้ดอสโตเยฟสกี้ โฟลแบร์ต หรือใครๆที่ว่าสุดยอด ก็ไม่มีใครเทียบพรูสต์ได้ในสายตาของ petitfour

พออ่านจบแล้วถึงจะเข้าใจใช่มั้ยคะ ว่าจะหาหนังสือเล่มไหนที่จะดีไปกว่านี้ เป็นไม่มีอีกแล้ว ชีวิตนี้โชคดีเหลือเกืนที่ได้อ่านพรูสต์ และชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป เมื่อได้อ่าน

สำหรับ petitfour พรูสต์คือสุดยอดจริงๆค่ะ พอจบแล้วรู้สึกโหวงๆไปเลย เหงา ไม่งั้นต้องมีหนังสือของเขาไว้ใกล้ตัว กำลังจะเริ่มอ่านอีกรอบค่ะ

ป.ล. คุณอ่านได้เร็วมากเลยนะคะ ptf อ่านนานมาก หลายปีเลยกว่าจะจบ (เพราะชอบมาก ไม่เร่งด้วย นั่งละเลียดอยู่นานเลยยิ่ง Swann's Way อ่านกลับไปกลับมาหลายรอบมาก ไม่อยากให้อ่านจบเลยค่ะ ที่สำคัญอารมณ์ขันของพรูสต์น่ารักมากจริงๆ)


โดย: petitfour IP: 118.174.130.178 วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:11:04:39 น.  

 
สุดยอดมากครับ บรรยายความรู้สึกได้ลึกมากครับ รู้แล้วว่า Proust เป็นยังไง


โดย: drstit วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:20:36:40 น.  

 
วันนี้ดูซีรี่เรื่อง hung มีผู้หญิงที่มีอาชีพนักกวีเป็นตัวละครในเรื่องสักคำว่า Proust ที่แขนด้วย แสดงว่านักเขียนคนนี้ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ


โดย: Mr.Feynman วันที่: 31 กรกฎาคม 2553 เวลา:4:27:54 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

BlueWhiteRed
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add BlueWhiteRed's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.