จงทำสิ่งที่คุณทำได้...ด้วยสิ่งที่คุณมี...ณ จุดที่คุณยืนอยู่ - ธีโอดอร์ รูสเวลท์
Uploaded with ImageShack.us
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
8 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 
มิตซูมิแห่งความหลัง

โดย ลืมชื่อ (เดี๋ยวจะเอามาบอก)


เมื่อราวๆปี 2532 ผมได้ทำงานอยู่บนเรือรับส่งสินค้าทั่วไป (เจนเนรัล คาร์โก้) เป็นเรือรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ สินค้าส่วนใหญ่เป็นพวกพืชผลการเกษตร มีมันสำปะหลังอัดเม็ด,น้ำตาลดิบ,ถั่วเขียว,ข้าวโพด ฯลฯ

ผมใช้ชีวิตอยู่กินนอนอยู่บนเรือสี่ปีกว่าๆจึงจะถอนสมอขึ้นมาอยู่บนบกอย่างถาวร ผมยังจำครั้งแรกที่ลงเรือได้ดี ความรู้สึกว่าเรืออะไรมันช่างใหญ่โตมโหฬารเสียเหลือเกิน

งานแรกที่ทำในเรือคือตำแหน่งสจ๊วต หน้าที่ทั่วๆไปก็คือดูแลเจ้านายระดับสูงอย่างกัปตัน ต้นเรือ ต้นหน ผู้ช่วยต้นเรือ งานซักผ้าปูที่นอน เก็บที่นอน กวาดถูเช็ด จัดโต๊ะอาหาร หน้าที่อีกอย่างก็คือคอยดูแลเรื่องอาหารต่างๆในเรือ

เวลาเรืออกเดินทางครั้งหนึ่งจะมีผู้ร่วมเดินทางประมาน 36 – 40 คน ปกติจะเป็นผู้ชายล้วนๆ ยกเว้นบางเที่ยวจะมีผู้โดยสารบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในครอบครัวของคนเรือหรือคนที่บริษัท

ภาพที่ยังประทับใจอยู่ในความทรงจำทุกวันนี้ก็คือความสวยงามของธรรมชาติยามเช้าของท้องทะเล วันแรกที่เรือออกจากท่าเรือคลองเตย เมื่อถึงปากอ่าวฟ้าก็สว่างพอดี เห็นฝูงนกนางนวลออกหากินเป็นฝูงปลาโลมาโดดเล่นข้างเรือ รู้สึกมีความสุขอิ่มเอิบไปหมด เช้าวันนั้นผมออกจากห้องส่วนตัวไปยืนดูที่ท้ายบาหลีของเรือ

เมืองแรกที่เรือเข้าไปแล้วสร้างความประทับใจให้แก่ผมไม่รู้ลืมคือเมืองมิตซูมิ ประเทศญี่ปุ่น เป็นหมู่บ้านเล็กๆมีท่าเรือเล็กๆที่เรือสินค้าจอดได้ครั้งละ 2 ลำ เวลาเกือบห้าปีที่ผมเดินทางไปที่เมืองโน้นเมืองนี้มากมาย แต่สิ่งที่ประทับใจของผมกลับอยู่ที่เมืองเล็กๆแห่งนี้

อันดับแรกที่จำติดตาคือสภาพภูมิประเทศหลังท่าเรือเป็นทิวเขากับป่า อาชีพหลักของชาวบ้านแถวนั้นคือประมงกับเกษตร ที่นั่นจะมีซุปเปอร์มาเก็ตเล็กๆชื่อร้านไดเอะ จะเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน มีร้านเล่มเกมปาจิงโกะอยู่หนึ่งร้าน

ทั้งหมู่บ้านจะมีภัตตาคารอยู่สองแห่ง เรือจอดที่นี่ครั้งละสามวันถึงห้าวัน ชาวบ้านที่นี่เวลาไปไหนมาไหนยังใช้จักรยาน วิถีชีวิตเรียบง่ายสบายๆไม่รีบร้อน

เวลาทำงานของผมส่วนใหญ่จะอยู่บนเรือในตอนกลางวัน หลังจากห้าโมงเย็นไปแล้วจึงจะออกเที่ยว ก็เริ่มจากเล่นปาจิงโกะ เป็นเกมที่มีได้มีเสีย ต่อจากนั้นจะไปนั่งที่ร้านบะหมี่เป็นเพิงเล็กๆมีม้ายาวสำหรับนั่ง เริ่มดื่มเบียร์ที่ร้านบะหมี่ เบียร์ของเขาเป็นซอฟท์ดริ๊งค์ ไม่เหมือนเบียร์บ้านเรา กินเบียร์เหมือนกินโซดารสชาติมันจืดๆ และก็ไม่ได้แช่จนเป็นวุ้นเพราะอากาศที่นั่นหนาวอยู่แล้ว พูดถึงดินฟ้าอากาศของที่นั่นก็แปลก ถ้าวันไหนฝนตกลงมาก็เป็นอันว่าทั้งวันไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว จะตกตั้งแต่เช้ายันค่ำหรือไม่ก็ตกทั้งวันทั้งคืนเลย

เมื่อได้เข้ามาที่นี่บ่อยครั้งก็เริ่มรู้สึกผูกพัน เพราะไปรู้จักกับเจ้าของบาร์คนหนึ่งซึ่งเราไปดื่มกินที่ร้านเขาบ่อยๆ ตอนนี้จำชื่อร้านไม่ได้แล้วจำได้แต่ชื่อเธอคือ มาโยดะ มิชิโกะ ร้านเธอเป็นแบบซาลูนกึ่งๆเรสเตอร์รองต์ จะมีเครื่องดนตรีครบชุด ร้องเพลงเล่นได้

บรรยากาศอยู่ติดกับทะเล มีถนนคั่นอยู่เส้นเดียว เป็นถนนเลียบทะเลมีเขื่อนกั้น เธอเป็นเจ้าของร้านที่เป็นกันเองกับลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะคนไทย อายุเธอราวสามสิบเศษๆในขณะที่ผมยี่สิบเศษ หน้าตาที่มองแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวญี่ปุ่น ไว้ทรงผมบ๊อบสั้นๆแค่ท้ายทอย ที่จดจำลักษณะเธอเป็นพิเศษเธอเป็นคนที่มีน้ำใจและเป็นมิตร
เวลาไปที่ร้านนี้ทีไรผมจะชอบร้องเพลง โซรัน บูชิ สุกี้ยากี้ ฯลฯ

และในที่สุดมันก็เหมือนเรื่องของคนเหงาในต่างแดนอะไรทำนองนั้น หลังจากที่ได้พบปะพูดคุยกับเธอหลายครั้งหลายหนจนคุ้นเคยกันพอสมควรแล้ว ปีนั้นตรงกับปี 2534 ผมมีปัญหากับแฟนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ทันจะเคลียร์กันผมก็ต้องออกเรือ โทรมาง้อเธอเท่าไรเธอก็ไม่ยอม เรือจอดท่าแรกก็ที่มิตซูมิเหมือนเคย

และก็เหมือนๆกับทุกๆครั้งที่ผมมาถึงมิตซุมิผมต้องมานั่งที่ร้านของเธอ และเป็นครั้งแรกที่ผมสั่งสาเกยกไห เพราะส่วนใหญ่จะสั่งเป็นเหยือก เธอก็เข้ามาพูดคุย วันนั้นผมก็ขอให้เธอเปิดเพลง broken heart , yesterday onec more, woman in love, heart to say I am sorry ฯลฯ แต่ละเพลงฟังแล้วเศร้าๆซึ้งๆทั้งนั้น

เธอเข้ามาพูดคุยด้วยซักถามว่าเป็นอะไร ผมเล่าความจริงให้เธอฟัง เธอก็เข้ามานั่งสนทนาและร่วมดื่มกินด้วยเป็นเพื่อน และคืนนั้นผมนั่งอยู่กระทั่งร้านปิด เธอบอกว่าจะปิดร้านแล้ว ผมบอกว่าผมกลับไม่ไหว เธอก็บอกให้นอนเสียที่นี่ บ้านเธอก็คืออยู่ที่หลังร้านนี่เอง

เท่าที่จำได้คือเธอเอาผ้าอุ่นๆมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ สัมผัสที่นุ่มนวลปลอบปละโลมผมรู้สึกอบอุ่นอย่างมีความสุขเหมือนเคลิ้มฝัน มีสติรู้ตัวอีกครั้งก็ตื่นขึ้นมาพบว่าผมกับเธอนอนอยู่ใต้ผ้าห่มไฟฟ้าแต่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายทั้งคู่

ตอนเช้าเธอทำอาหารเช้าให้แล้วเธอก็มาส่งผมที่เรือ ไม่น่าเชื่อว่าการที่รู้จักกันและได้พบหน้ากันตั้งสิบกว่าครั้งพูดคุยกันหลายครั้งหลายหน ไม่สนิทชิดเชื้อเท่ากับนอนด้วยกันครั้งเดียวสัมพันธ์ภาพดูเหมือนว่าแน่นแฟ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็คบหากันเรื่อยมา เธอเคยมาเที่ยวเมืองไทยผมก็พาเที่ยว กระทั่งผมเลิกงานเรือ ความห่างไกลและวิถีชีวิตทำให้เราขาดการติดต่อกัน

ทุกวันนี้ผมมาขายของเก่า และส่วนหนึ่งในสินค้าของผมก็คือแผ่นเสียง ผมเพิ่งได้เพลง Living on jet plain ของ Peter paul and marry แผ่นนี้ผมเพิ่งได้มา พอเปิดฟังครั้งแรกก็คิดถึงเธอขึ้นมาอย่างจับใจ เพราะวันที่ผมไปร้านเธอครั้งแรกเธอเปิดเพลงนี้ให้ผมฟัง และครั้งสุดท้ายที่ไปร้านนั้นเธอก็เปิดเพลงนี้ให้ฟัง นี่ผมเพิ่งได้แผ่นนี้มา แผ่นนี้ผมขอเก็บไม่ขายหรอก อย่างน้อยเอาไว้ฟังระลึกความหลังเล่นๆ

-----------------------



Create Date : 08 ตุลาคม 2548
Last Update : 8 ตุลาคม 2548 12:18:00 น. 0 comments
Counter : 670 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พ่อพเยีย
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]







ด้วยความยินดี...
หากมีผู้ใดละเมิด
โดยนำภาพถ่าย,บทความ
หรือข้อเขียนต่างๆ
ใน Blog นี้ไปใช้
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
สามารถทำได้เลยทันที
โดยไม่ต้องขออนุญาต
เป็นลายลักษณ์อักษร

เว้นเสียแต่ว่า…
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย
กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย

อ่านเรื่องของ "ปะการัง" ที่นี่



โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน


www.buzzidea.tv
Friends' blogs
[Add พ่อพเยีย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.