จงทำสิ่งที่คุณทำได้...ด้วยสิ่งที่คุณมี...ณ จุดที่คุณยืนอยู่ - ธีโอดอร์ รูสเวลท์
Uploaded with ImageShack.us
Group Blog
 
 
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
22 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
บ้านและเพื่อนบ้านของผม


กิจจา ศิลป์วิไลเลิศ

บ้านคือสิ่งปลูกสร้างเพื่อกันแดดกันฝนทั้งจนและมี บางทีอาจจะโกโรโกโสไปตามกาลเวลา แต่มันก็ยังให้ความอบอุ่นและความคุ้นเคยให้แก่เราเสมอ ประกอบกับการมีเพื่อนบ้านที่ดีก็ยิ่งวิเศษไปใหญ่

ในอดีตบ้านผมอยู่ในตลาดสดแห่งหนึ่งย่านตรอกจันทน์ ผมมีเพื่อนนับสิบๆคนที่เล่นกันมาตั้งแต่เล็กจนโต สังคมเล็กๆที่นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา ทุกๆบ้านที่ใกล้เคียงต่างก็มีความสามัคคีสมานฉันท์และมี้น้ำใจต่อกันด้วยดี

ผมและเพื่อนๆมักเล่นกันจนไม่รู้จักเวลากินเวลานอน จะรู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อพ่อแม่เรียกเข้าบ้านกินข้าว และเมื่อถึงเวลานี้พวกผมและเพื่อนๆต่างก็เข้าบ้านตักข้าวและกับข้าวคนละอย่างหรือสองอย่างออกมานั่งกินข้าวร่วมกันอีกเกือบ 10 คน จึงทำให้วงของเรามีอาหารร่วม 20 อย่างมาแบ่งปันกันกิน

บ้านเพื่อนบางคนยังไม่ได้หุงข้าว ผมและคู่หูก็จะแบ่งให้กินกัน เมื่อผมมาได้คิดตอนโตว่า ตอนนั้นหากเราต่างคนต่างกินแต่ในบ้านตัวเอง แต่ละบ้านก็จะมีกับข้าวกินไม่เกินสามอย่าง นี่เป็นเพราะเรารวมกันจึงทำให้เรามีกับข้าวเกือบ 20 อย่างและทำให้บ้านเพื่อนที่ยังไม่ได้หุงข้าวไม่ได้กับข้าวก็มีโอกาสได้กินพร้อมกันกับเรา

สิ่งนี้คือการเรียนรู้ที่จะรู้จักการมีความสามัคคีและมีน้ำใจจากผู้ใหญ่ที่ทำให้พวกผมและเพื่อนๆเห็น เพราะเมื่อพวกผู้ใหญ่เสร็จจากภาระกิจการงานก็จะมานั่งรวมกลุ่มสนทนาจิบน้ำชากัน บางคนก็นำวิทยุทรานซิสเตอร์มาเปิด คนแก่รุ่นปู่รุ่นย่าที่นั่งอยู่ที่แผงขายของก็จะนั่งฟังวิทยุจากเสียงตามส่ยเป็นภาษาจีน (ในสมัยนั้นอาจเป็นเพราะว่าที.วี.ยังไม่แพร่หลาย จึงไม่มีระบบบ้านใครบ้านมันเหมือนอย่างปัจจุบัน)

กระทั่งเมื่อโตเป็นวัยรุ่นผมและเพื่อนๆก็ยังคงวนเวียนกินนอนบ้านเพื่อนคนโน้นคนนี้ได้อย่างสะดวกใจ ผมถูกย่าสอนเสมอในเรื่องของการมีน้ำใจและตัวย่าเองก็เป็นแบบอย่างให้อีกหลายบ้านกระทำตาม ผมมักเห็นย่าเป็นแกนนำทำกิจกรรมต่างๆเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในชุมชน และพวกผมกับเพื่อนๆก็ได้ซึมซับสะสมสิ่งเหล่านี้มาโดยปริยาย สังเกตได้จากกลุ่มเพื่อนๆไม่ว่าจะร่วมกันทำอะไร จะมีคำหนึ่งติดปากของพวกเราอยู่เสมอว่า “แล้วส่วนรวมว่าไงกัน”

สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เมื่อเดือนเมษายนปี 2522 ย่าผมเสียชีวิตลงตามอายุขัย ในงานศพแต่ละคืนมีแขกมาร่วมงานแต่ละคืนไม่ต่ำกว่า 200 คน จึงนับว่าเป็นภาระหนักพอสมควรสำหรับครอบครัว เพื่อนบ้านผู้มีน้ำใจกว่า 30 หลังคาเรือนช่วยกันทำงานอย่างหนัก นั่นทำให้ผมเห็นการร่วมมือร่วมใจของคนในตลาดอีกครั้ง ทุกคนต่างมาช่วยกันในงานอย่างเต็มอกเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

กระทั่งถึงวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันศพที่จังหวัดชลบุรี เพื่อนบ้านในตลาดต่างพร้อมใจหยุดค้าขายเพื่อไปร่วมพิธีฝังศพยาย ซึ่งถือว่าเป็นการเสียลสละรายได้ที่เขาควรจะได้และทำให้ตลาดวันนั้นหยุดลงหนึ่งวัน

ต่อมาผู้คนที่จับจ่ายใช้สอยในตลาดบ้านผมน้อยลง เนื่องจากมีตลาดใหม่เกิดขึ้น อีกทั้งสัญญาชาเช่าบ้านกำลังจะหมดลง ทางเจ้าของใหม่ต่อสัญญาให้อีก 5 ปีเท่านั้น เพื่อนบ้านทยอยย้ายออกไปทีละหลังสองหลังเพื่อหาบ้านที่ถาวรอยู่ ส่วนผมและกลุ่มเพื่อนยังอยู่ที่นี่ต่อ ในวันที่ผมและเพื่อนๆช่วยเพื่อนบ้านขนย้ายข้าวของออกไป พวกเขาเหล่านั้นมองดูบ้านหลังเก่าด้วยความอาลัย

เมื่อครบสัญญา 5 ปี เจ้าของบ้านให้พวกเราย้ายออกภายใน 60 วัน ก่อนหน้านี้แม้ทุกคนจะเตรียมใจไว้แล้วแต่เมื่อมาถึงเวลาจริงๆทุกคนต่างอดใจหายไม่ได้ แม่เพื่อนพูดกับผมด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

“ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ไม่รู้จะมีเพื่อนบ้านอย่างที่นี่หรือเปล่า”
วันหนึ่งผมถามเพื่อนคู่หูว่า “เมื่อไหร่จะย้ายออก” ได้รับคำตอบอย่างเศร้าๆว่า
“จะอยู่ที่นี่จนวันสุดท้ายและคุ้มค่าที่สุด”
ต่อมาอีกไม่นานมีเพื่อนสองคนที่ย้ายออกไปแล้วแวะมาหาพร้อมกับโชว์ลูกกุญแจบ้านที่ทำสำรองเอาไว้แล้วเอ่ยปากชักชวนผมกับเพื่อนคู่หูว่า
“คืนนี้พวกมึงมานอนที่บ้านกู กูมีกุญแจสำรองอยู่เปิดเข้าไปนอนได้ ย้ายไปบ้านใหม่สองอาทิตย์แล้วยังไม่คุ้น กลับมานอนบ้านตลาดรำลึกความหลังดีกว่า”

เมื่อถึงกำหนดเวลาบ้านเพื่อนที่เป็นคู่หูของผมจะย้ายออก เพื่อนๆที่ย้ายออกไปก่อนแล้วกลับมาช่วยกันขนข้าวของ ทุกคนดีใจที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่ละคนต่างมีรอยยิ้มฉาบบนสีหน้า แต่ผมว่าทุกคนพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ ไม่อยากจะเศร้าเหมือนที่ผ่านๆมา

โดยเฉพาะพี่ชายคู่หูของผม เขามีอาการร่าเริงผิดปกติเหมือนกับไม่มีความอาลัยกับบ้านหลังเก่าอีกแล้ว…แต่เมื่อถึงเวลาจะจากไปจริงๆ พี่ชายของเพื่อนผมนั่นแหละที่เป็นคนทำให้ผมและเพื่อนๆรวมถึงคนในครอบครัวต้องหลั่งน้ำตาออกมา

แม้ตัวผมเองคิดว่าเป็นคนใจแข็งและเก็บอาการนี้ได้กว่าใครก็ถึงกลับน้ำตาคลอเมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ต่อหน้า มันเป็นภาพที่เศร้าสะเทือนใจและผมยังจดจำภาพนั้นได้ดี

ภาพ : มือนั้นจับบานประตูซ้ายขวาบรรจบลงพร้อมกันอย่างทนุถนอม ค่อยๆคล้องกุญแจล็อค แล้วมือทั้งสองซบหน้าลงที่บานประตูปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างสุดจะกลั้น
-------------------------------------------



Create Date : 22 กันยายน 2548
Last Update : 22 กันยายน 2548 17:58:41 น. 0 comments
Counter : 571 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พ่อพเยีย
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]







ด้วยความยินดี...
หากมีผู้ใดละเมิด
โดยนำภาพถ่าย,บทความ
หรือข้อเขียนต่างๆ
ใน Blog นี้ไปใช้
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
สามารถทำได้เลยทันที
โดยไม่ต้องขออนุญาต
เป็นลายลักษณ์อักษร

เว้นเสียแต่ว่า…
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย
กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย

อ่านเรื่องของ "ปะการัง" ที่นี่



โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน


www.buzzidea.tv
Friends' blogs
[Add พ่อพเยีย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.